สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 8
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12410648/W12410648.html
บทที่ 8
เจ้าฟ้าจ่างทุกข์ระทมกับชะตาวิวาห์ของแม่นางจงอรกระทั่งล้มป่วยจนหมอก็หมดทางเยียวยา ได้แต่ทำใจและรอว่าเมื่อไหร่ที่ท่านจะละสังขารไปเอง
ในระหว่างนั้น แม่นางกณิการ์ในวัยสิบห้าปลายๆ จึงต้องรับภาระหนักหน่วงแทนเจ้าฟ้าบิดาไปพลางๆ และด้วยความห้าวหาญเฉียบขาดของแม่นางนี่เอง ที่ทำให้แม่นางแพรชายาใหม่ไม่กล้าบุ่มบ่ามเหิมเกริม
"เจ้าก็มัวแต่หวั่นโน่นเกรงนี่ แม่นางน้อยก็แค่ผู้หญิง จะห้าวหาญก็เท่านั้น ชายาเจ้าฟ้ายังกำราบไม่ลง แล้วเขยอย่างพี่มีหรือจะก้าวก่ายได้"
"แล้วจะให้น้องทำยังไงเล่า พี่ก็เห็นว่าประชาชนศรัทธาในตัวนางมากกว่าน้อง ยิ่งตอนนี้มีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าน้องเป็นชายาอัปมงคล ชักนำมาแต่ความเสื่อมเสียให้เจ้าฟ้าจ่าง ไปไหนมาไหนก็เจอแต่แววตากระด้างกระเดื่อง"
"ตราบใดที่เจ้าฟ้าจ่างยังไม่ดับสูญ เจ้าก็เป็นได้แค่ชายากระจอกงอกเงยบารมีไม่ได้"
น้ำเสียงเย็นเยียบประหลาดของวจาเขยน่าชังดึงความสะดุดใจขึ้นในแววตาของแม่นางแพร อีกฝ่ายก็สบตายืนยันในความคิดกบฏ
"พี่หมายความว่า.. " แม่นางแพรไม่กล้ากล่าวต่อ ใจนึกหวั่นจนเต้นระรัว
"ป่วยอยู่นานหลายเดือนแล้วไม่ใช่หรือ อยู่ไปก็ไม่ได้ก่อประโยชน์ให้ประชาชนทั่วคามอยู่แล้ว มิหนำซ้ำ ยังกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญรุ่งเรืองของเราสองพี่น้องอีก"
"แล้วเราจะทำยังไงหรือ"
"เราจะฆ่ามัน แล้วตั้งตัวเป็นเจ้าฟ้าแทนมัน ชายาไร้พิษสงอย่างแม่นางจงอรขัดขวางเราไม่ได้อยู่แล้ว พี่จะปกครองคามดารกะอย่างยิ่งใหญ่ และเจ้าก็จะเป็นแม่นางแพรผู้เกรียงไกรในฐานะแม่นางน้อง"
"แล้วเราจะทำยังไงเล่า เวรยามหน้าห้องเจ้าฟ้าจ่างออกแน่นหนา ก่อนจะส่งอาหารก็มีหน่วยกรองอีกชั้น กว่าจะถึงปากก็ต้องผ่านการตรวจสอบจากพระครูลาพุชอีก"
วจาเขยน่าชังเหวี่ยงขายาวใหญ่ลงจากเตียง แล้วเดินออกไปหน้าระเบียงโค้ง มองทิวทัศน์ไกลออกไปนอกกำแพง เห็นบ้านเรือนกระจายไปทั่วสุดลูกหูลูกตา ทุกหนแห่งนั้นล้วนขึ้นต่อคามดารกะและตกอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าฟ้าจ่าง
มันนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ช่างตีดาบจะเงยตาอ้าปาก ถีบทะยานตัวขึ้นสู่จุดสูงสุด แม้ว่าฟ้าจะไม่ได้ลิขิตเช่นนี้ แต่ด้วยชะตาร้อนที่มีมาแต่เกิด วจาคนนี้จะพุ่งรุดไปให้ถึงในสิ่งที่หวังในเร็ววันนี้แหละ
"พี่" แม่นางแพรตามมาเรียก น้ำเสียงยังหวั่นๆ กับแรงปรารถนาที่สูงเกินตัวของพี่ชาย
"เรื่องนี้ปล่อยให้พี่จัดการเอง เจ้าอยู่เฉยๆ รอเวลาเป็นแม่นางน้องเจ้าฟ้าวจาเถอะ"
"บอกสักหน่อยสิว่าพี่จะทำยังไง อย่าบอกว่าจะลอบเข้าไปฆ่า.. "
"การกำจัดให้ดับสูญมันก็ต้องใช้วิธีนี้แหละแม่นางแพร" พี่ชายใจเกรียมเอ่ยดักวาจาหวั่น "จะฆ่าด้วยการบั่นคอแทงอก หรือจะฆ่าด้วยการวางยาพิษในอาหาร ก็เรียกว่าฆ่าทั้งนั้น"
แม่นางแพรใจเต้นแรงขึ้น หน้าสวยค่อยเผือดลงด้วยความหวาดกลัว นางอาจจะมีใจริษยาต่อแม่นางกณิการ์ บางครั้งด้วยแรงริษยาท่วมท้น ก็ยังเคยคิดกำจัดให้พ้นทาง แต่ก็ด้วยความชังเท่านั้น
เรื่องถีบทะยานตัวขึ้นครองคามดารกะอันไพศาล มันเป็นวาสนาที่สูงลิบเกินเอื้อม แต่พี่ชายกลับเหิมเกริมร้อนแรง คิดไขว่คว้าวาสนาที่สูงลิบด้วยการบั่นเจ้าของวาสนาเดิมให้ดับสูญ มันจะเป็นไปได้หรือ
ขณะที่เจ้าฟ้าจ่างล้มป่วยจนไม่สามารถปฏิบัติภารกิจใดๆ ได้ แม่นางจงอรก็ทุกข์ระทมกับชะตาอัปมงคลที่กำลังเผชิญ ครรภ์แม่นางใหญ่ขึ้นบ้างแล้ว สาวใช้ใกล้ชิดได้แต่ส่ายหน้าเวทนายามเห็นแม่นางกลืนกินน้ำตาต่างข้าว
"ก็จะไม่ให้กลืนกินน้ำตาต่างข้าวได้หรือ สามีหยาบหยามเกียรติอย่างชั่วช้าเสียขนาดนั้น"
"สงสารแม่นางนะ ห้ามปรามก็ไม่มีปากเสียง ขัดขวางใดๆ ก็ไม่ได้เลย สามีก็แสนเลวยิ่ง กล้าฉุดคร่าสาวใช้มาทำบัดสีบนเตียงแม่นาง"
"ใช่ หัวอกคนเป็นภรรยามีหรือจะไม่ชอกช้ำที่ต้องทนเห็นสามีระเริงสวาทกับหญิงอื่นต่อหน้า เฮ้อ ยิ่งพูดเราก็ยิ่งขัดเคืองใจ อยากฟ้องแม่นางกณิการ์นัก"
"ใช่ เราก็อยากทำอย่างนั้นวันละร้อยหนเชียว"
แม่นางจงอรกลืนน้ำตาที่ไหลอย่างขมขื่น สาวใช้สองคนคงนึกว่านางหลับไปแล้ว จึงกล้าปรับทุกข์ด้วยความห่วงใยกันเสียงดัง
ถ้าไม่คิดสักนิดว่าตนตั้งครรภ์ นางก็ปรารถนาจะหนีความอับอายด้วยการดับชีวิตเสียให้สิ้น เจอหน้าแม่นางอชินีมารดา นางก็จะคุกเข่าแล้วกราบขอขมาที่อ่อนแอไม่สมกับที่เกิดมาเป็นหน่อเนื้อของแม่นางผู้เกรียงไกร
"เจ้าพี่หลับหรือ"
จู่ๆ แม่นางกณิการ์ก็เข้ามาปุบปับ สาวใช้หุบปากกันแทบไม่ทัน ทั้งสองรีบลุกพร้อมเพรียง สีหน้าเลิ่กลั่กมีพิรุธจนแม่นางจอมห้าวต้องถามคาดคั้นว่า
"มีอะไร ทำไมเจ้าสองคนทำหน้าตาพิลึกนัก"
"คือ เอ้อ คือ.. "
"อย่าอ้ำอึ้งนัก เราถามก็ตอบมา" น้ำเสียงคาดคั้นกระด้างเฉียบขึ้น แววตาวาวด้วยอำนาจน่าครั่นคร้ามนัก
"แม่นางจงอรไม่สบายเจ้าข้า เมื่อกี้นี้หมอมาดูอาการ สั่งยาให้กิน แต่แม่นาง เอ้อ แม่นางไม่กินเจ้าข้า"
แม่นางกณิการ์มองเลยไปยังร่างใต้ผ้าห่ม เห็นแม่นางเจ้าพี่ตะแคงหันหลังก็เข้าใจว่าหลับเช่นกัน จึงค่อยสำทับกับสาวใช้ทั้งสองว่า
"เจ้าพี่ตื่นแล้ว เจ้าคนหนึ่งรีบไปตามเราทันที เราจะป้อนอาหารเอง ป้อนยาเอง ถ้าเจ้าพี่ไม่ดื่มไม่กิน เรามีวิธีจัดการแบบเราเอง เข้าใจคำสั่งเราไหมเจ้า"
"เจ้าข้า"
ร่างอรชรที่สง่าแกมปราดเปรียวใต้อาภรณ์สีเทารัดกุมและทะมัดทะแมงผละจากสาวใช้อ้อมปลายเตียงไปหยุดพินิจหน้าเผือดขาวของแม่นางจงอร เห็นน้ำตาหยดหนึ่งค้างตรงหัวตาก็อดส่ายหน้าเวทนาไม่ได้
"เวทนาเจ้าพี่นัก" ร่างอรชรทรุดยองๆ แล้วช่วยซับน้ำตาหยดนั้น "ถ้าน้องไม่คิดสักนิดว่าในท้องเจ้าพี่มีหน่อเนื้อแล้วละก็ น้องจะบั่นคอไอ้วจาสารเลว เสียบหัวมันประจานทั่วคามจนกว่าจะเน่าเปื่อยไปเอง ตัวของมัน น้องก็จะขึงตากกลางลานให้แร้งกาจิกแทะไม่ต้องเหลือแม้แต่กระดูก"
"เจ้านี่ช่างดุร้ายยิ่ง" เจ้าพี่จำต้องลืมตาดั่งว่าตื่น แล้วเอ่ยติงด้วยเสียงอ่อนล้า
"น้องทำเจ้าพี่ตื่นหรือ ขออภัย"
แม่นางน้อยรีบเข้าพยุงให้เจ้าพี่ผู้อ่อนแอลุกมาพิงเอนๆ ช่วยจับขายืดแล้วเรียกสาวใช้มานวดเฟ้น ตนก็ย้ายขึ้นไปนั่งข้างบนเตียง พลางติว่า
"เจ้าพี่ทำไม่ถูก ทำไมไม่กินยากินข้าว เวลานี้เจ้าพี่มีหน่อเนื้อที่ต้องบำรุงอีกคน จะทำอะไรก็อย่าเอาแต่ใจเหมือนก่อนนัก"
"พี่น่ะหรือที่เคยเอาแต่ใจ เห็นทีจะเป็นเจ้าเสียมากกว่าไหมแม่นางกณิการ์"
"แหม น้องเอาแต่ใจเรื่องอะไร น้องทำในสิ่งที่ถูกต้องทั้งนั้น อย่ามาหันเหติเตียนน้องเลย บอกมาซิ ทำไมหน้าตาเจ้าพี่ถึงได้อับเฉานัก แล้วมุมปากน่ะ ไปโดนอะไรมา น้องเห็นมันช้ำม่วงมาสองสามวันแล้ว"
สาวใช้พอได้ยินก็ลอบสบตากันแวบหนึ่ง ปากก็คันยิกๆ อยากจะฟ้องว่าวจาสารเลวนั่นล่ะ ที่กำแหงใช้กำลังตบตีแม่นางผู้น่าสงสาร เพียงเพราะแม่นางไม่ยอมให้ร่วมพิศวาส
อีกฝ่ายกลับไม่ยอมฟังเหตุผลว่าแม่นางไม่ค่อยสบาย แต่กลับตรงเข้าจิกผมตบหน้าซ้ายขวาแล้วสำทับด้วยวาจาผรุสวาทอีกหลายคำเชียว
"น้องถามก็ตอบมา ไม่ต้องอ้ำอึ้ง น่ารำคาญที่สุด ทั้งนายทั้งสาวใช้ ถามอะไรเป็นต้องหูอื้อสมองไม่สั่งการก่อนทุกที ต้องรอให้น้องถามซ้ำ หรือไม่ก็ขึ้นเสียงไม่พอใจ"
"ก็ใครๆ เขาก็ยำเกรงเจ้า เป็นเพราะเจ้าดุร้าย อีกหน่อยเถอะ คงไม่มีหน่อเนื้อต่างคามมาสู่ขอ"
"สู่ขออะไร น้องไม่ปรารถนาอีกแล้ว เวลานี้เจ้าพ่อป่วย เจ้าพี่ก็ระทม น้องยังจะมีแก่ใจพะวงความสุขส่วนตัวได้หรือ น้องจะปกครองคามดารกะแทนเจ้าพ่อ ปกป้องเจ้าพี่ ดูแลหลาน เห็นหรือยัง ภารกิจของน้องเยอะแยะไปหมด"
แม่นางจงอรได้ฟังก็ตื้นตันจนน้ำตาปริ่ม สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานความอ่อนแอ จำต้องร่ำไห้เปล่งสะอื้นให้แม่นางน้องต้องเข้ามากอดปลุกปลอบ
หากแต่สายตาคมกล้ากลับคาดคั้นสาวใช้เป็นนัยๆ เพราะนอกจากมุมปากที่ช้ำม่วงแล้ว ยังมีลำแขนที่เกลื่อนแผลช้ำอีกหลายรอยด้วย นี่ถ้าไม่กอดใกล้ชิดก็คงไม่เห็นละกระมัง
รอไว้ปลอบโยนแม่นางเจ้าพี่ให้คลายโศกเสียก่อน หลับใหลเมื่อไหร่ สาวใช้ใกล้ชิดทั้งสองต้องคายเบื้องหลังมาให้หมด ถ้าไม่หมด นางจะโบยแส้เสียให้เนื้อขาด
แม่นางผู้ห้าวหาญบุกเข้ามาถึงห้องนอนแสนสำราญของวจาเขยน่าชังพร้อมกับสะบัดแส้ทองฟาดลำตัวใหญ่กำยำอย่างเดือดดาล แม่นางแพรกรีดร้องทิ้งถ้วยน้ำเมาลงพื้น พลางรีบพลิ้วร่างหนีปลายเรียวคมกริบที่ตวัดมาเผื่อแผ่
"บังอาจนัก เจ้ากล้าทำร้ายเจ้าพี่ของเราเชียวหรือ ศักดิ์ของเจ้าก็เป็นเพียงเขยที่ไม่มีใครปรารถนาและยกย่อง แต่เจ้ากลับเหิมเกริมไม่เจียมวาสนา ช่างชั่วช้ายิ่ง"
วจาร้องคำรามเจ็บปวด ร่างใหญ่กำยำเกลือกกลิ้งทั่วพื้น บรรดาสาวใช้นางบำเรอต่างแตกตื่นวิ่งหนีกระจายกันไปคนละทิศ หากแต่ศมะผู้เฝ้าเข้มงวดหน้าห้องพลันแกว่งดาบข่มขวัญให้รวมตัวกันอยู่มุมหนึ่ง "บังอาจ" แม่นางแพรตวาดแหวใส่ศมะว่าที่องครักษ์ในภายหน้า "เจ้ากล้ากำแหงต่อเราชายาแห่งเจ้าฟ้าจ่างหรือ หลบไปให้เด็กของเราเดี๋ยวนี้"
"เราฟังคำสั่งแม่นางกณิการ์เท่านั้น ขออภัยด้วยแม่นางแพร"
"เจ้า.. "
ชายาแห่งเจ้าฟ้าจ่างเดือดดาลตาแดงก่ำ ตัวก็สั่นเพราะคลื่นโทสะถาโถม แต่ยามที่เบื้องหน้ายังแผดจ้าด้วยรังสีอำนาจของแม่นางกณิการ์ นางก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม ได้แต่กัดปากถลึงตา ใจก็อาฆาตพยาบาทนักรบน้อย
"เลวยิ่ง"
ปลายแส้คมตวัดเฉือนแก้มจนเลือดฉีด วจากุมพร้อมคำรามเจ็บปวด จนป่านนี้ ร่างยักษ์ยังได้แต่เกลือกกลิ้งไปวนเป็นวงทั่วพื้น เพราะแม่นางดุร้ายไม่ยอมเปิดโอกาสให้ตั้งรับ
นางพกพาโทสะร้อนจัดมาจากห้องแม่นางจงอรตั้งมากมาย มีหรือจะแค่ตวัดเพียงแส้เดียวก็ยุติได้ ดังนั้น ทั่วตัวของเขยน่าชังจึงเปื้อนหยาดเลือดชโลมอาภรณ์แลน่ากลัวทีเดียว
"ได้โปรดหยุดก่อนแม่นาง" แม่นางแพรรีบร้องห้ามเสียงละล่ำละลัก สงสารพี่ชายที่ร้องโอดโอยทรมาน
"ชายาแห่งเจ้าฟ้าก็ไม่ได้ทำตัวให้น่ายำเกรงแม้แต่น้อย"
แม่นางกณิการ์เหลียวขวับมาอวดประกายตาทรงอำนาจ สะบัดแส้เสียงดังน่าหวาดเสียว พริบตาปลายแส้ก็พุ่งวาบไปตวัดลำคอบาง แม่นางเพียงรั้งเล็กน้อย เหยื่อก็กระแอมไอหน้าแดงก่ำ รีบร้องขอความปรานีลนลานว่า
"ปล่อยเรา แม่นางปล่อยเรา หายใจไม่ออก แม่นาง"
"เราก็ไม่อยากหายใจอีกแล้วเช่นกัน เจ้าพี่เราถูกกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูสมเกียรติหน่อเนื้อเจ้าฟ้า แต่เจ้าสองพี่น้องกลับลามปามไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้าคงนึกว่าเป็นชายาเจ้าพ่อแล้ว เราจะจัดการใดๆ ต่อเจ้าไม่ได้ เจ้าคิดผิดแล้วแม่นางแพร"
สิ้นวาจากร้าวแกร่ง มือแข็งแรงก็พลันรั้งแส้ลากชายาแห่งเจ้าฟ้าเข้าใกล้แล้วตบฉาดจนหน้าสะบัดเลือดพุ่ง รอจนอีกฝ่ายเหลียวกลับมาก็ตบซ้ำอีกฉาด นึกถึงคำบอกเล่าของสาวใช้ใกล้ชิดแม่นางเจ้าพี่ก็ยิ่งเดือดดาลจนไม่อยากยั้งโทสะ
"พอแล้วแม่นาง" ศมะรีบร้องเตือน "ยังไงแม่นางแพรก็เป็นชายาเจ้าฟ้าจ่าง ยำเกรงเจ้าพ่อสักนิดเถอะ"
"ก็เพราะว่าเรายำเกรงเจ้าพ่อ เราถึงสั่งสอนให้หลาบจำเพียงเท่านี้ จงจำไว้ให้ดี ถ้าเรารู้ภายหลังว่าเจ้าสองพี่น้องรังแกเจ้าพี่เราไม่ว่าจะทางกายหรือใจอีกครั้งละก็ เราจะแสดงอำนาจให้เห็นว่าจุดจบในวันนั้นของเจ้าทั้งสองเป็นยังไง"
ก่อนจากห้องนอนแสนสำราญแต่สกปรกน่าขยะแขยงในสายตา แม่นางกณิการ์ปรี่ไปตวัดปลายเท้าดีดปลายคางวจาเขยน่าชังเต็มเหนี่ยว ผุดยิ้มเกรียมสาแก่ใจที่เห็นเลือดสดพุ่งกระฉูด เสียงโอดโอยโหยหวนก็ไม่ได้กระตุ้นจิตเมตตาให้ตื่นแม้แต่น้อย "พวกเจ้าทั้งหมดกลับออกไป อย่าให้เราได้เห็นหน้าพวกเจ้าเพ่นพ่านในเขตส่วนตัวอีก เจ้า.. " แม่นางชี้จำเพาะ "ลงไปช่วยงานในโรงครัว ส่วนเจ้าไปโรงเลี้ยงสัตว์ เจ้าสองคนไปดูแลโรงเกษตร และเจ้าไปดูแลโรงอาวุธ ไป"
พริบตาเดียวห้องนอนแสนสำราญก็เปล่าเปลี่ยวสาวงาม วจาช่างตีดาบสุดแสนพยาบาทแต่ไม่อาจแพร่งพรายจิตร้อนเร่า ได้แต่ซ่อนแสงตาชั่วไว้อย่างข่มใจ
แม่นางแพรรีบถลันไปช่วยพยุงร่างกลางพื้น หากแต่ผู้พี่กำลังคลั่งกับแค้น จึงพานไม่รับไมตรี ผลักไหล่หยาบคายจนร่างน้อยกระเด็นวืด
เจ้าฟ้าจ่างในวัยทรุดโทรมถอนใจยาว ร่างป่วยไข้ออกมายืนอ่อนล้าหน้าระเบียงโค้ง มองดาวเดือนบนท้องฟ้าที่ไร้แสงจันทร์แล้วก็ถอนใจยาวอีก
"ทำไมถอนใจดั่งทุกข์หนักหน่วงนักหนาเล่าเจ้าพ่อ แค่ป่วยไข้ทั่วไป เจ้าฟ้าจ่างผู้เกรียงไกรไม่ครั่นคร้ามต่อมันหรอก จริงไหมเจ้าข้า"
"อย่ามาปากหวานต่อเราเจ้าฟ้าจ่างเลยแม่นางจอมซน เราไม่หลงกลเจ้าหรอกแม่นาง"
"มีใครมารายงานเรื่องอัปมงคลต่อเจ้าพ่อใช่ไหมเล่า ลูกจะลากคอมันมาสับลิ้นเสียให้หลาบจำ"
"แม่นางเอย ยิ่งเติบโตก็ยิ่งถอดแบบห้าวหาญมาจากเจ้าแม่ยิ่ง เฮ้อ คิดถึงเหลือเกิน"
แม่นางกณิการ์เม้มปากกลืนความสะเทือนใจ นางเองก็ลอบโหยหามารดาเช่นกัน เหล่านักรบที่ตามไปควานหาซากร่างของท่านกลับมามือเปล่าพร้อมกับรายงานความล้มเหลวด้วยหน้าตาเศร้าสร้อย
แต่ก็ยังดีที่หนึ่งในนั้นกลับพบเห็นแหวนแห่งรักของเจ้าฟ้าจ่างเปล่งประกายในพงหญ้า แล้วนำกลับมาคืนสู่เจ้าฟ้า เวลานี้ มันรวมเป็นหนึ่งอยู่ในหัวเข็มขัดแส้คมที่รัดติดเอวแม่นางแทนเครื่องประดับแล้ว
"เจ้าแม่ก็ไม่ได้ไปไหนนี่เจ้าข้า ท่านก็ยังอยู่กับเรา บนดาวอชินีดวงนั้น" แม่นางชี้ขึ้นไปแล้วยิ้มโหยหา
"ถ้าเจ้าแม่ยังอยู่ เจ้าพี่เจ้าก็คงไม่ทุกข์ระทมกับชะตาวิวาห์อัปมงคลเช่นนี้หรอกแม่นาง"
"ลูกก็ยังอยู่" แม่นางกณิการ์กอดเอวอุ่น สบตาอ่อนล้าแน่วนิ่ง แล้วว่า "ลูกจะดูแลเจ้าพี่เอง จะช่วยเจ้าพ่อบริหารทุกกิจในคาม ให้เจ้าพ่อพักผ่อนให้สบาย หายป่วยหายไข้ มีชีวิตยืนยาวเป็นมิ่งขวัญลูกก็พอแล้วเจ้าข้า"
"อีกหน่อยเจ้าก็ต้องมีเหย้าไปกับหน่อเนื้อสูงศักดิ์ไม่คามใดก็คามหนึ่ง เจ้าคง.. "
รำพึงไม่ทันจบก็ส่งเสียงกระแอมไอ หนักหน่วงขึ้นจนถึงขั้นกระอักเลือด แม่นางกณิการ์ซึ้งใจดีว่าเจ้าฟ้าบิดาคงใกล้จะถึงเวลากลับสู่ฟากฟ้าแล้ว
หมอก็ยืนยันแล้วว่าไม่มียาวิเศษใดจะเหนี่ยวรั้งชีวิตของคนได้ ถ้าคนคนนั้นหมดอายุขัย พระครูลาพุชก็ทำนายแล้วว่าอีกไม่นาน คามดารกะจะน้อมส่งเจ้าฟ้าสู่สวรรค์
"พักผ่อนเถอะเจ้าข้า เจ้าพ่ออ่อนเพลียมากแล้ว น้ำค้างตรงนี้ก็เหน็บหนาวยิ่ง ลูกจะพยุงกลับเข้าข้างในนะเจ้าข้า"
"แม่นางกณิการ์ เจ้ารับปากเจ้าพ่อได้ไหมว่าออกเหย้าแล้วจะไม่ทอดทิ้งคามดารกะ"
"ได้เจ้าข้า ถึงเจ้าพ่อจะไม่ร้องขอ ลูกก็ตั้งใจจะปกครองคามต่อจากเจ้าพ่ออยู่แล้ว หน่อเนื้อคามใดก็ช่าง ถ้าต้องการออกเหย้ากับลูก ต้องมาเป็นมิ่งขวัญคามดารกะกับลูก ไม่อย่างนั้นลูกก็จะปกครองด้วยตำแหน่งเจ้าฟ้าโดยลำพัง"
"แม่นาง.. "
"นอนเถอะเจ้าข้า ลูกร้องเพลงเสียงใสยิ่ง ลูกจะขับกล่อมให้เจ้าพ่อหลับเอง"
"โอ้ ไม่ต้องหรอกแม่นาง เจ้าพ่อซาบซึ้งนักแล้ว เจ้าแค่ประคองลงนอนแล้วกลับไปพักผ่อนตามสบายเถอะ"
"แหม หมิ่นความสามารถกันเสียจริง ลูกได้เรื่องทุกอย่างนะเจ้าข้า แค่ว่าเลือดนักรบนักล่าของเจ้าแม่ในตัวลูกมันร้อนแรงกว่าเท่านั้นเอง น่าน้อยใจนัก"
เจ้าฟ้าจ่างผู้อ่อนแอหัวเราะแผ่ว ตาฟางแล้วยังพอแลเห็นวงหน้าผุดผาดปั้นกระเง้ากระงอดไม่จริงจังขณะช่วยห่มผ้า ท่านใจหายนักเมื่อตระหนักว่าอีกไม่นานต้องอำลาทุกภาพที่เห็นโดยไม่มีวันได้กลับมายลให้ชื่นใจอีก หัวอกเจ้าฟ้าบิดาขมขื่นแกมระกำยามนึกว่าขณะที่จากไปนั้น แม่นางผู้พี่ก็กำลังเผชิญชะตาวิบาก แม่นางผู้น้องก็เพิ่งสิบห้าปลายๆ หน่อเนื้อทั้งสองยังเยาว์นัก และจำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ดูแลปกป้อง แต่ทั่วคามดารกะของท่าน หากเว้นแต่ท่านแล้ว 'ก็ไม่มี'
ศมะเลิกคิ้วเมื่อฟังบัญชาเกรี้ยวกราดของแม่นางผู้กล้า ดึกดื่นป่านนี้ แม่นางยังเรียกประชุมคนรับใช้ใกล้ชิดเจ้าฟ้าจ่างกลางโถงอีกหรือ แต่เมื่อแม่นางบัญชาลงมาแล้ว ในฐานะว่าที่นักรบองครักษ์ก็ต้องสนองตอบไม่รอช้า
"จงบอกมาว่าเจ้าคนใดที่บังอาจรายงานเรื่องที่เราเอาเรื่องวจาคนชั่วต่อเจ้าพ่อจนท่านวิตกทุกข์ร้อนกระทั่งอาการป่วยไข้ทรุดหนักลงอีก เร่งสารภาพ อย่าให้เราต้องสั่งทรมานเพื่อเค้นคาย"
"เราเองเจ้าข้า เจ้าฟ้าท่านไต่ถามเพราะเห็นสีหน้าเราแตกตื่นไม่สู้ดี เราไม่กล้าโป้ปดจึงรายงานสิ่งที่เห็นที่รู้เจ้าข้า"
"เหลวไหลยิ่ง เจ้าทำให้เจ้าพ่อวิตกทุกข์ร้อนหนักหน่วงนักหนา ปกติทำงานบนนี้ใช่ไหมเจ้า นับแต่รุ่งสางวันพรุ่งให้ลงไปเพาะหว่านการเกษตร เราไม่คืนบัญชา เจ้าก็ไม่ต้องกลับขึ้นมา ตบปากเจ้าเองให้เราดู ไม่มีเลือดก็อย่าหยุด ลงมือ"
"เจ้าข้า"
"จงฟังคำเราให้ดี ต่อแต่นี้สืบไป ใครบังอาจพล่ามโดยไม่ยั้งคิด หากเราสืบความจนเจอ จะถูกลงโทษสถานหนักยิ่งกว่านางคนนี้ ใครไม่ฟังคำเรา ก็จงรีบโยกย้ายรกรากออกไปให้พ้นเขตคามดารกะ คนที่ฟังเราเท่านั้น เราจึงอนุญาตให้ปักหลักเป็นประชาชนให้เราปกป้องดูแล ได้ยินชัดทุกคนหรือยัง จงบอกออกมาดังๆ อย่างพร้อมเพรียง" พอสิ้นประกาศิตเฉียบด้วยเสียงอันก้องด้วยอำนาจ หมู่คนตรงหน้าก็รีบร้องรับอย่างยำเกรงว่า 'เจ้าข้า'
และนี่คือความห้าวหาญเฉียบขาดของแม่นางกณิการ์ ที่ได้กลายเป็นกิตติศัพท์เล่าลือและลอยไกลไปทั่วทุกคามไกลใกล้ จนแทบไม่มีคามใดอยากส่งหน่อเนื้อมาทาบทามเกี่ยวดอง แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ประชาชนทั่วคามดารกะกลับไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือวิตกกังวลว่าตนต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของแม่นางวัยเยาว์
เหตุเพราะแม่นางนั้น เอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้อย่างทั่วถึง กำราบคนพาลด้วยโทษที่เฉียบขาด และอภิบาลคนดีด้วยการส่งเสริมให้รุ่งเรืองโดยไม่เลือกไม่แบ่งชนชั้นว่าสูงส่งหรือต้อยต่ำ
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ก.ค. 55 14:45:58
|
|
|
|