Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่หนึ่ง;บึงนางพราย Part 1 ติดต่อทีมงาน

Love Like Blood – รักรสเลือด

เรื่องที่ 1

บึงนางพราย Part 1

- 1 -

ในระยะเวลาสิบสามปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย

มันก็คงเป็นธรรมดาของมนุษย์โลกนั่นแหล่ะครับ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เรือชีวิตของเราย่อมเคลื่อนที่ไปข้างหน้าในมหาสมุทรแห่งโชคชะตาและมีเรื่องราวใหม่ๆ เกิดขึ้นแทนที่เรื่องราวเก่าๆ ในความทรงจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

แต่ไม่ว่าจะมีบุคคลใหม่ๆ เข้ามาแทนบุคคลเก่าๆ ในชีวิตและจิตใจ ไม่ว่าผมหรือมีความสุข มีความทุกข์ มีประสบการณ์ต่างๆ มากมายที่จะสอนให้ผมเติบโตขึ้นอย่างไร ผมก็มักสงวนเนื้อที่ในสมองส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นความทรงจำที่เกี่ยวกับเธอคนนั้น

คนที่ผมเจอเธอครั้งแรกตอนอายุสิบขวบ...และอาจจะเจอเธอเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนี้ คืนที่เตียงผู้บาดเจ็บของเราถูกเข็นเข้ามาพร้อมกันในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลชื่อดังประจำเมือง

ทั้งผมและเธอรู้ดีว่าต้องมาอยู่ที่นี่ - ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัสอย่างนี้ก็เพราะผลพวงจากโศกนาฏกรรมที่บึงนางพรายครั้งนั้น

ครั้งที่จุดเริ่มต้นในหายนะของชีวิตพวกเราบังเกิดขึ้น

- 2 -

สมัยอายุสิบขวบ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเด็กประถมอย่างพวกเราก็คือเพื่อน

ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด ราชบุรีไม่มีแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนเมืองกรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวที่ทำสวนฝรั่งอย่างบ้านผม เราไม่ได้ร่ำรวยมากพอที่จะซื้อเครื่องเล่นเพลย์ สเตชั่นราคาเรือนหมื่นหรือของเล่นดิจิตอลราคาแพงๆ เช่นทามาก็อตจิหรือดิจิม่อนซึ่งในเวลานั้นเป็นที่นิยมกันมาก แต่ผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสและครอบครองของเหล่านั้นจากการแบ่งปันของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเพื่อน

กลุ่มของเรามีอยู่ด้วยกันห้าคน ประกอบด้วยชายสาม หญิงสองซึ่งเป็นฝาแฝดนามว่าแตงโมและแตงไทย ส่วนพวกผู้ชายมีนามคล้องจองกันโดยไม่ได้ตั้งใจว่าน้ำ อั้มและอึ่ง พวกเราอยู่ห้อง ป.4/3 จากทั้งหมดหกห้อง ถือได้ว่าเป็นเด็กระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรสำหรับนักเรียนชั้นป.4 ที่มีอยู่ร่วมเกือบสองร้อยคน

แต่เราก็พอใจในชีวิตที่ดำเนินอย่างสนุกสนาน ผมกับอั้มและอึ่งมีความสุขที่ได้ลอกการบ้านของสองสาวฝาแฝดผู้สอบได้ที่หนึ่งและที่สองประจำห้อง /3 มาตั้งแต่ป.1 ดังนั้น พวกเราจึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเรียนทั้งที่พูดตรงๆ เลยก็คือผมกับไอ้สองตัวที่เหลือไม่ค่อยได้สนใจในสิ่งที่ครูสอนสักเท่าไหร่นัก ซึ่งนับเป็นโชคดีที่ทั้งแตงโมและแตงไทยยินดีที่จะให้เราลอกการบ้านตลอดมาด้วยความที่บ้านของเราอยู่ในละแวกเดียวกันชนิดปั่นจักรยานไป – กลับโรงเรียนด้วยกันทุกวัน พวกเรามักช่วยเหลือกันเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กใหม่เข้ามาอยู่ในห้องเรา

“สวัสดีจ้ะ เราชื่อออย ขอฝากตัวกับเพื่อนๆ ด้วยนะ” เธอผู้มีกิฟท์ติดผมรูปผีเสื้อพูดเสียงใส ลักษณะบอกชัดว่าเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว ดวงตากลมโตสดใสกวาดมองไปรอบห้องและสองตาของผมและเธอก็สบกันชั่วแวบหนึ่ง

“เฮ่ย เด็กใหม่ น่ารักว่ะ” อึ่งผู้มีรูปร่างเหมือนอึ่งสมชื่อโน้มตัวมากระซิบข้างหูผมจากโต๊ะด้านหลังขณะเด็กใหม่ที่ถูกพูดถึงแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปทรุดนั่งที่โต๊ะของเธอบริเวณกลางห้อง ออยไม่ได้สนใจมองมาทางผมอีก เธอได้นั่งกับองุ่น เด็กนักเรียนหญิงผู้มีชื่อด้านปากตะไกรเป็นที่หนึ่ง

“น่ารักแล้วไง” อั้มซึ่งเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของผมหันไปกระซิบตอบอย่างเจ้าเล่ห์ “จัดการมะล่ะ?”

อึ่งทำตาเป็นประกาย “เอาดิ”

“งั้นพักกลางวันเป็นไง?”

“เหมาะเหม๋ง”

ผมถอนหายใจ แม้คำว่า ‘จัดการ’ ออกจะฟังดูกำกวมไปสักหน่อย แต่ความหมายของ ‘จัดการ’ สำหรับพวกเราคือการแกล้งให้อีกฝ่ายเกิดความอับอายมากที่สุดต่างหาก และที่ผมถอนหายใจก็เป็นเพราะว่า เมื่อรู้ว่าเด็กใหม่ได้นั่งคู่กับองุ่น อารมณ์อยากแกล้งก็ลดหายลงทันที

ในชั้นเรียนของเรา ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าการต้องนั่งคู่กับองุ่นอีกแล้ว

วันนั้นที่โรงอาหาร ผมนั่งที่โต๊ะประจำของกลุ่มเรา แต่ที่โต๊ะมีเพียงผมกับสองฝาแฝดเท่านั้น อั้มกับอึ่งบอกว่าจะดักรอให้เด็กใหม่ผู้มีนามว่าออยเดินออกจากห้องเรียนมาก่อน แล้วค่อยแอบนำจิ้งจกและตุ๊กแกปลอมไปวางไว้ใต้โต๊ะของเธอ มันเป็นการแกล้งที่หากเล่าให้ใครฟัง คนที่ฟังต้องบอกว่าปัญญาอ่อนชะมัด แต่เชื่อผมเถอะว่าการแกล้งแบบนี้ ได้ผลดีเสมอ

แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ผลกับเธอ

หลังพักกลางวัน พวกเรารีบกลับเข้าห้องเรียนเพื่อรอดูภาพแห่งความประทับใจ ขณะนั้นออยเพิ่งเดินกลับเข้าห้องมาเป็นคนเกือบสุดท้ายตามประสาเด็กใหม่ที่อยากเดินสำรวจโรงเรียนให้ทั่วและยังไม่มีเพื่อน ทุกสายตาของพวกเราจับจ้องไปที่เธอตั้งแต่ก้าวแรกยันก้าวสุดท้ายที่เธอหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้และล้วงมือไปใต้โต๊ะเพื่อหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน

ผมเห็นออยชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมือคลำพบบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ใช่หนังสือ แต่เธอก็ไม่ได้กรีดร้องวี๊ดว๊ายกระตู้วู้อย่างที่เราอยากเห็น ออยเพียงหยิบของสิ่งนั้นออกมาดูและพอเห็นว่าเป็นตุ๊กแกปลอม เธอก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายและยัดเก็บใส่ใต้โต๊ะตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อะไรว้า” อั้มหันมากระซิบกับผม “ผู้หญิงอะไรวะไม่กลัวตุ๊กแก”

“ก็ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนนี่นาที่ต้องกลัวตุ๊กแก” แตงโมซึ่งนั่งคู่กับน้องสาวที่โต๊ะข้างหน้าเราเหลียวมากระซิบ

“มีแต่ผู้หญิงประหลาดอ่ะดิที่ไม่กลัวตุ๊กแกอ่ะ” อึ่งผู้นั่งอยู่โดดเดี่ยวที่โต๊ะด้านหลังกล่าวบ้าง

“หรือเค้าอาจจะย้ายโรงเรียนบ่อยจนเคยชินกับการโดนรับน้องแบบนี้แล้วมั้ง” แตงไทยกล่าวเบาๆ “เห็นว่าพ่อเค้าทำงานเป็นข้าราชการแบบที่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยๆ ด้วยนี่นา”

“เดี๋ยวนะ แต่ที่เราได้ข่าวมาเค้าบอกว่าย้ายมาอยู่กับย่าหรือยายไม่ใช่หรอ ส่วนพ่อเค้าย้ายไปอยู่ใต้ หลังจากที่เลิกกับแม่เค้าน่ะ” ผมพูด พยายามรวบรวมข้อมูลที่กระจายอยู่ในหัวให้เป็นกลุ่มเป็นก้อน แล้วกลุ่มของเราก็ใช้เวลาหลังจากนั้น ถกกันถึงประวัติอันแท้จริงของออยจนได้ข้อสรุปว่า รอหลังเลิกเรียนแล้วค่อยเข้าไปเลียบๆ เคียงๆ ถามเจ้าตัวเลยดีกว่า

ทันทีที่กริ่งเลิกเรียนแผดเสียงดังกึกก้อง นักเรียนทุกคนที่ไม่ใช่เวรทำความสะอาดรีบเก็บหนังสือใส่กระเป๋าและลุกขึ้นเตรียมออกจากห้องเรียน ความมีชีวิตชีวากลับคืนสู่ร่างที่หงอยเหงา พวกเราสะพายเป้เข้ากับไหล่และปล่อยให้ออยเก็บกระเป๋าเดินออกจากห้องไปก่อนจึงค่อยยกขบวนย่องตามไป โดยผม อั้มและอึ่งลงมติให้สองสาวฝาแฝดเป็นทัพหน้าในการทำความรู้จักเพราะเชื่อว่าเด็กผู้หญิงจะผูกมิตรกันได้รวดเร็วกว่าเด็กผู้ชาย ส่วนพวกผมจะมารอตรงลานจอดจักรยานที่เป็นส่วนหนึ่งของลานจอดรถอันมีขนาดเท่าสนามฟุตบอล

แต่กลับปรากฏว่า ออยก็กำลังเดินตรงไปที่ลานจอดจักรยานเหมือนกัน

บัดนี้ทั่วโรงเรียนกำลังพลุกพล่านไปด้วยเด็กตั้งแต่ชั้นป.1 ถึง ป.6 ออยเดินไปโดยไม่มีใครสนใจเธอ เด็กใหม่ก็แบบนี้ กว่าที่จะปรับตัวหรือมีเพื่อนที่จะเดินคุยด้วยหลังเลิกเรียนก็ต้องใช้เวลาหลายวัน จากตอนแรกที่พวกเราย่องตามไป มาตอนหลังก็เป็นการเดินอย่างเปิดเผยเพราะบังเอิญเหลือเกินที่จักรยานของออยจอดอยู่ต่อแถวจากจักรยานของพวกเราพอดี

“เธอ เธอจ้ะ จำเราได้มั้ย เราอยู่ห้องเดียวกันน่ะ จำได้มั้ยเอ่ย?” แตงโมเป็นคนเปิดฉากทักทายเมื่อออยเดินไปหยุดข้างจักรยานจ่ายกับข้าวคันหนึ่ง

แรกทีเดียวออยหันมามองพวกเราหน้าตาเหรอหรา แต่เมื่อตั้งสติได้ เธอก็ยิ้มออกมาก่อนตอบรับว่า

“อ๋อ ที่นั่งอยู่แถวมุมห้องซ้ายมือใช่มั้ยจ้ะ”

ออยกวาดตามองพวกเราทีละคนจนมาถึงผม ผมหลบตาเธอวูบอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าจะหลบตาเธอทำไม

“ใช่จ้ะ เราชื่อแตงโมนะ ส่วนนี่น้องเรา ชื่อแตงไทย”

“จ้ะ พวกเธอเป็นฝาแฝดกันหรอ หน้าตาเหมือนกันเป๊ะเลย” ออยถามเสียงใสหลังจากวางกระเป๋านักเรียนของเธอในตะกร้าใส่ของหน้าจักรยาน กิ๊บติดผมรูปผีเสื้อสะท้อนแสงแดดคล้ายมีชีวิตที่พร้อมโผบินไปกับสายลมได้ตลอดเวลา

“อื้อ ฝาแฝด แต่น้องเราขี้อายน่ะ พูดไม่ค่อยเก่ง” แตงโมพูดพลางยกมือผลักหัวน้องสาว แตงไทยห่อไหล่หัวเราะแหะๆ และส่งยิ้มอย่างเก้อเขินมาให้ออย แตงโมถือโอกาสนั้น หันมาแนะนำพวกเราฝ่ายผู้ชายที่ได้แต่ยืนทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามาครู่ใหญ่

“พวกนี้เป็นเพื่อนเราจ้ะ คนตัวอ้วนๆ นั่นชื่อนายอึ่ง ตัวผอมเป็นโครงว่าวชื่อนายอั้ม ส่วนอีตาคิ้วหนานั่นชื่อน้ำ”

“สวัดดีจ้ะ” ออยทักทายพวกเราอย่างยิ้มแย้ม คราวนี้ผมกล้ามองหน้าเธอตรงๆ แล้ว ผมยิ้มให้เธอ เธอยิ้มให้ผม

และมันทำให้ผมเห็นรอยลักยิ้มข้างแก้มที่ประทับอยู่ในหัวใจของผมมาจนถึงปัจจุบัน  

“ออยจอดจักรยานต่อจากพวกเราพอดีเลย บ้านอยู่แถวนี้หรอ?” อึ่งถามกึ่งชวนคุยกึ่งซักประวัติ

“จ้ะ บ้านคุณย่าออยอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนหรอก” ออยตอบ

“อยู่แถวไหนอ้ะ?” อั้มถามพลางถอยจักรยานของตนเองออกมาจากช่องจอด

และเมื่อออยเอ่ยคำตอบ ทุกคนที่เหลือนอกจากผมก็อุทานออกมาพร้อมกันว่า

“นั่นมันแถวเดียวกับบ้านพวกเราเลยนี่นา!”

“จริงหรอจ้ะ?” ออยเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น

“จริงสิ” แตงโมตอบอย่างกระตือรือร้น “งั้นเราปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยกันดีมั้ย?”

“ดีจ้ะ ดี ดีสุดๆ เลย” ออยผงกศีรษะรับคำอย่างดีใจ

หัวใจของผมพองโตอย่างประหลาด

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 18:30:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com