Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เซ็นซู ภาค จอมอสูรจากหิมาลัย บทที่ 18 ความภักดีกับความถูกต้อง ติดต่อทีมงาน

เซ็นซู บทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=22-09-2011&group=19&gblog=1

บทที่ 17 มารเหมันต์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12421899/W12421899.html

บทที่ 18

ความภักดีกับความถูกต้อง

เสียงล้อเกวียนบดบนพื้นกรวดซึ่งดังตั้งแต่ยังไม่ทันรุ่งสางทำให้โยรินากะซึ่งกำลังเดินตรวจตราความเรียบร้อยภายในปราสาทต้องเดินออกมาดูด้วยความสงสัย ภาพข้ารับใช้ที่กำลังช่วยกันขนสิ่งของกันอย่างรีบเร่งทำให้ที่ปรึกษาเฒ่าขมวดคิ้วและเอ่ยถาม

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”

“ท่านโยรินากะ”คนอยู่ใกล้ที่สุดอุทานพร้อมกับค้อมตัวลง”พวกเรากำลังขนกระสอบข้าวกันอยู่ขอรับ”

โยรินากะมองกระสอบข้าวสารกองสูงท่วมหัวและนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ

“นี่ไม่ใช่เวลาเรียกเก็บข้าวเข้าคลังพวกเจ้าไปเอามาได้ยังไง ใครเป็นคนออกคำสั่งให้ทำแบบนี้”

“ท่านอาซามิขอรับ ที่ออกไปเรียกเก็บนอกเวลาเพราะท่านต้องการส่งข้าวพวกนี้ไปให้เมืองอิวะ” ชายคนเดิมตอบอย่างนอบน้อม โยรินากะถึงกับอุทานออกมา

“ว่าไงนะ” เขากำมือแน่นและหมุนตัวเดินตรงไปยังจวนของฮิโรซะทันที เพียงก้าวเข้าไปในสวนซึ่งอยู่ด้านนอกที่ปรึกษาเฒ่าต้องขบกรามด้วยความโกรธเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรีและเสียงดนตรีดังออกมาจากห้องของผู้เป็นนาย ด้วยความโกรธโยรินากะจึงก้าวพรวดเข้าไปโดยไม่สนใจเสียงทัดทานของข้ารับใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง

“ท่านอาซามิ!” เสียงตะโกนเรียกดังลั่น พวกผู้หญิงพากันเงียบกริบต่างจากฮิโรซะที่ส่งเสียงหัวร่อร่าอย่างเมามาย

“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ที่ปรึกษาเก่าแก่ของข้านี่เอง” เขายื่นถ้วยสุราให้”ดื่มด้วยกันสักหน่อยไหมโยรินากะ”

โยรินากะมองทั้งผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายและเหล้าในมือด้วยสายตารังเกียจ เขากำมือแน่นเพื่อเป็นการข่มความไม่พอใจที่ปะทุขึ้นมา เมื่อระงับสติอารมณ์ได้เขาจึงเอ่ยถาม

“ท่านสั่งให้คนออกไปเรียกเก็บข้าวจากราษฏรอย่างนั้นหรือ”

“ใช่” ฮิโรซะตอบพร้อมกับดึงหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามากอด”มันเป็นความต้องการของซาวาระ”

“ความต้องการของซาวาระ” โยรินากะทวนประโยคเสียงห้วน”ทางอิวะเองก็มีผลผลิตที่ดีไม่แพ้คาสึรางิ เหตุใดจึงต้องขอข้าวจากที่นี่ไปด้วย”

“อิวะกำลังทำศึกกับโคะโตโระเสบียงอาหารย่อมเป็นสิ่งสำคัญ การส่งข้าวไปให้แค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก อย่าลืมสิว่าซาวาระช่วยทำสงครามให้กับเรา”

ฮิโรซะตอบเสียงอ้อแอ้และหันไปร้องเพลงกับนางต้องห้ามอย่างสนุกสนานเหมือนไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่พูดเท่าใดนัก การกระทำของเขาทำให้โยรินากะยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ

“แต่ข้ากลับคิดว่าซาวาระทำสงครามเพื่อตัวเอง เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหลังจากทำลาย
โคะโตโระแล้วใครจะเป็นเป้าหมายต่อไปของอิวะ”

“ข้าเองก็ไม่ได้ถาม บางทีอาจจะเป็นทาคุฮัน” ฮิโรซะตอบขณะยื่นถ้วยสุราไปให้ข้ารับใช้แต่โยรินากะกลับดึงมันจากมือและยื่นไปตรงหน้าผู้เป็นนาย

“แต่ข้ากลับคิดว่ามันอาจจะเป็นแคว้นของเรา ท่านไม่ฉุกใจบ้างเลยหรือว่าทำไมซาวาระจึงขอดึงกำลังทหารของเรา หนำซ้ำตอนนี้ยังขนทั้งข้าวสารและเสบียงต่างๆออกไปอีก นี่ไม่ใช่ความร่วมมือแต่เป็นการตัดกำลัง คาสึรางิอ่อนแอลงเมื่อใดเขาคงยกกองทัพมาถล่มง่ายยิ่งกว่าแย่งถ้วยเหล้าออกจากมือของท่านเสียอีก”

คำพูดของที่ปรึกษาเฒ่าทำให้ฮิโรซะแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เขากระชากถ้วยจากมือของโยรินากะ

“มันจะมากไปแล้วนะโยรินากะ ซาวาระเป็นมิตรเขาไม่มีวันทำลายข้าแน่”

“ข้าไม่เคยเห็นมิตรที่ขนข้าวสารออกจากบ้านสหายเหมือนโจรปล้น ท่านออกไปดูหรือยังว่าเราต้องเสียข้าวไปเป็นจำนวนเท่าไหร่ ขืนทำแบบนี้ต่อไปประชาชนจะเอาอะไรกิน พวกเขามิต้องอดตายกันหมดหรือ”

“พวกมันเป็นชาวนามีหน้าที่ต้องส่งของพวกนี้ให้กับข้าอยู่แล้ว อีกอย่างถ้าข้าวหมดก็ปลูกขึ้นมาใหม่ ไม่กี่อึดใจก็มีกิน”

คำพูดของฮิโรซะทำให้โยรินากะโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาก้าวเข้าไปหาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง

“ท่าน”

“พอได้แล้ว!” ผู้เป็นนายตวาดและลุกพรวดขึ้น”ที่ผ่านมาข้าไม่เคยถือโทษเพราะคิดว่าเจ้าเป็นที่ปรึกษาผู้ภักดี แต่การกระทำเมื่อครู่ถือเป็นการลบหลู่ข้าซึ่งเป็นเจ้าครองแคว้นจนยากเกินจะอภัย”

เขาร้องเรียกทหารและออกคำสั่ง

“พาโยรินากะไปให้พ้นหน้าข้า” เขาจ้องหน้าที่ปรึกษาเฒ่าเขม็ง”ห้ามเจ้ามาที่จวนนี้อีกต่อไป”

โยรินากะถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อเห็นฮิโรซะนั่งลงคลอเคลียกับสตรีเหมือนไม่สนใจในตัวเขาอีกต่อไปแล้วที่ปรึกษาเฒ่าจึงจำต้องยอมให้ทหารกุมตัวออกจากจวน เมี่อถึงประตูด้านหน้าทหารผู้นั้นจึงก้มศีรษะลงพร้อมกับพูดอย่างนอบน้อม

“ข้าส่งท่านได้แค่นี้ ขออภัยที่หยาบคายต่อท่าน”

“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของเจ้า ข้าไม่ถือสาหรอก”

โยรินากะตอบและทำท่าจะเดินออกไปจากที่นั่นแต่ต้องหยุดเมื่อทหารผู้นั้นเรียก

“ท่านโยรินากะ” เขานิ่งไปเล็กน้อยคล้ายลังเลว่าสมควรจะพูดต่อดีหรือไม่ “ตอนนี้คาสึรางิไม่เหมือนเมื่อก่อน เพื่อความปลอดภัยท่านควรหลบไปอยู่ที่อื่น”

“จะให้ข้าหลบไปไหน หากคาสึรางิอยู่ไม่ได้ แผ่นดินใดก็ไม่เป็นสุขเช่นเดียวกัน”    

ที่ปรึกษาเฒ่าพูดเสียงหนักและเดินจากไปในทันที ทหารผู้นั้นมองตามด้วยความแปลกใจเพราะในตอนแรกนั้นเขาคิดว่าโยรินากะคงจะเสียใจกับการถูกขับไล่ แต่ดวงตาและน้ำเสียงเมื่อครู่กลับแสดงให้เห็นว่าเขามิได้มีความรู้สึกเช่นนั้นเลยสักนิด ตรงกันข้ามมันกลับแสดงออกถึงความมุ่งมั่นบางอย่างแต่เขาก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่าเป็นสิ่งใด

“ท่านกำลังมีแผนการอะไรก็ช่าง ขอเพียงอย่าให้คาสึรางิลุกเป็นไฟเท่านั้นก็พอ”

นายทหารผู้ภักดีพึมพำขณะมองร่างโยรินากะที่กำลังเดินลับไปจากสายตา

หลังจากถูกฮิโรซะขับไล่ออกจากจวนแล้วโยรินากะจึงกลับไปยังที่พักและสั่งให้ข้ารับใช้จัดเตรียมม้าสำหรับการเดินทางส่วนตัวเขาเองรีบเดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบสิ่งสำคัญที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยที่ปรึกษาเฒ่าจึงควบม้าออกจากเมืองมุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาซึ่งอยู่ห่างออกไป การเดินทางผ่านไปราวครึ่งวันเขาจึงถึงจุดหมาย โยรินากะมองบ้านที่ถูกสร้างอยู่ท่ามกลางป่าทึบอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงลงจากหลังม้าและก้าวเข้าไปด้านในจึงพบว่าผู้ที่เขาต้องการพบกำลังยืนรออยู่เช่นเดียวกัน

“ท่านซาคายูกิ”

โยรินากะค้อมตัวลงเพื่อทำความเคารพแต่อีกฝ่ายกลับยกมือเป็นเชิงห้ามก่อนจะผายไปด้านข้างพร้อมกับกล่าว

“ท่านเดินทางมาไกล เชิญนั่งพักดื่มน้ำชาให้หายเหน็ดเหนื่อยก่อนเถิด”  

“แต่ข้ามีเรื่องสำคัญ” ที่ปรึกษาแห่งคาสึรางิพูด ซาคายูกิกลับกล่าว

“น้ำชาที่ดีต้องดื่มตอนกำลังร้อน หากมัวแต่ชักช้าสิ่งที่ท่านลิ้มรสก็จะเป็นเพียงน้ำกลิ่นใบไม้เท่านั้น”

กล่าวจบชายหนุ่มจึงก้าวนำไปยังด้านใน โยรินากะจึงระบายลมหายใจออกมาและรีบเดินตาม เมื่อเห็นผู้มาเยือนพักดื่มน้ำชาจนคลายความเมื่อยล้าลงแล้วซาคายูกิจึงเอ่ยถาม

“ท่านรีบร้อนมาที่นี่ มีธุระเร่งด่วนอะไรหรือ”

ที่ปรึกษาประจำตระกูลอาซามิวางถ้วยชาลงและก้มศีรษะเล็กน้อย

“ต้องขออภัยที่มารบกวนท่าน แต่ตอนนี้แคว้นของเรากำลังเข้าสู่ความคับขัน ข้าคิดว่าหากขืนนิ่งเฉยอีกต่อไปไม่ช้าคาสึรางิก็จะต้องตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอิวะ”

“ท่านฮิโรซะคงไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่”

ซาคายูกิกล่าวแต่โยรินากะกลับพ่นลมหายใจออกมา

“ตรงกันข้าม เขาไม่สนใจอะไรเลยสักนิด หนำซ้ำยังส่งทั้งกำลังพลและเสบียงเกือบทั้งหมดไปให้อิวะด้วยซ้ำ”

“ข้าได้ยินมาว่าอิวะช่วยเราทำสงคราม”

ซาคายูกิกล่าวเสียงเรียบ ที่ปรึกษาเฒ่าสั่นศีรษะ

“ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น โคะโตโระเป็นแค่เมืองเล็กๆลำพังทหารของอิวะก็สามารถถล่มได้ราบแล้ว จุดประสงค์ที่ซาวาระขอทหารของเราไปก็เพื่อเป็นการตัดกำลังและส่วนเรื่องข้าวกับเสบียงนั่นเป็นแผนการให้ชาวคาสึรางิอดตาย”

“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยหรือ”

ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงตระหนก โยรินากะพยักหน้า

“ขอรับ”

ซาคายูกิยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับถอนใจ

“คิดไม่ถึงว่าฮิโรซะจะเบาปัญญาเช่นนี้”

“ข้าจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อขอให้ท่านช่วย” โยรินากะรีบพูดพร้อมกับค้อมตัวลงจนศีรษะจรดพื้น”ได้โปรดเถิดขอรับท่านซาคายูกิ ตอนนี้คาสึรางิมีเพียงท่านเท่านั้น”

“แต่ข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคงไม่อาจช่วยอะไรได้”

ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบ ที่ปรึกษาเฒ่าจึงเงยหน้าขึ้น

“ท่านเป็นบุตรชายของตระกูลอาซามิ ย่อมมีสิทธิ์ในตำแหน่งทุกอย่างเช่นเดียวกัน หากสิ้นท่านฮิโรซะ ท่านก็คือผู้ครองแคว้นคาสึรางิ”

สีหน้านิ่งขรึมของซาคายูกิแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความรู้สึกลำบากใจ เพราะแม้จะเป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลอาซามิแต่เขาไม่เคยสนใจเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์เลยแม้แต่น้อย  

“ท่านควรจะกลับไปอธิบายแผนการของอิวะให้ฮิโรซะเข้าใจ”

“หากเขาเป็นคนมีความคิดข้าก็คงไม่มารบกวนท่าน” โยรินากะตอบ”ใช่ว่าจะไร้ความภักดี แต่หากนิ่งเฉยยอมให้ท่านฮิโรซะทำเช่นนี้ต่อไปแผ่นดินก็จะไม่สงบผู้เดือดร้อนที่สุดก็จะเป็นราษฎร”

เขาก้มศีรษะลงอีกครั้ง

“ข้ารู้ดีว่าท่านเกลียดชังการฆ่าฟัน แต่การสังหารฮิโรซะในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ได้โปรดยอมรับในสิ่งที่ท่านควรเป็นเถิดขอรับ”

 “แต่ข้า...” ซาคายูกิเตรียมปฏิเสธแต่ต้องชะงักคำพูดค้างเมื่อที่ปรึกษาเฒ่าค้อมตัวลงจนศีรษะกระทบพื้น

“ขอร้องล่ะขอรับท่านซาคายูกิ”

ทายาทคนสุดท้ายของอาซามิถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขามองชายชราผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของเหล่าเสนาบดีที่กำลังนั่งก้มหน้าแนบพื้นอย่างอึดอัดใจ ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองออกไปด้านนอกและจ้องทิวไม้ที่กำลังโยกไหวตามลมพลางหวนนึกถึงบิดา เมื่อครั้งที่เคียวคุเซ็นยังมีชีวิตแผ่นดินคาสึรางิมีแต่ความสงบสุข แม้ในระยะหลังบิดาของเขาจะเริ่มก่อสงคราม แต่ก็ไม่เคยทำให้ประชาชนคนใดเดือดร้อนต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เมื่อใคร่ครวญถึงการกระทำของฮิโรซะแล้วซาคายูกิจึงถอนใจและหันหน้ากลับมายังโยรินากะอีกครั้งพร้อมกับผงกศีรษะ

“หากมันทำให้บ้านเมืองสงบลงได้ข้าก็ตกลง เพียงแต่เจ้าต้องรับปากข้อหนึ่งว่าจะหลีกเลี่ยงการสังหารชาวคาสึรางิด้วยกัน รวมทั้งฮิโรซะพี่ชายของข้าด้วย”

ที่ปรึกษาเฒ่ายิ้มกว้างด้วยความดีใจ เขาค้อมตัวให้กับซาคายูกิด้วยความรู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุดพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณและเลื่อนของที่นำติดตัวไปไว้ตรงหน้าชายหนุ่ม

“ท่านเคียวคุเซ็นสั่งข้าไว้ว่า หากวันใดท่านยอมรับตำแหน่งเจ้าครองแคว้น ให้มอบของสิ่งนี้ไว้เป็นของประจำกาย”

แม้จะยังไม่ได้เปิดดูแต่จากรูปร่างลักษณะของกล่องทำให้ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออะไร แม้จะไม่เต็มใจนักแต่เขาก็ยังยอมเปิดมันและหยิบดาบสีดำน่าเกรงขามออกมา มือเลื่อนไปแตะตราประจำตระกูลที่ถูกสลักไว้บนด้ามในขณะที่โยรินากะพูดขึ้น

“มันเป็นดาบประจำตระกูลอาซามิ มีเพียงเจ้าครองแคว้นคาสึรางิเท่านั้นที่ได้ครอบครอง ดูเหมือนท่านเคียวคุเซ็นจะคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านฮิโรซะไม่มีความสามารถจึงมอบดาบนี่ไว้กับข้าและกำชับให้นำมามอบกับท่านเมื่อถึงเวลา”

ซาคายูกิดึงดาบออกจากฝักและจ้องคมดาบสะท้อนแสงวาววับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเก็บกลับเข้าไปดังเดิม

“ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่มีวันยอมให้ดาบนี้ดื่มเลือดคนในตระกูลอาซามิด้วยกันเป็นอันขาด” เขาวางดาบลงบนพื้นและมองหน้าโยรินากะ”จะยึดตำแหน่งจากฮิโรซะไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะรอบตัวเขามีทหารคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก เราต้องมีกำลังพลและต้องเป็นนักรบมีฝีมือ”

“สำหรับเรื่องนี้ท่านไม่ต้องกังวล”ที่ปรึกษาเฒ่าพูดพร้อมกับปรบมือ บุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนระเบียงหน้าห้องและนั่งลงค้อมตัวให้กับซาคายูกิอย่างนอบน้อม

“ท่านผู้นี้คือ”

“ผู้นำกลุ่มทามาซูกูริ เขาเป็นคนของท่านแม่ทัพซะวะมิและเป็นนักรบ”

โยรินากะตอบ ซาคายูกิผงกศีรษะ

“นอกจากกำลังคนแล้วสิ่งสำคัญอีกอย่างคือแผนการ จะบุกปราสาทฮิโรซะไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องผ่านด่านซึ่งมีทหารเฝ้าระวังอย่างเข้มแข็ง ข้าเชื่อว่าพวกท่านสามารถตีฝ่าเข้าไปได้อย่างสบายแต่ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ยากให้ใครเสียเลือดเนื้อ”

เขามองที่ปรึกษาเฒ่า

“มีเส้นทางที่พอจะใช้หลีกเลี่ยงได้ไหม”

“อันที่จริงทหารรักษาการณ์ในตอนนี้มีจำนวนน้อยมาก ถ้าเราคิดจะบุกเข้าไปก็ทำได้โดยง่าย แต่ถ้าท่านต้องการรักษาชีวิตทุกคนเอาไว้ข้าก็พอจะมีแผนการ” โยรินากะดึงกระดาษแผ่นออกจากอกเสื้อมากางลงตรงหน้า “ด้านหน้าปราสาทมีทั้งป้อมและทหารอยู่อย่างหนาแน่น จะต้องมีการสูญเสียเป็นจำนวนมากหากบุกเข้าไปโดยตรง”

มือเลื่อนไปบนแผนที่

“แต่ทางด้านนี้มีการป้องกันน้อยกว่าถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะมีทหารราวสามสิบคน ผ่านประตูนี้เข้าไปได้ก็จะเป็นจวนของท่านฮิโรซะ”

ซาคายูกิมองตามและพยักหน้าพร้อมกับถาม

“พอจะหาทางลดจำนวนทหารลงบ้างได้ไหม”

“ได้ขอรับ ข้าจะสั่งให้พวกเขาออกไปทำหน้าที่ด้านอื่น แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็คงเหลือจำนวนไม่มากนัก อาจจะราวสิบหรือสิบห้าคน”

“ดี” ซาคายูกิพูดอย่างพอใจ “เราจะบุกให้เงียบและเร็วที่สุดเพื่อฮิโรซะจะได้ไม่ทันรู้ตัว”

“มีเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องแจ้งให้ท่านทราบ” หัวหน้ากลุ่มทามาซูกูริพูดแทรกขึ้น”ระหว่างทางที่มานี่ท่านโยรินากะถูกลอบติดตาม แม้ข้าจะสังหารพวกมันไปแล้วแต่อีกไม่นานเรื่องนี้คงถึงหู
ซาวาระ”

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ต้องรีบลงมือ” ซาคายูกิกล่าวพลางวางมือลงบนแผนผัง”เราจะบุกปราสาทอาซามิในอีกสามวัน”

ทั้งโยรินากะและหัวหน้ากลุ่มทามาซูกูริต่างค้อมตัวลงรับคำสั่ง จากนั้นทั้งสามจึงหารือเรื่องรายละเอียดแผนการและการวางตำแหน่งกำลังคน เมื่อเป็นที่เข้าใจกันดีแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันออกไป ทางด้านที่ปรึกษาเฒ่าหลังจากร่ำลาซาคายูกิแล้วจึงควบม้ากลับเข้าเมืองโดยไม่รู้ตัวว่าเขากำลังถูกดวงตากระหายเลือดหลายคู่เฝ้ามอง

“เจ้านั่นจะหักหลังซาวาระ” เสียงปิศาจตนหนึ่งพูดขึ้น ปิศาจอีกตัวแยกเขี้ยว

“งั้นก็กำจัดมันซะ”

“เราน่าจะรายงานเรื่องนี้ให้ซาวาระรู้ก่อน” ปิศาจตัวแรกแย้งแต่ปิศาจตัวที่สองกลับส่ายหน้า

“ไม่จำเป็น จัดการมันซะตั้งแต่ตอนนี้เลย”

ทั้งหมดพุ่งตัวลงไปหาโยรินากะพร้อมกัน แต่เพียงไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นพวกมันก็ถูกพายุใบไม้หมุนเข้ามาขวาง ปิศาจทั้งสามคำรามด้วยความโกรธ

“ใครกันที่กล้ามาขวางทางพวกข้า”

กรงเล็บตวัดผ่านกลุ่มใบไม้เหล่านั้นหมายจะปัดมันไปให้พ้นทางแต่สิ่งที่ขาดกระจุยกลับเป็นมือของมันเอง ปิศาจโชคร้ายมองเลือดสีดำข้นคลั่กที่ไหลทะลักออกมาจากท่อนแขนขาดด้วนด้วยดวงตาเหลือกลาน พวกที่เหลือต่างพากันถอยหลังและสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยือกดังมาจากป่ารอบตัว

“แกเป็นใคร ปรากฏตัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

ปิศาจอีกตัวตะโกนก้องและอ้าปากค้างอยู่เช่นนั้นเมื่อถูกหางสีขาดสลับดำพุ่งออกมารัดเอาไว้

“ไม่เคยมีใครบอกเจ้าหรือว่าการพูดจาไม่ระวังอาจทำให้ตายได้”

เสียงหวานของอิสตรีเอ่ยถาม ใบไม้ที่ตกเกลื่อนบนพื้นดินถูกสายลมหอบขึ้นมาและหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแตกสลายลงเผยให้เห็นเจ้าของเสียงในอาภรณ์สีขาวสะอาดงดงาม ปิศาจทั้งสามเบิกตากว้างด้วยความตระหนก

“เบียคโกะ”

“ดีใจจริงที่ปิศาจอย่างพวกเจ้ารู้จักข้า” มารเสือขาวพูดพลางมองไปยังปิศาจวัว ความอำมหิตที่แฝงอยู่ภายในดวงตาคู่งามสร้างความหวาดหวั่นจนอีกฝ่ายถึงกับทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้นอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

“ท่านมาขวางพวกเราทำไม”

หนึ่งในสามทำใจกล้าเอ่ยถาม เบียคโกะเลื่อนสายตาไปหามันพร้อมกับเลิกคิ้ว

“ข้าขวางอะไรพวกเจ้า”

“เมื่อครู่พวกข้ากำลังจะสังหารโยรินากะแต่ถูกใบไม้พวกนั้นมาขัดขวาง ถ้าไม่ได้เกิดจากฝีมือของท่านแล้วจะเป็นการกระทำของใคร”

“พวกเจ้าหมายถึงชายแก่คนนั้นหรือ” มารเสือขาวกล่าวและเหยียดยิ้ม “ถูกต้องข้าเป็นคนช่วยเขาเอง”

“ทำไม”

ปิศาจอีกตัวกระชากเสียงถามและหน้าถอดสีเมื่อเห็นดวงตาสีอำพันทอแสงวาววับ แต่เบียคโกะกลับไม่ลงมือทำอะไร นางไล้หางของตัวเองเล่นขณะตอบ

“มันเป็นความพอใจของข้า”

“แต่โยรินากะกำลังหักหลังซาวาระ ข้าต้องกำจัดเขาตามคำสั่ง”

“นั่นมันเป็นเรื่องของพวกเจ้า” มารเสือขาวพูดอย่างไม่สนใจ ปิศาจตัวหนึ่งจึงขยับไปข้างหน้าพร้อมกับถามเสียงดัง

“ท่านคิดจะขัดคำสั่งของท่านจ้าวอสูร”

หางอีกเส้นพุ่งไปรัดลำคอปิศาจปากกล้า

“สามหาวนัก รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” วงหางรัดแน่นขึ้นจนปิศาจตนนั้นต้องอ้าปากเพื่อสูดลมหายใจอย่างทรมาน

”ความสนุกที่ได้เห็นมนุษย์เข่นฆ่ากันทำให้ข้าไม่อาจทนดูโยรินากะถูกพวกเจ้าสังหารได้ และไม่ว่าซาวาระกับจ้าวอสูรของพวกเจ้าจะมีแผนอะไร หากมาขัดขวางความสำราญของข้าก็จะถูกกำจัดเช่นเดียวกัน”

ลำคอของปิศาจทั้งสองถูกรัดจนขาดออกจากกัน ร่างของพวกมันล้มลงจมกองเลือดท่ามกลางความตระหนกของปิศาจที่เหลือ มันขยับตัวเตรียมจะหนีแต่ต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อถูกกระแสลมรุนแรงล้อมเอาไว้ ใบไม้แห้งสีน้ำตาลที่กองสุมบนพื้นดินเริ่มลอยตัวขึ้นและหมุนวนอย่างรวดเร็วราวกงจักรตัดร่างปิศาจจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี เบียคโกะมองเศษซากที่กลาดเกลื่อนเต็มพื้นอย่างพอใจ รอยยิ้มน่าขนลุกผุดขึ้นบนใบหน้างาม

“ใบไม้ยามใช้คู่กับลมมีพลังทำลายรุนแรงอย่างนี้เอง มิน่าเล่าเจ้านักนาฏกรรมนั่นจึงชอบใช้วิธีนี้นัก”

มารเสือขาวกล่าวพลางกวัดแกว่งหางทั้งเก้าอย่างร่าเริงแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นเพราะเมื่อนางหันไปยังทิศทางที่ตั้งปราสาทอาซามิ ใบหน้าเปื้อนยิ้มก็คลายลง ดวงตาสีเหลืองสะท้อนแสงตะวันเป็นประกายโชติช่วงราวกับเปลวเพลิง

  “โยรินากะ เท็นโน ที่ช่วยเจ้าเพราะข้าต้องการจะเห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่า” นางหรี่ตาลง “หวังว่ากลิ่นเลือดของมนุษย์จะคุ้มกับความเหนื่อยของข้าในครั้งนี้”

สายลมอบอุ่นหอบใบไม้กองใหญ่หมุนวนโอบล้อมรอบตัวเบียคโกะพานางลอยสูงขึ้นไปในอากาศจนกระทั่งอยู่เหนือยอดไม้จึงหยุด จากนั้นใบไม้ทั้งหมดก็ร่วงพรูลงสู่พื้นเช่นเดียวกับมารเสือขาวที่หายวับไป เหลือไว้แต่เพียงกระแสลมอ่อนที่พัดผ่านยอดสนให้โอนเอนไปมา

*/*/*/*/*

เซ็นซูภาคนี้จะมีตัวละครมากกว่าภาคแรก เพราะมีเรื่องราวของสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มูนนี่พยายามเพิ่มตัวละครให้น้อยที่สุดแต่ก็ยังมากอยู่ดี จะตัดออกก็ไม่ได้เพราะถึงจะมีบทน้อยแต่ก็สำคัญ อาจจะจำยากไปนิดนะคะ

มายืนยันว่า ยังคงชอบเบียคโกะ ไม่เปลี่ยนแปลง^^
ถึงร้ายก็ชอบ
ส่วนไพรา ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ขึ้นแท่นแล้ว
จากคุณ : Psycho man  
- เบียคโกะเป็นตัวละครที่มีสีสันจริงๆ มูนนี่ก็ชอบมากนะคะ แต่กลับวาดเธอไม่ได้เสียที

ปิดท้ายด้วยรูปสวยๆของฮารุคาเสะค่ะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 08:42:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com