Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จอมนางลิขิตสวรรค์ - 3 เภทภัยยุทธภพ ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12435779/W12435779.html
ตอนที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12445023/W12445023.html

อ่านเรื่องต่อ : http://writer.dek-d.com/writer/story/view.php?id=547631

                                  *************

           อึด อัดเหลือเกิน...ดั่งไร้เรี่ยวแรง พลังทั้งมวลถูกขับออกมาเพียงเพื่อจะเปิดเปลือกตา แพขนตาสีดำสั่นระริก เจ้าของร่างกลั้นใจลืมตาโพลง สมองมึนงงไม่อาจจับความได้นั้น รับรู้เพียงเบื้องหน้าคือเพดานสีอ่อนไม่สูงนัก

          แม้ริมฝีปากอยาก เอ่ยถาม หากค้างเกร็งไม่อาจเขยื้อน ร่างเล็กคล้ายยินเสียงแว่วกระทบโสตดั่งมีผู้หนึ่งพูดอยู่ใกล้ๆ ทว่าไม่อาจเอียงคอมอง บัดนั้นริมฝีปากอิ่มก็ถูกแง้มด้วยก้อนกลมๆใส่ในปากให้รสขมแปลกประหลาด ก่อนถูกพยุงให้นั่งพิง แล้วกระแสพลังเย็นสายหนึ่งก็กระแทกจากแผ่นหลังสู่ใจกลางกาย เสวี่ยเหยาสิ้นแรงสุดท้ายสติสัมปชัญญะจึงดับวูบ

           ไม่ ทราบจันทราโผล่พ้นขอบเส้นสีดำเป็นคราที่เท่าไร นิ้วเรียวผุดผ่องจึงขยับกำมือได้ เนตรโตเปิดกว้างกระพริบปริบ มือยกขึ้นจับหน้าผากราวใคร่ครวญ มืออีกข้างค่อยดันตัวขึ้นพิงหลังหัวเตียง เมื่อการรับรู้แจ่มชัดจึงหันมองสิ่งรอบกาย

           ที่แท้นางอยู่ใน ห้องนอนอันเรียกได้ว่างดงามแห่งหนึ่ง เตียงไม้เงาวับมีผ้าบางสีฟ้าอ่อนตวัดคลุมอยู่เหนือขึ้นไป กลางห้องมีโต๊ะไม้สลักลวดลายอ่อนช้อย บนนั้นพบขลุ่ยไผ่ขาวของนางวางอยู่ พอเคลื่อนสายตาไปยังริมห้อง ก็พบตู้ไม้สีน้ำตาลเข้ม

           ปลาย เท้าเล็กห้อยลงสวมรองเท้าที่วางอยู่ เสวี่ยเหยายืดกายขึ้น ทันใดก็เกิดอาการชารั้งที่เท้าทั้งสอง นางลนลานจับขอบเตียงพยุงกายครู่หนึ่ง ถึงค่อยมีเรี่ยวแรงก้าวเดินอย่างละน้อย ค่อยฉุกคิดก้มมองบนร่างตน เห็นเสื้อตัวนอกถูกปลดออกเหลือเพียงเสื้อสีขาวด้านในก็สีหน้าซีดเผือด ทว่าเมื่อจับดูยังสัมผัสได้ถึงเสื้อหนาหลายชั้นที่ใส่ทับไว้เกินปกติเพื่อปก ปิดรูปร่าง
ไม่ ทราบว่าสวรรค์เป็นใจหรือไรที่นางไม่ได้มีอกอวบอิ่มเกินพอดี เพียงห่มกายด้วยเสื้อผ้าหนากว่าปกติหลายชั้นหน่อย ก็พออำพรางความเป็นสตรีเพศได้

           มิทราบที่นี่คือที่ใดกัน

           หลัง เปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ร่างน้อยจึงออกเดินสำรวจหน้าห้องเห็นเป็นทางเดินยาว เรียงรายด้วยห้องหับหลายสิบด้วยกัน เสวี่ยเหยาเดินดูไปก็พบกับบ่าวรับใช้สองนาง เมื่อบ่าวนั้นเห็นอาคันตุกะหายดีลุกเดินเหินได้เป็นปกติ จึงได้เชิญไปพบเจ้าของคฤหาสน์หลังโตนี้

           เดิน ผ่านลานกว้างจากห้องพักไปไกลทีเดียวกว่าจะเห็นประตูใหญ่ที่เปิดอ้า ภายในมีโต๊ะเก้าอี้เรียงรายเฉกสำนักดาบมรกตที่นางไปเยือน ผู้อาวุโสวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนคอยอยู่ด้านในแล้ว เมื่อนางก้าวเท้าเข้าไป เขาก็ประสานมือคำนับทักทาย

           “ต้องขอขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ หากมิได้ท่าน ประมุขแห่งหมู่ตึกเจ็ดดาราคงถูกพิษและถูกมารพิษบุปผาจับตัวได้เป็นแน่”

           ใบหน้าเล็กขยับขึ้นลงเบาๆ

          “ที่นี่คือหมู่ตึกเจ็ดดาราหรือนี่”

           “ถูกต้อง ผู้คุ้มกันทั้งสามติดตามไปช่วยประมุขของเราและท่านพากลับมารักษาที่หมู่ตึก”

           “ข้าสลบไปกี่วันแล้ว”

           “ท่านหลับไปถึงสองวัน”พ่อบ้านของหมู่ตึกบอก
           นางทำสีหน้าคิดหนัก

           สองวัน สองวันแล้ว ซือฝุและพี่อี้หลินอยู่ที่ใดกันแล้ว ทราบหรือไม่ว่านางถูกพามาที่นี่

           เสวี่ยเหยาไม่ทันเสียเวลาตรึกตรองนาน ร่างโปร่งของบุรุษหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลาหมดจดก็ปรากฏกาย  พ่อบ้านโค้งคำนับแล้วเบือนหน้ามาทางนาง

           “นี่คือคุณชายอู๋หย่งเจี้ยน ประมุขหมู่ตึกเจ็ดดารา”

           “คารวะประมุขอู๋”มือขาวผ่องประสานคารวะก้มศีรษะเพียงนิด ด้วยเห็นเจ้าบ้านเป็นเพียงบุรุษอายุต่างจากนางไม่กี่ขวบปี

             ไม่คาดอู๋หย่งเจี้ยนจะคารวะนางตอบ เป็นครั้งแรกที่เสวี่ยเหยาได้รับการนบนอบ

           “ขอบคุณคุณชายที่ยื่นมือช่วยเหลือ จนต้องเดือดร้อนไปด้วย”

           “หาได้ไม่ ข้ายึดหนทางแห่งวิญญูชนมินิยมการลอบกัด นอกจากนี้ข้ายังได้โอกาสงามรู้จักประมุขแห่งหมู่ตึกเจ็ดดารา ถือว่ามิเสียทีแล้ว”

           เส วี่ยเหยาพยายามเลียนแบบการพูดของเหวินอี้หลินและจางป๋ายอี้เต็มสามารถ นี่คือคราแรกที่ได้พบปะผู้คนโดยลำพัง นางจึงต้องเค้นสมองคิดหาคำพูดอันกลมเกลือน จนปวดเศียรเวียนเกล้า

           อู๋หย่งเจี้ยนผายมือเชิญอีกฝ่ายนั่ง

           “มิทราบคุณชายมีนามใด”

           “ข้าชื่อ...”นางหลับตาเพียงชั่วแวบ ในเวลาฉุกละหุกเช่นนี้นางจะใช้นามใดได้

           “เสวี่ย”

           อู๋หย่งเจี้ยนมองร่างเล็กซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องขาวละเอียดดุจหิมะ ดวงหน้าหาได้หล่อเหลาคมคาย กลับดูเอนเอียงไปทางอ่อนหวานเล็กน้อย

           “จริงสิ เหตุใดเหล่าสตรีชุดแดงนั่นถึงจ้องทำร้ายท่าน”เสวี่ยเหยาซึ่งบัดนี้ใช้นามว่า ‘เสวี่ย’ เอ่ยถาม

           “หึ พวกมันคือศิษย์พรรคมารพิษบุปผา นางมารต้องการฝึก ‘พลังปราณพิษ’ อันเป็นวิชาพิษร้ายกาจ ซึ่งต้องอาศัย‘พลังปราณของดาราเคลื่อนคล้อย’ ยอดวิชาของหมู่ตึกเจ็ดดาราเพื่อกลั่นสกัดพิษในกาย”

             ประมุขหนุ่มเว้นจังหวะช่วงหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ

              “มีเพียงประมุขแห่งหมู่ตึกเจ็ดดาราจึงทราบเคล็ดวิชานี้ พวกมันจึงหวังจะจับข้าไปอย่างไร”

           “อ้า มีวิชาพิสดารเช่นนี้ด้วย”

           เสวี่ยครุ่นคิดตาม เหนือกว่าที่นางฝึกวายุเหมันต์เพื่อกระโดดได้สูงแล้ว พลังปราณนามประหลาดนี่ ก็ยิ่งกว่าพิสดารอีก

           “จริงอย่างคุณชายว่าวิชานี้พิสดารนัก ยินว่าปราณพิษสามารถต้านทานพิษได้พันหนึ่งชนิด และผู้สำเร็จวิชาจะสามารถใช้พิษในร่างสังหารศัตรูได้เพียงกรายผ่าน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดวิชา ผู้สำเร็จจึงครองยุทธภพได้มิยาก”

           “ดีเพียงนั้นเชียว เช่นนั้นไยคนทั่วหล้ามิอยากฝึก” นางร้องอย่างสนใจ

           อู๋หย่งเจี่ยนส่ายศีรษะ

           “มิมีสิ่งใดได้มา โดยมิแลกเปลี่ยน ผู้ฝึกต้องทนรับพิษชนิดหนึ่งซึ่งต้องทนทรมานสุดแสน หากทนมิได้มีแต่เลือกทางตายเท่านั้น... เช่นนี้ผู้ใดยังจะกล้าเสี่ยงอีก ยิ่งกว่านั้นในรอบสามร้อยปี นอกจากผู้เฒ่าไร้เคราผู้คิดค้นวิชาของพวกมัน ยังมิปรากฏว่าผู้ใดเคยฝึกสำเร็จ พวกมารบัดซบจึงหมายใช้ข้าทดลอง หึ”

           เส วี่ยพยักหน้าอย่างคล้อยตาม สตรีงามเปรียบดั่งกุหลาบหนามคมจริงแท้ นางสนทนากับอู๋หย่งเจี้ยนอยู่ครู่ใหญ่จึงพอรู้นิสัยใจคออีกฝ่ายได้ว่า เขาเป็นผู้ยึดมั่นคุณธรรมสมกับที่ชาวยุทธ์ยกย่องหมู่ตึกเจ็ดดาราให้เป็น หนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่ และยังได้ทราบว่าหมู่ตึกเจ็ดดาราที่กว้างขวางโอ่อ่านี้ ถึงกับมีตึกต่างๆถึงเจ็ดแห่งสมชื่อ แต่ละแห่งแยกตามวิชาที่ศิษย์ในสำนักฝึก ทั้งกระบี่ หมัด ฝ่ามือ ลมปราน ฯลฯ


           ยาม รัตติกาลเยี่ยมเยือน ผู้คนที่ชื่นชอบความวังเวงของสุสานหากไม่ใช่โจรลักศพแล้ว ก็ย่อมเป็นผู้มีความลับสำคัญยิ่ง บัดนี้ที่สุสานบรรยากาศน่าขนลุกกลับมีถึงสองผู้ ยืนอยู่คนละฟากสวมผ้าดำปิดบังใบหน้า ผู้หนึ่งกอดอกอีกผู้ยกมือไพล่หลัง ทั้งที่อยู่ในที่มิดชิดไม่เปิดเผยใบหน้าแท้จริง ก็ยังสามารถทราบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด หากไม่ใช่ผู้ที่สนิทสนมรู้จักกันดีย่อมไม่อาจวางใจกระทำ

           “พวกมันจะลงมือเกินไปแล้ว”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นราวไม่สบอารมณ์

           “หึ ผู้ใดให้เจ้าครองสิ่งที่พวกมันต้องการ” ผู้ยกมือกอดอกกล่าวคล้ายจะยิ้มเยาะ

           “หรือ เจ้ามิเกรงว่าหากพวกมันบรรลุวิชานั่น แล้วจะเป็นภัยต่อการครองยุทธภพ อีกทั้งยังมีฝ่ายธรรมะที่คอยเป็นหนามทิ่มแทง ศัตรูทั้งสองด้านนี้เจ้าจะรับมืออย่างไร”

            เขาเว้นไว้ครู่เพื่อดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยต่อ

            “ทว่าหากข้ายังอยู่ จะดำเนินการแนบเนียนอย่างไร ฝ่ายธรรมะก็จะมิขวางเจ้า“

           อีกฝ่ายคลายมือที่กอดอกครุ่นคิดตาม

           ที่จริงเขาหาได้ต้องการให้คนตรงหน้าตกตาย เพราะไม่มีผู้ใดมีความหมายต่อคำว่า ‘ครอบครัว’ ได้กว่าคนผู้นี้แล้ว ทว่าความไม่พอใจที่ฝังแน่นด้วยทิฐิยังคงกระตุ้นให้หมางเมิน

           “เช่นนั้น ไยมินำพาหอมารอเวจีเข้ามาสนุกเสียด้วยเล่า” เสียงทุ้มเอ่ยเสนอแนะ

           “มิ ต้องสั่งสอน ข้าทราบว่าควรจัดการเช่นไร หึ เจ้าก็จงรีบกุมอำนาจฝ่ายธรรมะไว้ให้จงดี หากถึงเวลาแล้วยังมัวอ้อยอิ่งมิลงมือ ข้าจะจัดการเจ้าไปพร้อมๆกับพวกมันเสีย” เอ่ยจบก็หมุนกายจากไป  ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนมองแผ่นหลังนั้นอย่างเป็นกังวล


           อาทิตย์ โผล่พ้นขอบฟ้าอีกวันแล้ว เสวี่ยพักอยู่ที่หมู่ตึกเจ็ดดาราได้ราวห้าวัน พยายามคิดหาทางตามหาซือฝุและเหวินอี้หลิน ทว่านางไม่รู้จักผู้ใดนอกจากอู๋หย่งเจี้ยนในยามนี้ แต่ครั้นจะรั้งอยู่ที่นี่นานไปก็ไม่ดีนัก

           เย็นวันนั้นจึงได้ขอเข้าพบอู๋หย่งเจี้ยนเพื่ออำลา ออกเดินทางในยามรุ่งสาง

           “แท้ จริงหากคุณชายยังไร้จุดหมาย ท่านควรรั้งอยู่ที่นี่ก่อนมิต้องรีบเร่งเดินทาง หรือควรให้ข้าช่วยสืบข่าวซือฝุของท่านมันจะมิง่ายกว่าหรือ”

           เส วี่ยจำได้ว่าซือฝุสั่งไว้ หากไม่จำเป็นมิควรเปิดเผยตัวตน เพราะยุทธภพนี้อันตรายอย่างยิ่ง และผู้เฒ่ายังไม่อยากให้เสินซีทราบว่า กระบี่พยากรณ์ได้ออกจากเร้นกายเพื่อตามล่าเขาแล้ว

           “น้ำใจท่านประมุขข้าขอรับด้วยใจ แต่ข้ามิอาจรบกวนท่านมากกว่านี้”

           “หากคุณชายเสวี่ยต้องการสิ่งใด สามารถบอกพ่อบ้านให้จัดเตรียมได้ทันที”

           เสวี่ยประสานมือคำนับขอบคุณ

           “เช่นนั้น ข้าขอเพียงม้าฝีเท้าดีหนึ่งตัว และเงินติดตัวจำนวนหนึ่งก็พอ”

           อู๋หย่งเจี้ยนพยักหน้ารับทว่ากลับฉุกคิดได้ประการหนึ่ง
           หากบุรุษร่างเล็กนี้พบพวกมารบัดซบเพื่อแก้แค้น คงจะลำบากเป็นแน่
อู๋หย่งเจี้ยนจึงตัดสินใจบอกเรื่องราวประการหนึ่ง

           “คุณ ชายเสวี่ย วันหน้าหากท่านต้องการความช่วยเหลือก็จงไปที่ร้านขายผ้าซิงสุ่ย ร้านนี้กระจายอยู่แทบทุกเมืองในแคว้นตงอวิ๋น ให้ท่านถามหาเถ้าแก่แล้วบอกว่า ‘หมู่ตึกสูงเทียมฟ้า เจ็ดดาราเยี่ยมสวรรค์’ก็จะมีคนของหมู่ตึกเจ็ดดาราให้ความช่วยเหลือทันที”

           “ขอบคุณท่านประมุข เช่นนั้นข้าต้องขอตัวเพื่อเตรียมการเดินทางก่อน”

           เสวี่ยทีเพิ่งได้ เข้าสู่ยุทธภพก็ได้รู้จักคบหากับประมุขของสำนักใหญ่ระดับนี้ นับว่าเป็นวาสนาที่ชาวยุทธ์มากมายยังไม่อาจได้เชยชม แม้กระนั้นก็ไม่อาจเสียเวลากระชับความสัมพันธ์ต่อสหายชาวยุทธ์คนแรกของนาง ได้

           วัน ออกเดินทางมาถึง เสวี่ยรอพบอู๋หย่งเจี้ยนเพื่ออำลา แต่ดูเหมือนหมู่ตึกกำลังมีเรื่องวุ่นวาย เหล่าศิษย์น้อยใหญ่จึงวิ่งกันไปทั่ว ครั้นรออยู่ครู่หนึ่งก็พบพ่อบ้านเดินออกมาจากเรือนใหญ่จึงร้องเรียก

           “พ่อบ้าน มิทราบเกิดเหตุอันใด”

           “อ้า...คุณชายเสวี่ย ท่านจะออกเดินทางแล้วหรือ เชิญตามข้ามาทางนี้เถิด ข้าได้จัดเตรียมม้าและเงินจำนวนหนึ่งให้ท่านตามที่ขอแล้ว”
พ่อบ้านหยิบห่อผ้าและเงินถือเดินนำออกจากตึกรับรอง แล้วมุ่งไปยังหน้าหมู่ตึกอย่างไม่รีรอ

           “ท่านประมุขเล่า ข้าอยากกล่าวอำลาเสียหน่อย”

           “ท่านประมุขออกเดินทางตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ท่านก็รีบออกเดินทางเถิด นี่คือสัมภาระของท่าน”

           ผู้อาวุโสจูงม้าสีน้ำตาลขนเป็นมัน ที่เพียงมองดูก็ทราบว่าถูกเลี้ยงมาอย่างดีให้อีกฝ่าย

          เห็นพ่อบ้านเร่งรีบเสวี่ยก็ไม่กล้ายืดเยื้อ รีบกล่าวขอบคุณแล้วขับม้าออกไป

           จำ ได้จากคำสนทนาในโรงเตี๊ยมวันนั้น เสินซีอาจกำลังหมายปองศิลานิรันดร์และพระพุทธรูปทองคำอยู่ แต่ว่าทั้งสองสิ่งอยู่ต่างเมือง หากเลือกผิดก็จะคลาดกับอีกที่หนึ่ง

           มือเรียวรวบบังเหียน ณ ทางแยกสองสาย
          ขวาคือ เมืองถังชุน ที่ตั้งของสำนักจ้าวพยัคฆ์ ผู้ครอบครองศิลานิรันดร์
           ซ้ายคือ เมืองจ้านเปี่ยน ที่ตั้งสำนักเส้าหลิน ผู้รักษาพระพุทธรูปทองคำ
เสินซีจะลงมือชิงสิ่งไหนก่อนกัน นางต้องตัดสินใจแล้ว
พลันร่างในอาภรณ์ขาวดึงบังเหียนหันไปทางขวา อาชาตัวโตก็ทะยานกายมุ่งตรงสู่ถนนเข้าเมืองถังชุน

           ครา ถึงเมืองถังชุน เสวี่ยได้เข้าพักที่โรงเตี๊ยมเพื่อสืบข่าว ผู้คนต่างพูดถึงเรื่องของเจ็ดสำนักใหญ่และเสินซี ชาวยุทธ์ต่างก็คาดการ์ณว่าเสินซีจะบุกสำนักจ้าวพยัคฆ์เป็นรายถัดไป เพราะหากเทียบฝีมือแล้วเส้าหลินยังคงถือว่าแกร่งกล้ากว่าหลายเท่าจึงมิควร บุ่มบ่าม หากเป็นเช่นนั้นจริง ที่นางตัดสินใจมุ่งหน้ามาเมืองถังชุนย่อมถูกต้อง
            ทว่ามีบางสิ่งผิด ปกติ...เหตุใดเสินซีถึงได้สังหารชาวยุทธ์ไม่เลือก ยิ่งกว่านั้นผู้เคราะห์ร้ายส่วนใหญ่ยังเป็นคนของเจ็ดสำนักใหญ่ ราวกับเสินซีจะจงใจสร้างศัตรู ประกาศสงครามกับทุกผู้คน หากเขาปรารถนาของวิเศษทั้งสาม ไยต้องกระทำการอุกอาจเพื่อประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ ไยไม่กระทำเยี่ยงโจรสามัญ

           แม้ ใคร่ครวญรอบคอบแล้วแต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปตามที่คิด คราเสวี่ยได้ไปถึงสำนักจ้าวพยัคฆ์กลับพบความเกรี้ยวกราดของผู้คน เนื่องเพราะเสินซีได้สังหารศิษย์ในสำนักสามสิบกว่าคน และชิงศิลานิรันดร์ไปแล้ว



           ฝุ่น ควันคลุ้งจากผืนดิน สลับกับเสียงฟาดแส้บนบั้นท้ายอาชาของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกแพรดำปิดบังใบหน้า อีกทั้งอาภรณ์ก็ล้วนดำสนิททั้งสิ้นกำลังควบผ่านทางเดิน พวกเขาเร่งรุดแต่ยามตะวันยังไม่ฉายแสงแต่เมื่อคืนก่อน ราวกับกำลังไล่ตามสิ่งใด
            ทว่าบัดนั้นเสียง อาชาก็ร้องดัง พลางยกขาหน้าสูงราวกับตกใจอย่างยิ่ง ผู้ควบขับทั้งหลายได้แต่พยายามบังคับอาชาของตนให้สงบ ก่อนเพ่งมองยังเบื้องหน้า

           “หนีหน้าแขกของหมู่ตึก มิไร้มารยาทไปหรือ อู๋หย่งเจี้ยน”
           เสียงหวานแหลม ของดรุณีในอาภรณ์แดงร้องขึ้น พลันแส้หนังยาวตวัดฟาดกับพื้น ร่างระหงสองนางก็พริ้วกายลงมายืนดักหน้า มารพิษบุปผาทราบมาว่าอู๋หย่งเจี้ยนจะเดินทางไปตรวจสาขา จึงกระจายกำลังหมายจับตัวให้จงได้ในครานี้

           เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือมารพิษบุปผา จึงค่อยรู้สึกว่าอาชาในบังคับผิดปกติไป ยังให้ยอดฝีมือผู้ควบขับมันต้องกระโดดกายหลบ

           ...ตึง... อาชาทั้งหลายล้มลงแน่นิ่ง

           “หมู่ตึกเจ็ดดารารึ เจ้ามาหาผิดที่แล้ว”

           เสียง แหบร้องขึ้น ไม่ทันที่สองนางมารจะได้ใคร่ครวญ เหนือศีรษะก็ถูกปกคลุมด้วยเงาดำทะมึน มองผิวเผินอาจเห็นเป็นเมฆฝน ทว่าเงาดำนี้หาใช่ความอ่อนโยนจากสวรรค์

           พลัน เสียงร้องของหนึ่งนางมารผู้ใช้แส้เป็นอาวุธดังขึ้น รวดเร็วเกินที่จะตั้งรับ ตามร่างกายนางก็ปรากฏบาดแผลมากมาย เมื่อเพ่งมองไปบนท้องฟ้าก็พบว่าผิดปกติจึงตวัดแส้สูงขึ้นไป เสียงแส้กระทบบางสิ่งเหนือศีรษะหล่นลงดังเคร้งคร้าง ค่อยเผยลำแสงอาทิตย์ส่องกระทบกาย

           “น้องห้าระวัง”

           เสียงสตรีอีกหนึ่งนางเอ่ยเตือน นางมารผู้ตวัดแส้ก็ร้องเสียงเกรี้ยวกราด

           “ค้างคาวอเวจี ฝูตันหยง”

           เมื่อนามตนได้ถูกเอ่ย เสียงหัวเราะแหบแห้งก็สะท้อนไปทั่ว
บนศีรษะของสองนางมารพิษบุปผานั้นก็คือ ‘ค้างคาวอเวจี’อาวุธสังหารร้ายกาจของฝูตันหยง หนึ่งในหัวหน้าหอแห่งหอมารอเวจี
         อันว่าพรรคมารที่กุมอำนาจในยุทธภพนั้นแท้จริงมีสามคือ พรรคดาวจรัสซึ่งบัดนี้ดับแสงไปแล้ว พรรคมารพิษบุปผา และหอมารอเวจี

           เอ้อ หัวศิษย์ลำดับสองแห่งมารพิษบุปผาหมุนกายร่ายพลังปราณซัดออก ยิ่งรวดเร็วกว่าที่ค้างคาวโลหะจะทันแตกตัว โปรยผงพิษสัมผัสกาย นางก็คลี่สะบัดลำแขนออกให้ผ้าสีแดงผืนยาวตวัดกลับไปมาตามการเคลื่อนไหว ดุจการร่ายรำของนาง ไม่นานผืนผ้าไหมก็คลุมกายตวัดครอบร่างตนและศิษย์ผู้น้องไว้อย่างมิดชิด เป็นวิชา ‘แพรเหล็ก’

           เสียงระเบิดตูม สนั่นลั่นโสต ผงสีขาวโปรยกระจายไปทั่วบริเวณ แม้นต้นไม้และหญ้าก็พากันเหี่ยวเฉาในบัดดล เสียงร้องโอดครวญของศิษย์หอมารอเวจีผู้หนึ่ง ซึ่งไม่อาจหลบพ้นพิษนี้ล้มลงดิ้นทุรนทุราย

           “จงรับความตายเสีย”

           ฝูตันหยงพุ่งกายปราดเปรียวพร้อมตวัดกางอาวุธซึ่งคล้ายโล่ ทว่ามีหยักคมเฉกปีกค้างคาว ฟันทลายแพรเหล็กของอีกฝ่ายแตกออก

            ลู่หัวซึ่งเป็น ศิษย์ดรุณีลำดับห้า ก็สะบัดแส้มัดข้อมือฝูตันหยงซึ่งกุมอาวุธไว้แน่นหนา ไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้สะดวก นางกระโดดถอยออกมาตั้งหลัก บัดนั้นเหล่าศิษย์หอมารอเวจีซึ่งมีฝีมือแก่กล้าก็เข้ามุ่งโจมตีทั้งสองนาง

            เอ้อหัวและลู่หัวต่อสู้พัลวัน พลางร้องถาม

           “เราสองสำนักหาได้บาดหมาง ไยโจมตีพวกเรา”

           “หึ นางมารเช่นพวกเจ้าฝีมือเพียงน้อย คิดฝึกปราณพิษยึดครองยุทธภพ หึ น่าขันนัก เอาเวลานี้ไปปรนนิบัติบุรุษมิดีกว่ารึ” กล่าวจบฝูตันหยงก็หัวร่อหยามกังวาน ยังให้ลู่หัวกรีดร้องโมโหยิ่ง โถมกายหมายใช้แส้กระชากศีรษะอีกฝ่ายเสีย

           “อย่าน้องห้า”

           เอ้อหัวที่พัวพันการต่อสู้กับอีกสามศิษย์หอมารอเวจี ไม่อาจปลีกตัวห้ามทัน

           ปลาย แส้ตวัดหมายพันรอบคอตันหยง ทว่าอีกฝ่ายก็หลบหลีกคล่องแคล่วยิ่ง ลู่หัวตบเท้าทะยานพริ้วกายสูงจากพื้น เคลื่อนข้อมืออกส่งพลังปราณขับดันให้แส้เคลื่อนขดดั่งอสงพิษรวดเร็ว ปลายแส้อันประกอบด้วยเข็มพิษนับสิบซ่อนไว้ก็สะกิดถูกลำตัวอีกฝ่าย

            ฝูตันหยงรีบหลุบ กายหลบ พลางซัดค้างคาวอเวจีออกเพื่อหลอกล่ออีกฝ่าย เมื่อค้างคาวทั้งหลายถูกทำลายลงลู่หัวก็ได้ยืนกับพื้นแล้ว นางฟาดแส้ไปพุ่งตรงไปยังลำคออีกฝ่ายโดยที่เห็นฝูตันหยงยืนนิ่ง นางย่ามใจว่าอีกฝ่ายถูกพิษแล้วจะเคลื่อนไหวไม่ได้ก็หาได้ระวังตัว

             ทว่าเมื่อปลายแส้สะบัดเข้าสู่กลางลำคอ ฝูตันหยงก็หายวับไป

           “เป็นไปมิได้” นางร้องขึ้น

           พลันความปวดแปลบเฉือนเข้าข้างลำตัวของนางแทน

           “คิด ว่าพิษของพวกเจ้าทำร้ายคนของหอมารอเวจีได้ ช่างโง่เง่า” เสียงกระซิบเย็นเยียบข้างหู ยังให้ลู่หัวผู้ซึ่งไม่เคยหวาดเกรงสิ่งใดนอกจากซือฝุของนาง ต้องผวาเกร็ง

           เสียงร้องแหลมดังขึ้น เมื่อหยักเขี้ยวของอาวุธของค้างคาวอเวจีตันหยงถูกกระชากออกจากร่าง ลู่หัวถึงกับทิ้งร่างล้มลง

           เอ้อหัวเห็นดังนั้น ก็ตีฝ่าวงล้อมแล้วเข้าพยุงร่างศิษย์น้องเล็กของนาง

           “ฝูตันหยง เจ้าทำเกินไปแล้ว”

           มือ หนาสะบัดข้อมือคราหนึ่ง อาวุธรูปลักษณ์ดั่งปีกค้างคาวก็หุบกลายเป็นดั่งมีดสั้นเล่มหนึ่ง ตันหยงเหลือบตาลงมองทั้งสองอนงค์อย่างเหยียดหยาม

           “กลับ ไปบอกประมุขของพวกเจ้า จงอย่าคิดการเกินหน้าหอมารอเวจีอีก หาไม่คงมิใช่แค่การหยอกล้อเท่านี้ หอมารอเวจีจะไปเยี่ยมเยือนถึงห้องบุปผาพิษให้ราบคาบ” เอ่ยจบ คนของหอมารอเวจีก็พากันทะยานกายจากไป
ลู่หัวซึ่งยังมีสติอยู่ ขบฟันแน่น

           “พวกมัน พวกมันไฉนเพิ่งคิดลงมือต่อเรา”

           ให้สองบุปผาพิษขบคิดจนตายก็ไม่มีวันเข้าใจ ผู้ใดจึงสามารถยุยงหอมารอเวจีขัดขวางการจับตัวอู๋หย่งเจี้ยนได้

แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 55 15:49:18

จากคุณ : midnite-angel
เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 15:47:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com