Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สุภาพสตรีหมายเลขสอง - ตอนที่ 2 ติดต่อทีมงาน

นาทีแรกที่ก้าวออกจากอพาร์ตเมนท์ที่ตึกจอร์ชทาวน์ กีย์ ปาร์คเกอร์ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าวันนี้ไม่ใช่วันดีสำหรับเขา เมื่อใดก็ตามที่สภาพอากาศในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี ร้อนชื้น ก็ไม่มีเมืองไหนอีกแล้วที่จะร้อนอบอ้าวมากไปกว่า    

ระหว่างที่เดินไปตามซอยเพื่อไปยังที่จอดรถ กีย์รู้สึกว่าเนื้อตัวของเขาเหนียวเหนอะหนะไปหมด เหงื่อหยาดหยดเป็นดวงๆจากซอกรักแร้ลงไปถึงเอว เสื้อเชิ้ร์ตที่สวมอยู่แนบสนิทติดกับตัวเขา ราวกับผ้าพันแผลขนาดมหึมาทากาว   ทันทีที่ไขกุญแจเปิดประตูรถฟอร์ดคันใหม่ออกได้ กีย์ก็สลัดเสื้อแจ๊กเกตผ้าย่นออกจากตัว คลายเงื่อนเนคไทไหมพรมให้หลวม ก้มตัวลงแล้วก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย เขาพับเสื้อแจ๊กเก็ตแล้ววางไว้บนเบาะที่นั่งข้างคนขับ ต่อจากนั้นจึงเอาเครื่องบันทึกเทปขนาดเล็กวางทับไว้บนเสื้อ

หลังจากติดเครื่องยนตร์ ถอยหลังและพารถออกไปพ้นบริเวณซอยแล้ว  กีย์เร่งเครื่องยนตร์ให้แรงขึ้น พารถมุ่งหน้าไปยังโรงแรมเมดิสันอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เขามีนัดอาหารกลางวันในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ชายหนุ่มไม่ต้องการจะไปถึงที่นัดหมายช้า เพราะแขกที่เขานัดไว้เป็นผู้ที่มีธุระมากมายและการสละเวลามาในครั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของกีย์เอง    

กีย์ได้เคยมีนัดกับจอร์ช คิลเดย์ มาก่อนหน้านี้สองครั้งแล้วและทั้งสองครั้ง จอร์ช คิลเดย์เป็นฝ่ายขอยกเลิกนัดในนาทีสุดท้าย เนื่องด้วยเกิดมีงานข่าวด่วนอย่างกระทันหัน หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้กีย์ได้โทรศัพท์ไปหา
จอร์ช คิลเดย์ ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์ ที่วอชิงตัน และได้รับคำยืนยันจากคิลเดย์ว่าจะไม่มีการยกเลิกนัดในบ่ายนี้ กีย์ ปาร์คเกอร์ ตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าเขาจะไม่มีวันไปสายอย่างเด็ดขาด เพราะการนัดสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นความกรุณาของคิลเดย์ที่ให้แก่เขา เป็นที่แน่ชัดว่าคิลเดย์จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากกีย์ ปาร์คเกอร์ในการพบครั้งนี้ แต่ตรงกันข้ามกีย์จะเป็นผู้ได้ประโยชน์อย่างมหาศาล

เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายทั่วเมืองหรืออย่างน้อยที่สุด ก็ในหมู่สมาชิกในละแวกฟอร์ธเอสเตท ว่ากีย์ ปาร์คเกอร์จะได้รับเงินจำนวนครึ่งล้านดอลล่าร์ จากเงินล่วงหน้าหนึ่งล้านเหรียญ จากผู้พิมพ์และจัดจำหน่ายหนังสืออัตตชีประวัติของท่านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่ปาร์คเกอร์จะเป็นผู้เขียน ส่วนอีกครึ่งล้านเหรียญจะตกเป็นขององค์การการกุศลหลายแห่ง  คิลเดย์มีเหตุผลสมควรที่จะริษยาและไม่ให้ความร่วมมือกับปาร์คเก้อร์ในเรื่องนี้ แต่ตรงกันข้ามเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงน้ำใจของผู้ที่อยู่ในวงการนี้มานาน ที่รู้สึกยินดีกับโอกาสอันงามที่เพื่อนนักเขียนดัวยกันได้รับในครั้งนี้

ปาร์คเก้อร์มาถึงโรงแรมเร็วกว่าเวลานัดสี่นาที เขาฉวยเสื้อแจ๊กเกตและเครื่องบันทึกเทป มอบกุญแจรถให้พนักงานเฝ้าประตูเพื่อนำรถไปจอด ทันทีที่เข้ามาถึงห้องโถงอันตกแต่งไว้อย่างวิลิสสะมาหราและได้สัมผัสไอเย็น     ปาร์คเกอร์ก็รู้สึกสดชื่นและกลับมีพละกำลังขึ้นมาใหม่ เขาเดินผ่านโต๊ะประชาสัมพันธ์ ผ่านช่องรับเงิน มุ่งตรงไปยังห้องกาแฟที่ไม่หรูหรา เมื่อไปถึงเขาเห็นพนักงานเสิร์ฟกำลังพาคิลเดย์ไปที่โต๊ะ ปาร์คเกอร์เดินตามไปแล้วโบกมือทักทายคิลเดย์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำอาการเดียวกัน

กีย์ ปาร์คเกอร์ไม่รู้จักคิลเดย์ดีนัก แต่เคยพบเขาประมาณห้าหกครั้งในระยะเวลาสองปีครึ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นผู้เขียนสุนทรพจน์ให้ท่านประธานาธิบดี และเคยมีโอกาสได้พูดคุยกันเพียงสองสามครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะเป็นการพูดคุยกันแบบสั้นๆและเป็นการเป็นงาน

ปาร์คเกอร์รู้เรื่องส่วนตัวของคิลเดย์น้อยมาก เขารู้แต่เพียงว่าคิลเดย์เป็นนักหนังสือพิมพ์ ที่ได้รับการยกย่องนับถือจากเพื่อนร่วมอาชีพด้วยกันเป็นอย่างสูง ในฐานะเป็นผู้ที่ติตตามข่าวอย่างทรหดอดทน และข่าวที่เขาทำจะมีความถูกต้องแม่นยำราวกับพิธีกรรมทางศาสนา ปาร์คเกอร์ไม่เคยรู้มาก่อนถึงความเกี่ยวพันระหว่างคิลเดย์และท่านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง จนกระทั่งวันที่บิลลี่พูดถึงคิลเดย์ขึ้นมา ในช่วงระยะแรกๆที่บิลลี่และกีย์คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ สมัยที่บิลลี่เพิ่งจบวารสารศาสตร์จากวิทยาลัยวาสซ่าร์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเขียนอัตตะชีวประวัติของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

ก่อนหน้าที่บิดาของบิลลี่จะปลดเกษียณ บิลลี่ได้งานที่บริษัทตัวแทนโฆษณาซึ่งทำงานด้านการตลาดให้แก่บริษัทผู้จัดจำหน่ายสิ่งประดิษฐ ที่บิดาของหล่อนประดิษฐคิดค้นขึ้นมา ต่อมาบิลลี่ได้งานในบริษัทประชาสัมพันธ์ในกรุงนิวยอร์ค ซึ่งได้ส่งหล่อนไปเป็นตัวแทนของบริษัทที่กรุงลอนดอนในช่วงสั้นๆ  เมื่อกลับมาถึงนิวยอร์คหลังจากนั้น บิลลี่ตัดสินใจที่จะเขียนนวนิยาย  แต่เมื่อเขียนไปได้เพียงครึ่งเดียวหล่อนฉีกต้นฉบับทิ้ง

“หลังจากนั้นไม่นาน คุณก็ได้งานใหม่ที่หนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์ใช่ไหมครับ?”  ปาร์คเกอร์เคยถามบิลลี่

“ก็ไม่เชิง  ความจริงงานเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์งานแรกที่ฉันทำ คืองานที่ นสพ.ซานตามอนิกา ซึ่งเป็นหนังสือประเภทอ่านแล้วทิ้งนั่นแหละ เขาให้ค่าจ้างฉันต่อสัปดาห์ต่ำมากจนเกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความจริงเงินไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก ฉันไม่ต้องการค่าจ้างด้วยซ้ำไป แต่งานที่นี่ทำให้ฉันมีโอกาสได้พบเห็นอะไรแปลกๆ และได้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆที่ฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปถ้าไม่ได้ทำงานที่นี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันได้รับมอบหมายจากบรรณาธิการให้ไปทำเรื่องเกี่ยวกับสถานฟื้นฟูผู้ติดยาเสพย์ติด แทนที่ฉันจะทำเรื่องนี้แบบที่คนอื่นๆเขาทำกัน เช่นไปสัมภาษณ์ผู้อำนวยการสถานฟื้นฟูฯ  ฉันกลับทำโดยวิธีอื่นซึ่งได้มาจากการอ่านหนังสือชีวประวัติของเนลลี่ ไบลด์”

“เนลลี่ที่เคยพยายามทำลายสถิติของจูล เวิรน์ ในเรื่องการเดินทางรอบโลกในแปดสิบวันใช่ไหมครับ?”

“นั่นแหละ ฟิเลีย ฟ๊อกก์ ในเรื่องของจูล เวิรน์เดินทางรอบโลกได้ในแปดสิบวัน แต่เนลลี่ทำของจริงได้เพียงเจ็ดสิบสองวันในปี ๑๘๘๙ และ ๑๘๙๐  ก่อนหน้านั้น ตอนที่เนลลี่ทำงานเป็นนักข่าวฝึกหัดอยู่ที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์คเวิลด์  เธอเขียนเรื่องเกี่ยวกับคนวิกลจริตที่ถูกส่งไปกักกันไว้ที่เกาะแบล๊กเวลล ์ และความทารุณต่างๆ ที่คนพวกนี้ได้รับจากผู้คุม แต่แทนที่จะทำเรื่องนี้ตามแบบที่ใครๆทำกัน เนลลี่กลับปลอมแปลงตัวเองให้เหมือนคนวิกลจริต โดยใส่เสื้อผ้าที่เหมือนผ้าขี้ริ้วและมีพฤติกรรมเหมือนคนพวกนั้น เลยถูกส่งตัวไปไว้ที่เกาะแบล๊กเวลล์  นลลี่ได้เห็นสภาพที่น่าสงสารของคนไข้พวกนั้น  และความทารุณโหดร้ายที่พวกผู้คุมปฎิบัติต่อคนไข้ พอได้รับการปล่อยตัวออกมา เนลลี่เลยมาเขียนหนังสือสองเรื่อง ตีแผ่เรื่องราวที่ไปพบมาให้คนนอกได้รู้  หนังสือทั้งสองเรื่องนี้ได้ลงหน้าหนึ่ง ซึ่งทำให้เนลลี่มีชื่อเสียงดังเป็นพลุเพียงชั่วข้ามคืน ตอนที่ฉันได้รับมอบหมายให้ทำเรื่องเกี่ยวกับสถานฟื้นฟูผู้ติดยาเสพย์ติด ฉันก็เลยนึกถึงเรื่องนี้ได้และบอกตัวเองว่า ทำไมฉันไม่ทำแบบเนลลี่บ้างล่ะ”

“หมายความว่าคุณแกล้งติดยาเสพย์ติด แล้วถูกส่งเข้าสถานฟื้นฟูหรือครับ”

“ใช่  ในฐานะผู้เสพย์ติดโคเคน คุณรู้ไหมว่ามันได้ผล ฉันได้เห็นทุกอย่างในนั้น แล้วออกมาเขียนเรื่องโดยใช้คนไข้เป็นตัวเดินเรื่อง แสดงความรู้สึกของเขาในแง่มุมต่างๆ เรื่องของฉันได้ลงในหนังสือรายสัปดาห์ประเภทอ่านแล้วทิ้ง ที่มีเรื่องเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และอาหารการกินต่างๆ นั่นแหละ ถึงแม้มันจะไม่ประสพความสำเร็จเท่าที่ควร แต่อย่างน้อยก็พอมีคนสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวของฉัน พ่อของฉันชื่นชมมันมากถึงขนาดตัดมันส่งไปให้เพื่อน ซึ่งเป็นผู้บริหารคนหนึ่งชองหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์  เพื่อนพ่ออ่านแล้วก็ชอบ และที่ชอบเป็นพิเศษก็อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเป็นลูกสาวของคลาเรนซ์ เลน ซึ่งคนส่วนใหญ่ในสมัยโน้นรู้จักกันดีในเรื่องสิ่งประดิษฐต่างๆที่พ่อประดิษฐขึ้น เพื่อนพ่อส่งเรื่องของฉันไปให้หัวหน้ากองบรรณาธิการ  บรรณาธิการเรียกฉันไปสัมภาษณ์แล้วตกลงรับฉันเข้าทดลองทำงาน ในตำแหน่งนักเขียนประจำกองบรรณาธิการ”

“แล้วเป็นอย่างไรครับ คุณบิลลี่?”
บิลลี่ แบรดฟอร์ดหัวเราะ “งานชิ้นแรกของฉันล้มเหลว ถ้าไม่ใช่เพราะจอร์ช คิลเดย์ ฉันคงถูกไล่ออกในสี่สิบแปดชั่วโมงแรกที่เข้าทำงาน คิลเดย์ช่วยฉันเอาไว้ ตอนนั้นเขาเป็นบรรณาธิการฝ่ายตรวจต้นฉบับ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นอีก คุณควรจะถามจอร์ช คิลเดย์ เขาจะเล่าให้คุณฟังทั้งหมด ตอนนี้เขาอยู่ในวอชิงตัน เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทม์ ความจริงคุณควรจะไปพบจอร์ช เขาจะเล่าให้คุณฟังได้มากมาย เรื่องความคลั่งไคล้ต่างๆของฉันเกี่ยวกับอาชีพนักหนังสือพิมพ์  บางเรื่องฉันก็ลืมไปหมดแล้ว  จอร์ชมีสายตาของเหยี่ยวข่าว  คุณไปคุยกับเขาได้เลย”

“ผมตั้งใจจะไปพบเขาอยู่แล้วครับ  มิสซิสแบรดฟอร์ด  แต่ตอนนี้ผมอยากทราบจากคุณก่อน เกิดอะไรขื้นกับงานชิ้นแรกของคุณหรือครับ”

บิลลี่เล่าให้เขาฟังถึงงานชิ้นแรกของหล่อนเฉพาะเท่าที่จำได้ อย่างไรก็ตามเรื่องที่เขาคุยกับบิลลี่เกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนรู้ถึงบทบาทเล็กๆน้อยๆของคิลเดย์ในชีวิตของบิลลี่ ตั้งแต่นั้นมาปาร์คเกอร์มุ่งหมายที่จะมีโอกาสได้พูดคุยกับคิลเดย์ เขาได้พยายามขอนัดพบคิลเดย์หลายครั้ง และในที่สุดก็ประสพความสำเร็จในการนัดครั้งที่สาม  ขณะนี้เขามานั่งเผชิญหน้าอยู่กับจอร์ช คิลเดย์ ในห้องกาแฟที่โรงแรมเมดิสัน

กีย์ ปาร์คเกอร์ กล่าวขอบคุณ จอร์ช กิลเดย์ ที่สละเวลามาพบเขา

“ไม่เป็นไร”  คิลเดย์ตอบ  พนักงานเสิร์ฟเข้ามารับคำสั่งอาหาร ปาร์คเกอร์ลอบสำรวจดูรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายหนึ่ง ในขณะที่จอร์ช คิลเดย์ ดูเมนูเป็นครั้งที่สอง แล้วตกลงสั่งซุปไก่เส้นและแซนด์วิชเนยแข็งกับผักกาดหอมวางบนขนมปังข้าวสาลี  คิลเดย์มีขนตาสีขาวดกเป็นปื้น จมูกโด่งแหลมและขากรรไกรใหญ่  มีรอยแผลเป็นสองรอยซึ่งเกิดจากมีดโกนหนวด ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนคอที่สั้น ร่างม่อต้อเป็นมะขามข้อเดียวของเขาซ่อนอยู่ในสูทสีเทายับยู่ยึ่

หลังจากสั่งอาหารปาร์คเกอร์ชี้ไปที่เครื่องบันทึกเทป ซึ่งวางไว้บนโต๊ะอาหารพลาสติกซึ่งคั่นอยู่ระหว่างเขาทั้งสองแล้วถามว่า คิลเดย์จะรังเกียจไหมถ้าเขาจะขอบันทึกการพูดคุยในครั้งนี้

“ตามสบาย”  คิลเดย์ตอบ  “สำหรับผมแล้ว ผมไม่ใช้ของพวกนี้เพราะมันทำให้เสียเวลาในการถอดเทป และเรื่องส่วนมากที่บันทึกไว้จะมีแต่เรื่องไร้สาระ แต่ผมก็ไม่รังเกียจที่จะพูดใส่เทป”

ปาร์คเกอร์กดสวิชต์ให้เครื่องเริ่มทำงาน
“คุณอยู่ที่วอชิงตันมานานเท่าไหร่แล้วครับ?”  ปาร์คเกอร์เริ่มป้อนคำถาม
“ผมย้ายมาที่นี่ประมาณหนึ่งปี ก่อนหน้าที่บิลลี่จะเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาว”
“ก็คงประมาณสองปีครึ่งมาแล้ว”

“ก็ราวๆนั้น คุณรู้ไหมว่าผมภูมิใจในตัวบิลลี่มาก เธอทำให้ทำเนียบเก่าแก่มีสีสัน เธอมีความสง่างามเหมือนแจ๊กเกอลีน เคนเนดี้ ฉลาดและจริงใจเหมือน เบตตี้ ฟอร์ด แต่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าสองคนนั่น  แถมยังมีความเข้าใจเรื่องการเมืองพอๆกับโรสซาลีน  คาร์เตอร์ เธอมีสัญชาติญาณที่ยื่งใหญ่จริงๆ ในสายตาของผมๆคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด ในบรรดาผู้หญิงทั้งหมดที่เคยได้เข้าไปอยู่ในทำเนียบขาว”

“ผมเห็นเช่นดียวกับคุณ”  ปาร์คเกอร์พูดบ้าง “ผมมีความสุขที่ได้ร่วมงานกับเธอ ตั้งแต่เธอเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งไปแล้วนี่  คุณมีโอกาสพบเธอบ่อยไหมครับ?”

“ไม่บ่อยนัก ผมไม่ค่อยมีธุระอะไรแถวปีกตึกด้านตะวันออก ผมอยู่แถวปีกด้านตะวันตก  งานของผมทั้งหมดจะเกี่ยวกับด้านการเมืองของท่านประธานาธิบดี แต่ถึงไม่ค่อยได้พบกันบิลลี่ก็กรุณาเชิญผมไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ที่ทางรัฐบาลจัดขึ้นสามสี่ครั้งแล้ว”

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณเคยรู้จักกับบิลลี่ เธอเพิ่งพูดถึงคุณให้ผมฟังเมื่อเร็วๆนี้เอง”  ปาร์คเกอร์พูด
“งั้นหรือ  บิลลี่พูดถึงผมว่าอย่างไร?”  คิลเดย์ถาม
“เธอเล่าให้ผมฟังเรื่องที่คุณช่วยเธอ ตอนที่เธอรับงานชิ้นแรกที่ลอสแอนเจลิส ไทม์”
“อ้อ บิลลี่บอกคุณเรื่องนั้นด้วยหรือ?”
“ครับ เธอบอกว่าเธอเป็นหนี้บุญคุญคุณมาก”

“ความจริงใครๆก็คงจะทำเหมือนอย่างที่ผมทำแหละ ตอนนั้นเธอเป๊นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย มีประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับสาธารณะชนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
คิลเดย์หยุดไปชั่วขณะแล้วจึงถามต่อไป “เธอเล่าอะไรบ้างล่ะ”
“ก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นเท่านั้น  เธอคิดว่าคุณคงจะเล่ารายละเอียดให้ผมฟังได้ดีกว่าเธอ ผมคิดว่ารายละเอียดพวกนี้ จะช่วยทำให้หนังสืออัตตะชีวประวัติของเธอมีสีสันน่าอ่านขึ้น”

“ไหนลองเล่าเรื่องที่เธอบอกคุณให้ผมฟังซิ”  คิลเดย์ออกคำสั่ง
“เธอบอกว่างานชิ้นแรกที่เธอได้รับมอบหมายให้ทำ มีความสำคัญสำหรับเธอมาก” ปาร์คเกอร์เริ่มเล่า “บรรณาธิการบริหาร ผมไม่ทราบว่าเขาชื่ออะไร--”
“เดฟ นูเจนท์”  คิลเดย์บอกเรียบๆ
“ขอบคุณครับ เดฟมอบหมายให้บิลลี่ไปสัมภาษณ์คนสำคัญบางคน”
“ใช่  ดร. โจนาส ซอล์ค ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนโปลิโอจาก ลา ฮล่า เขามาแสดงสุนทรพจน์ที่ลอสแองเจลิส”

“ครับ  บิลลี่ไปสัมภาษณ์ ดร.โจนาส และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เธอได้ข้อมูลต่างๆมามากมาย หลังจากเขียนรายงานการสัมภาษณ์เสร็จเธอได้นำมาส่งให้คุณ เพื่อนำเสนอต่อไปให้บ.ก.ฝ่ายบริหาร แต่เมื่อคุณอ่านดูแล้วคุณรู้สึกว่าเรื่องของบิลลี่ยังไม่ดีพอ มีความเกินจริงและวิธีนำเสนอที่ผิดไปจากจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ คุณแน่ใจว่าถ้าบ.ก.ฝ่ายบริหารของคุณได้อ่าน เขาคงจะไล่บิลลี่ออกทันที  คุณเลยแอบส่งเรื่องของเธอไปให้เพื่อนของคุณ ซึ่งมีหน้าที่แก้ไขต้นฉบับช่วยแก้ โดยที่คุณไม่ได้บอกบิลลี่ก่อน เพื่อนของคุณคนนี้เคยเป็นทหารผ่านศึกที่ชื่อ สตีฟ วูดสัน”

“เขาชื่อ สตีฟ วูดส์”  คิลเดย์แก้ให้

“ครับ เพื่อนคุณเขียนเรื่องใหม่ทั้งหมดแล้วส่งกลับมาให้คุณ คุณนำเรื่องนั้นไปเสนอบ.ก.  บ.ก.ของคุณอ่านและชอบมันมาก ทำให้บิลลี่ได้งานประจำที่นั่นทันที แต่เมื่อบิลลี่อ่านเรื่องของเธอเมื่อลงพิมพ์แล้วเธอรู้สึกประหลาดใจมาก เธอไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับต้นฉบับของเธอ เมื่อเธอมาถามคุณ  คุณก็บอกเธอไปตามตรงว่าวิธีสัมภาษณ์ของเธอยังใช้ไม่ได้ คุณอธิบายให้เธอฟังว่าตอนไหนไม่ดีอย่างไร แล้วคุณก็เล่าให้เธอฟังว่าคุณขอให้มร. วูดส์ ช่วยเขียนให้ใหม่ คุณชี้ให้บิลลี่เห็นว่าวูดส์เปลี่ยนเรื่องของเธอ ตรงไหนบ้างเพื่อให้เรื่องของเธอน่าสนใจมากขึ้น เธอบอกว่าหลังจากนั้นเธอสามารถทำงานได้ดีขึ้นเนื่องจากเธอเรียนรู้ได้เร็ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่บิลลี่เล่าให้ผมฟัง ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือเปล่า”

จอร์ช คิลเดย์ รับประทานแซนด์วิชหมดชิ้นแล้ว  “อืมม์  ส่วนใหญ่ถูกต้อง” คิลเดย์ตอบ เขาเอามือข้างหนึ่งป้องปากไว้ขณะที่ใช้ไม้จิ้มฟันทำความสะอาดฟัน

“มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ถูกแต่ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้แก่บิลลี่ ไม่มีคนชื่อสตีฟ วูดส์ที่มาช่วยเขียนเรื่องให้บิลลี่ใหม่ วูดส์ไม่มีตัวตน แต่ถึงแม้ว่าวูดส์จะมีตัวตนผมก็คงไม่ยอมให้เขาหรือใครมารู้ว่า เรื่องที่บิลลี่เขียนมันแย่ขนาดไหน  ผมไม่ต้องการให้เรื่องรั่วไปถึงหู บ.ก. ความจริงผมนำเรื่องของเธอกลับไปที่บ้านและเขียนให้เธอใหม่ทั้งหมด แล้วส่งไปให้เจ้านายของผมดู แต่ผมไม่เคยบอกบิลลี่เรื่องนี้ ผมไม่ต้องการให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นหนี้บุญคุณผม  มแค่ต้องการเป็นเพื่อนกับเธอเท่านั้น เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยไม่ว่าตอนนี้หรือตอนนั้น  เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับคุณเลย คุณจะกล่าวถึงเรื่องนี้ในหนังสือที่คุณจะเขียนไม่ได้  ที่ผมเล่าให้คุณฟังนี่ก็เป็นเรื่องระหว่างคุณกับผมซึ่งเป็นนักเขียนด้วยกันเท่านั้น คุณควรลืมมันเสียให้หมด”

ผู้ชายคนนี้แปลก ปาร์คเกอร์คิดขณะดื่มกาแฟหยดสุดท้ายจนหมด ในปัจจุบันนี้ไม่มีคนประเภทที่ไม่ต้องการเครดิตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

“ขอบคุณมากที่กรุณาเล่าให้ผมฟัง” ปาร์คเกอร์กล่าวต่อไป “หมายความว่าหลังจากเรื่องนี้แล้ว บิลลี่ได้รับการบรรจุเป็นนักเขียนประจำและมีโอกาสได้ทำการสัมภาษณ์พวกคนใหญ่ๆโตๆ ต่อมาอีกสามปีใช่ไหมครับ”

“ถูกแล้ว และคนหนึ่งในจำนวนหลายๆ คนที่เธอสัมภาษณ์ในช่วงปีหลังๆก็คือ แอนดรูว์ แบรดฟอร์ด ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของเขากับเธอ”
“ครับ  แต่ผมก็ยังอยากรู้เรื่องคนใหญ่คนโต ที่บิลลี่เคยสัมภาษณ์ในช่วงก่อนที่เธอจะพบกับ มร.แบรดฟอร์ต”
“โอเค  ถ้าคุณสนใจ”  คิลเดย์รับคำ

ทันใดนั้นแคชเชียร์ห้องกาแฟเดินตรงมา ที่โต๊ะที่คนทั้งสองนั่งอยู่และถามว่า
“มีใครชื่อ มร.กีย์ ปาร์คเกอร์ ไหมคะ?”
ปาร์คเกอร์เงยหน้าขึ้นมองอย่างประหลาดใจ  “ผมเองครับ”
“มีโทรศัพท์จากทำเนียบขาวถึงคุณค่ะ โปรดใช้โทรศัพท์ตรงเครื่องคิดเงินนะคะ”

ปาร์คเกอร์วางผ้าเช็ดปากลงบนโต็ะ  กล่าวคำขอโทษผู้ร่วมโต๊ะแล้วเดินข้ามห้องไปที่เครื่องรับโทรศัพท์ เสียงของนอร่า จัตสัน ดังมาจากปลายสายอีกข้างหนึ่ง

“ฉันตามหาคุณแทบแย่” หล่อนพูด  “แต่เผอิญจำได้ว่าคุณมีนัดมื้อกลางวันที่นี่”
“ครับ นอร่า  ผมมีนัดกับ จอร์ช คิลเดย์ เกี่ยวกับหนังสือ --”
“คุณใกล้เสร็จหรือยังคะ บิลลี่ต้องการพบคุณด่วน”
“แต่เธอนัดผมให้ไปพบเธอในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าอยู่แล้วนี่ นอร่า เรื่อง--”
“เธอขอยกเลิกค่ะ เพราะเธอกำลังยุ่งมาก เธอจะต้องเดินทางไปกรุงมอสโคว์ตอนบ่ายพรุ่งนี้ วันนี้เธอไม่มีเวลาจะคุยกับคุณเรื่องหนังสือนั่น แต่เธอมีเรื่องอื่นจะพูดกับคุณ  ถ้าคุณมาพบเธอในสิบห้านาทีนี้หรือประมาณ--”

“โอเค ผมเพียงแต่เสียดายโอกาสที่จะได้พูดคุยกับจอร์ช คิลเดย์ คุณก็รู้ว่าผมนัดกับเขาได้ยากมาก--”
“ไว้คุณค่อยนัดกับเขาใหม่แล้วกันนะกีย์  ตอนนี้คุณต้องรีบมาที่นี่ก่อนที่อะไรๆจะสุมมามากขึ้น”

นอร่าวางโทรศัพท์ไปแล้วปาร์คเกอร์วางหูโทรศัพท์ลง นึกกังวลว่าจะบอกคิลเดย์ว่าอย่างไรดี  แต่การณ์กลับปรากฏว่าเขาไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร  เพราะเมื่อเขากลับไปที่โต๊ะ เขาพบว่าคิลเดย์กำลังยืนเก็บกล่องบุหรี่ ไม้ขีด  และพวงกุญแจของเขาเข้ากระเป๋าอยู่

“ผมทราบ”  เขาพูดด้วยอาการเยาะนิดๆ “ทำเนียบขาวก็แบบนี้แหละ มีอะไรวุ่นวายอยู่เสมอ”

“ผมต้องขอโทษด้วยแล้วกัน” ปาร์คเกอร์บอก เขาชำเลืองดูยอดเงินในบิลแล้ววางเงินจำนวนหนึ่งลงบนโต๊ะ “ผมดีใจมากที่คุณเข้าใจเรื่องแบบนี้ คุณช่วยผมได้มากเลย  คุณคิดว่าเราจะมีโอกาสได้พูดกันถึงเรื่องที่ยังค้างอยู่นี่อีกไหมครับ?”

“เมื่อไหร่ที่คุณพร้อมก็โทรนัดผมได้เลย”

คนทั้งสองเดินออกจากห้องกาแฟไปด้วยกันแล้วไปหยุดยืนที่หน้าโรงแรม  ถนนด้านนอกมีบรรยากาศของความร้อนอบอ้าวเหมือนอยู่ในเตาอบ  ปาร์คเกอร์ ตัดสินใจที่จะเดินไปโดยทิ้งรถไว้ที่โรงแรม เขาสามารถจะเดินไปถึงทำเนียบขาวได้ภายในสิบห้านาที  ชายหนุ่มต้องการมีเวลาที่จะคิดอะไรเป็นการส่วนตัวระหว่างเดิน จอร์ช คิลเดย์ สั่งคนเฝ้าประตูให้เรียกรถของตนจากที่จอดรถ ปาร์คเกอร์ กล่าวขอบคุณนักหนังสือพิมพ์อาวุโสอีกครั้งหนึ่ง แล้วเริ่มเดินก้าวยาวๆไปตามถนนอย่างรีบเร่ง

ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์สองคนโผล่ออกมาจากตึกหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และโบกไม้โบกมือทักทายเขา ชายหนุ่มโบกมือตอบและเดินต่อไป บางครั้งเขามองดูเงาตัวเองในกระจกร้านค้าข้างถนน และทุกครั้งเขาจะรู้สึกพิศวงกับสิ่งที่เขาเห็น ถ้ามองจากภายนอกเขาดูเป็นผู้ชายที่แต่งตัวดี และมีความมั่นใจในตัวเองสูง  แต่ปาร์คเกอร์รู้ดีว่าลึกๆแล้วเขาเป็นคนช่างวิตกกังวลและไม่มีความมั่นใจในอะไรเลย

หลายครั้งที่ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจที่ตนเองกลายมาเป็นนักเขียน แม้เขาจะรู้ว่าเขาเป็นนักเขียนที่มีฝีมือคนหนึ่งก็ตามที คนหลายคนเคยบอกเขาว่าเขามีลักษณะท่าทางเหมือนพวกนักเขียน ปาร์คเกอร์ไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นหมายความว่าอย่างไร เขาเป็นคนรูปร่างค่อนข้างสูง เขาสูงเกือบหกฟุต  แขนขายาวเก้งก้างแต่เต็มไปด้วยพละกำลัง ร่างกายของเขาไม่มีไขมันปรากฏให้เห็น ดวงตาสีน้ำตาลฝังลึกอยู่เหนือโหนกแก้มสูง จมูกมีลักษณะเหมือนจมูกชาวโรมัน ริมฝีปากของชายหนุ่มผู้นี้มีลักษณะเย้ายวนซึ่งผู้หญิงหลายคนเคยบอกเขา มีรอยบุ๋มคล้ายลักยิ้มใกล้แนวขากรรไกร ปาร์คเกอร์มีผมสีดำดกหนาซึ่งเขามักจะหวีแสกข้าง

ความจริงแล้วในครอบครัวของเขาไม่มีใครเป็นนักเขียน บิดาของเขาเป็นศาสตราจารย์สอนวิชารัฐศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ส่วนมารดาเป็นนักจิตวิทยา ตัวปาร์คเกอร์เองเรียนจบด้านประวัติศาสตร์อเมริกา จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวิสเทอร์น เขเคายตั้งความหวังว่าจะกลับไปเป็นอาจารย์สอนวิชาที่จบมาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ชายหนุ่มเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือประเภทสยองขวัญและเรื่องลึกลับต่างๆ  ซึ่งการอ่านหนังสือประเภทนี้ทำให้เขาชอบชีวิตที่ตื่นเต้น

ในระยะที่เกิดสงครามเวียตนามใหม่ๆ เพื่อนของเขาบางคนมีส่วนกระตุ้นให้เขาสมัครไปร่วมรบ โดยสัญญาว่าจะสนับสนุนเขาให้ได้ไปทำงานในหน่วยข่าวกรองของทหาร และถึงแม้ว่าปาร์คเกอร์จะมีความรู้สึกส่วนตัวว่าการกระทำของสหรัฐฯในเวียตนามเป็นสิ่งที่ผิดศิลธรรม แต่เขาก็ยังปรารถนาที่จะได้ทำงานด้านการข่าวที่เขาสนใจ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงสมัครเข้าร่วมการรบที่เวียตนาม เขาถูกส่งไปฝึกที่โรงเรียนฝึกอบรมนายทหาร หลังจบการฝึก ปาร์คเกอร์ได้รับการบรรจุเข้าทำงานด้านการข่าวที่เพนตากอน

ในระยะแรกๆที่เข้าทำงานชายหนุ่มรู้สึกว่ามันเป็นงานที่ท้าทายมาก แต่ต่อๆมาเขากลับรู้สึกว่า มันเป็นงานที่ตรึงเขาไว้กับโต๊ะทำงานตลอดเวลาซึ่งน่าเบื่อหน่าย  นอกจากนั้นปาร์คเกอร์รู้สึกว่าข่าวเกี่ยวกับสงคราม ซึ่งเขามีโอกาสได้รับรู้จากงานของเขา มีผลกระทบความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเขามากขึ้นเรื่อยๆ สงครามเวึยตนามเป็นสงครามของการทำลายล้าง และชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเขาเองก็กำลังถูกทำลายเช่นกัน

เมื่อไม่สามารถจะทนกับความรู้สึกดังกล่าวได้อีกต่อไป ปาร์คเกอร์ยื่นใบลาออกจากงาน เขาต้องการจะอยู่ให้ห่างจากพวกทหารที่เหมือนเครื่องจักรกลเหล่านั้น และสิ่งต่างๆที่ทหารพวกนั้นกำลังปฏิบัติ ต่อพวกคนผิวเหลืองในอีกซีกโลกหนึ่ง ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และแล้วด้วยเงินจำนวนเพียงเล็กน้อยที่เก็บออมไว้ได้ชายหนุ่มเดินทางไปยุโรป เขาต้องการเวลาอยู่ตามลำพังเพื่อให้เวลากับตัวเอง ในการวินิจวิเคราะห์เรื่องต่างๆ และเพื่อแสวงหาความเพลิดเพลินให้กับชีวิต มันเป็นการเดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกของเขา

จากคุณ : ดอยสะเก็ด
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 55 21:10:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com