ร่างสูงหนาที่ปกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวตัวยาวรุ่มร่าม ยืนผงาดอยู่บนชะง่อนหินที่ยื่นชะโงกเงื้อมออกไปในอากาศ เขายืนกอดอกอยู่ตรงนั้นนานแล้ว จ้องมองต่ำลงไปในหุบเขาลึกที่อยู่เบื้องล่าง ราวกับจะให้ทะลุเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะเห็น แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ขณะนั้นเป็นยามวิกาลที่ท้องฟ้ายังมืดมิด มีแต่แสงดาวริบหรี่ที่กระจายตัวอยู่ราวกับเพชรเม็ดเล็กๆเต็มท้องฟ้ามืดหม่น เสียงไก่ป่าขันแว่วตามลมมาจากที่ใดที่หนึ่ง อากาศเย็นเฉียบ ทั่วทั้งป่าเงียบสงัดปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ มีเสียงทอดถอนใจยาวยืดดังมาจากร่างนั้น
ในที่สุดหลังจากดวงอาทิตย์เริ่มแย้มแสงอ่อนๆแสงแรกที่มัวซัวผ่านก้อนเมฆออกมา เป็นสัญญาณว่าเช้าวันใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้ว เขาก็กระโดดลงจากชง่อนหิน เดินช้าๆลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ รกไปด้วยพงหญ้าสูงที่ล้อมรอบไปด้วยไม้ใหญ่สูงเยี่ยมเทียมเมฆ และโขดหินน้อยใหญ่สีเทาปนดำที่ระเกะระกะอยู่แถวนั้น เส้นทางนั้นทั้งมืดและรก คดเคี้ยวไปมา แต่เขาก็ดุ่มเดินไปได้โดยไม่หันเหออกนอกเส้นทาง ซึ่งคงจะเป็นเพราะความคุ้นชิน
สิบนาทีต่อมาเขาก็มาถึงลำธารสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านออกมาจากป่าทึบที่อยู่ไกลออกไป ลำธารแห่งนี้มีต้นกำเนิดมาจากยอดเขาที่อยู่สูงขึ้นไป ไหลคดเคี้ยววกวนไปมารอบทิวเขาแห่งนี้ ความจริงถ้าเดินเลียบลำธารนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็จะไปโผล่ใกล้กระท่อมเล็กๆของเขา แต่เขาเลือกที่จะข้ามมันไปมากกว่าเพราะมันทุ่นระยะเวลากว่ากันมาก ชายผู้นั้นก้าวเท้าในรองเท้าบู๊ตย่ำลงไปในน้ำตื้น ที่ท้องน้ำเต็มไปด้วยกรวดก้อนเล็กๆ กลมบ้างรีบ้าง กระโดดขึ้นไปบนชายฝั่ง เดินลดเลี้ยวต่อไปอีกครู่ใหญ่ก็พ้นพงป่าออกสู่ที่ลาดโล่ง
เขาหยุดยืนนิ่งมองสูงขึ้นไป สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่บ้านชั้นเดียวหลังเล็กกระทัดรัด ซึ่งมีลักษณะกึ่งกระท่อมที่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุด มีบันไดที่เกิดจากการสับดินแข็งๆตรงนั้นให้เป็นขั้นเล็กๆ ทอดจากตัวบ้านลงมายังลานกว้างข้างล่าง ตัวบ้านทำด้วยท่อนไม้เปลือย หลังคามุงด้วยปีกไม้ มีชานกว้างหน้าบ้าน ซึ่งเหนือขึ้นไปมีไม้ระแนงตีเป็นตาตารางรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสห่างๆ ให้แสงแดดส่องทะลุลงมาได้ แต่เมื่อมีเถาเล็บมือนางที่ออกดอกดกหอมตลบอบอวลทั้งปี สีขาวชมพูและแดงขึ้นเลื้อยพันกันแน่นหนา ทำให้ช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆระหว่างแผ่นไม้นี้ถูกปกคลุมจนทึบจนมองไม่เห็นช่องโหว่
ตอนแรกที่กระท่อมน้อยหลังนี้สร้างเสร็จใหม่ๆ ไม่มีเถาเล็บมือนาง มันเพิ่งจะมีขึ้นหลังจากที่มีสมาชิกคนใหม่เข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย ตอนแรกเขาก็คัดค้านเสียงแข็ง ในฐานะเจ้าของบ้านที่ไม่ชอบอะไรที่รกทกรุงรัง แต่ด้วยความดื้อด้านของอีกฝ่ายในที่สุดเขาก็ต้องยอมแพ้ พอนานเข้าก็เริ่มรู้สึกว่าก็เข้าท่าดีเหมือนกัน เพราะนอกจากช่วยกันแดดกันฝนให้ร่มเงาแล้ว มันยังทำให้กระท่อมน้อยน่ารักหลังนี้ดูสวยงามมากขึ้น จากดอกหลากสีของมันที่ห้อยย้อยลงมาเป็นแถบๆ แม้แต่กลิ่นที่เขาเคยรู้สึกว่าเหม็นฉุน ก็เปลี่ยนเป็นหอมเย็นชื่นใจ
กระท่อมน้อยหลังนี้มีห้องนอนใหญ่เพียงห้องเดียว พร้อมหน้าต่างบานกว้างล้อมรอบสามด้าน ที่มองออกไปเห็นลำห้วยสายเล็กๆใกล้บ้าน และมองเลยออกไปเห็นทิวเขากว้างใหญ่ปกคลุมด้วยสายหมอกที่อยู่ลิบๆ ลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในยามดึกเย็นสบาย ในบางฤดูกาลเขาต้องปิดหน้าต่างนอน เพราะลมที่เคยแค่เย็นสบายเปลี่ยนเป็นลมกรรโชก ที่เย็นเฉียบบาดผิวกายเกินกว่าที่ผ้าห่มผืนหนาเตอะจะสู้ไหว
เมื่อเดินออกจากห้องนอนจะเป็นพื้นที่โล่งค่อนข้างกว้าง เป็นที่ตั้งของโต๊ะอาหารเล็กๆรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากไม้ ที่ขัดพื้นหน้าจนเรียบเสมอกัน พร้อมเก้าอี้ไม้หน้าตาเก๋สองตัวที่ต่อเองแบบหยาบๆ ผนังบ้านด้านหนึ่งมีชั้นงที่ต่อหยาบๆด้วยไม้เปลือยไม่ได้ทาสีใช้เป็นที่เก็บหนังสือ ชั้นหรือหิ้งที่ว่านี้สร้างขึ้นมาในลักษณะติดฝา มีความสูงจากพื้นขึ้นไปจรดเพดาน แบ่งออกเป็นช่องเล็กช่องน้อยสำหรับเก็บสิ่งของต่างๆ ที่มีมากที่สุดคือหนังสือนานาชนิด
สุดปลายห้องด้านหนึ่งมีประตูที่เมื่อเปิดออกจะพบบันไดสามขั้น ที่ทอดตัวลงไปบนพื้นปูนที่อยู่ในระดับต่ำกว่า มีพื้นที่ใช้สอยที่ประกอบด้วยครัวเล็กๆที่ค่อนข้างโปร่ง เพราะฝาด้านหนึ่งเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เลื่อนเปิดปิดได้ เวลาทำครัวก็จะเลื่อนเปิดโล่งไล่ทั้งควันและกลิ่นอาหารออกไปข้างนอก ตอนกลางคืนก็เลื่อนปิด สุดปลายครัวสองด้านมีห้องเล็กๆด้านละห้อง ห้องหนึ่งใช้เป็นที่เก็บสัมภาระ ส่วนอีกห้องเป็นห้องนอนเล็กๆแคบๆ ส่วนห้องน้ำห้องส้วมสร้างแยกออกไปจากตัวบ้าน ห่างไปอีกด้านหนึ่งที่่ซ่อนตัวอยู่ค่อนข้างมิดชิด ใกล้ไม้ใหญ่สองสามต้นที่อยู่สุดลานกว้าง
มีเสียงกุกกักในห้องด้านหลังซึ่งใช้เป็นที่ทำครัว เขารู้ว่าใครเป็นคนทำเสียงนั้น มี “หล่อน” อยู่คนเดียวเท่านั้นที่จะตื่นนอนในเวลานี้และกำลังทำโน่นทำนี่อยู่ในครัว เขารู้ว่าหล่อนกำลังวุ่นวายเตรียมอาหารเช้าให้เขา ก่อนที่จะออกไปทำงานในไร่ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ปล่อยให้หล่อนเป็น “เจ้าแม่” ทำอะไรต่ออะไรในบ้านสุดแต่หล่อนจะเจ้ากี้เจ้าการจัดทำ ไม่เคยรอถามความเห็นหรือความต้องการของเขาแม้สักคำ
มีเสียงเปิดประตูหลังที่ผ่านจากครัวไปสู่ลานดินเรียบ สุดปลายลานเป็นกรงไก่ที่หล่อนไปเที่ยวหามาเลี้ยง ตอนแรกมีไก่แค่สองตัวที่หล่อนปล่อยให้มันวิ่งวุ่นคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินอยู่แถวนั้นตามยถากรรม ต่อมาเมื่อมันฟักไข่เป็นลูกเจี๊ยบออกมาอีกสี่ห้าตัว และขี้ไก่ที่เละเทะส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งอยู่ตรงนี้บ้างตรงโน้นบ้างตามสะดวกของมัน ทำความรำคาญให้เขาจนทนไม่ไหว ต้องลงมือหาไม้แถวนั้นมาต่อกรงไก่แบบหยาบๆ ให้เป็นที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องเป็นราวของพวกมัน โดยเจตนาสร้างกรงให้อยู่ไกลห้องนอนของเขามากที่สุดและอยู่ใต้ลม
ตั้งแต่มีไก่มาเลี้ยง หล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บไข่ไก่มาดาวบ้างเจียวบ้างให้เขากินแทบทุกวัน แม้เขาจะยอมกินบ้างไม่กินบ้างตามอารมณ์ในขณะนั้น หล่อนก็ไม่ว่าอะไร ถ้าเขาทิ้งไข่จานนั้นไว้บนโต๊ะอาหารอย่างไม่แยแส หล่อนก็จะเก็บไปกินเสียเองหรือไม่ก็เผื่อแผ่ให้เจ้ากวางตุ้ง หมาพันธ์ฮ่อตัวใหญ่สีน้ำตาลแดง ที่หล่อนหอบหิ้วเอาติดตัวมาด้วยตั้งแต่มันยังเป็นลูกหมาตัวน้อยๆ นี่ถ้าเขาไม่ออกคำสั่งห้ามขาด หล่อนคงได้หาลูกหมูมาเลี้ยงด้วยแล้ว โดยอ้างว่าสมัยที่อาศัยอยู่กับตาในหมู่บ้านชาวเขาที่อยู่ต่ำลงไป หล่อนเคยเลี้ยงจนชำนาญ แถมยังอ้างแบบเอาหน้าอีกด้วยว่าหล่อนจะได้มีเนื้อหมูสดๆมาทำอาหารให้เขากินทุกวัน แทนที่เขาจะต้องส่งคนงานลงไปซื้อเนื้อหมูจากหมู่บ้านใกล้ๆ มาให้หล่อนทำอาหารให้เขากินสองสามวันครั้ง
แม้แต่ผักหล่อนก็ลงมือลงแรงปลูกเอง ตอนแรกๆเขาไม่รู้ว่าหล่อนทำอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเขาออกไปตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน กว่าจะกลับก็ย่ำค่ำ แล้วอยู่ๆเขาก็ได้กินสลัดผักใบเขียวสด เมื่อเห็นเขามองสลัดจานนั้นอย่างงงๆ หล่อนก็ลากมือเขาให้เดินตามไปที่แปลงผักที่อยู่เลยลานดินหลังบ้านออกไป ตรงนั้นเขาเห็นแปลงผักขนาดไม่เล็กนักสองสามแปลง มีผักใบเขียวสองสามชนิดที่เขาไม่รู้จักกำลังงอกงามเขียวขจี เมื่อเขาถามหล่อนก็โอ้อวดว่าหล่อนลงมือพรวนดินยกร่องขึ้นมาเอง แล้วฝากคนงานของเขาซื้อเมล็ดพันธ์ผักหลายชนิด จากตลาดนัดในหมู่บ้านใกล้ๆที่อยู่ต่ำลงไปมาให้ หว่านเมล็ดพันธ์เสร็จหล่อนก็รดน้ำพรวนดินทุกวัน จนมันเจริญเติบโตงอกงามมาเป็นอาหารให้เขาได้กินอย่างที่เห็น
เขารู้ว่าหล่อนออกไปหลังบ้านทำไม ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าเอาข้าวเปลือกไปให้ไก่ที่เลี้ยงไว้ เสียงเจ้ากวางตุ้งครางหงุงหงิงต้อนรับหล่อน เสียงหล่อนตวาดมันแว็ดๆด้วยภาษาที่หล่อนคุ้นชินมาตั้งแต่เกิด เขาไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจคำพูดของหล่อนหรือเปล่า แต่สำหรับเขานั้น เมื่อหล่อนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเขาฟังที่หล่อนพูดไม่ออกสักคำ แล้วตอนนั้นหล่อนก็ไม่เหมือนตอนนี้ ยังเป็นเด็กตัวเล็กนิดเดียว ไม่พูดไม่จา ผิดกับตอนนี้ที่หล่อนเติบใหญ่ขึ้นมาพร้อมด้วยฤทธิ์เดช ที่ไม่ยอมลงให้ใครยกเว้นเขาคนเดียว แต่เขาก็รู้ว่าหล่อนไม่ได้ยอมลงให้เขาไปหมดทุกเรื่องหรอก ก็หล่อนออกอวดเก่งอวดดีเสียขนาดนั้น
บางครั้งหล่อนก็ทำท่าสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่หลายครั้งหล่อนก็เถียงเขาคำไม่ตกฟาก แล้วก็ยังเจ้าแง่แสนงอนไม่เข้าเรื่องอีกต่างหาก เขาร่ำๆที่จะเอาหล่อนไปคืนที่หมู่บ้านชาวเขาถิ่นกำเนิดของหล่อนเสียหลายครั้งแล้ว แต่พอเห็นน้ำตาของหล่อนเขาก็ใจอ่อนยวบทุกที นึกเวทนาที่หล่อนเป็นลูกกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร ตาคนเดียวที่เลี้ยงหล่อนมาก็เสียชีวิตไปเสียอีก
หล่อนเรียกเขาว่า "นาย" หรือไม่ก็ “นายน่าน” อย่างที่ตาของหล่อนและคนงานอีกหลายคนเรียกตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ แต่ก่อนหล่อนก็อาศัยอยู่กับตายายของหล่อนที่กระต๊อบเล็กๆในหมู่บ้านบนเขา หล่อนอพยพมาอยูกับเขาหลังจากที่ตาซึ่งเป็นญาติคนสุดท้ายของหล่อนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ตอนนั้นหล่อนยังเป็นเด็กตัวผอมแกร็น ท่าทางเหมือนเด้กขี้โรค หล่อนอยู่กับเขามาหลายปี ไม่ยอมอพยพไปอยู่ที่ไหนเลย แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุทำให้เขาต้องส่งหล่อนไปอยู่ที่อื่น เพราะวันดีคืนดีหล่อนก็กลายเป็นสาวขึ้นมาเฉยๆ เขายังจำคืนที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้ว่าหล่อนไม่ใช่เด็กผอมแห้งคนเก่าอีกต่อไปแล้วได้ติดตา เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
วันนั้นเขาทำงานอยู่ในไร่จนถึงหกโมงเย็น เมื่อกลับเข้ามาที่กระท่อมเขารู้สึกแปลกใจ ที่บ้านทั้งบ้านมืดมิดผิดไปกว่าเคย ปกติหล่อนจะจุดตะเกียงสองสามดวงในบ้านก่อนหกโมงเย็น เพราะบนยอดเขาแห่งนี้มืดเร็ว เขาเปิดประตูเข้ามาแล้วเรียกหาหล่อน เมื่อไม่มีเสียงตอบเขาก็เที่ยวไล่จุดตะเกียงตามห้องต่างๆ แล้วถือตะเกียงดวงหนึ่ง เข้าไปส่องหาหล่อนในครัวและในห้องที่เคยเป็นห้องเก็บของ ที่ต่อมากลายเป็นห้องนอนของหล่อน แต่ไม่มีเด็กสาวผู้นั้น
เขานิ่งคิดอยู่นานว่าหล่อนหายไปไหน ปกติหล่อนจะออกมาต้อนรับเขาอย่างดีอกดีใจทันทีที่ถึงบ้าน บนโต๊ะอาหารเล็กๆที่ต่อเองของเขามีกับข้าวสองจานวางอยู่ใต้ฝาชี ที่หล่อนสานเองอย่างสวยงาม มีจานข้าวและส้อมช้อนวางเตรียมไว้ให้เหมือนเคย แม้แต่แก้วน้ำ แต่ไม่มีหล่อน เขาเลยถือตะเกียงเดินออกไปตรงลานนอกบ้าน ไม่มีหล่อนอีกเช่นกัน ทุกหนทุกแห่งเงียบสนิท แม้แต่ไก่ของหล่อนก็หยุดทำเสียงกุก..กุก ที่เขาเคยได้ยินอยู่เป็นประจำ
ขณะที่กำลังคิดว่าหรือหล่อนจะแล่นไปคุยเล่นกับพวกเมียคนงาน ที่ปลูกกระท่อมอยู่ห่างออกไปทางด้านหนึ่ง ไกลจากกระท่อมน้อยของเขา เขาก็เห็นเจ้ากวางตุ้งที่มักจะวิ่งตามหล่อนอยู่เป็นประจำ มันวิ่งมาจากเส้นทางที่ไปสู่น้ำตก พอเห็นเขามันก็วิ่งเข้ามาหา ส่งเสียงงื้ดง้าดอย่างดีอกดีใจ ใช้ปากคาบชายเสื้อตัวใหญ่ยาวที่เขาสวมอยู่ พยายามจะลากเขาให้ตามมันไป เขานึกสงสัยว่ามันอาจจะรู้ว่าหล่อนอยู่ที่ไหน นิ่งคิดสักครู่เขาก็ผละจากเจ้ากวางตุ้งขึ้นไปบนบ้าน หยิบปืนพกประจำตัวมาเหน็บไว้ที่เอว ฉวยไฟฉายกระบอกใหญ่ติดมือมา วางตะเกียงที่ถืออยู่ลงบนโต๊ะอาหารแล้วลงมาหาเจ้ากวางตุ้งแสนรู้ที่ยืนรออยู่เงียบๆ
เขาเดินตามมันไปเรื่อยๆ ไฟฉายในมือก็ส่องกราดไปสองข้างทาง ตอนนั้นเขาเริ่มกังวลแล้ว ว่าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกับหล่อนหรือเปล่า เพราะหล่อนไม่เคยพลาดที่จะอยู่รับหน้าเขาเมื่อเขากลับถึงบ้าน จุดประสงค์สำคัญก็เพื่อจะรายงานเขาฉอดๆ อย่างเอาหน้าว่าทั้งวันหล่อนทำอะไรบ้าง ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเขาจะขี้เกียจฟัง เหนื่อย หรือรำคาญบ้างหรือเปล่า
เขาส่งเสียงเรียกชื่อหล่อนไปตลอดทาง แล้วในที่สุดเขาก็เห็นหล่อนจากแสงไฟฉายที่ส่องกราดออกไป มายนอนคว่ำหน้าอยู่บนโขดหินใกล้น้ำตก หล่อนนอนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก ร่างของหล่อนเกือบจะเปลือยเปล่า ถ้าไม่มีผ้าถุงสีมืดที่หล่อนคงนุ่งแบบกระโจมอกลงเล่นน้ำ ที่ตอนนี้หลุดรุ่ยมาคล้องอยู่ตรงกลางลำตัวตั้งแต่เอวลงมาจนถึงสะโพก ท่อนขาเปลือยเปล่าขาวโพลน ผมยาวถึงกลางหลังของหล่อนแผ่กระจายคลุมอยู่บนแผ่นหลัง ใจของเขาหายวาบนึกว่าหล่อนตายแล้ว หรือว่าหล่อนถูกใครลากมาข่มขืนแล้วฆ่าทิ้ง แม้บนนี้จะไม่เคยมีเหตุร้ายเช่นที่ว่านี้มาก่อน แต่เขาก็อดกลัวไม่ได้ ไม่งั้นหล่อนจะมานอนเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างตัวหล่อน ขณะที่ใจเต้นตูมตามด้วยความวิตก วางไฟฉายในมือลงบนพื้นหินใกล้ๆโดยไม่ได้ปิดสวิชต์ แล้วยื่นมือออกไปหมายจะจับชีพจร เพื่อตรวจดูว่าหล่อนยังหายใจอยู่หรือเปล่า มายก็ส่งเสียงแผ่วๆขึ้นมา
"นาย นายจ๋า ช่วยมายด้วย"
เขาถอนใจยาวอย่างโล่งอกที่รู้ว่าอย่างน้อยหล่อนก็ยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่เขาลุกขึ้นยืนถอดเสื้อตัวใหญ่ยาวรุ่มร่ามที่สวมอยู่ออก เพื่อจะคลุมลงบนตัวหล่อน มายก็ขยับเขยื้อน ทำท่าเหมือนจะหงายตัวขึ้นจากท่าที่นอนคว่ำอยู่ ชายหนุ่มที่ใจหายวาบรีบโยนเสื้อที่ถอดออกจากตัว ลงไปคลุมร่างเกือบเปลือยของหล่อนเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่ถึงอย่างไรก็ช่วยไม่ได้ที่ทรวดทรงองค์เอวที่อะร้าอร่ามงามทุกส่วนสัดของหล่อน แม้จะเห็นเพียงด้านหลังก็ตาม ไม่รอดพ้นสายตาของเขาไปได้ แม้จะไม่ชัดนักและเห็นเพียงแวบเดียว หัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำกับภาพที่เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ หล่อนเป็นสาวโสภาบาดตายั่วใจขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เสียงก็แหบพร่าไปเมื่อถามด้วยเสียงที่พยายามทำให้แข็งๆกึ่งดุว่า “เรื่องอะไรถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ มาย บ้านช่องไม่รู้จักกลับ”
คำถามจริงๆที่ติดอยู่ในลำคอแต่ไม่กล้าเปล่งออกมาคือ ‘มานอนแก้ผ้าล่อนจ้อนล่อตะเข้อยู่ตรงนี้หรือไง’
มายกอดเสื้อที่เขาโยนมาให้เอาไว้แนบตัวเพื่อปกปิดร่างเปลือยเอาไว้ พยายามกระเ-ือกกระสนลุกขึ้นนั่ง
“ใส่เสื้อเข้าไปให้เรียบร้อยก่อน” เสียงของเขาดุที่มายฟังออกว่าเขากำลังโกรธ หล่อนไม่เห็นสีหน้าที่กระอักกระอ่วนของเขาเพราะความมืดช่วยอำพรางเอาไว้
มายทำตามคำสั่งของเขาโดยดี สวมเสื้อที่ยาวรุ่มร่ามปิดเลยขาอ่อนลงมาเสร็จก็พยายามยันกายจะลุกขึ้นยืน แต่ไม่สำเร็จ เข่าของหล่อนอ่อนยวบแล้วซวนเซจะล้มลงไป ถ้าไม่มีแขนของเขาเอื้อมมารับร่างของหล่อนเอาไว้เสียก่อน
“ขาเป็นอะไรไป” เขาถามห้วนๆ ก้มลงมองผู้หญิงในอ้อมแขน ที่ตอนนี้เอาหัวยุ่งๆกระเซอะกระเซิงซุกอกเขาเอาไว้เป็นที่ยึด “สงสัยจะเป็นตะคริว” หล่อนตอบอ่อยๆ เขาขมวดคิ้วจ้องมองหน้าหล่อนอย่างโกรธๆที่รนหาเรื่อง “แล้วเรามาทำบ้าอะไรอยู่ตรงนี้ เสื้อผ้าก็ไม่ใส่” “มาย..เอ้อ..มายมาอาบน้ำ” หล่อนตอบตะกุกตะกัก ไม่กล้ามองหน้าเขา รู้ว่าเขากำลังโกรธจัด “มาอาบน้ำ?”เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “มาอาบน้ำไกลถึงนี่ บ้าไปแล้วหรือ? ฮึ..มาย เรานี่ยิ่งโตยิ่งแย่นะ ที่บ้านไม่มีน้ำอาบหรือไง?” “มายมาเล่นน้ำตกน่ะ” “แล้วไง? หรือว่าเราอุตริแก้ผ้าเล่นน้ำ?” “เอ้อ..” หล่อนอึกอักได้เพียงแค่นั้น หล่อนก็อายเป็นเหมือนกันนี่นา แล้วรีบพูดต่อไปโดยเร็วไม่ต่อเนื่องกันว่า “น้ำมันเย็นมาก มายว่ายอยู่พักใหญ่ รู้สึกคล้ายๆจะเป็นตะคริว ก็เลยพยายามเ-ือกตัวขึ้นมาบนหินนี่ มันปวดมากจ้ะนาย มายลุกไม่ได้” "เรานอนอยู่อย่างนี้นานแค่ไหนแล้ว” “ก็..ตั้งแต่ยังไม่มืด” “ดี” เขาทำเสียงเยาะอย่างโกรธๆ “น่าจะนอนอยู่ตรงนี้ถึงสว่างเลย โชคยังดีนะที่เจ้ากวางตุ้งมันไปตามฉันมาที่นี่ ไม่งั้นมีหวังนอนตายเป็นผีเฝ้าน้ำตกอยู่ตรงนี้ ปะเหมาะถูกเสือคาบเอาไปกิน"
หล่อนฟังเสียงประชดประชันของเขาอย่างกลัวๆ รู้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี แม้อยากจะเถียงก็ไม่กล้าเถียง อยู่ร่วมบ้านกับเขามานานพอที่จะรู้ว่าอารมณ์ของเขาไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป ตาชองหล่อนเคยสั่งหล่อนไม่ให้ถือสากับสีหน้าท่าทางและคำพูดของเขาเพราะเขามีปัญหาส่วนตัว เมื่อหล่อนพยายามซักด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กว่าเขามีปัญหาอะไร แกก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ แถมยังพาลเอ็ดตะโรหล่อนเสียอีกว่า ‘ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไม่ต้องสอดรู้สอดเห็น’
พอความโกรธลดลงบ้างแล้วเขาก็บอกหล่อนด้วยเสียงห้วนๆว่า “นั่งลงก่อน ให้ฉันดูขาเราหน่อย"
เขาพยุงหล่อนให้ลงนั่งเหยียดขาบนแผ่นหิน ใช้มือกดลงไปบนน่องทีละข้าง หล่อนสะดุ้งเฮือกส่งเสียงโอดโอยอย่างเจ็บปวด กล้ามเนื้อน่องข้างซ้ายของหล่อนแข็งตึงเป็นลูก ซึ่งคงจะเกิดจากการเกร็งตัวเนื่องจากตะคริวจับ ทำให้เขาอดโมโหขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“สมน้ำหน้า น่าจะจมน้ำตายไปเสียนัก รู้ไม่ใช่หรือว่าถ้าเป็นตะคริวในน้ำน่ะ ผลมันจะเป็นยังไง” หล่อนค้อนขวับ ทำเสียงขุ่นๆ ตอบอย่างลืมตัวว่า “แหงละ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ” “หนอย...นังเด็กบ้า รู้แล้วยังไม่รู้จักกลัว ดันมาเล่นน้ำคนเดียวไกลถึงนี่” เขาปล่อยมือจากท่อนขาอวบที่เห็นขาวโพลนอยู่ในความมืด “เอาละ กลับบ้านก่อน ค่อยไปดูอีกที"
เขาดึงร่างหล่อนให้ยืนตามเขาขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางเสียงโอดโอยประท้วงของหล่อน “โอ๊ย..ไม่เอา มายเดินไม่ไหวหรอก ถ้าเดินได้มายก็คงกลับไปบ้านเสียนานแล้วละ” “ก็ใครบอกจะให้เราเดินไปเองล่ะ” เขาตวาด ทั้งโมโหและหมั่นไส้
แล้วในที่สุด เขาก็ต้องจับตัวหล่อนขึ้นพาดบ่า ฉวยไฟฉายขึ้นมาเพื่อส่องทาง แล้วเดินมุ่งหน้าพาหล่อนกลับบ้าน มีเจ้ากวางตุ้งวิ่งตามหลังไปติดๆ
เมื่อถึงกระท่อมน้อย เขาพาหล่อนไปนอนลงบนแคร่ยาวใกล้โต๊ะอาหาร เข้าไปคว้าผ้าห่มบางๆจากห้องนอนของเขา มาโปะลงไปบนตัวหล่อนเพื่อป้องกันความประเจิดประเจ้อเพราะรู้อยู่เต็มอกว่า นอกจากเสื้อกันหนาวตัวใหญ่โคร่งของเขาแล้ว หล่อนไม่ได้สวมใส่อะไรไว้ข้างในเลย หลังจากนั้นก็เอาน้ำมันเอนกประสงค์ที่หนานบุญมี ตาของหล่อนซึ่งมีความรู้เรื่องยาโบราณที่ทำจากสมุนไพร ทำเก็บให้เขาเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินหลายขนาน มาทาลงไปบนน่องข้างที่เป็นตะคริว คลึงเบาๆจนมันซึมหายเข้าไปในเนื้อแข็งๆของหล่อน ระหว่างนั้นมายก็ร้องโอดโอยไปด้วย
“โอ๊ะ..นายยังไมได้กินข้าวหรอกหรือจ๊ะ”
มายยังอุตส่าห์เป็นห่วงเขาอีก เมื่อเหลือบเห็นโดยบังเอิญว่าอาหารที่หล่อนเตรียมไว้ให้เขาก่อนออกไปเล่นน้ำยังอยู่ในสภาพเดิม
เขาขมวดคิ้ว ประชดว่า “ไม่ต้องวุ่นวายหรอก ก็ใครทำเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาล่ะ ไม่งั้นป่านนี้ฉันกินเสร็จเข้านอนไปนานแล้วมั้ง” หล่อนทำหน้าม่อย “นายไปกินข้าวเถอะ มายค่อยยังชั่วแล้วละ ไม่ค่อยเจ็บเหมือนเมื่อกี้แล้ว” “แล้วเราล่ะ กินข้าวหรือยัง?“ "กินแล้วจ้ะ” หล่อนเหลือบตาขึ้นค้อนเขา กระฟัดกระเฟียดถามว่า “จำไม่ได้หรือไงว่ามายกินข้าวก่อนนายทุกวัน” เขาทำหน้าเอือมๆ “รู้เหมือนกันแต่ขี้เกียจจำ เอ้า..ค่อยยังชั่วแล้วก็เข้าไปนอน ฉันจะได้กินข้าวกินปลามั่ง” “นายน่านไม่ต้องอาบน้ำก่อนหรอกเหรอ” หล่อนรู้ว่าเขาต้องอาบน้ำก่อนอาหารเย็นเสมอ “ไม่ต้องยุ่ง ฉันจะอาบตอนไหนก็ไม่ใช่เรื่องของเรา” ตาของเขาชักจะเขียวรำไรขึ้นมาอีกแล้ว “ไป..ไป เข้าห้องเราไปเสียที” มายยันตัวลุกขึ้นนั่งทำท่าดื้อดึง “ยังหรอก มายต้องรอให้นายกินข้าวเสร็จก่อน เดี๋ยวค่อยไป” “เอ๊ะ..เด็กบ้านี่ จะต้องมารอฉันทำไม” “อ้าว..ถ้างั้นใครจะเก็บโต๊ะ เอาจานไปล้างล่ะ หรือนายจะทำเอง” หล่อนเถียงฉอดๆตามนิสัยไม่ยอมแพ้ใครที่เขารู้จักดี “เออ..เดี๋ยวฉันจัดการเอง” พูดจบเขาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เริ่มลงมือรับประทานอย่างหิวโหย
มายนั่งมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน เดินเกาะฝาบ้าง ตู้ที่อยู่แถวนั้นบ้าง ผ่านเข้าไปในครัวแล้วทะลุเข้าไปในห้องส่วนตัวของหล่อน อีกสิบนาทีต่อมาหล่อนก็กลับออกมาใหม่ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสำหรับใส่นอนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็คือผ้าถุงเก่าๆ กับเสื้อยืดหลวมๆตัวหนึ่ง
‘นายน่าน’ ทานอาหารเสร็จแล้ว กำลังนั่งสูบบุหรี่หลังอาหารอยู่เงียบๆ แม้จะเห็นหล่อนดึงดันเดินมาเก็บถ้วยจานชามบนโต๊ะเพื่อนำไปล้างเหมือนทุกวัน เขาก็เลิกสนใจแล้ว รู้ว่าเวลาที่มายดื้อขึ้นมาก็เสียเวลาที่จะไปห้ามปรามหล่อน ช่างปะไร..หล่อนอยากจะทำบ้าอะไรก็เรื่องของหล่อน คืนนี้เขาเสียเวลากับเรื่องของหล่อนมามากพอแล้ว นอกจากนี้ที่ไม่พูดอะไรอีกก็เพราะเขาเห็นแล้วว่าหล่อนเดินได้คล่องขึ้นมาก แม้จะโขยกเขยกไปบ้างก็ตาม
หลังจากเก็บของบนโต๊ะเข้าไปไว้ในครัวเพื่อเตรียมล้างแล้ว มายก็ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง ในมือมีถ้วยดินเผาใบหนาเตอะมีหูจับ หล่อนวางถ้วยใบนั้นลงตรงหน้าเขา
“กาแฟจ้ะ นายน่าน” เป็นหน้าที่ของหล่อนที่จะชงกาแฟพื้นเมือง ข้นคลั่กขมปี๋ไม่ใส่น้ำตาลมาให้เขาหลังอาหารเย็น
ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวเกือบหมดถ้วย แม้มันจะค่อนข้างร้อนก็ตาม ต่อจากนั้นก็เดินลงจากบ้านพร้อมด้วยบุหรี่มวนใหม่ เขายังไม่อาจมองหน้ามายได้สนิทใจนัก ก็สืบเนื่องมาจากเหตุกาณ์เมื่อตอนหัวค่ำนั่นแหละ มองหล่อนทีไรก็เห็นแต่ภาพร่างเกือบเปลือยเปล่าเย้ายวนอารมณ์ ที่ก่อกวนกิเลสเบื้องต่ำให้คุโพลงขึ้นมา จะโทษเขาก็คงไม่ได้ เขายังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงฟิตเปรี๊ยะเพราะงานหนัก เขายังเต็มไปด้วยเลือดด้วยเนื้อของผู้ชายธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนหรือฤาษีชีไพรที่ตัดกิเลสได้แล้วสักหน่อย แล้วเขาก็ห่างเหินผู้หญิงมานานพอสมควร เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรหล่อนหรอก เพียงแต่ใจที่สั่นหวั่นไหวไปบ้าง..ก็เท่านั้น
แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 55 13:57:14
จากคุณ |
:
ดอยสะเก็ด
|
เขียนเมื่อ |
:
วันอาสาฬหบูชา 55 21:43:56
|
|
|
|