Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่หนึ่ง;บึงนางพราย Part 2
|
|
สวัสดีทุกคนในวันเข้าพรรษาครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณกิฟท์ที่แสนอบอุ่นจากอาจารย์จี Psycho man,คุณ FaithStone(ให้กิฟท์ยกชุดเลย แหะๆ ขอบคุณมากครับ ออกมาทักทายกันได้นะครับ ^^),พี่รุริกะ, พี่โส้ย - zoi, พี่หมอกมุงเมือง - สามปอยหลวง, พี่บ่าว - น้ำพรมหนำ, พี่ปอม - กาปอมซ่า,คุณพี่บก. Sniper-1500watt,และคุณซาฟิยะห์ - เพชรรุ้งพรายด้วยคร้าบ
เอาล่ะ Part จบของบึงนางพรายมาแล้ว สำหรับใครยังไม่ได้อ่านในส่วนย่อยที่ 1 - 4 ของเรื่อง(รวมถึงที่มา - ที่ไปของเรื่องสั้นขนาดยาวเรื่องนี้ด้วย) สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่นี่ครับ
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่หนึ่ง;บึงนางพราย Part 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12451148/W12451148.html
แล้วก็ขอแนะนำอย่างเป็นทางการว่า เรื่องสั้นชุด Love Like Blood เป็นเรื่องสั้น 13 เรื่องที่มีธีมเกี่ยวกับความรัก ความรุนแรงและความตาย ซึ่งสำหรับเรื่องสั้นบางเรื่องในโปรเจ็กต์นี้ก็ไม่ใช่ความรักระหว่างหนุ่มสาว(หนุ่ม - หนุ่ม หรือ สาว - สาวก็ไม่มีนะ ฮิฮิ) เสมอไป แต่เป็นความรัก+ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในครอบครัวเช่นพ่อกับลูก หรือเจ้านายกับสัตว์เลี้ยงเป็นต้น
ขอบคุณที่คุณที่เข้ามาอ่านครับ
-------------------------------
- 5 -
ผมรู้จักคำว่า คนโรคจิต ครั้งแรกจากการรับชมภาพยนตร์ฝรั่งในวีดิโอเทปที่แม่เช่ามาดู ในความคิดของผมสมัยนั้น ผมไม่เคยรู้และไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าเด็กๆ อย่างพวกเราก็สามารถกลายเป็นคนโรคจิตได้ในชั่วเวลาข้ามคืนเหมือนกัน เปล่า ผมไม่ได้พูดถึงตัวเอง แต่ผมกำลังพูดถึงแตงโม
ความตายของน้องสาวฝาแฝดสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นกับจิตใจของแตงโมมากมาย เธอกลายเป็นเด็กที่ไม่มีรอยยิ้มหรืออันที่จริงควรเรียกว่าไม่มีความรู้สึก แตงโมเปลี่ยนแปลงไปราวกับเป็นคนละคน เท่าที่ผมได้พบเธอหลังเกิดโศกนาฏกรรมที่บึงนางพรายประมาณหนึ่งสัปดาห์ แตงโมดูเลื่อนลอย เธอนั่งทื่ออยู่กับที่และทอดสายตามองผนัง ไม่ยอมรับรู้ถึงคำพูดของคนรอบกายที่พยายามสื่อสารกับเธอ แตงโมไม่ยอมกินข้าว ร่างกายของเธอจึงผอมซูบลงอย่างรวดเร็ว
พ่อแม่ของแตงโมพาแตงโมไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอที่โรงพยาบาลจึงแนะนำให้ไปปรึกษากับจิตแพทย์เด็ก ผมได้ข่าวว่าพ่อแม่เธอหมดเงินไปมากโขเพื่อที่จะได้คำตอบว่าลูกสาวของพวกเขาเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยทางจิตที่อาการของเธอมีชื่อเรียกว่า โรคเครียดจากเหตุการณ์ร้ายแรง หรือชื่อเต็มๆ ในภาษาอังกฤษก็คือ Post Traumatic Stress Disorder ซึ่งมักได้รับการเรียกโดยย่อเพื่อความสะดวกว่า PTSD
ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าไอ้โรค PTSD คืออะไร มาเริ่มสนใจก็ตอนโตและลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
ข้อมูลที่ได้ทำให้ผมปวดร้าวใจและผมเชื่อว่าอั้มกับอึ่งก็คงปวดร้าวใจไม่ต่างจากผมหากพวกเขาได้ลองอ่านมัน
โรค PTSD เกิดจากการที่ผู้ป่วยได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ความเป็นความตายที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองและคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ของตนเองหรือของคนอื่นก็ตาม อาทิเช่น ได้ไปแอบเห็นการฆาตกรรมหรือการข่มขืนอย่างทารุณหรือประสบเหตุภัยพิบัติรุนแรง โดยส่วนมากผู้ป่วยมักเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่าผู้เห็นเหตุการณ์และเพศหญิงมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นมากกว่าเพศชาย
นอกจากนี้ โรค PTSD ยังแยกย่อยได้อีกสามประเภทคือ
ประเภทที่ 1. re-experiencing อาการเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาเป็นภาพหลอน
ประเภทที่ 2. hyperarousal อาการวิตกจริต
ประเภทที่ 3. avoidance และ emotional numbing อาการหลีกหนีความทรงจำและแสดงความรู้สึกเฉื่อยชา แตงโมถูกจัดอยู่ในประเภทที่สามคือแสดงความรู้สึกเฉื่อยชา เธอใช้ชีวิตเหมือนหุ่นไม้ ไม่พูดไม่คุยกับใคร เมื่อพ่อแม่ผมพาผมไปเยี่ยมเธอหลังทราบว่าเธอป่วยทางจิต แตงโมไม่แสดงอาการว่าเห็นผมด้วยซ้ำ แต่พอผมกับอั้มและอึ่งแอบไปเยี่ยมกันเองในอีกสองวันต่อมา แตงโมถึงค่อยพูดคุยบ้าง แต่ที่น่าขนลุกก็คือ แตงโมจะหันไปซุบซิบกับอากาศธาตุข้างกายเป็นระยะและบอกกับเราว่าเธอกำลังคุยอยู่กับแตงไทย แตงไทยอยากชวนพวกเราไปเล่นน้ำที่บึงอีก จิตใจของแตงโมไม่ยอมรับรู้ว่าน้องสาวฝาแฝดของเธอเสียชีวิตไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ กลไกป้องกันจิตใจของผู้ป่วย PTSD ทั้งในประเภทแสดงความรู้สึกเฉื่อยชาและประเภทหลีกหนีความทรงจำมักจะทำงานปิดกั้นความทรงจำที่สะเทือนจิตใจออกจากสมอง ผมจึงไม่แปลกใจเลยเมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตครั้งที่เหตุการณ์ที่บึงนางพรายผ่านไปร่วมสองเดือน แตงโมยังคงไปเรียนไม่ได้และชอบหนีออกจากบ้านมานั่งเล่นที่บึงนางพรายบ่อยๆ ทุกครั้งที่พ่อแม่ของเธอไปตามตัวกลับมา แตงโมก็ตอบพวกเขาว่าพาน้องสาวมาว่ายน้ำเล่น
ความทรงจำที่จางหายไปของแตงโมไม่มีวี่แววว่าจะกลับคืนมา เธอยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านโดยมีแม่ดูแลอย่างใกล้ชิด อาการของเธอไม่เคยดีขึ้น แม้กระทั่งตอนที่พ่อแม่ผมตัดสินใจขายสวนฝรั่งให้นายทุนที่มารบเร้าขอซื้อที่ไปทำเป็นสนามกอล์ฟในอีกครึ่งปีต่อมา
วันที่เราขนของย้ายบ้านเพื่อไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่จังหวัดนครปฐม แตงโมยังคงมาส่งผมพร้อมอั้มกับอึ่ง พวกเราหลงดีใจนึกว่าอาการของเธอดีขึ้นแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอผมกระโดดเข้ามานั่งในรถ แตงโมก็เดินมายืนข้างหน้าต่างและยื่นซองจดหมายให้ผมซองหนึ่งโดยบอกว่าแตงไทยเป็นคนเขียนแต่อายเกินไปที่จะนำมาให้ด้วยตัวเอง ผมพูดขอบใจ รับจดหมายแล้วหลิ่วตามองอั้มกับอึ่งอย่างรู้กัน
ก่อนที่จะจากกันมา ผมได้กำชับให้เจ้าสองคนนั้นดูแลแตงโมให้ดี ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพื่อนเรา แต่น่าเสียดายที่อั้มกับอึ่งไม่มีโอกาสได้ทำตามที่สัญญา เมื่อครอบครัวผมตั้งหลักได้กับการเปิดร้านอาหารตามสั่ง อั้มก็ส่งจดหมายมาแจ้งข่าวว่าเขาย้ายไปอยู่บ้านยายที่ปทุมธานี ส่วนอึ่งก็ย้ายไปทำนาที่บ้านแม่ในจังหวัดมุกดาหาร และทุกคนต่างได้รับ จดหมายของแตงไทย จากแตงโมในวันที่ย้ายบ้าน
เนื้อความของจดหมายที่พวกเขาได้รับเหมือนจดหมายที่ผมได้รับทุกตัวอักษร
มันมีเพียงบรรทัดเดียวว่า
สักวัน...เราจะไปหาเธอ
นับเป็นข้อความที่น่าสะพรึงกลัวทีเดียวหากคิดในแง่ที่ว่ามันคือจดหมายจากความตาย แต่ความจริงก็คือความจริง แตงโมเขียนจดหมายฉบับนั้นด้วยจิตใจอันปั่นป่วนของเธอ ไม่ใช่มืออันซีดเซียวเพราะการจมน้ำของแตงไทย
แต่ทั้งที่รู้อย่างนั้น ก็น่าแปลกเหมือนกันที่ทั้งผม ทั้งอั้ม ทั้งอึ่ง ไม่มีใครเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้เลยสักคน
ไม่มีใครเก็บจดหมายที่แตงโมให้....นอกจากออย เส้นทางชีวิตของผมกับออยต้องมีอันแยกย้ายกันไปหลังเกิดเหตุอันน่าเศร้าที่บึงนางพรายเพียงสัปดาห์เดียว หลังจากที่แตงไทยตาย ผมกับออยก็มองหน้ากันไม่ติด เราได้เจอกันที่โรงเรียนอีกเพียงไม่กี่ครั้งก่อนที่แม่ของเธอจะเดินทางมารับกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่ ผมและเธอต่างรู้ว่าที่แตงไทยต้องตายก็เป็นเพราะเรา ออยเลือกช่วยชีวิตผมและปล่อยให้แตงไทยจมไปใต้น้ำ และมันคงเป็นตราบาปที่ติดอยู่ในใจเธอเช่นเดียวกับตราบาปที่ติดอยู่ในจิตใจของผม ผมคิดเสมอว่า ตราบาปนี้จะติดอยู่ในใจพวกเราตลอดไปตราบจนวันที่ความตายของพวกเรามาถึง
- 6 -
กาลเวลาสิบสามปีหมุนผ่านไปทำให้ผมได้โคจรกลับมาเจอออยอีกครั้งอย่างไม่คิดไม่ฝัน
เหตุที่เกิดกับเราในปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คิดไม่ฝันทั้งสิ้น
ผมผู้ใช้ชีวิตเป็นพนักงานออฟฟิศในบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครไม่นึกเลยว่าการเดินลงมาซื้อข้าวกล่องสำเร็จรูปในช่วงพักกลางวันครั้งนั้น จะทำให้ผมได้พบกับออยและลูกสาวที่น่ารักของเธอ
มันเป็นร้านสะดวกซื้อที่มีตั้งอยู่แทบทุกพื้นที่ในประเทศไทย ผมเข้าร้านนี้นับรวมแล้วก็หลายพันครั้งในรอบสองปีที่เริ่มต้นทำงาน ผมฝากท้องของตัวเองไว้กับบรรดาอาหารกึ่งสำเร็จรูปของที่นี่แทบจะเช้า สาย บ่ายและเย็น ผมเดินเข้าออกที่นี่จนพนักงานเกือบทุกคนจำหน้าผมได้
และวันนั้นมันก็เป็นเพียงวันธรรมดาที่อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนวันหนึ่ง ผมเดินผลักประตูเข้าไป ที่เคาน์เตอร์คิดเงินมีเด็กวัยรุ่นสองสามคนกำลังรอให้แคชเชียร์นำอาหารกล่องออกจากไมโครเวฟ ผมก้าวเท้าเลี้ยวเข้ามุมที่เป็นชั้นวางอาหารกระป๋องเพื่ออ้อมไปอีกมุมหนึ่งที่เป็นชั้นวางขนมขบเคี้ยว ตั้งใจจะหยิบขนมที่รุ่นพี่ในที่ทำงานฝากซื้อก่อน แล้วค่อยเดินไปหยิบของๆ ตัวเองทีหลัง
แต่แล้วโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของผมก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งบ่งบอกว่ามีคนส่งข้อความออนไลน์เข้ามา ผมชะงักเท้าแล้วล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ ปรากฏว่าเป็นรุ่นพี่ที่ฝากผมซื้อขนมนั่นเอง เธอส่งข้อความมาบอกว่าขอเปลี่ยนช็อคโกแล็ตที่สั่งมาเป็นโยเกิร์ตไขมันต่ำไม่มีน้ำตาลแทนเพราะกำลังอยู่ในช่วงไดเอท ผมก้มหน้าพิมพ์ข้อความตอบถามกลับว่าจะเอาโยเกิร์ตยี่ห้ออะไรพลางขยับเท้าเดินต่อไป เมื่อได้รับคำตอบแล้วผมจึงเงยหน้าขึ้น เป็นขณะเดียวกับที่สองเท้าพาผมมาหยุดยืนหน้าตู้แช่เย็นที่มุมร้านพอดี
แล้วจังหวะนั้น ผมก็ต้องยืนตกตะลึงเมื่อสบตาหญิงสาวผู้หนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ทั่วกายของผมเย็นเฉียบราวตกอยู่ใต้บึงน้ำแห่งนั้นอีกครั้ง
เธอเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย กำลังยืนอยู่ข้างตู้แช่และเปิดประตูตู้แช่ออกเพื่อให้เด็กผู้หญิงวัยสี่ขวบถักผมเปียและติดกิ๊บติดผมรูปผีเสื้อคนหนึ่งเลือกโยเกิร์ตรสต่างๆ
ผมอ้าปากค้างยืนตะลึงลานอยู่อย่างนั้น เธอเองก็ยืนมองผมด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน
ถึงแม้จะไม่ได้พบเจอกันมานานสิบสามปี แต่พวกเราจดจำกันและกันได้ในทันทีที่เห็นหน้า
หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนนั้นคือออย โครงหน้าของเธอแทบไม่เปลี่ยนไปเลยในความรู้สึกของผม เธอยังคงเป็นออย เพียงแค่ตัวโตขึ้นเท่านั้น
คุณแม่ขา น้ำค้างจะเอารสสตรอเบอร์รี่อันนั้น คุณแม่หยิบให้น้ำค้างหน่อย เด็กหญิงผมเปียหันมากระตุกชายเสื้อของออยและชี้นิ้วเล็กๆ ไปยังโยเกิร์ตขวดหนึ่งซึ่งตั้งอยู่สูงกว่าเอื้อมมือของเธอ
ไหนคะลูก? ออยได้สติ เธอหันกลับไปย่อตัวพูดกับเด็กหญิงขณะผมค่อยๆ เดินเข้าไปยืนข้างตู้แช่อย่างวางตัวไม่ถูกและไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
ผมควรจะทักเธอดีหรือไม่? หรือจะรอให้เธอทักผมก่อน? หรือว่าควรทำเป็นไม่รู้จักกัน? แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่? เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นลูกเธอจริงๆ หรือ? คำถามเหล่านั้นก่อสงครามกันในหัวของผมจนผมต้องสลัดพวกมันออกไปและรีบส่งเสียงถามก่อนที่จะห้ามตัวเองทัน
ขอโทษครับ นี่ออยใช่ไหม?
ผมยืนกระพริบตารอคำตอบอย่างลุ้นระทึก เธอคือออยแน่ๆ แต่หากเธอบอกว่าไม่ใช่ ผมจะทำอย่างไร มันหมายความว่าเธอคงไม่อยากรู้จักผมและไม่อยากเห็นหน้าผมอีกต่อไปใช่หรือเปล่า?
หัวใจของผมเต้นไม่เป็นส่ำ ออยฉีกยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือหยิบโยเกิร์ตขวดนั้นส่งให้เด็กหญิงก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบผมพลางกล่าวอย่างหยอกล้อ
แหม นึกว่าจะไม่ทักกันซะอีก โตแล้วพูดเพราะขึ้นเยอะนะน้ำ
ผมเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เด็กหญิงคนเดิมหันมากระตุกชายเสื้อออยอีกครั้งและชี้ไปที่ตู้แช่ไอศกรีมชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง
น้ำค้างอยากกินไอติม คุณแม่ซื้อให้น้ำค้างหน่อยจิ เด็กน้อยพูด ดวงตากลมโตที่เหมือนดวงตาของออยทอประกายประจบประแจง
คนนี้ เอ้อ ลูกออยหรอ? ผมถาม ก้มหน้าลงส่งยิ้มให้เด็กน้อยผมเปีย แต่หัวใจเจ็บปวดแปลบ อายุอย่างพวกเราไม่ควรมีลูกโตขนาดนี้ ผมภาวนาให้ออยตอบว่าเด็กคนนี้เป็นหลานของเธอ เป็นลูกของเพื่อน เป็นลูกบุญธรรม เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอที่เกิดกับผู้ชายคนอื่น
ผมยังไม่อยากเจอหน้าเธอครั้งแรกและได้รู้ว่าเธอมีใครบางคนอยู่เคียงข้างชีวิตเธออยู่แล้ว
อื้อ ลูกสาวออยเอง นี่ น้ำค้าง ไหว้คุณอาก่อนสิลูก คุณอาเค้าเป็นเพื่อนคุณแม่จ้ะ ออยหันไปพูดกับเด็กน้อยด้วยสีหน้าแจ่มใสไม่เปลี่ยนแปลง
สวัสดีค่ะ หนูน้อยน้ำค้างยกมือไหว้ผมพร้อมกับยอบตัวลงเล็กน้อยอย่างน่ารักน่าชัง
สวัสดีค่ะ ผมรับไหว้ หัวใจหวิวไหวเหมือนมีคนนำตะปูไปตอก เก่งจังเลย อายุเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย?
น้ำค้างฉีกยิ้มแฉ่ง เงยหน้าตอบผม ฉี่ขวบค่ะ
อ๋อ ฉี่ขวบแล้วหรอ ผมเอื้อมมือไปลูบหัวหนูน้อย หวังว่าการพูดคะขากับเธอคงทำให้หนูน้อยไม่หวาดกลัวชายแปลกหน้าคิ้วหนาตาตี่อย่างผม อยากกินไอติมหรือคะ ไปสิ เดี๋ยวอาซื้อให้
ไม่ต้องหรอกน้ำ ออยพูดอย่างเกรงใจ แต่ไม่ทันแล้ว ผมจูงมือเล็กป้อมของน้ำค้างตรงไปที่ตู้แช่ไอศกรีม ผมเลื่อนฝาปิดกระจกด้านบนตู้แช่ออกและอุ้มหนูน้อยขึ้นไปให้เธอเลือกดูไอศกรีมที่ถูกใจ เด็กๆ มักมีสัมผัสพิเศษกับไอศกรีมราคาแพงเสมอ น้ำค้างเอื้อมมือหยิบไอศกรีมวานิลาเคลือบช็อคโกแล็ตแท่งล่ะสี่สิบบาทขึ้นมา ผมอุ้มเธอลงและปิดฝากระจกของตู้แช่
ออยเดินเข้ามาหาลูกสาวและกล่าวว่า คุณอาซื้อไอติมให้ ขอบคุณหรือยังคะลูก?
ขอบคุณค่ะหนูน้อยผมเปียยอบตัวลงอย่างน่ารักอีกครั้ง ในมือของเธอกอดไอศกรีมแทนขวดโยเกิร์ตที่ฝากผู้เป็นแม่เอาไว้ ผมหัวเราะอย่างเอ็นดูพลางนึกอิจฉาผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กน้อยและเป็นคนรักของออยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาคงเป็นครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขมาก
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
ไม่ใช่โทรศัพท์ของผม แต่เป็นโทรศัพท์ของออย
คะ พี่มอลลี่? นั่นคือคำแรกที่เธอพูดหลังรับโทรศัพท์ ....วันมะรืนนี้ งานอีเว้นต์เปิดตัวนมเปรี้ยวรสใหม่ที่เวิร์ลเทรด...ค่ะ...ไม่มีปัญหาค่ะ...ได้ค่ะ....
ผมรู้สึกว่าออยกำลังคุยเรื่องงานที่ไม่อยากให้ใครไปรบกวน จึงถือวิสาสะจูงมือน้ำค้างเดินมุ่งหน้ามาที่เคาน์เตอร์คิดเงินเพื่อที่จะได้จ่ายค่าไอศกรีมและครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำต่อไป
ระหว่างทางที่เดินผ่านชั้นวางสินค้า ผมโน้มตัวลงถามน้ำค้างเป็นการชวนคุย
วันนี้น้ำค้างมาทำอะไรกับคุณแม่ที่นี่เอ่ย?
วันนี้คุณแม่หยุด คุณแม่พาน้ำค้างมาเที่ยวค่ะ แล้วคุณพ่อไม่มาด้วยหรือคะ? ผมถามพร้อมกับที่หัวใจเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบอีกแล้ว
ไม่มาค่ะ เด็กน้อยตอบน้ำเสียงรื่นเริง
คุณพ่อติดงานหรือ? ผมรู้สึกฉุนกึกขึ้นมา ผู้ชายอะไร ปล่อยให้เมียพาลูกมาเที่ยวคนเดียว ไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวที่ดีเลย แต่อีกด้านหนึ่งในใจก็ยังอุตส่าห์คัดค้านว่า ผู้ชายคนนั้นอาจจะเป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนผมที่ไม่สามารถลาหยุดแบบตามใจชอบก็ได้
แต่ฉับพลันนั้น คำตอบที่หลุดออกมาจากปากหนูน้อยก็ทำเอาผมชะงักกึก
เปล่าค่ะ น้ำค้างไม่มีพ่อ
หือ น้ำค้างว่าอะไรนะคะ? ผมถามอย่างประหลาดใจ
น้ำค้างก็มีสีหน้าประหลาดใจเหมือนกัน แต่เธอประหลาดใจว่าผมหยุดเท้าและทำท่าตกใจทำไม ถึงกระนั้นก็ตาม เธอก็ยังคงตอบตามประสาเด็กดีที่เชื่อฟังผู้ใหญ่ คุณแม่บอกว่าคุณพ่อของน้ำค้างตายไปอยู่บนสวรรค์ก่อนที่น้ำค้างจะเกิดค่ะ
หัวใจของผมกลับมาเต้นด้วยจังหวะคึกคักของความหวัง ผมเกลียดตัวเองจริงๆ ที่ดันรู้สึกดีใจในความตายของคนอื่นอย่างนี้ ผมจึงรีบไล่ความรู้สึกเหล่านั้นออกจากใจและก้มมองหนูน้อยผมเปียด้วยความเอ็นดูมากขึ้นก่อนจะกล่าวว่า คุณอาขอโทษที่ถามนะคะ น้ำค้าง คุณอาไม่รู้
คุณอาขอโทษน้ำค้างทำไมคะ? หนูน้อยขมวดคิ้วจ้องผมตาแป๋ว เธอคงเด็กเกินไปที่จะรับรู้ความเจ็บปวดของการไม่มีพ่อ หรือไม่ออยก็คงทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ได้อย่างสมบูรณ์จนน้ำค้างไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหาย ผมได้ยินมาว่าในตอนนี้มีผู้หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวอยู่ครึ่งโลก ออยคือหนึ่งในนั้น ผมรู้สึกชื่นชมเธอจริงๆ
เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก คุณอาว่าเราเอาไอติมไปให้พี่คนสวยคนนั้นคิดเงินดีกว่านะ น้ำค้างจะได้กินไอติมเร็วๆ ไง ผมพูด ยืดตัวขึ้นและก้าวเท้าเดินไปที่เคาน์เตอร์ซึ่งแคชเชียร์หน้าหมวยกำลังยืนยิงฟันยิ้มรอที่จะแซวอยู่พอดี
โหย พี่ เผลอแป็บเดียวมีลูกโตขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย
คิดเงินๆ อย่าพูดมาก ผมแกล้งพูดเสียงเข้ม การเป็นลูกค้าประจำของผมทำให้ผมพอที่จะเล่นหัวหยอกล้อกับบรรดาพนักงานในร้านได้ระดับหนึ่ง ผมจ่ายเงินให้แคชเชียร์และกำลังจะแกะห่อไอศกรีมให้หนูน้อย ออยก็เดินตามมาสมทบ
น้ำทำงานอยู่แถวนี้หรอ? เธอถาม ยัดโทรศัพท์เก็บในกระเป๋าสะพายที่เข้ากันดีกับชุดทะมัดทะแมงของเธอ
อื้อ อยู่ตึกถัดจากนี้ไปสองหลังเอง ผมตอบ ยื่นแท่งไอศกรีมส่งให้น้ำค้าง แล้วออยล่ะ เห็นน้ำค้างบอกว่าวันนี้วันหยุดใช่ไหม?
จ้ะ วันหยุด พอดีงานที่ติดต่อไว้แถวพารากอนทีมงานเค้ายกเลิกกะทันหันเมื่อคืนน่ะ วันนี้กับพรุ่งนี้ออยเลยว่าง มีเวลาพายัยหนูมาเที่ยว ออยตอบพร้อมกับลูบศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่
ผมไม่รู้ว่าออยทำงานอะไร แต่ถึงอยากรู้ก็ยังไม่กล้าถามเพราะกลัวจะเป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป ทันใดนั้น เสียงกรุ๊งกริ๊งก็ดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของผม ผมสะดุ้งโหยงจนออยหัวเราะคิก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูข้อความ รุ่นพี่เจ้าเก่าส่งข้อความมาเร่งให้ผมกลับขึ้นตึกไปเร็วๆ เพราะเธอกำลังรอโยเกิร์ตจากผมอยู่
แฟนบีบีมาตามแล้วหรอ? ออยกระเซ้า วางมือบนไหล่น้ำค้างที่กำลังกัดเปลือกช็อคโกแล็ตที่เคลือบเนื้อไอศกรีมอย่างเอร็ดอร่อย
เปล่า รุ่นพี่น่ะ เค้าฝากเราซื้อของ ผมตอบพลางพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์บอกให้ปลายทางรอไปก่อน แล้วนี่ออยจะพาน้ำค้างไปไหนต่อหรือ?
ว่าจะพาไปดูหนังสักเรื่องแล้วค่อยแวะไปดูดิสนี่ย์รอบเย็นน่ะ ออยจองตั๋วไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า ออยตอบ แล้วอธิบายเพิ่มเติมถึงละครเวทีสำหรับเด็กที่นำเข้าการแสดงจากต่างประเทศซึ่งเนื้อเรื่องว่าด้วยการจับนิทานของสองพี่น้องตระกูลกริมม์มาผูกปมรวมกันเป็นเรื่องเดียว
แหม วันนี้เที่ยวทั้งวันเลยนะคนสวย ผมหลิ่วตาให้น้ำค้างหลังจากพิมพ์ข้อความเสร็จแล้ว
ก็คุณแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้น้ำค้างนี่นา หนูน้อยพูดน้ำเสียงตัดพ้อทั้งที่รอบๆ ปากเปรอะเปื้อนคราบวานิลา
จ้า แม่ถึงได้พามาเที่ยวไงคะ ยังไม่พอใจอีกหรอ ออยพูดเสียงหวานก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกจากกระเป๋าและเช็ดคราบไอศกรีมบนแก้มลูกสาวอย่างอ่อนโยน
พอใจค่ะ น้ำค้างรับคำแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ออยดูเป็นแม่ที่ดีมาก น้ำค้างก็เป็นลูกที่น่ารัก แต่อะไรบางอย่างในดวงตาของออยกลับทอแววเศร้าอย่างประหลาดเมื่อมองบุตรสาว ความสงสัยผุดขึ้นในใจผมว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนรักของเธอผู้เป็นพ่อของน้ำค้างกันแน่?
มันอาจไม่ใช่ธุระของผม แต่ผมคงต้องถามเธอให้หายสงสัย เพียงแต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้
เอ้อ ออย เราคงต้องกลับขึ้นไปทำงานแล้วล่ะ ผมพูดหลังหลุบตามองนาฬิกาข้อมือ ขอเบอร์โทรออยไว้หน่อยสิ เดี๋ยวจะได้โทรไปหา
เบอร์โทรหรอ? ออยทวนคำ สีหน้าเกิดอาการลังเลอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้เบอร์โทรศัพท์กับผมดีหรือไม่
อื้อ เบอร์โทร ผมพูด หัวใจหล่นวูบ นี่ผมกลายเป็นคนที่เธอไม่อยากติดต่อด้วยขนาดนี้แล้วหรือ?
ออยสูดหายใจลึก อ้าปากออกเพื่อบอกอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเบอร์โทรศัพท์หรือคำปฏิเสธอย่างนุ่มนวล ออยก็ไม่ได้พูดมันออกมาเพราะคนที่พูดตัดหน้าคือหนูน้อยผู้รอบๆ ริมฝีปากกลับมาเปรอะด้วยคราบไอศกรีมอีกครั้ง
เบอรโทฉับของคุณแม่ 085 148... น้ำค้างพูดหมายเลขสี่ตัวที่เหลือและกล่าวเสริม ...คุณอาจะรับอีเมลกับที่อยู่ด้วยมั้ยคะ?
จากคุณ |
:
ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
|
เขียนเมื่อ |
:
วันเข้าพรรษา 55 11:57:04
|
|
|
|