15
ปัง!!
ปัญวิชช์รู้สึกถึงความร้อนที่ลวกบนผิวแขนขวา แรงผลักนั้นทำให้เขาล้มลง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นและสติค่อย ๆ บอกว่าตนเองถูกยิง พอหันหาที่มาก็ไม่เจออะไรในความมืดสลัว หัวใจเขาเต้นระรัว
ชายหนุ่มกุมต้นแขนขวา ของเหลวสีแดงไหลซึมออกมา มีปฏิกริยาของผู้คนซึ่งเริ่มเดินหาที่มาของเสียงเช่นเดียวกัน ปัญวิชช์เดินเร็ว ๆ กลับไปที่รถ สูดลมหายใจลึก สำรวจบาดแผล พอแหวกรอยเสื้อที่ขาดดูแล้วเหมือนจะโดนแค่ถาก ๆ แต่เลือดยังไหล เขาควักผ้าเช็ดหน้าออกมาพันห้ามเลือดไว้อย่างลวก ๆ แล้วกลับมาถามตนเองซ้ำ ๆ นี่เขาถูกยิงอย่างนั้นเหรอ
ข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นในสมอง ใคร เพื่ออะไร จงใจจะยิงให้ถากเช่นนี้ หรือเอาชีวิต
แต่ล้วนแล้วยังไม่มีคำตอบ เขาสะบัดหน้า สตาร์ทรถ ต้องคิดก่อนว่าจะทำยังไงต่อไป ก่อนอื่น คงต้องทำแผลก่อน แต่ต้องไม่ใช่โรงพยาบาล
เขาขับเคลื่อนยานพาหนะออกไป หางตาเห็นรปภ.ของสถานที่เพิ่งจะเข้ามา
ในมุมมืด เจ้าของปืนและกระสุนยิ้มอย่างเลือดเย็น เก็บอาวุธไว้ในรถ แล้วเดินปะปนกับกลุ่มคนเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยไม่ให้ผิดสังเกต
ปัญวิชช์ประคองสติขับรถไปถึงยังคอนโดของนภัสรินทร์ เขาจอดรถแล้วกดโทรศัพท์ เวลาตอนนั้นสี่ทุ่มกว่า นภัสรินทร์รับสายด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“มีอะไร”
“ริน ผม...อยู่ข้างล่างนะ”
“มาทำไมอีก นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่มีนาฬิกาเหรอ” เธอเหวี่ยงใส่ ชายหนุ่มเป่าปาก
“แต่...รินลงมาก่อนได้ไหม”
“อย่าทำตัวไม่มีเหตุผลได้ไหม ดึกแล้วนะ ฉันอยากพักผ่อน คุณก็เหมือนกัน”
“ผมรู้ ขอแค่ให้ผมทำแผลก่อนก็ยังดี”
“ทำแผลอะไร”
ปัญวิชช์ปวดตุบ ๆ เลือดยังไหล “คือ...ผมโดนยิง”
นภัสรินทร์อึ้ง มือไม้อ่อน ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ภาพปรเมศโดนรถชนซ้อนขึ้นมา ลิ่มเลือดที่ทะลักล้นและกลิ่นคาวความตายที่แตะปลายจมูก อย่าบอกนะว่าปัญวิชช์คือ ‘เหยื่อ’ อีกคนหนึ่งของอารมณ์รักที่รุนแรง เธอบอกให้เขารอปากคอสั่น ลนลานออกจากห้อง
ปัญวิชช์นั่งอยู่ในรถ เอนกายหลับตา สีหน้าเผือด พอนภัสรินทร์เคาะกระจกก็สะดุ้งเล็กน้อย เขาเปิดประตูแล้วค่อย ๆ ขยับลงมา เซเล็กน้อยจนนภัสรินทร์ต้องประคอง
“โดนยิงที่ไหน เป็นอะไรมากหรือเปล่า ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล”
คำตอบอยู่ที่บนแขนขวา เสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนมีรอยแดงเปรอะ หญิงสาวหน้าเสีย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่ถาก ๆ”
“ไปหาหมอเถอะวิช”
“ไม่เอา เดี๋ยวมันเรื่องใหญ่ ถ้าเป็นข่าวปู่จะบ่นผมอีก ขี้เกียจฟัง ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอทำแผลห้ามเลือดซะหน่อยก็แล้วกัน นะครับ”
อาจจะด้วยเพราะอาการบาดเจ็บทำให้น้ำเสียงอ่อนระโหยอัตโนมัติ และนภัสรินทร์ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
ปัญวิชช์ปฏิเสธการประคองของเธอ แต่เดินเร็ว ๆ ไปที่ลิฟท์ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเลี่ยงสายตาของพนักงานธุรการ โชคดีว่าอีกฝ่ายก็กำลังติดละครพอดี นภัสรินทร์รู้สึกใจอุ่นวาบ ในเวลาแบบนี้ ยังอุตส่าห์คิดเรื่องชื่อเสียงของเธอ
ที่ห้อง นภัสรินทร์ให้ปัญวิชช์นั่งที่โซฟา เธอคว้าเอากล่องปฐมพยาบาล ชายหนุ่มถอดแขนเสื้อข้างเจ็บออกมาให้หญิงสาวใช้สำลีเช็ดรอยเลือดเบา ๆ แผลยาวเกือบสองนิ้ว ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นชุ่มน้ำสีแดง
“โดนยิงที่ไหน” นภัสรินทร์ถาม ขณะใช้สำลีก้อนใหม่ชุบน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเพื่อทำความสะอาด ปัญวิชช์นิ่วหน้าด้วยความแสบ แล้วตอบว่าเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต
“แถว ๆ ลานจอดรถ ผมกำลังจะเดินไปซื้อของ”
นภัสรินทร์หรี่ตา ลองถามหยั่งเชิง “คิดว่าใครทำแบบนี้ แต่วิชก็ไม่ได้มีเรื่องกับใครนี่นา”
“ผมก็ไม่รู้...” เขากัดฟัน “อาจจะเป็นพวกคู่แข่งของพรรคที่เสียผลประโยชน์มั้ง เพราะคิดว่าระยะแค่นี้ไม่น่าพลาดน่าจะยิงขู่มากกว่า”
หญิงสาวระงับอาการโมโห คิดว่าตนเองรู้มากกว่าปัญวิชช์ซึ่งเป็นคนเจ็บเสียอีก แต่ต้องข่มใจไว้ เรื่องคนร้ายเดี๋ยวค่อยว่ากัน ตอนนี้ก็ค่อย ๆ ใส่ยารักษาแผลสดและปิดด้วยพลาสเตอร์ยาขนาดใหญ่ และใช้ผ้าก๊อซสะอาดพันซ้ำให้อีกที
เสร็จสรรพก็หยิบยาส่งให้
“มีแต่ยาแก้ปวดนะ กินแค่นี้ไปก่อน”
“ขอบคุณครับ” เขารับแก้วน้ำ
“เดี๋ยวออกไปก็ไปหาซื้อยาเพิ่มแล้วกัน พวกยาแก้อักเสบกับยาฆ่าเชื้อ”
“อะไรกัน นี่รินจะให้ผมขับรถกลับอีกเหรอ” ปัญวิชช์ยังถือยาไว้
“อย่าบอกนะว่าคุณจะค้างที่นี่น่ะ”
“โหริน ผมปวดแขนขนาดนี้ยังจะให้ขับรถอีกเหรอ จะไปขับยังไงไหว ดีไม่ดีหน้ามืดแฉลบลงข้างลงข้างทาง...”
“อย่ามาเว่อร์หน่อยเลย แผลไม่ถึงคืบจะปวดขนาดไหน” หญิงสาวเบรกเพราะเขาเริ่มตีหน้าเศร้า
“ไม่ปวดแต่ก็ต้องขับช้า ๆ ใช่ไหมล่ะ แล้วถ้าคนที่ยิงผมยังซุ่มอยู่ ทีนี้ก็จะกลายเป็นเป้านิ่งให้เขาเลย”
นภัสรินทร์อึ้ง ตรงนี้มีความเป็นไปได้สูง เธอกำลังเครียด แต่จะให้ปัญวิชช์มาค้างที่ห้อง ชายหนุ่มจะยิ่งได้ใจ ปรเมศยังไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลย ยิ่งให้เขารู้ไม่ได้เลย
หญิงสาวเม้มปาก ใคร่ครวญ ครั้นแล้วก็ตัดสินใจอนุญาตให้เขาค้างคืนที่ห้องเธอได้ ปัญวิชช์ยิ้มเผล่
“อะไรอีกล่ะ”
“ริน...พอจะมีอะไรให้ผมรองท้องก่อนกินยาไหม คือ...ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย”
นภัสรินทร์ถอนใจ เห็นเธอเป็นอาหารหรือไง เจอหน้าเป็นหิวได้ทุกครั้งสิน่า
หลังอิ่มอาหารเรียบร้อย นภัสรินทร์หอบผ้าห่มและหมอนมาให้ปัญวิชช์ที่โซฟา ที่ซึ่งเขาจะได้พักไปตลอดคืนนี้ ชายหนุ่มแกล้งบ่นว่าเขาจะต้องนอนไม่สบายแน่ เธอก็ตาเขียว
“อย่าได้คิดอะไรอกุศลเด็ดขาด ขอให้ภาพดี ๆ ของคุณที่มีอยู่กับฉันมันอยู่อย่างนั้นโดยไม่พังลงไป เข้าใจไหม”
“คร้าบ”
หญิงสาวค้อนควัก หยิบขวดน้ำกับแก้วรวมทั้งยาแก้ปวดมาวางไว้ให้ที่โต๊ะ เผื่อว่าชายหนุ่มตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกกระหายจะได้สะดวก
เธอกำลังจะเดินกลับเข้าห้อง ปัญวิชช์ค่อย ๆ เอนกายลงนอน เขาครางออกมาเล็กน้อยด้วยความเจ็บปวด เธอยืนรีรอ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะถูกกดด้วยยาแก้ปวดเพียงสองเม็ดหรือเปล่า อีกร่วมเจ็ดชั่วโมงกว่าจะเช้า
“ถ้า...เป็นอะไรมาก หรือปวดจนทนไม่ไหวก็เรียกนะ โทรเข้าไปก็ได้”
น้ำเสียงตอนที่บอกฟังดูห่วงใยอย่างจริงใจ เขายิ้มรับ “ขอบคุณครับ”
แล้วนภัสรินทร์ก็เดินเข้าห้องนอน ลงล็อคเอาไว้เพื่อความแน่ใจ ถึงจะเจ็บแบบนั้น แต่ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า
ปัญวิชช์หัวเราะเบา ๆ ตอนได้ยินเสียงกดล็อค บางทีการที่เขาถูกยิงอาจจะเป็นความโชคดีในโชคร้ายก็ได้
นภัสรินทร์นอนไม่หลับเสียแล้ว เหตุการณ์ที่ได้ยินทำให้ ในใจพลุ่งพล่านและฟุ้งซ่านไปด้วยความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยการค้นหา ทั้งหมดวิ่งวนปั่นป่วนอยู่ในสมอง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจนได้ แม้จะไม่ถึงกับพรากชีวิตปัญวิชช์ แต่ความเจ็บปวดของเขามันส่งมาที่หัวใจเธอ เหมือนคมมีดที่กรีดแผลเก่า การตายของปรเมศควรจะเป็นอดีต ควรจะถูกปิดตายไปแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาทำร้ายจิตใจเธออีก
คนที่นอนอยู่นอกห้องนั้นคือหลานของเขา เธอรู้วิธีคิดของเขาพอ ๆ กับที่เขาก็พอจะอ่านใจเธอออก ปัญวิชช์ยอมทำงานที่ตนเองเกลียด เพื่อจะเรียกคะแนนจากเธอ เขาทำสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ แต่เขาได้พาตัวเองให้กลายมาเป็นเป้าความเกลียดชังอย่างไม่ตั้งใจซะแล้ว
กระนั้นปัญวิชช์ก็ไม่ผิด เขามีสิทธิ์เลือก คนผิดคือคนที่ทำร้ายเขาโดยไม่มีเหตุผลต่างหาก คนที่เขาไม่มีทางคิดถึงว่าจะเป็น หัวใจนภัสรินทร์ถูกบีบรัด เธออยู่ในภาวะถูกกดดันและต่อรอง ประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอยเดิมทุกครั้งอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวจมอยู่กับความคิด ทำให้นอนหลับไม่สนิท และสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของโทรศัพท์
ปัญวิชช์ถูกความเจ็บปลุกให้ตื่นกลางดึก คงเป็นเพราะไม่มียาแก้อักเสบ แผลจึงปวดระบมจนแทบยกไม่ได้ แถมด้วยอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว เขาขยับตัวอย่างลำบากเพื่อมาหยิบโทรศัพท์ รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
“รินคือ...”
“เดี๋ยวออกไป”
นภัสรินทร์จะคิดว่าเขาตั้งใจกวนเธอหรือเปล่า แต่ไม่ทันคิดประตูห้องนอนก็เปิดออก ปัญวิชช์รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ทำให้เธอต้องตื่นมากลางดึกเช่นนี้
“ขอโทษนะรินที่ปลุก...”
เธอส่ายหน้าว่าไม่ถือโทษ “เป็นอะไร ปวดแผลเหรอ”
แค่เสียงนั้นไม่เจือความรำคาญ ชายหนุ่มก็ตื้นตันแล้ว “ครับ ผม...รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ ริน...เช็ดตัวให้หน่อยได้ไหม”
นภัสรินทร์นิ่ง พิจารณาคำขอและความตั้งใจของคนเจ็บว่าสอดแทรกจุดมุ่งหมายที่เกินเลยกว่าต้องการบรรเทาอาการป่วยหรือไม่ เพราะปัญวิชช์ขึ้นชื่อเรื่องลูกเล่น
“ถ้ารินไม่สะดวกใจ เดี๋ยวผมทำเอง ขอแค่ช่วยเอาผ้ากับน้ำมาให้หน่อยก็ได้”
หญิงสาวหน้าบึ้ง “เกลียดนักเวลาที่คุณทำเป็นตัดพ้อแบบนี้น่ะ” เธอสะบัดเสียงแล้วลุกออกไป ได้ผ้าขนหนูกับกะละมังพลาสติกใส่น้ำ
ปัญวิชช์ไม่ได้สวมเสื้อ เขานอนโดยมีผ้าห่มผืนหนาที่เธอหามาให้ หญิงสาวเอาผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วส่งให้ ชายหนุ่มมองหน้า
“แขนซ้ายไม่ได้เป็นอะไรนี่”
“ใจร้าย” เขาบ่นอุบและยังไม่ยอมรับผ้า “รินคิดว่าผมแกล้งเจ็บแกล้งเป็นไข้เพื่อถือโอกาสล่ะสิ”
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ”
ปัญวิชช์ทำหน้านิ่ง ๆ “ผมไม่รู้ว่าใครทำแบบนี้ ผมเลือกที่จะมาหารินเพราะไม่อยากให้ปู่รู้ ถ้าปู่รู้เรื่องมันยาวกว่านี้แน่ ริน...พอเข้าใจใช่ไหม”
นภัสรินทร์เชื่อแล้วว่า ปัญวิชช์ไม่ใช่คนโง่ เขาฉลาดพอที่จะอ่านเธอออกและมีวิธีการพูดให้เธอจำนนในเหตุผลได้ เช่นครั้งนี้ที่ยกเอาความไม่สนใจเรื่องคนร้ายมาตอกย้ำ เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ว่าใครทำ เพียงแต่ต้องการให้เธอรู้ว่า เขาขอแค่ความเห็นใจจากอาการบาดเจ็บเท่านั้น
เอกสิทธิ์ยังมีช่วงเวลาที่จะดึงเธอเข้าไปในเส้นทางของเขา แต่ปัญวิชช์เลือกที่จะเดินตามเธอเท่านั้น
ในที่สุดนภัสรินทร์ก็แพ้ลูกตื้อของเขาอีกครั้ง เธอเช็ดตัวให้ปัญวิชช์ คนเจ็บพยายามซ่อนยิ้มดีใจ แต่มันแสดงออกทางดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักและปรารถนา
“ดีขึ้นหรือยัง” ชายหนุ่มพยักหน้า
“กินยาซะอีกหน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ เดี๋ยวฉันไปคลีนิคแถวนี้หาซื้อยามาเพิ่มให้”
“ไม่เป็นไร ผมทนได้” เขากินยา นภัสรินทร์เดินไปเปิดตู้ หยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาส่งให้ ชายหนุ่มมองเล็กน้อยเพราะสีชมพูอ่อน
“ดีกว่านอนหนาวนะ ขอโทษทีมีให้ท่านสส.ได้เท่านี้”
ปัญวิชช์ยิ้มกว้าง รับไปสวม แต่ก็ยังไม่วายให้เธอช่วยใส่เพราะแขนขวาที่เกือบจะยกไม่ขึ้น เสร็จแล้วเอนกายลงนอน ดึงผ้าขึ้นมาห่ม “ขอบคุณนะครับริน”
นภัสรินทร์พยักหน้า ความอบอุ่นที่ผ่านมาทางสัมผัสที่มือของเธอไม่ใช่เพียงเพราะอาการตัวรุมเหมือนเป็นไข้ของเขา แต่เป็นความมั่นคงและการมองเห็นค่าของตัวเธออยู่ตลอดเวลา
ความรู้สึกนั้นแทรกซึมเข้าไปเคาะประตูหัวใจที่ปิดตายของเธอ
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ส.ค. 55 10:09:20
|
|
|
|