Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 10 น้ำตานาง ติดต่อทีมงาน

ภูตครามบทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1

บทที่ 9 ภูตร้ายหรือองครักษ์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12431455/W12431455.html

บทที่ 10 น้ำตานาง

ตอนแรกที่รู้ว่ามีภูตก้าวเข้ามาในชีวิต พิมมาดารู้สึกกลัวจนแทบไม่อยากจะกลับบ้าน แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกันไปได้สักระยะ หญิงสาวก็เริ่มคลายความหวาดกลัวลงและมองเห็นข้อดีของภูธรามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดูแลเอาใจใส่หรือความอบอุ่นที่ส่งออกมาจากสายตา ถึงจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันหมายถึงอะไรแต่เธอก็ชอบที่ถูกมองแบบนั้นเพราะเหมือนได้พบกับสิ่งที่ขาดหายไปนาน แต่สิ่งที่สร้างความประทับให้กับหญิงสาวมากที่สุดก็คือการพูดจาแบบตรงไปตรงมาของภูตหนุ่ม สำหรับบางคนการพูดแบบนี้อาจจะดูเชย เฉิ่มหรือออกแนวด้อยไหวพริบ แต่สำหรับภูธราแล้วไม่ใช่ เพราะจากการพูดคุยกันหลายครั้งทำให้หญิงสาวรู้ว่าเขารอบรู้เรื่องราวหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากการสังเกตนักท่องเที่ยวหรือคนที่เขาเคยพบตอนอยู่ในป่า สิ่งที่สร้างคามอัศจรรย์ใจต่อเธอมากที่สุดก็คือ นอกจากเขาใหญ่แล้วภูตครามสามารถเดินทางไปที่อื่นได้ด้วย

“นายออกจากเขาใหญ่ได้ด้วยเหรอ”

พิมมาดาถามขณะตักกาแฟสำเร็จรูปใส่ถ้วย ภูธราพยักหน้าโดยที่สายตายังคงจับจ้องอากัปกิริยาของหญิงสาวตลอดเวลา

“พวกเราไปได้ทุกแห่งที่มีต้นไม้”

“แบบนี้นายก็ไปเที่ยวทะเลทรายไม่ได้น่ะสิ” พิมมาดาพูดติดตลกพลางกดน้ำร้อนและหยิบช้อนมาคนน้ำสีเข้มช้าๆ”รู้อย่างนี้ฉันหนีนายเข้าไปในเมืองก็ดี เพราะที่นั่นแทบไม่มีต้นไม้ซักต้น”

“ภูตครามไม่ได้ผูกพันอะไรกับต้นไม้ ถึงไม่มีข้าก็ตามเจ้าไปได้อยู่ดี”

ถ้วยกาแฟชะงักอยู่ที่ริมฝีปาก หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจ

“ก็ไหนนายบอกว่าไปได้เฉพาะที่ที่มีต้นไม้”

“พวกเราแค่อาศัยมันเป็นสื่อในการเดินทางกับอาศัยพักพิงแฝงเร้นกายเท่านั้น จริงอยู่ที่ภูตครามถือกำเนิดมาจากต้นไม้ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงของการกินวิญญาณแล้วพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับมัน”

“เข้าใจยากชะมัด” พิมมาดาบ่นและยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดถ้วย ภูธรามองอย่างสนใจ

“น้ำนั่นอร่อยมากหรือ”

หญิงสาวหยุดชะงักและมองถ้วยเปล่าในมือ คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเหมือนพยายามหาคำพูดที่ฟังแล้วเข้าใจง่ายมาอธิบาย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าภูธราคงเคยเห็นนักท่องเที่ยวดื่มกาแฟมาแล้วบ้างเธอจึงเปลี่ยนใจ

“ก็ไม่เชิง ฉันกินเพราะความเคยชินมากกว่า”

พูดพลางเปิดก็อกน้ำเพื่อล้างถ้วย เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเธอจึงถาม

“แล้วนายไปที่ไหนมาแล้วบ้าง”

“หลายแห่ง ครั้งหนึ่งข้าลองไปในดินแดนที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก แต่พออยู่ได้สักพักก็ต้องกลับ เพราะอากาศมันหนาวจนใบไม้ร่วงหมดต้น”

สิ่งที่เขาเล่าทำให้หญิงสาวหันไปมองด้วยความตื่นเต้น

“นายเคยไปต่างประเทศด้วยเหรอ”

“ต่างประเทศ ถ้าหมายถึงพวกที่พูดภาษาแปลกไปจากที่นี่แล้วล่ะก็ คงใช่”

ท่าทางเฉยชาเหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่ตนเล่าเท่าใดนักทำให้พิมมาดาเผลอตัวหลุดปากด้วยความหมั่นไส้

“ได้ไปเที่ยวเมืองนอกทั้งทีทำหน้าเหมือนเดินอยู่ในตลาดน้ำอัมพวา”

“เจ้าพูดถึงอะไร” ภูธราถามด้วยความสงสัย หญิงสาวจึงโบกมือ

“ไม่มีอะไรหรอกแค่บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยอย่าสนใจเลย” พูดจบเธอจึงเดินไปหยิบกระเป๋าเพื่อจะออกไปทำงาน เมื่อหันไปมองภูตหนุ่มอีกครั้งและพบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หากเป็นเมื่อสองสามวันก่อนเธอคงทั้งหวาดกลัวและคอยระแวงว่าเขาจะไปซ่อนอยู่ตามมุมมืดเพื่อรอจังหวะออกมาจัดการกับเธอ แต่ตอนนี้หญิงสาวรู้แล้วว่าภูตหนุ่มออกไปรอข้างนอกเรียบร้อยแล้วเพียงแต่ไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นเท่านั้น
เมื่อไปถึงบริษัทสิ่งแรกที่พิมมาดาทำคือจัดการใบเบิกเงินของเมื่อวาน จากนั้นจึงเริ่มตรวจใบสั่งซื้อสินค้าและเช็คยอดชำระเงินจากบริษัทที่เป็นลูกค้า การทำงานคงไปได้อย่างราบรื่นหากนงนภัสไม่เข้ามาวุ่นวายภายในห้องแถมคราวนี้ยังอาละวาดหนักกว่าทุกครั้งเพราะโกรธที่นายองอาจไม่ยอมซื้อรถยนต์คันใหม่ให้ และเธอก็เข้าใจว่าสาเหตุมาจากพิมมาดา

“คุณองอาจจะซื้ออะไรให้ฉัน เธอมาแส่อะไรด้วย”

นงสภัสตวาดลั่น พิมมาดายืนนับหนึ่งถึงสิบเพื่อระงับอารมณ์ก่อนจะตอบ

“ฉันแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้นและจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหากเป็นการใช้จ่ายในเรื่องส่วนตัว แต่ถ้าการสั่งซื้อในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องเสียไปหรือไม่”

อธิบายเสียยืดยาวแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจฟังเลยสักนิด นงนภัสปัดกองแฟ้มบนโต๊ะของพิมมาดาตกกระจายเกลื่อนพื้น

“จะในนามของอะไรก็เป็นเงินของคุณองอาจ ฉันเป็นเมียเขามีสิทธิ์ใช้ได้ทุกบาททุกสตางค์”

ประโยคนี้ทำให้พิมมาดาถึงกับเดือดปุดๆ แต่เพราะรับปากกับเจ้านายเอาไว้แล้วว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนงนภัส เธอจึงได้แต่วางท่าให้สงบนิ่งแต่ยังไม่วายหลุดปากพูด

“คนที่มีสิทธิ์ใช้เงินของบริษัท มีเพียงภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายเท่านั้น”

นงนภัสโกรธจนตัวสั่น เธอชี้หน้าพิมมาดา

“อี...”

“มีอะไรกัน” เสียงนายองอาจดังขัดจังหวะ เขาก้าวเข้ามาในห้องและมองข้าวของที่ตกเกลื่อนพื้นก่อนหันไปทางนงนภัส”เธอเข้ามาทำอะไรในนี้”

แม้โกรธจนแทบจะฉีกร่างของพิมมาดาให้เป็นชิ้นแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายองอาจแล้วนงนภัสกลับฉีกยิ้มหวานพร้อมกับถลาเข้าไปเกาะแขน
“นงเห็นคุณพิมมาดาถือของหนักเลยจะเข้ามาช่วย แต่เธอไม่พอใจเลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ”

นายองอาจขมวดคิ้ว ถึงจะไม่เชื่อคำพูดของนงนัสเท่าไหร่นักแต่เขาก็ไม่อยากจะต้องมาทนนั่งฟังหญิงสาวพูดพล่ามจนไม่เป็นอันทำงาน สุดท้ายจึงตัดบท

“ถ้าเขาไม่อยากให้ช่วยก็ไม่ต้องช่วย มาเร็วก็เข้าไปรอผมในห้องทำงาน และถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเข้ามาวุ่นวายในห้องนี้อีก”

เขาหันไปทางพิมมาดา

“เก็บข้าวของให้เรียบร้อยและกลับไปทำงาน”

สั่งเสร็จนายองอาจก็เดินกลับเข้าห้อง นงนภัสส่งสายตาอาฆาตไปยังพิมมาดาก่อนจะรีบวิ่งตามชู้รักของเธอไป เมื่อตัวร้ายพ้นไปจากสายตาแล้วนิลเนตรจึงเดินเข้ามาช่วยเพื่อนพร้อมกับบ่น

“นังตัวแสบ”

“ช่างเขาเถอะ” พิมมาดาพูดขณะจัดเรียงแฟ้มไว้ตามเดิม ดวงตาชำเลืองไปยังเครื่องบันทึกภาพวงจรปิดที่ถูกซ่อนไว้บนชั้นวางของด้านหลังด้วยความหวังว่านงนภัสจะไม่ทันเห็นมัน นิลเนตรมองตามสายตาเพื่อน

“เธอเอาผ้าคลุมไว้ ยายนั่นคงไม่เห็นหรอก”

พิมมาดาผงกศีรษะพลางหย่อนตัวนั่งลง นิลเนตรขยับเตรียมจะถามเรื่องของภูตครามแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินโทรศัพท์ติดต่อภายในดังขึ้น หญิงสาวส่งยิ้มให้เพื่อน

“ตอนเที่ยงค่อยคุยกัน”

พูดจบก็รีบเดินออกไป พิมมาดามองเพื่อนที่ก้มหน้าก้มตาบันทึกข้อความตามคำสั่งของนายองอาจนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเหมือนจะหาใครบางคนพร้อมกับพูดเบาๆ

“ถึงนงนภัสจะงี่เง่าแต่เขาก็เป็นคนของคุณองอาจ อย่าไปทำอะไรเขาล่ะ”

กลิ่นดอกมณฑาฟุ้งกระจายในอากาศเหมือนเป็นคำตอบ พิมมาดาจึงยิ้มอย่างโล่งใจจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำงานต่อ หลังจากสรุปยอดเงินทั้งหมดและเก็บรวมเข้าแฟ้มแล้วเธอจึงหยิบรายการสั่งซื้อยามาตรวจ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงเที่ยง หญิงสาวจึงออกไปรับประทานอาหารกลางวันกับนิลเนตรแต่คราวนี้ฤทธิ์ พนักงานจอมป่วนประจำบริษัทขอติดสอยห้อยตามไปด้วยทั้งคู่จึงไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องของภูธรา ช่วงบ่ายหลังจากรายงานถึงรายรับและค่าใช้จ่ายประจำวันให้นายองอาจฟังแล้วพิมมาดาจึงกลับเข้าห้องและเริ่มต้นดูภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดของเมื่อคืนซึ่งก็เหมือนวันที่ผ่านมาคือไม่มีใครเข้าไปในโกดังสินค้าเลยสักคน แม้จะรู้สึกดีที่ไม่มีของหายแต่ก็สร้างความลำบากใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย เพราะหากยังจับคนร้ายไม่ได้ โอกาสที่สินค้าจะถูกขโมยก็ยังคงมีต่อไป สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ หากการขโมยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นภายในบริษัทหากแต่เป็นระหว่างการขนส่ง เธอก็คงไม่มีวันรู้ตัวคนร้ายรายนี้ได้เลย

เช่นเดียวกันกับเมื่อวานคือกว่าจะดูเทปหมดทุกม้วนก็เลยเวลาเลิกงานไปมาก หลังจากจัดเตรียมเทปชุดใหม่สำหรับคืนนี้เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงรีบเก็บข้าวของและคว้ากระเป๋าออกจากที่ทำงาน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในช่วงกลางเดือนหรือจำนวนรถน้อยเกินไป รถประจำทางสายที่เธอนั่งจึงแน่นกว่าทุกวัน หลังจากยืนรออยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงหญิงสาวจึงตัดสินใจเรียกรถแท็กซี่และลงหน้าปากซอยเพื่อซื้อกับข้าวจากนั้นจึงนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้าบ้าน

แม้จะเริ่มมืดแต่หญิงสาวก็สามารถมองเห็นดอกราตรีกำลังบานสะพรั่ง แม้จะไม่ทุกต้นแต่กลิ่นหอมแรงของพวกมันเรียกความสดชื่นที่หดหาย
ไประหว่างการเดินทางให้กลับมาอีกครั้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันเป็นการกระทำของภูธรา หญิงสาวอมยิ้มขณะไขกุญแจประตูรั้วและก้าวเข้าไปด้านใน แต่เดินไปได้แค่สองสามก้าวเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเงาตะคุ่มใต้โคนต้นมณฑา

“ภูธรา”

ร่างของภูตหนุ่มปรากฏขึ้นและเตรียมจะส่งยิ้มให้กับหญิงสาวแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้าบึ้งตึงของเธอ  

“เป็นอะไร” เขาถามด้วยความเป็นห่วงแต่อีกฝ่ายกลับกระแทกลมหายใจเหมือนกำลังโกรธ

“น่าจะให้สุ้มให้เสียงกันก่อน อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้เกิดฉันหัวใจวายตายไปจะทำยังไง”

“ข้าขอโทษ”น้ำเสียงอ่อนเหมือนคนสำนึกผิด”แต่เจ้าขวัญอ่อนแบบนี้ถึงข้าจะส่งเสียงมาก่อนก็คงตกใจอยู่ดี”

ภูธรานิ่งคิดและเงยหน้าขึ้นมองต้นมณฑาที่กำลังโยกเอนไปตามแรงลม

“นึกออกแล้ว ครั้งหน้าข้าจะใช้ดอกไม้นี่เป็นสัญลักษณ์ หากเจ้าได้กลิ่นของมันแสดงว่าข้ากำลังจะปรากฏตัว”

“เข้าใจคิดดีนี่” ไม่รู้ว่าเป็นคำชมหรือพูดประชดแต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ภูตหนุ่มยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ เขามองหญิงสาวก้าวหายเข้าไปในบ้านแล้วจึงเลื่อนตัวติดตามเธอไปเหมือนกับเงา  

เมื่อเข้าไปในบ้านแล้วพิมมาดาจึงวางข้าวของทุกอย่างลงบนโต๊ะและเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัวกับอุปกรณ์อาบน้ำ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเธอจึงกลับออกมาพร้อมกับสวมชุดนอนเรียบร้อย หญิงสาวใช้ผ้าเช็ดตัวขยี้ผมที่ชื้นไปด้วยน้ำจนแห้งจากนั้นจึงหวีมันให้เข้ารูปเสร็จแล้วจึงเดินเข้าครัว ภูธรายืนมองหญิงสาวนั่งรับประทานอาหารเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถาม

“เจ้าดูกลุ้มใจ”

หญิงสาวชะงักช้อนที่กำลังตักแกงและหันไปมองหน้า

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“วันนี้เจ้าไม่พูดหรือบ่นอะไรเลย” ภูตหนุ่มพูดพลางเลื่อนตัวเข้ามาใกล้ “ไม่สบายใจเรื่องผู้หญิงคนนั้นหรือ”

ภูตหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง พิมมาดาสั่นศีรษะ

“ฉันไม่สนเรื่องไร้สาระ”

“งั้นเจ้าสนเรื่องอะไร” ภูธราถาม หญิงสาวไม่ตอบแต่กลับตักข้าวใส่ปากเคี้ยวเหมือนไม่ได้ยินส่งที่อีกฝ่ายถาม แต่เมื่อเห็นดวงตาที่มองมาอย่างห่วงใยแล้วเธอจึงถอนใจ

“ฉันกลุ้มเรื่องขโมย” เธอรวบช้อนและยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ภูตหนุ่มขมวดคิ้ว

“หมายถึงภาพที่เจ้านั่งมองเป็นชั่วโมงนั่นหรือเปล่า”

“ใช่” พิมมาดาตอบพลางดึงแผ่นฟิล์มถนอมอาหารมาห่อกับข้าวที่เหลือใส่ตู้เย็นจากนั้นจึงนำจานทั้งหมดไปล้าง “นั่งดูมาสองวันแล้วยังไม่เห็นใครสักคน ฉันกลัวว่าคนร้ายจะไม่ได้ขโมยของในโกดังแต่เป็นระหว่างการขนส่ง ถ้าเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ลำบากแน่ๆ”

พูดพลางถอนใจ ภูธรายืนนิ่งคิดก่อนถาม

“ให้ข้าช่วยไหม”

หญิงสาวหันไปมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ

“นายว่าไงนะ”

“ถ้าเจ้ากลัวว่าจะจับโจรคนนี้ไม่ได้ ข้าจะช่วย”

“ยังไง” พิมมาดายังคงถามต่อ ภูตหนุ่มจึงยิ้ม ในความรู้สึกของหญิงสาวแล้วมันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความน่าขนลุก

“จัดการกับโจรมีแค่วิธีเดียว” เขาตอบเสียงเย็น พิมมาดาขมวดคิ้วด้วยความงงแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าความหมายนั้นคืออะไร หญิงถึงกับเบิกตาโพลง

“นายจะฆ่าเขาไม่ได้นะ”

“ไม่ได้ฆ่า แค่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นอาหารของพืชเหมือนที่ทำกับกับพวกคนที่เข้าไปตัดต้นไม้ในป่า”

“แต่ที่นี่มันในเมือง กฏของเราคือจับคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฏหมาย ไม่ใช่ฆ่ากันตามอำเภอใจ”

พิมมาดาพูดรัวเร็วด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและกลัว ภูธราขมวดคิ้ว

“ก็บอกแล้วว่า ไม่ได้ฆ่า”

“จะยังไงก็เหมือนกัน เอาเป็นว่านี่เป็นงานของฉัน ฉันขอจัดการด้วยตัวเอง”

เธอรีบสรุป อีกฝ่ายจึงพยักหน้า

“งั้นก็ตามใจ” ภูตหนุ่มพูดแค่นั้นแล้วยืนนิ่ง แต่แล้วเขาก็กลับเผยอยิ้มออกมา พิมมาดามองด้วยความระแวง

“อะไรอีกล่ะ”

“ผมของเจ้าหอมดี”

เขาตอบสั้นๆ ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าวขึ้นมาในทันทีเพราะคิดไม่ถึงว่าภูตหนุ่มจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา เธอรีบหันหน้าหลบโดยไม่ยอมกล่าวอะไรโต้ตอบ เมื่อล้างจานเสร็จหญิงสาวจึงเดินไปเปิดโทรทัศน์แต่เพราะเลยช่วงเวลาข่าวไปแล้วจึงมีแต่ละครซึ่งมีเนื้อหาคล้ายกันคือทะเลาะตบตีแย่งผู้ชาย หลังจากเปิดวนกลับไปกลับมาอยู่สองสามรอบเธอจึงปิดและเปลี่ยนเป็นเปิดเครื่องเสียงเพื่อฟังเพลงโปรดซึ่งเมื่อหมดอัลบั้มแล้วก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืน ความที่ยังไม่ง่วงหญิงสาวจึงปรับเป็นวิทยุเพื่อฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีอันเป็นรายการโปรดของเธอ สามเรื่องแรกเป็นการเล่าถึงวิญญาณทั่วไปแต่พอถึงเรื่องที่สี่พิมมาดาถึงกับหูผึ่งเมื่อพิธีกรบอกว่าเป็นเรื่องราวของผีโขมด ผู้เล่าบรรยายเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างน่ากลัว โดยเฉพาะตอนที่ผีโขมดย่องลงไปดูดเลือดหัวแม่เท้าของพรานยามหลับ หญิงสาวถึงกับเผลอตัวเก็บขาขึ้นมาบนเก้าอี้ กิริยาของเธอทำให้ภูธราอมยิ้มแต่ก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมากระทั่งรายการจบลงและหญิงสาวปิดวิทยุเรียบร้อยแล้วเขาถึงเอ่ยปากถาม

“เพิ่งรู้ว่าเจ้าชอบฟังเรื่องพวกนี้”

“ก็มันสนุกนี่นา”พิมมาดาตอบและหันไปทางภูตหนุ่ม”ผีขโมดมีจริงไหม”

ภูธราผงกศีรษะ หญิงสาวรีบขยับเข้าไปใกล้และถามอย่างตื่นเต้น

“แล้วหน้าตามันเป็นยังไง”เธอซักเร็วปรื๋อ “ตอนกินเลือดคนมันทำเหมือนอย่างที่เขาเล่าหรือเปล่า”  

“มีแต่ไม่ได้เป็นอย่างที่วิทยุนั่นเล่า”

“แล้วมันเป็นยังไงเหรอ” ไม่ถามเปล่าหญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้และคว้าหมอนมากอดเอาไว้เหมือนเตรียมตัวฟังอย่างตั้งใจ ภูธราจึงถาม

“เจ้ารู้จักผีกระสือหรือเปล่า”

“รู้สิ ผีที่มีแต่หัวกับไส้ใช่หรือเปล่า”

คำตอบของหญิงสาวทำให้ภูตหนุ่มส่ายหน้า

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปได้ยินเรื่องแบบนี้มาจากไหน แต่ผีกระสือน่ะก็คล้ายๆกับมนุษย์แต่ต่างกันตรงที่มีแสงไฟออกมาจากจมูก โขมดก็เหมือนกัน แต่แสงของมันจะสว่างกว่ากระสือมาก บางครั้งพวกมนุษย์เองยังหลงว่าเป็นคนถือคบไฟ แถมรูปร่างของโขมดก็ไม่เหมือนกระสือเลยสักนิด มันจะดูคล้ายค่างมากกว่าเพราะผีพวกนี้เกิดจากวิญญาณของสัตว์ป่าไม่ได้เกิดจากอาคมหรือจิตของมนุษย์”

“มีผีที่เกิดจากอาคมจริงๆด้วยเหรอ””พิมมาดาซักด้วยความอยากรู้ ภูธราพยักหน้ารับ

“ก็พวกผีโพงบางจำพวกแล้วก็สมิง”

“ฉันเคยได้ยินคุณตาเล่าว่าสมิงคือคนกลายร่างเป็นเสือ” พิมมาดารีบพูด ภูตหนุ่มจึงตอบ

“ใช่”

หญิงสาวทำท่าคิด เมื่อนึกถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังเมื่อครู่เธอจึงถาม

“แล้วผีที่กินเลือดจากเท้าคนน่ะมีจริงไหม”

“มี กองกอย” ภูธราตอบพร้อมกับอธิบาย”แต่ผีพวกนี้เกิดจากการรวมตัวของสัตว์กับจิตวิญญาณของป่า ถึงจะมีรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ก็มีขาเดียว ไม่มีหัวเข่า เวลาไปไหนมาไหนก็ใช้วิธีกระโดด เจ้าพวกนี้แหละที่คอยดักกินมนุษย์ มันจะรอจนกระทั่งทุกคนหลับถึงจะค่อยๆย่องออกมาดูดเลือดจากหัวแม่เท้า”

“ทำไมต้องหัวแม่เท้า ที่อื่นไม่ง่ายกว่าเหรอ” หญิงสาวถาม ภูธราทำหน้าเหมือนนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามอะไรแบบนี้ออกมา เขาส่ายหน้า

“ข้าไม่ใช่ผีกองกอย”

คำพูดที่เหมือนประชดทำให้หญิงสาวทำหน้ามุ่ย แต่เมื่อได้มองสีหน้าเรียบเฉยปราศจากความรู้สึกใดกับแววตาที่ฉายความจริงใจทำให้เธอรู้ว่าเขาพูดออกมาตามตรง หญิงสาวจึงวางหมอนลงบนเก้าอี้

“แต่นายเป็นภูตคราม แถมยังน่ากลัวกว่าผีพวกนั้นตั้งหลายเท่า”

“ข้าน่ากลัวตรงไหน”

ภูตหนุ่มย้อนถาม พิมมาดาเม้มปากก่อนตัดสินใจตอบ

“นายกินคน”

“ส่วนใหญ่แล้วพวกข้าจะดูดกลืนแต่วิญญาณของสัตว์ มนุษย์คือตัวเลือกเมื่อถึงคราวจำเป็น ที่สำคัญผีป่าพวกนั้นคงไม่มีวันเข้าเมืองเพียงเพื่อเฝ้าดูหญิงที่ถูกใจ”

ประโยคสุดท้ายเรียกความร้อนจากใบหน้าให้พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวรีบเบือนหน้าหลบและแสร้งลุกขึ้นเดินไปที่บันได

“เจ้าง่วงแล้วหรือ”

“อื้อ” พิมมาดาตอบเบาๆโดยไม่หันหน้ากลับไปมองด้วยความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นสีหน้าแดงก่ำของเธอ ภูธรายิ้ม

“งั้นก็ขึ้นไปนอนเถอะ ข้าจะดูแลข้างล่างนี่ให้เอง”

ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำ หญิงสาวเดินขึ้นไปอย่างว่าง่าย ภูธรายืนรอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าของเธอเงียบลงจึงตรวจตรารอบบ้านอย่างที่พิมมาดาทำ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วภูตหนุ่มจึงเลื่อนกายขึ้นไปยังชั้นสองและเฝ้ามองหญิงสาวที่กำลังหลับไหลด้วยดวงตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักไปจนตลอดทั้งคืน

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 11:03:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com