Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สุภาพสตรีหมายเลขสอง - ตอนที่ 3 ติดต่อทีมงาน

ในระยะแรกปาร์คเกอร์รู้สึกพิกลๆ ที่ต้องมากักขังตัวเองอยู่ตามเมืองใหญ่ๆที่มีชื่อเสียง และตามสถานที่ต่างๆในกรุงลอนดอน ปารีส และโรม แต่ต่อมาเมื่อเขาได้ค้นพบว่าสาเหตุที่ทำให้เมืองเหล่านี้เป็นที่นิยมของคนมากมายก็เพราะว่า มันเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เขาก็เริ่มทำตนให้ผ่อนคลาย พอที่จะพำนักอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อบรรเทาความรู้สึกกดดันกับสิ่งที่ผ่านมา

เมื่อเดินทางกลับมาถึงสหรัฐๆ ชายหนุ่มพบว่าสงครามเวียตนามยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น มีการเดินขบวนประท้วงกันอย่างดุเดือด สัญชาตญาณในการชอบเรื่องตื่นเต้นของเขาคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ปาร์คเกอร์ตัดสินใจเดินทางไปซานฟรานซิสโก และเข้าร่วมกับขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ เขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เขียนป้ายประท้วงและใบปลิวโจมตีรัฐบาลอเมริกัน เรื่องนโยบายเกี่ยวกับเวียตนาม

หลังจากสงครามเวียตนามสิ้นสุดลง ปาร์คเกอร์อยู่ที่ชิคาโกและตกงาน เมื่ออ่านพบโฆษณาของบริษัทนักสืบเอกชนแห่งหนึ่งจากหนังสือพิมพ์ชิคาโก ซึ่งต้องการรับสมัครพนักงาน ปาร์คเกอรไปสมัคร ประสบการณ์การทำงานในหน่วยข่าวกรองของทหาร ที่เขาระบุไว้ในใบสมัครทำให้เขาได้รับการว่าจ้าง ในระยะแรกชายหนุ่มชอบงานที่นั่นมาก เขามักจะฝันว่าเขาคือนักสืบแดชเชี่ยว แฮมเม็ต แห่งพิงเคอร์ตัน

งานที่เขาทำเป็นงานประเภทที่ต้องเดินท่อมๆไปตามที่ต่างๆ งานที่ต้องหลบๆซ่อนๆในเงามืด งานที่ต้องแอบเข้าไปในที่ต่างๆโดยผิดกฏหมาย งานติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กโทรนิค ๆลๆ งานประเภทนี้มีพอประมาณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มีลักษณะต่ำๆ ซอมซ่อ และซ้ำๆซากๆ เช่นคดีหย่าร้าง การตามหาเด็กที่หนีออกจากบ้าน ติดตามเรื่องเช็คเด้ง และเพื่อขจัดความน่าเบื่อหน่ายซ้ำซากเหล่านี้ ชายหนุ่มเริ่มต้นเขียนหนังสือ โดยใช้เค้าโครงจากเรื่องจริงที่เขาทำงานอยู่นั้น เขาเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาสามเรื่อง และปรากฏว่าเขาสามารถขายมันได้หมดทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อปาร์คเกอร์ ได้ข่าวว่าหนังสือพิมพ์ “แอสโซซิเอทต์ เพรส” กำลังจะเปิดสาขาที่นิวยอร์ค ชายหนุ่มส่งประวัติการทำงานและหนังสือสามเรื่องของเขาไปเพื่อสมัครงาน

ปาร์คเกอร์ถูกเรียกไปสัมภาษณ์และได้งานนั้นทันที เขาถูกส่งไปประจำที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โดยมีหน้าที่เขียนสารคดีเบาๆและตอบจดหมายผู้อ่านในฉบับสุดสัปดาห์ ชายหนุ่มไม่ได้รับค่าจ้างประจำ แต่จะได้ตามจำนวนงานที่เขาเขียน ปาร์คเกอร์ชอบกรุงวอชิงตัน ดีซี มาก ซึ่งจะสามารถเห็นได้ชัดจากงานเขียนของเขา แล้วในที่สุดรายได้ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนชิ้นงานของเขาก็เพิ่มสูงขี้น จนอยู่ในอัตราที่เขาสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบายพอควร

วันหนึ่งชายหนุ่มผู้นี้ได้รับโทรศัพท์ทางไกลจาก เวนย์ กิบส์ ผู้ซึ่งเคยได้อ่านบทความและเรื่องต่างๆที่เขาเขียนและประทับใจกับมันมาก กิบส์อธิบายให้ปาร์คเกอร์ฟังว่าเขาอยู่ในทีมงานของวุฒิสมาชิก แอนดรูย์ แบรดฟอร์ต ผู้ซึ่งเพิ่งชนะการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครทเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กิบส์ มีข้อเสนอที่น่าสนใจให้ปาร์คเกอร์ เขาขอให้ปาร์คเกอร์ เดินทางไปพบเขาที่ลอสแองเจลิสในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยสำนักงานของกิบส์จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ชายหนุ่มตกลงเดินทางไปลอสแองเจลิสและได้รับข้อเสนอที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เขาได้รับคำบอกเล่าว่าบรรดาผู้สนับสนุนทางการเมืองของวุฒิสมาชิกแบรดฟอร์ต ต้องการทำหนังสือโปรโมทผู้สมัครของพรรค โดยจะต้องเป็นหนังสือที่อ่านง่าย มีสำนวนโวหารที่รัดกุมแต่มีชีวิตชีวา เป็นหนังสือที่จะส่งเสริมภาพพจน์ของผู้สมัครให้เด่นชัดขึ้น กิบส์มีสำนักพิมพ์ที่จะจัดพิมพ์หนังสือดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว แต่ยังหานักเขียนที่ถูกใจไม่ได้ เขาเสนองานเขียนนี้ให้แก่ปาร์คเกอร์ ด้วยเงินตอบแทนก้อนใหญ่

สำหรับปาร์คเกอร์แล้ว จำนวนเงินที่เสนอให้เขาเป็นจำนวนที่เขาพอใจ แต่ยังมีสิ่งอื่นที่ดึงดูดเขามากกว่าเงิน ชายหนุ่มมีความรู้สึกส่วนตัวว่างานชิ้นนี้เปรียบเสมือนลำธารต้นน้ำที่จะไหลพาเขาไปสู่แหล่งน้ำอื่นๆต่อไป ในอดีตที่ผ่านมาเขามีความรู้สึกหลากหลายต่อประเทศชาติ และต่อระบบประชาธิปไตยแบบอเมริกัน เขาเคยทำงานกับกองทัพบกสหรัฐๆด้วยความรู้สึกที่ดีในตอนแรก แต่ต่อมาเขาจำเป็นต้องผละจากไป เมื่อเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นในใจ เมื่อเขาเดินทางกลับจากยุโรป เขาได้ทำตัวเป็นปรปักษ์กับนโยบายของรัฐบาล และระบบรับสินบนในคณะรัฐมนตรี เขาเคยมีความต้องการที่จะโค่นล้มรัฐบาล

แต่ต่อมาเมื่อชายหนุ่มได้ร่วมงานที่หนังสือพิมพ์ “แอสโซซิเอทส์” ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้เห็นภาพพจน์ต่างๆของรัฐบาล ในระยะใกล้ชิดขึ้นและอย่างมีวัตถุประสงค์ รวมถึงประสบการณ์ความขมขื่นจากระบบการเมือง ที่เขาค้นพบเมื่ออยู่ที่ยุโรป ปาร์คเกอร์ได้ข้อสรุปว่า แม้เขาจะไม่ศรัทธาในระบบการเมือง แต่ระบอบประชาธิปไตยในสหรัฐฯก็เป็นระบอบที่คิดค้นขึ้นมาโดยมนุษย์ และเป็นระบอบที่ยอมรับกันว่าดีที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา

ข้อสรุปดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นข้อสรุปแบบไร้เดียงสา หรือเป็นการมองผ่านแว่นกรองแสงสีแดง สีฟ้าหรือสีขาว แต่มันเป็นข้อสรุปที่มีเหตุมีผล เป็นมุมมองของผู้ที่บรรลุวุฒิภาวะ ถ้ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคม ระบอบประชาธิปไตยก็นับว่าเป็นระบอบที่เหมาะสมที่สุด ที่จะคอยควบคุมดูแลมนุษย์ในสังคมนั้น ปัญหาอยู่ที่ว่ายักษ์ใหญ่ผู้เกียจคร้านตัวนี้เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง และไม่มีคนที่อยู่นอกระบบผู้ใดสามารถแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านี้ได้ นอกจากใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนน ซึ่งก็มีตัวเลือกไม่มากนัก แต่ขณะนี้กีย์ได้รับโอกาส ที่จะพ้นจากการเป็นคนนอกเข้ามาเป็นคนใน ซึ่งจะทำให้เขาก้าวเข้ามาใกล้ชิดกับจักรกลตัวสำคัญของระบบ

โดยไม่จำเป็นต้องหยุดคิด กีย์ลาออกจากงานเดิม เข้ารับงานเป็นนักเขียนด้านการเมืองเต็มเวลา

ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมทำหนังสือ กีย์มีโอกาสได้พบกับ แอนดรูว์แบรดฟอร์ดสามครั้งด้วยกัน ครั้งแรกเป็นการไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเขาและภรรยาของเขา ส่วนอีกสองครั้งหลัง เป็นการพูดคุยในเชิงสัมภาษณ์แบบผิวเผิน เพื่อหาข้อมูลคร่าวๆ เบื้องต้นสำหรับหนังสือที่จะเขียน

ความจริงงานของเขาเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น มีลักษณะเป็นการตัดต่อข้อมูลและจัดองค์ประกอบต่างๆของหนังสือมากกว่า กีย์รู้สึกถูกชะตากับแอนดรูว์ทันทีที่ได้พบ แบอนดรูว์ แบรดฟอร์ด มีส่วนสูงไล่เลี่ยกับกีย์ แต่ล่ำสันกว่า มีท่วงท่าสง่างาม แบรดฟอร์ดอายุสี่สิบแปดปี เขามีโครงหน้าที่เฉียบคมหล่อเหลา มีท่าทางจริงใจ เคร่งขรึม และตรงไปตรงมา ผมที่แซมสีเทาที่บริเวณท้ายทอย แว่นตาขอบกระ และวิธีการพูดโดยกล้ำตัวอักษรบางตัวของเขาเหล่านี้ ล้วนส่งเสริมให้เห็นความมีอำนาจในตัวของเขาทั้งสิ้น นอกจากนี้ แบรดฟอร์ดยังเป็นคนที่มีสมอง ไม่ซ้ำซากจำเจหรือเป็นรูปแบบพิมพ์เดียวตลอดกาล มีความฉับไว เป็นตัวของตัวเอง มีความโดดเด่นเฉพาะตัวสูงกว่าพวกนักการเมืองธรรมดาโดยทั่วไป

ปาร์คเกอร์ทำหนังสือเสร็จทันกำหนดเวลา หนังสือเล่มนี้ถูกนำไปขายในงานประชุมพรรคและงานเลี้ยงอื่นๆ ฉบับที่พิมพ์โดยใช้กระดาษปกอ่อนขายได้เกินเป้า พวกที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่สนใจการเมือง ปาร์คเกอร์ได้รับชื่อเสียงพอสมควรจากการทำหนังสือเล่มนี้ เวลาไปร่วมงานเลี้ยงเขาไม่ซังกะตายอีกต่อไป เขามีตัวตนในเชิงรูปธรรมแล้ว เวย์น กิบส์ มอบหมายให้กีย์ทำงานประสานกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อช่วยเตรียมข้อมูลที่จะส่งให้หนังสือพิมพ์

การเลือกตั้งเริ่มต้นและจบสิ้นลง ในระยะแรกๆคะแนนนิยมของแบรดฟอร์ดเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ต่อมาโพลส่วนใหญ่ให้แบรดฟอร์ดมีคะแนนนำคู่ต่อสู้ของเขาหกเปอร์เซ็นต์ แบรดฟอร์ดชนะการเลือกตั้งโดยมีคะแนนนำหน้าคู่ต่อสู้ของเขา จากพรรครีพับลิคกันเจ็ดเปอร์เซ็นต์

ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แบรดฟอร์ดเริ่มคัดเลือกทีมงานประจำของเขา แล้วเขาก็นึกถึงปาร์คเกอร์กับหนังสือเล่มนั้น แบรดฟอร์ดเรียกตัวปาร์คเกอร์มาจาก ซาน ฟรานซิสโก มาสัมภาษณ์อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาเลือกคนได้เหมาะกับงาน ก่อนที่การสัมภาษณ์จะจบลง ปาร์คเกอร์ได้รับการว่าจ้าง

อีกสองเดือนต่อมา เขาถูกส่งไปทำงานที่เวสต์ วิงก์ ซึ่งกฌคือปีกตึกด้านตะวันตกของทำเนียบขาว ในฐานะผู้เขียนสุนทรพจน์ หนึ่งในจำนวนสามคนของท่านประธานาธิบดี

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีครึ่งที่ผ่านมา ปาร์คเกอร์ ทำงานด้วยความสุข ตอนนี้เขาเข้ามาอยู่ในศูนย์กลางของอำนาจแล้ว แม้ว่าจะอยู่ในบทบาทผู้อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวต่างๆ ซึ่งดูเหมือนไม่มีตัวตนก็ตาม แต่เขาก็ได้ชื่อว่าอยู่ที่นั่น และเพียงชั่วข้ามคืนก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว

พวกผู้พิมพ์ผู้จัดจำหน่ายหนังสือในนิวยอร์คที่มีชื่อเสียงโด่งดังหลายคน ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคได้เสนอแนะท่านประธานาธิบดีว่า หนังสืออัตตชีวประวัติของภริยาของเขาอาจจะมีคนสนใจที่จะอ่านกันมาก ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพพจน์ของท่านประธานาธิบดีให้ดียิ่งขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยต่อไป บิลลี่ แบรดฟอร์ดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยสีสันและมีเสน่ห์อย่างลึกล้ำ

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก บิลลี่รู้สึกลังเลและเขินอาย หล่อนเพิ่งอายุได้สามสิบหกปีเท่านั้น ในที่สุดหล่อนยินยอมโดยมีข้อแม้หนึ่งข้อ หล่อนต้องการให้ กีย์ ปาร์คเกอร์ เป็นผู้เขียนอัตตชีวประวัติของหล่อน

ตอนแรกๆ ปาร์คเกอร์ คัดค้านหัวชนฝา เขารู้สึกว่ามันเหมือนกับการถูกลดตำแหน่งลง การถูกย้ายออกจากงานเขียนสุนทรพจน์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินนโยบายที่สำคัญๆของท่านผู้นำแห่งโลกเสรี ไปทำงานที่คล้ายการพูดคุยซุบซิบนินทากันอย่างไร้สาระในห้องน้ำชายามบ่าย เป็นเหมือนการลดเกรดตัวเองให้ต่ำลง สิ่งที่ปาร์คเกอร์เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเรื่องดีสำหรับเขาอยู่บ้าง ก็ตรงส่วนแบ่งเงินค่าเขียนจำนวนครึ่งล้านเหรียญที่เขาจะได้รับล่วงหน้า และตัวของบิลลี่ แบรดฟอร์ดเอง ปาร์คเกอร์เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าบิลลี่เป็นอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไร้สาระ

บิลลี่เป็นคนเอาจริงเอาจังพอๆกับสามีของหล่อน และอาจจะฉลาดหลักแหลมกว่าสามีของหล่อนเสียด้วยซ้ำ บิลลี่ไม่ใช่คนน่าเบื่อ หล่อนเป็นคนที่ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้กลายเป็นคนมีชีวิตชีวา ปาร์คเกอร์ ชอบและนับถือบิลลี่ และในที่สุดชายหนุ่มตัดสินใจย้ายจากเวสต์ วิงก์ไปทำงานทางด้าน อิส วิงก์ โดยมีความรู้สึกต่อต้านหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีโบนัสพิเศษสำหรับเขา ห้องทำงานของปาร์คเกอร์อยู่ติดกับห้องทำงานของ นอร่า จัดสัน เลขานุการิณีฝ่ายสื่อสารมวลชนของท่านสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

นอร่าเป็นผู้มีบทบาทช่วยเหลือบิลลี่ ในกิจกรรมทางสังคมและการปรากฏตัวในที่สาธารณะ เป็นผู้ที่มีไฟแรงและมีพรสวรรคที่สามารถทำงานได้หลายรูปแบบ และทำได้อย่างดีด้วย ปาร์คเกอร์เดาว่านอร่าคงอายุประมาณยี่สิบเก้าปี ถ้าพิจารณาแต่เพียงรูปร่างหน้าตาของหล่อน ซึ่งประกอบด้วยผมสีดำสนิทที่เป็นประกายแวววาว ตาสีเขียว จมูกเชิด ริมฝีปากอิ่มเต็ม ทรวงอกที่งามสมบูรณ์และช่วงขาเรียวงามของหล่อนแล้ว ปาร์คเกอร์อาจจะตัดสินว่านอร่า เป็นแค่วัตถุทางเพศที่ผู้ชายทุกคนต้องเหลียวมองเท่านั้น แต่นอร่าเป็นยิ่งกว่านั้น หล่อนมีสติปัญญาที่หลักแหลม ก่อนที่เราจะทันได้พูดจนจบประโยค นอร่าก็ทำสิ่งที่เราต้องการให้ทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

หล่อนทำงานสองอย่างได้พร้อมๆกัน และทำได้ดีโดยปราศจากข้อผิดพลาด หล่อนสามารถจะทำงานด้านการกุศลให้โรงพยาบาลได้ทันทีที่เสร็จจากการให้ข่าวพวกผู้สื่อข่าว และไปร่วมงานดินเนอร์ของรัฐบาลต่อจากนั้น โดยไม่ชักช้าและโดยปราศจากเสียงบ่น ปัญหาประการเดียวของนอร่าก็คือ หล่อนเป็นคนที่เข้าถึงได้ยาก ทั้งนี้เพราะหญิงสาวมีงานยุ่งอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็หางานมาทำให้ไม่ว่างได้ตลอดเวลา

นอกจากนั้น นอร่ายังเป็นคนรักสันโดษและเลือกที่จะมีชีวิตที่เป็นส่วนตัวอีกด้วย ปาร์คเกอร์เคยพูดเป็นเชิงชวนหล่อนไปดื่มเหล้าหรือรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่นอร่าไม่สนใจ

ในระยะห้าเดือนที่ย้ายมาทำงานที่นีปาร์คเกอร์ยังไม่สามารถเจาะทะลุกำแพงที่กั้นขวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกำแพงห้องทำงานหรือกำแพงหัวใจที่กั้นเขาทั้งสองได้สำเร็จ หล่อนทำทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง หล่อนเป็นหญิงสาวที่ร่าเริงแต่รักความสันโดษ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับปาร์คเกอร์ แต่การได้มีโอกาสทำงานอยู่ใกล้หล่อนถือได้ว่าเป็นโบนัสพิเศษ

ปาร์คเกอร์เองก็มีงานยุ่งเหมือนกัน การวางรูปเรื่องหนังสืออัตตชีวะประวัติของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ที่จะช่วยโน้มน้าวความนิยมของผู้คน เป็นงานหนักที่ต้องเสียเวลาวันละสิบชั่วโมง งานชิ้นแรกคือการรวบรวมข้อมูลที่จะต้องอ่าน ปาร์คเกอร์เสาะหาและอ่านเรื่องราวทั้งหมด จากสิ่งตีพิมพ์ทุกชนิดที่เกี่ยวกับบิลลี่ แบรดฟอร์ด เขาต้องอ่านหนังสือพิมพ์ เรื่องที่ตัดมาจากวารสารต่างๆ ซึ่งกองรวมกันเป็นภูเขาเลากา แล้วจดบันทึกไว้มากมายหลายหน้ากระดาษจนนับแทบไม่ถ้วน

หลังจากนั้นเขาต้องเดินทางไปตามที่ต่างๆนอกกรุงวอชิงตัน เพื่อไปพบและสัมภาษณ์บรรดาญาติๆ เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเก่าของบิลลี่ รวมทั้งเพื่อนร่วมชั้นเก่าๆของหล่อนด้วย ปาร์คเกอร์เคยบินไปซานฟรานซิสโกและใช้เวลาอยู่ที่นั่นถึงสองวัน เพื่อสัมภาษณ์ คลาเรนซ์ เลนซ์ บิดาของบิลลี่ คิต และ นอริส เวนสไตน์น้องสาวและน้องเขยรวมทั้ง ริชชี่ซึ่งเป็นบุตรของคนทั้งสอง

และในที่สุดเมื่อไม่นานนี้เอง ปาร์คเกอร์มีคำถามมากมายเป็นร้อยๆที่จะใช้ เขาเข้ามาถึงส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระของหนังสือที่จะเขียนแล้ว ชายหนุ่มเริ่มต้นทำการสัมภาษณ์บิลลี่ แบรดฟอร์ดโดยตรง ซึ่งบิลลี่ได้จัดเวลาสำหรับการสัมภาษณ์นี้ วันละหนึ่งชั่วโมงทุกวันซึ่งมักจะเป็นในตอนบ่าย เพื่อตอบคำถามต่างๆของปาร์คเกอร์โดยใช้เครื่องบันทึกเสียง จากการร่วมงานครั้งนี้ชายหนุ่มค้นพบว่าบิลลี่ตอบคำถามต่างๆแบบมืออาชีพ ตรงไปตรงมา สนุกสนาน และแล้วสิ่งที่ถือว่าเป็นการทำงานก็ไม่เหมือนงานที่เป็นทางการอีกต่อไป ยกเว้นเฉพาะเมื่อเขาต้องการรายละเอียด ที่น่าสนใจที่ต้องติดตามเท่านั้น ที่ทำให้มันดูเป็นงานเป็นการขึ้น

และขณะนี้เขาอยู่ที่นี่แล้ว ในตอนบ่ายที่ร้อนชื้นเหนอะหนะวันหนึ่งในปลายเดือนสิงหาคม เขากำลังมุ่งหน้าไปพบหล่อนเพื่องานสัมภาษณ์เหมือนเคย แต่วันนี้จะไม่มีการสัมภาษณ์ ปาร์คเกอร์จำได้ว่าบิลลี่เพิ่งจะขอยกเลิกการสัมภาษณ์สำหรับวันนี้เพราะหล่อนไม่ว่าง ชายหนุ่มรู้สึกสับสน เขาเพิ่งจะได้มีโอกาสสัมภาษณ์โดยตั้งคำถามให้บิลลี่ตอบ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น และครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่นอร่าก็ได้บอกเขาอย่างชัดเจนแล้วว่าบิลลี่ต้องการพบเขาด่วนด้วยเรื่องอื่น ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความสงสัยว่าหล่อนต้องการพบเขาด้วยเรื่องอะไร

ปาร์คเกอร์เพิ่งผ่านออกมาจากบริเวณสวนลาฟาแยต ชายหนุ่มเดินข้ามถนนเพนซิลวาเนียตรงเข้าไปที่ป้อมยาม เปิดกระเป๋าสตางค์แสดงบัตรผ่านเข้าทำเนียบขาวเหมือนที่เคยทำอยู่เป็นประจำ แล้วจึงเดินผ่านเข้าไป เขาเดินขึ้นไปตามทางโค้งซึ่งเป็นลานสำหรับรถวิ่ง แล้วเข้าทางประตูหน้าด้านที่เรียกว่า นอร์ธ ปอร์ติโก ปาร์คเกอร์มาถึงห้องโถงใหญ่ที่ปูลาดด้วยพรมสีแดง เขาผงกศรีษะคำนับรูปปั้นประธานาธิบดีโฮเบิร์ต ฮูเวอร์ ที่ตั้งอยู่บริเวณชานบันได ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดขั้นต่อไปทีละสองขั้น ผ่านรูปปั้นของวูดโรว์วิลสันและแฟรงกินด์ ดี. รูสเวลต์

เมื่อขึ้นมาถึงหัวบันไดเขาพบนอร่าจัตสัน "เห็นไหมว่าผมมาถึงได้ภายในสิบห้านาที ? " ปาร์คเกอร์กล่าวอย่างภูมิใจ "ผมรีบมาเพราะรู้ว่าคุณอยากพบผมมาก"

"ฉันกำลังกังวลอยู่ทีเดียว" นอร่ากล่าว "ฉันกลัวว่าคุณหรือไม่ก็ความหลงตัวเองของคุณ ถูกรถบรรทุกชนไปแล้วเสียอีก"
"ความหลงตัวอะไรกัน? ผมคิดว่ามันห่อเหี่ยวไปหมดแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ"
"ไว้เราค่อยคุยกันเรื่องนั้นวันหลัง"
"เรานัดวันกันเลยดีไหม ?"

"ยังไม่นัด" หล่อนตอบอย่างรวดเร็ว แล้วเดินนำเขามุ่งหน้าไปยังห้องเยลโลว์ โอวัล โอ๊ค "คุณมาทันเวลาพอดี คุณบิลลี่เพิ่งเสร็จการให้สัมภาษณ์พวกนักข่าวสักสิบนาทีนี่เอง พวกนั้นไปกันหมดแล้ว ส่วนพวกทีวีกำลังเก็บของเกือบเสร็จแล้ว"
"เธอไม่มีเวลาให้ผมสัมภาษณ์จริงๆหรือ ?"

"เธอมีเรื่องที่ต้องทำเยอะแยะ เกี่ยวกับการเดินทางไปมอสโคว์พรุ่งนี้บ่าย ลัดบิวรีก็เดินทางจากลอนดอนมาถึงแล้ว -- ความจริงเขาควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน --เขายืนยันว่าเขาต้องพบเธอให้ได้ เพื่อให้เธอลองเสื้อผ้าพวกนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนการประชุมสุดยอดที่ลอนดอนอีกสองอาทิตย์ ฉันเลยต้องสับเปลี่ยนกำหนดนัดอื่นๆของคุณบิลลี่ให้ยุ่งไปหมด แล้วเธอยังต้องทำแผนผังแบบแปลนสำหรับวารสารบ้านและสวนอีกด้วย นอกจากนั้นยังต้องพาทูตฝรั่งเศสไปชมพิพิธภัณฑ์แสดงภาพแห่งชาติ เฟรด วิลลิส ก็ยังยืนยันที่จะขอพบเธอเป็นการส่วนตัว เพื่อบริ๊ฟเรื่องพิธีการทูตให้เธอฟังเกี่ยวกับที่เธอจะไปมอสโคว์ หลังจากนั้นยังต้องเตรียมจัดกระเป๋าสำหรับเดินทาง เธอไม่ยอมให้ซาร่าห์ทำเองโดยลำพัง"

"คุณบิลลี่ต้องการพบผมเรื่องอะไร ?" ปาร์คเกอร์ถาม
"ฉันไม่รู้" นอร่าตอบ "เธอขอคุยกับคุณสักห้านาทีหลังจากจบการให้สัมภาษณ์พวกผู้สื่อข่าว ก่อนไปลองเสื้อผ้า อ้อ เรามาถึงแล้ว"

ทั้งสองมาถึงทางเข้าห้องเยลโล โอวัล โอ๊ค แล้วยืนหลบไปข้างหนึ่ง เพื่อหลีกทางให้เจ้าหน้าที่สามคนของสถานีโทรทัศน์ ซึ่งกำลังออกมาจากห้องพร้อมด้วยอุปกรณ์ เมื่อคนพวกนั้นไปหมดแล้วนอร่าเดินเข้าไปในห้อง โดยมีปาร์คเกอร์เดินตามไป

บิลลี่ แบรดฟอร์ดอยู่ในห้องเพียงลำพังหันหลังให้พวกเขา หล่อนกำลังยื่นมือไปจับเท้าแขนของเก้าอี้นวมตัวหนึ่งแล้วทิ้งตัวลงนั่ง หล่อนเห็นพวกเขาตอนที่กำลังสลัดรองเท้าออกทิ้งไป "แหม นอร่า ฉันกำลังแปลกใจว่าเธอหายไปไหน เฮลโล กีย์ ---" บิลลี่แตะเก้าอี้นวมตัวที่อยู่ติดกับหล่อน "มานั่งนี่"

ปาร์คเกอร์ก้าวไปข้างหน้าแล้วนั่งลงตามคำสั่ง "สวัสดีครับ มิสซิสแบรดฟอร์ด ---"

"ได้โปรด กีย์" บิลลี่ร้องขัดและทำหน้านิ่ว "ขอบอกคุณเป็นครั้งที่สิบให้เลิกเรียกฉันว่ามิสซิสแบรดฟอร์ดเสียที ฉันเจอคุณอยู่ทุกวัน พูดคุยกันด้วยเรื่องที่เป็นส่วนตัว ราวกับว่าฉันแก้ผ้าอยู่ต่อหน้าคุณอยู่แล้ว เปิดเผยทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นตัวตนของฉันหรือจิตวิญญาณของฉัน ความลี้ลับทุกอย่างในครอบครัวฉัน -- แล้วคุณยังจะมาทำเป็นทางการกับฉันอยู่อีก คุณต้องเปลี่ยนเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฉันกำลังจะบอกอะไรให้คุณฟัง ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปคุณต้องบอกลามิสซิสแบรดฟอร์ด แล้วกล่าวสวัสดีกับบิลลี่แทน"

บิลลี่เอียงแก้มไปให้ปาร์คเกอร์ "เซ็นต์สัญญาเสีย"
ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปจุมพิตแก้มเธออย่างเคอะเขิน "สวัสดีครับ คุณบิลลี่" เขาพูด

บิลลี่ส่งสัญญานให้นอร่านั่งลงตรงข้าม "เป็นอย่างไรบ้าง นอร่า ? การให้สัมภาษณ์ของฉันเป็นอย่างไร ?"
"วิเศษมากค่ะ เปิดเผยและตรงไปตรงมา ไม่มีการเล่นลิ้นเลย พวกเขาชอบคุณ"
"ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น ฉันทำเพื่อแอนดรูว์ ฉันน่าจะทำอีกบ่อยๆ"
"ค่ะะ คุณควรทำ"

บิลลี่หันไปทางกีย์ ปาร์คเกอร์ "เสียใจที่วันนี้ฉันต้องขอยกเลิกนิยายฉากที่น่าตื่นเต้นในชีวิตของสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เราคุยกันเรื่องวีรสตรีของเราไปถึงไหนแล้ว ? ยังติดค้างอยู่ที่รางรถไฟใช่ไหม ?"

"ไม่ใช่ครับ อยู่ที่ เพิร์ล ไว้ท์ แต่ก็ไม่เชิงทีเดียว" ปาร์คเกอร์ยิ้มกว้าง "เมื่อวานนี้ตอนจบ คุณยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สาม กำลังจะเดินทางไปทัวร์อังกฤษ โดยทุนทางด้านอักษรศาสตร์จากมหาวิทยาลัย"

หน้าของบิลลี่ม่อยลงทันใด "ใช่แล้ว" เธอพูด "นั่นเป็นครั้งที่ฉันได้พบกับ เจเนต ฟาร์เล่ห์ คุณคงจะได้ยินชื่อเธอมาบ้างแล้วตอนที่รวบรวมข้อมูล"
"ครับ เท่าที่ผมอ่านเจอ เธอเป็นชาวอังกฤษและเป็นนักเขียนวรรณกรรมสำหรับเด็ก เธอเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณ"

"เคยเป็น" บิลลี่พูดเศร้าๆ "เจเนตเพิ่งตายเมื่อคืนนี้เอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอเป็นมะเร็ง เพิ่งได้รับโน๊ตที่ท่านทูตอังกฤษให้คนถือมาให้เมื่อเช้านี้เอง ท่านทูตเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเจเนตกับฉัน สนิทสนมกันขนาดไหน ฉันบอกคุณได้เลยว่าฉันสะเทือนใจมาก"

"ผมเสียใจด้วยนะครับ" ปาร์คเกอร์กล่าว

"ฉันพบกับเจเนต ตอนที่เดินทางไปลอนดอนครั้งนั้น เธอเป็นเจ้าภาพให้ฉันที่ลอนดอน เจเนตแก่กว่าฉันสิบปี แต่เราก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉันไม่ค่อยได้พบเธอบ่อยนัก งานมากมายที่ทำเนียบขาวนี่เอาเวลาของฉันไปหมด ฉันเคยหวังที่จะได้พบเธอที่ลอนดอนอาทิตย์หน้า แต่ตอนนี้ -- อ้อ ฉันคงจะต้องไปเยี่ยมสามีและลูกชายของเจเนต"

นอร่ากำลังเคาะคริสตัลบนนาฬิกาข้อมือของหล่อนอยู่ "คุณบิลลีคะ ความจริงดิฉันไม่อยากเร่งเลย แต่ตอนนี้เราแทบจะไม่มีเวลาแล้ว"

บิลลี่ปลุกตัวเองให้กระฉับกระเฉง "ตกลง วันนี้ทั้งวันฉันต้องวิ่งไปวิ่งมากับเรื่องต่างๆจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้เลย" หล่อนยิ้มให้ปาร์คเกอร์ "เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรค้างอยู่ตอนที่คุณเดินเข้ามา ? อ้อ จำได้แล้วเรื่องที่ว่าต้องยกเลิกการให้คุณสัมภาษณ์วันนี้ แต่ฉันกำลังจะชดเชยให้คุณ ฉันต้องการพบคุณเรื่องนี้แหละ"

กีย์ ปาร์คเกอร์คอยฟัง

หลังจากนิ่งไปอึดใจหนึ่ง บิลลี่ แบรดฟอร์ดก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงขึ้น "พรุ่งนี้ตอนบ่ายเราจะขึ้นเครื่องแอร์ฟอร์ซ วัน ไปมอสโคว์ มันคงจะเป็๋นการนั่งเครื่องบินที่ยาวนานและน่าเบื่อหน่าย ฉันมีทางเลือกอยู่สองทางคือ นั่งอ่านตอลสตอยอีกครั้งตลอดทาง หรือเล่าเรื่องตัวเองตลอดเวลาแปดชั่วโมงบนเครื่องบิน ถ้าไม่ใช่เรื่องของแอนนา คาเรนิน่า ก็เป็นเรื่องของบิลลี่ แบรดฟอร์ด ไม่มีการแข่งขันระหว่างแอนนากับบิลลี่ เพราะฉันเป็นผู้ชนะ ฉันต้องการใช้เวลาบนเครื่องบินเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันให้คุณฟัง หรืออีกนัยหนึ่ง ฉันขอเชิญคุณนั่งแอร์ ฟอร์ซ วันไปกรุงมอสโคว์กับฉัน เราจะได้คุยกันตลอดทางทั้งขาไปและขากลับ คุณเคยไปมอสโคว์ไหม ?"

ปาร์คเกอร์ ตกตะลึง "ทำไม..ไม่...โอ้ ขอบคุณครับ แต่มันกะทันหันมาก ผมหมายความว่าผมคงต้องใช้เวลาเตรียมตัว...ทำหนังสือเดินทาง---"

"โธ่ กีย์" บิลลี่ล้อเลียน "เรื่องใหญ่โตอะไรกัน ? ฉันรู้เรื่องของคุณดี งานข่าวกรองตอนสงครามเวียตนาม งานนักสืบที่คุณเคยทำ การที่จะทำงานพวกนั้นได้ คุณจะต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันตลอดเวลาอยู่แล้ว เรื่องหนังสือเดินทางทางการทูตของคุณก็ไม่ต้องกังวล เราจะจัดการให้ คุณแค่จัดกระเป๋าแล้วไปกับเราเท่านั้น คุณจะไม่มีเวลาว่างเลยตลอดการเดินทาง ถ้าฉันไม่มีเวลาให้คุณ นอร่าก็จะดูแลคุณเอง คุณคิดว่าเป็นอย่างไร ?"

ปาร์คเกอร์ ชำเลืองมองนอร่า "ตกลงครับ มิสซิส..เอ้อ คุณบิลลี่ " เขาตอบ "ตอนนี้ผมควร...อ้อ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวกลับไปจัดกระเป๋าเดินทาง"

เมื่อปาร์คเกอร์ลุกขึ้นยืน บิลลี่ก็กล่าวว่า "นอร่าจะบอกคุณเองว่าเครื่องบินจะออกกี่โมง รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆด้วย เจอกันพรุ่งนี้"

เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นนอร่าก็ลุกขึ้นไปเปิดอย่างว่องไว หัวหน้าพนักงานเฝ้าประตูก้าวเข้ามาครึ่งก้าว "มร. ลัดบิวรี กับ มิส ควอเลส มาถึงแล้วขอรับ" เขาประกาศ

ปาร์คเกอร์เพิ่งเดินมาถึงตัวนอร่าเมื่อแขกทั้งสองเดินรี่เข้ามาในห้อง แต่ละคนถือกล่องบรรจุเสื้อผ้าเต็มอ้อมแขน เขาแทบจะไม่ทักทายนอร่าและไม่สนใจปาร์คเกอร์เลย ลัดบิวรีถลาเข้าไปหาสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งทันที โดยมีโรเวนน่า ควอเลส ตามมาติดๆ

ปาร์คเกอร์มองเห็นหน้าของคนทั้งสองเพียงแวบเดียวตอนผ่านกัน ลัดบิวรีมีหน้าตาเหมือนออเบรย์ เบียร์ดส์เล่ย์ กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ผมม้าสีฟางข้าว จมูกยิว หน้าแหลม ท่าทางอ่อนระทวย ผอมบาง และยังหนุ่ม เขาทักทายบิลลี่ด้วยเสียงแหลมเล็ก "ที่รัก ! ผมมีสิ่งของนับไม่ถ้วนมาให้คุณ!" ข้างหลังเขาคือหญิงที่ชื่อ ควอเลส ซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขา หล่อนมีหน้าที่ใหญ่กางเหมือนกำแพง รูปร่างเตี้ยแลดูเหมือนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส สวมเสื้อทำด้วยผ้าสักหลาด (ในอากาศแบบนี้ ) !

นอร่าและปาร์คเกอร์เดินไปตามโถงทางเดิน นอร่านำเขาไปที่บันได ปาร์คเกอร์บุ้ยใบ้ไปข้างหลัง "ทำไมเธอถึงใช้ช่างตัดเสื้อชาวอังกฤษ ?"

"อ๋อ คุณบิลลี่เคยรู้จักเขาก่อนจะเข้ามาอยู่ทำเนียบขาว เธอชอบเขามาก แต่หลังจากเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง เธอต้องซื้อของที่ทำในอเมริกาด้วยเหตุผลทางการเมือง เธอเลยต้องเปลี่ยนไปซื้อเสื้อผ้าจากพวกนักออกแบบในนิวยอร์คแทน ที่เธอกลับมาเรียกหาลัดบิวรี่อีกก็เพราะ เฟรด วิลลิส แนะนำให้เธอทำ ขาคิดว่าพวกคนอังกฤษคงจะปลื้มใจที่เธอใช้เสื้อผ้าที่ออกแบบโดยคนอังกฤษ ตอนที่เธอไปที่ลอนดอนคราวนี้ พวกนักออกแบบในแมนฮัตตันที่เคยออกแบบเสื้อผ้าให้เธอ ก็เคยคัดค้านเหมือนกัน แต่สำหรับครั้งนี้คุณบิลลี่ต้องการใช้เสื้อผ้าของลัดบิวรี่"

เมื่อคนทั้งสองเดินมาใกล้ถึงเชิงบันได นอร่าเสริมว่า "ฉันจะเอาหมายกำหนดการ หนังสือเดินทางและทุกอย่างมาให้คุณตอนเวลาอาหารค่ำ"
"ขอบคุณมาก"

"คุณคงจะดีใจกับการเดินทางครั้งนี้ คุณบิลลี่ใจดีมาก เธอไม่ค่อยนอนบนเครื่องบินมากมายนัก คุณคงจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเกือบตลอดการเดินทางไปมอสโคว์"
"พูดคุยกับคุณด้วย" ปาร์กเกอร์ กล่าว

ความสำรวมตนของนอร่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง "กับฉันน่ะหรือ ?" หล่อนถาม "ฉันคงต้องอ่านหนังสือของตอลสตอย จนไม่มีเวลาว่างเลย"

ชายหนุ่มหยุดที่ชานบันได จับแขนหล่อนไว้ "นอร่าที่รัก คุณไม่พอใจผมเรื่องอะไรหรือ ?"
ตาสีเขียวที่เย็นชาของหล่อนจ้องมองเขาเขม็ง "เพียงแค่ว่าคุณเป็นเพศเดียวกับอดีตสามีของฉันเท่านั้นแหละ"

"อตีตสามีของคุณ ? ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย"
"ตอนนี้คุณรู้แล้ว"
"คุณเจ็บช้ำน้ำใจมากหรือไง ?"
“เจ็บที่สุดในชีวิตเลยละ” นอร่าตอบแล้วเดินจากเขาไปทันที

แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 17:56:53

แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 16:06:48

แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 55 15:48:12

จากคุณ : ดอยสะเก็ด
เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 55 15:41:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com