Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
=[ แฟน... เพื่อน (รัก) ]= ติดต่อทีมงาน

เพิ่งเคยมาตั้งกระทู้ห้องนี้เป็นครั้งแรก เคยเขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อนานมาแล้วในบล็อก แต่ไม่จบ (แน้! ห้ามไปอ่านสปอล์ยนะ!!!)
มาวันนี้ เพื่อนรักคนนี้ กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เลยอยากจะเขียนให้จบลงเพื่อเป็นที่ระลึก...
ทั้งนี้ เรื่องนี้ได้รับอนุญาตให้เขียนได้จากเจ้าของเรื่องแล้วนะคะ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

เรื่องนี้ based on true story ค่ะ (ใส่สีใส่ไข่ตามความหมั่นไส้ของผู้เขียนนะคะ แหะๆ)


คำเตือน ภาษาเป็นภาษาพูดแบบเล่าเรื่องนะคะ (อาจจะมีภาษาแชทบ้าง)
และไม่จบในวันเดียวนะคะ อยากเขียนสดๆ ทะยอยรำลึกความหลังสีจางๆ น่ะค่ะ

......................................................................................................................................................................


เมื่อ(หนึ่งใน)เพื่อนสนิทมีแฟน คุณเคยมีความรู้สึกแบบนี้ไหม


เท่าที่จำได้ ในบรรดาแฟนเพื่อน และแฟนญาติสนิททั้งหมดรวมๆ กันก็เป็นผู้ชายจำนวนนับร้อยได้มั้ง เคยพอใจอยู่คนเดียว (ที่ไม่ได้เป็นแฟนของฉัน) ตอนเจอกันนึกปลื้มใจในความเป็นสุภาพบุรุษ และความน่ารักที่ทั้งสองคนมีให้ต่อกัน จนเมื่อเพื่อนมาบอกว่า ชั้นคงจะแต่งงานกับคนนี้ ยังจำได้ว่าดีใจไชโยกันยกกลุ่มว่าเพื่อนได้คนที่ดีเป็นที่พอใจของเพื่อนๆ  ... แต่แล้วสุดท้ายก็เลิกกัน จะเลิกกันทำไมเนี่ยคนดีขนาดนี้ ยกให้ฉันแทนไหม 555


แต่เอาเป็นว่าตามปกติแล้ว เวลาพื่อน หรือญาติสนิทมาบอกว่า ชั้นอาจจะแต่งงานกับคนนี้นะ การตอบรับของฉันมักจะเป็นว่า... ถ้าแกจะแต่งกับไอ้คนนี้ ไม่ต้องเชิญนะ ฉันไม่ไปงานมัน (ต่อให้มันแต่งกับแกก็เถอะ!!!) จริงๆ ก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละ งานเพื่อนทั้งทีไม่ไปได้งัย แต่ก็ยังไม่เห็นคนไหนที่แต่งกับคนที่ฉันอดรนทนไม่ได้ต้องเอ่ยปากขนาดนี้เลยนะ หรือว่าฉันจะเป็นคนบังคับให้เพื่อนๆ ขึ้นคานอย่างจำยอมเนี่ย (แต่อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลย เวลาฉันมีแฟน ฉันก็ไม่เห็นเพื่อน หรือญาติคนไหนจะออกปากว่าชอบแฟนฉันบ้าง ก็คงอยากให้อยู่บนคานด้วยกันสินะ)


ถ้าจะให้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ฉันเป็นโรคหวงเพื่อน ญาติ และผู้หญิงรอบตัวทุกคน คือรู้สึกว่า ทำไมเธอเหล่านั้นถึงไม่ได้แฟนที่ดีกว่านี้นะ หรือเรียกง่ายๆ ว่าเพื่อนฉันดีเสมอนั่นแหละ



เพื่อนของฉันคนที่จะกล่าวถึงนี้ เป็นเพื่อนที่สนิทมาก เป็นเพียงคนเดียวที่เคยอยู่ร่วมบ้านเป็น housemate กัน และคบมานานต่อเนื่องที่สุด (ที่ต้องเน้นว่าต่อเนื่องเพราะฉันยังมีเพื่อนอีกคนที่คบกันมาตั้งแต่เตรียมอนุบาล และปัจจุบันยังคุยกันอยู่ ขอบคุณ Facebook ที่ทำให้ฉันได้เจอกับเพื่อนคนนี้อีกครั้ง //พื้นที่โฆษณา) เธอเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมาก ฉลาดมาก และมีความงามที่ไม่เป็นสองรองใคร สมัยเรียนที่เมืองไทย เธอเคยลงปกหนังสือหลายเล่ม รวมถึงได้รับเลือกให้เป็น Cheerleader ด้วย หลังจากนั้น เธอก็ชิงทุนลัดฟ้ามาเรียน High school ต่อฝั่งทวีปอเมริกา รวมถึงเธอก็เรียนต่อปริญญาตรี ณ ซีกโลกนี้ด้วย


นอกจากนั้น เธอยังเป็นนักกีฬาตัวยง ก็ไม่ได้จะบอกว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านกีฬาอย่างแรงกล้าหรืออย่างรัย แค่เพียงเธอเป็นคนที่ไม่ชอบความพ่ายแพ้โดยยังไม่ได้พยายาม และไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ต่างหาก ถึงขนาดหัวชนฝาเลยทีเดียว ถ้าเธอแพ้ เธอจะพยายามฝึกหัดให้ตัวเองเก่งขึ้นจนสามารถกลับมาชนะได้ เรียกได้ว่า ความแพ้นี้สิบปีกลับมาชนะยังไม่สาย อย่าเผลอไปชนะเธอเข้าเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณเองก็ต้องคอยพัฒนาปรับปรุงตัวเองต่อไปเรื่อยๆ สำหรับรอบแก้มือ เพราะเธอจะมาขอประลองฝีมือดวลกันอีกรอบอย่างแน่นอน เหอ เหอ เหอ


สรุปง่ายๆ เธอก็เป็นสาวประเภทที่เรียกกันว่า สวย รวย เก่ง ละกัน (แล้วหลงมาเป็นเพื่อนฉันได้ยังงัยเนี่ย!) แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะมีบุคลิกคุณหนูหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ เธอเป็นพวกที่ใช้แรงงานได้ดีด้วย เพราะเธอไม่ชอบให้ใครมาคิดว่าเธอเป็นคุณหนูบอบบาง เป็นตุ๊กตากระเบื้องในตู้โชว์ เอาไว้ตั้งหน้ารถอวดหน้าตาสวยๆ ให้คนดูอะไรเทือกนั้น เธอชอบที่จะยกตู้โชว์ที่ใส่ผลงานของเธอไปอวดคนอื่นมากกว่า ... อย่านึกว่าเป็นเล่นไป อึดปานนั้นเธอก็น่าจะมีแรงพอยกตู้ซักใบสองใบได้อยู่ 555



อวยคุณเพื่อนอยู่นาน เรามาฟังเรื่องฝ่ายชายบ้างดีกว่า อย่างที่ฉันบอกมาข้างต้น ฉันจะพยายามเขียนให้เป็นกลางเท่าที่จะกลางได้ละกันนะ แต่อย่าคาดหวังอะไรมากละกัน ^^"



เขา... เป็นชายไทย ที่เพิ่งจะมาพูดภาษาไทยรู้เรื่องก็ตอนที่คบกับเธอนี่แหละ เพราะเขาเกิดที่อเมริกา และอยู่ที่นี่กับครอบครัวมาตลอด เป็นน้องชายคนเล็กของครอบครัว ในขณะที่เธอเป็นพี่สาวคนโต ที่บ้านเขาก็น่าจะเรียกได้ว่ามีฐานะล่ะมั้ง เป็นครอบครัวทันตแพทย์ยุคบุกเบิกจากเมืองไทย จริงๆ ที่บ้านฉันก็คงจะรู้จักเพราะรุ่นนั้นกลุ่มคนไทยที่มาปักหลักแถบนี้มีเพียงหยิบมือ แต่ก็อย่างนั่นแหละ ไม่รู้ว่าอยากจะลำดับญาติไปทำไม 555 เอาเป็นว่าเขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่อยู่อย่างสบายมีฐานะดี แต่ส่วนตัวฉันก็ว่ายังไม่เท่าเธออยู่ดี (เข้าข้างเพื่อนตลอด)


ว่ากันว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี หล่อ มีสาวๆ กรี๊ดกร๊าดมากมาย หล่อถึงขั้นที่ว่า เคยมีวิทยากรรับเชิญชาวไทยที่มาบรรยายที่มหาวิทยาลัยถึงกับหยุดบรรยาย แล้วพูดออกไมค์ว่า แหม คุณน้องหล่อจัง อยากเป็นดาราเล่นหนัง เล่นละครมั้ย ไม่ได้พูดเปล่า มีการชักชวน และบอกว่าถ้าสนใจบอกพี่ได้นะ จะฝากให้อีกต่างหาก... สาวๆ ทั้งไทยและเทศตามรุมกันเป็นว่าเล่น เข้าทำนองว่า dark tall and handsome นั่นแหละ (ทั้งหมดที่เขียนมาฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย หล่อหรอเนี่ย หล่อของฉันต้องขาวล่ะนะ แค่ข้อแรกก็ตกแล้ว ฮะๆ แต่เสียงส่วนมากว่าหล่อก็หล่อละกัน ว่างัยว่าตามกัน)


เขาเป็นคนเรียนดี คงจะเก่งแหละ เพราะในตอนนั้นที่รู้จักกันเขาก็ทำปริญญาเอกด้านวิศวกรรมศาสตร์อยู่ ทั้งๆ ที่อายุอ่อนกว่าเธอสองปี (หรือปีเดียว ฉันไม่ค่อยได้ใส่ใจ เอาเป็นว่าเด็กกว่าแต่กำลังเรียนสูงกว่าละกัน) เล่นกีฬาพอได้ เข้าสังคมได้ ดูดี และรู้ตัวว่าตัวเองดูดี (คือรู้ว่าคนอื่นคิดว่าตัวเองหล่อนี่แหละ) ซึ่งตรงนี้สำคัญสำหรับฉันมาก เพราะมันเป็นบุคลิกที่น่ารำคาญ ตอนฉันเห็นเขาอยู่ในรูปที่เพื่อนส่งมา ฉันยังถามกับเธอเลยว่า จริงๆ เขาไม่ได้ไปเที่ยวด้วยแต่ Photoshop เอาหรือเปล่า เพราะมันเหมือนเขา copy หน้าตัวเองมาแปะไว้ทุกรูป คนอะไร ถ่ายรูปหน้าเดียวตลอด ไม่มีการยิ้มกว้าง หน้าตลกๆ เปิ่นๆ ฮาๆ แต่อย่างใด ต้องมุมนี้ ยิ้มเท่านี้ เห็นฟันแค่นี้ เป๊ะ...


พอฉันได้เจอตัวเป็นๆ ก็พบว่าเขาไม่ได้ Photoshop หรอก (ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ) เขาทำหน้าแบบนั้นจริงๆ ฉันไม่เคยเจอหน้าเขาแบบมี expression บนใบหน้าเลย ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาเขาอยู่กับเพื่อนฉันสองคนเขาก็ทำหน้าแบบนี้ด้วยหรือเปล่า สรุปว่าเขาเป็นคนดูดีมาก (สำหรับโลกภายนอก) แต่เป็นผู้ชายที่น่าเบื่อมากสำหรับฉันค่ะ


จะว่าสรุปตามประสาคนหวงเพื่อนก็ว่าได้ (แต่มันก็น่าเบื่อจริงๆ นี่นา)



หลังจากที่เขากับเธอเจอกันครั้งแรกบนยอดเขาสูงอันปกคลุมไปด้วยหิมะ ฟังดูโรแมนติกซินะ มันไม่โรแมนติกอย่างที่เห็นๆ กันในหนังหรอก มันคือ ski trip นั่นแหละ และเธอเองก็เชี่ยวชาญ snowboard ขั้นสุดซะด้วย บอกแล้วเธอไม่ได้เป็นคุณหนูไม่เล่นกีฬากลางแจ้ง เธอเคยอาสาสอนฉันเล่นเพราะเหตุที่ว่า ski มันน่าเบื่อ จะหัดไปทำไม เธอสอนโดยการนำฉันไปไปปล่อยไปบนยอดเขาชันสุดของ ski resort ในวันแรกที่ฉันหัดใส่ snowboard ชันแบบที่เค้าเรียกกันว่าความชันระดับ diamond น่ะ แบบว่าไม่ต้องทำอะไรตัวก็ไหลไปข้างหน้าได้เอง แล้วการสอนของเธอก็คือ อยากไปทางซ้ายให้โยกไปทางซ้าย อยากไปทางขวาให้โยกไปทางขวา ถ้าจะหยุดให้โน้มตัวไปข้างหน้า เธอดูฉันโยกซ้ายขวาสองรอบก็ดีใจว่า อ๊ะทำได้แล้วนี่ เจอกันข้างล่างนะ แล้วก็ฉิวลงเขาไป ปล่อยฉันยืนงงอยู่บนยอดเขาอันหนาวเหน็บ (แอร๊ยยย แอบพาดพิง) แล้วฉันก็ค่อยๆ พาตัวเองลงมาได้ ใช้เวลาร่วม 45 นาที ในขณะที่คนอื่นใช้ประมาณ 10 นาที ... บังคับซ้ายขวาน่ะพอได้ แต่อยากจะหยุดทีล้มที เผลอเอนหลังตลอด ตัวช้ำแขนช้ำไปหมด นี่มันกีฬาอะไรจะหยุดไปข้างหน้า แล้วต้องโน้มไปข้างหน้าเนี่ย ผิดหลักจิตวิทยาสุดริด


อ่า... นอกเรื่องไปไกล กลับเข้าฝั่งก่อน เอาใหม่ บนยอดเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะ


เขาและเธอไป ski trip ที่จัดโดยเพื่อนๆ ของทั้งสองคนด้วยกัน (แต่ทั้งคู่ก็เล่น snowboard ล่ะนะ) แล้วเขาก็ปิ๊งเธอ ก็พอจะเข้าใจเขานะ เธอออกจะดูดี ดูเด่นกว่าคนอื่นๆ ขนาดนั้น ก็ต้องตกหลุมเป็นธรรมดา เขาเฝ้าตามจีบอยู่พักหนึ่ง ก็ตกลงเป็นแฟนกัน ท่ามกลางความชื่นชมยินดีของกลุ่มคนไทยที่ไป ski trip ด้วยกันในคราวนั้น และกลุ่มเพื่อนต่างชาติของทั้งสองคน และที่สำคัญคือท่ามกลางความเซ็งของฉันด้วย แต่ก็นะ จะไปยุ่งก็ใช่ที่ ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเธอตัดสินใจแล้วก็ต้องตามใจแหละ ตราบใดที่เธอมีความสุขฉันก็ว่าดี ก็ดูๆ กันไป



คู่นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ picture perfect เพราะแค่ยืนอยู่ด้วยกันเฉยๆ ก็ดูดีโดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว ใครๆ ก็เลยพากันชื่นชมว่าเหมาะสมกันมากอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อไหร่จะแต่งงาน ดูดีขนาดที่ว่า เวลาที่ไปทาน dinner กันสองคน แขกโต๊ะข้างๆ ยังต้องหยุดที่โต๊ะนี้แล้วเดินเข้ามาบอกว่า

"you know what, you guys look so good together..."

เหมือนนิยายเนอะ เว่อร์สุดๆ แต่ก็ขนาดนั้นเลย คนไม่รู้จักยังชื่นชม ซึ่งความปลาบปลื้มชื่นชมต่างๆ เหล่านี้ สร้างความปลาบปลื้มใจมาสู่เขาอย่างมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างความกังวลใจให้กับเธอเบาๆ ว่าทำไมใครๆ ก็ดูเธอแต่ภายนอกนะ


แล้วสิ่งที่เธอกังวลก็เป็นจริง ก็ในเมื่อใครๆ ก็สนใจเธอแต่ภายนอก ไม่เคยสนใจตัวตนจริงๆ ของเธอ และความต้องการในชีวิตของเธอนี่แหละ และปัญหานี้จะไม่ยิ่งใหญ่เลยถ้าคนที่มีความคิดเช่นนี้จะเป็นคนภายนอกใครที่ไหนไม่รู้ แต่นี่มันกลับเป็นเขา คนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันมากว่า 4 ปี...


......................................................................................................................................................................

ตอนฉันเขียนเรื่องนี้ ฉันยังแทบไม่เชื่อเลยว่า นี่คบกันมาตั้ง 4 ปีแล้วหรือนี่!!!  
(ใครรำคาญตัวอิจฉาคนนี้ก็ทนๆ หน่อยนะคะ เพราะเป็นคนเดียวกับคนเขียน 555)


แล้วจะมาเขียนต่อนะคะ ^^

จากคุณ : cocoa butter
เขียนเมื่อ : 7 ส.ค. 55 00:34:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com