สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 9
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12450192/W12450192.html
บทที่ 9
ด้วยความตรอมตรมทุกเช้าค่ำ ท้ายที่สุดแม่นางจงอรก็ไม่อาจรักษาหน่อเนื้อในครรภ์ไว้ได้ แม่นางผู้น่าสงสารร้องไห้ดั่งใจจะขาดในคืนหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเลือดนองเต็มที่นอน
แม่นางกณิการ์รับรู้ข่าวร้ายด้วยใจแค้น แม้จะชิงชังวจาเขยชั่ว แต่กับหน่อเนื้อผู้บริสุทธิ์ นางกลับเอ็นดูผูกพันทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า
ความสิ้นหวังและว่างเปล่าในอนาคตอับเฉาทำให้แม่นางจงอรตัดสินใจออกบวช พระครูลาพุชก็เห็นว่าดี เพราะดวงชะตาแม่นางต้องด้วยวิถีแห่งบุญนั้น ท้ายทุ่งเกษตรในเขตคามดารกะจึงปรากฏกระท่อมน้อยเป็นที่ปลีกวิเวกแก่แม่นาง
"แม่นาง ทำไมไม่รับกระบี่"
ศมะร้องตะโกนใจหายอยู่นอกวง เมื่อเห็นแม่นางกณิการ์เพลี่ยงพล้ำโดนกระบี่กระแทกจนล้มแส้หลุดมือ ร่างบึกบึนขึ้นของหนุ่มน้อยรีบปรี่เข้าไปแล้วช่วยหยิบแส้มาส่งคืน มองตาขุ่นนิดๆ ของแม่นางผู้กล้าแวบหนึ่ง
"เราไม่เป็นไร แค่ใจลอยถึงเจ้าพี่นิดหน่อย"
"แม่นาง ในภาวะคับขันอยู่กลางวงล้อมเช่นนี้ แม่นางไร้สมาธิได้หรือ ถ้าเป็นศึกสงครามจริง แม่นางคง.. "
"รู้แล้ว เราขอโทษเจ้าด้วยดีไหมศมะ จู้จี้ขี้บ่นเหมือนพระครูไม่มีผิด นี่ไม่ใช่ศึกสงคราม เป็นแค่การฝึกซ้อม เราใจลอยไปบ้างก็ไม่ถึงแก่ชีวิตสักหน่อย หยุดปากดีๆ ของเจ้าลง แล้วไปหยิบกระบอกน้ำมาให้เราดื่มหน่อย"
แม่นางสาวเท้ายาวๆ ไปนั่งในที่ร่ม ซับเหงื่อด้วยชายผ้าคาดเอว แล้วค่อยคาดเข็มขัดแส้ทับอีกชั้น ขณะเลื่อนหัวเข็มขัดประดับวงแหวนเจ้าฟ้ามารดา ศมะก็ย้อนกลับมาพร้อมกับกระบอกน้ำดื่ม
"เราจะไปเยี่ยมเจ้าพี่ที่ท้ายทุ่งเกษตรสักหน่อย เจ้ามีฝึกซ้อมอะไรช่วงบ่ายหรือเปล่า อยากชวนไปด้วยกัน"
"ข้ออ้าง" ศมะรู้ทัน
"ใช่ มันเป็นข้ออ้าง แล้วเจ้าจะทำไม จะขัดขวางเรา หรือห้ามปรามเรา พูดมาก"
ศมะอมยิ้มไล่ตามหลังแม่นางไปอย่างจงรักภักดี จริงๆ แล้ว แม่นางหาเรื่องจะไปขี่ม้าตัวใหม่ที่เพิ่งได้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนต่างหาก มันยังพยศเล็กน้อย แต่ก็ดูว่าจะเชื่อฟังคำสั่งแม่นางไม่เบาเชียวล่ะ
"เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นอีก"
ว่าที่องครักษ์นักรบพึมพำพลางรอยยิ้มจงรักภักดีก็สะดุดกับร่างอ้อนแอ้นของสาวใช้ในโรงนาฏศิลป์ สีหน้าแตกตื่นก็ดึงดูดความใคร่รู้ให้ต้องรีบตามหลังแม่นางกณิการ์ไปอย่างกระชั้นชิด
"มีอะไรหรือแม่นาง" ศมะถามขณะวิ่งตามมาทันจนเยื้องหลังร่างโปร่งสง่าเล็กน้อย
"มี แต่เดี๋ยวไปดูก็รู้เอง"
ศมะขมวดคิ้ว รับรู้ได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี เพราะน้ำเสียงแม่นางฟังเครียดแกมดุร้าย มันเป็นลางบอกนัยๆ ว่าแม่นางพร้อมจะอาละวาดประกาศฤทธิ์เดช
ภายในโรงนาฏศิลป์ที่เรียงรายด้วยเครื่องดนตรีกับลานฝึกรำปรากฏร่าง 'แม่ครูยานี' นอนฟุบหมดแรงโดยมีสาวใช้อีกสามสี่คนนั่งคุดคู้พิงเสากลมต้นสูงประดับงดงามด้วยผ้าแพรพันเกลียวหลากสี เพิ่มกลิ่นหอมอบอวลด้วยพวงอุบะดอกไม้สด หากแต่ยามนี้พวงอุบะคล้ายโดนปลิดกระชากหล่นช้ำยับเยิบเกลื่อนลาน
"แม่ครู" แม่นางกณิการ์รีบตรงเข้าไปพยุงร่างอ่อนล้าและบาดเจ็บ ปากเปรอะเลือดแดงสด "ยังไหวไหม ทำไมถึงยอมให้คนเลวข่มเหงอย่างนี้เล่า ศมะหาน้ำกับผ้าสะอาดให้เราเร็วเข้า"
ศมะรีบรับบัญชาเร่งตอนท้าย หุ่นกำยำหายกลับออกไปเพียงครู่เท่านั้นก็ย้อนมาพร้อมกับสิ่งที่แม่นางต้องการ แม่ครูยานีน้ำตาไหลเพราะเจ็บปวดบาดแผลที่โดนวจาเขยอันธพาลทำร้าย
"อย่าโวยวายไปเลยแม่นางเจ้าข้า" แม่ครูยานีวิงวอน "ถึงหูเจ้าฟ้าเข้า จะกลายเป็นเพิ่มความระทมแก่ท่านเจ้าข้า"
"เจ้าพ่อจะไม่รู้หรอกถ้าไม่มีใครรายงาน แล้วเราก็กำชับเข้มงวดลงไปแล้ว ใครกล้ากำแหงขัดบัญชาเราจะต้องโทษหนัก บอกเรามา วจาชั่วมันคิดข่มเหงแม่ครูใช่ไหม บอกมาตามจริงอย่าบิดเบือนนะแม่ครู"
"แม่ครูดูแลตัวเองได้เจ้าข้า แม่นางไม่ต้องกังวล"
"ไม่ต้องกังวลหรือ ดูสภาพที่มีแผลทั่วตัวสิ ยังบอกว่าไม่ต้องกังวลหรือ เราจะไป.. "
"แม่นาง"
แม่ครูยานีรีบยื้อข้อมือหน่อเนื้ออารมณ์ร้อนของเจ้าฟ้าจ่าง มองตาลุกวาวและโชนด้วยไฟโทสะแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอีกอึดใจถ้าได้ปะหน้ากัน วจาต้องโดนกำราบด้วยฤทธิ์ร้าย
ตัวนางโดนรังแกมันยังไม่เท่ากับอีกเรื่องที่นางบังเอิญไปได้ยินเข้าหรอก และเรื่องนี้มันสำคัญกว่าบาดแผลเต็มร่างนางนัก
"ให้ทุกคนออกไปก่อน แม่ครูมีเรื่องสำคัญต้องรายงานแม่นางเจ้าข้า"
"ศมะด้วยหรือ"
แม่ครูส่ายหน้า ศมะเป็นว่าที่นักรบองครักษ์ที่จะต้องอยู่ข้างคอยเคียงบ่าเคียงไหล่แม่นางอยู่แล้ว และในฐานะนักรบก็ควรให้รับรู้เพื่อร่วมแรงร่วมใจหาวิธีรับมือชายาจิตชั่ว
เมื่อทั่วลานรำไม่เหลือคนนอก แม่ครูซึ่งกระแอมไอด้วยความเจ็บร้าวในบาดแผลตรงลำคอ ก็ค่อยเล่ารายละเอียดที่มาที่ไปให้ฟังว่า
"แม่ครูตั้งใจไปเปลี่ยนดอกไม้ในห้องนอนเจ้าฟ้าเจ้าข้า หากแต่บังเอิญไปได้ยินแม่นางแพรหารือชั่วร้ายกับเขยวจา ทั้งสองจะหาโอกาสวางยาพิษในอาหารเจ้าฟ้า"
"บังอาจนัก"
"แม่นางฟังให้จบก่อน" ศมะรีบผุดยืนสกัดร่างน้อยที่ทำท่าจะปลิวไปตามสายลมโทสะ
"เราอยากจะกุดหัวมันนัก ช่างสารเลวหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แม่นางแพรหนอแม่นางแพร มีวาสนาส่งเสริมไปก็เท่านั้น จิตหยาบใจกร้านตามสันดานชาวดินคิดคดโดยแท้ ไม่น่าเลย เจ้าพ่อคัดสรรชายาเจ้าฟ้าพลาดไปแล้ว"
"อย่าไปโยนโทษให้เจ้าฟ้าเลยเจ้าข้า" แม่ครูทักท้วงพลางกุมมือแม่นางผู้สง่าที่ยอมหย่อนนั่งไม่ค่อยเต็มใจ "ต้องไม่ลืมว่าในวันเลือกเฟ้นนั้น แม่นางแพรโดดเด่นและรอบรู้ผิดวิสัยชาวดินโรงตีดาบยิ่งกว่าใคร"
"มันเป็นเหลี่ยมคูโดยสันดานหยาบ" แม่นางกณิการ์ไม่วายแย้งเสียงกร้าว
"เพราะสาวใช้นางหนึ่งร้องเรียกแม่ครูเจ้าข้า เสียงนั้นลอดเข้าข้างในทำให้คนทั้งสองรู้ตัว แม่นางแพรระแวงแม่ครู ไม่ยอมเชื่อเมื่อแม่ครูรายงานว่าเพิ่งมาถึง แม่นางจึงตามมาคาดคั้นแม่ครูถึงที่นี่"
น้ำตาไหลปนเปื้อนคราบเลือดอีกครั้งเมื่อแม่ครูยานีกระแอมไอหนักหน่วง นางโดนแม่นางแพรบีบคอทารุณเพื่อบีบคั้นให้คายความจริงว่าได้ยินแผนสกปรกมากน้อยแค่ไหน
ครั้นดื้อรั้นยืนกราน วจาก็ปรี่เข้ามาตบซ้ายขวา แล้วกระชากลากถูร่างบอบช้ำไปเหวี่ยงกระแทกใส่กลองใบใหญ่ กระทั่งร่วงลงฟุบให้ร่างใหญ่กำยำคร่อมหวังย่ำยี
"พี่ ทำไม่ได้ แม่ครูนางนี้เป็นที่เคารพของแม่นางกณิการ์ ถ้าพี่บุ่มบ่ามไป มันจะทำให้เราเดือดร้อนหนัก"
"พี่ไม่กลัว เคารพยิ่งสิดี ยามที่นางเข้ามาเห็นมารู้ว่าแม่ครูโดนพี่หักหาญยับเยิน ใจคงปวดและระทมหนักไม่น้อย สาแก่ใจแค้นกับชังของพี่นัก"
"ไม่ได้ เราอย่าเพิ่งวู่วาม ปล่อยนางก่อน พี่ ปล่อยนางก่อน"
"จงฟังเราให้ดีแม่ครูยานี ถ้าเจ้าแพร่งพรายข้อหารือของเราสองพี่น้องเมื่อไหร่ เราจะกลับมาตอบสนองปากชั่วของเจ้า ให้เจ้าลิ้มรสความตายที่เจ็บปวด อยากยื้ออายุขัยให้ยาวนานไปจนถึงยุคแม่นางแพรรุ่งเรืองแล้วละก็ จงเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างเจียมชะตา"
แม่นางกณิการ์กำมือแน่นด้วยความเดือดดาลยามได้ฟังเรื่องราวที่แม่ครูยานีเล่ากระท่อนกระแท่นจนจบ ในดวงตาเรียวแดงฉานขึ้นด้วยไฟกำราบ มันลุกโชนน่าสะพรึงกลัวยิ่ง แม้แต่ศมะก็ยังต้องลอบกลืนน้ำลายครั่นคร้าม
ในทรวงที่ไฟกำราบร้อนแผดเผา แม่นางผู้ห้าวหาญก็ได้แต่ตรองอย่างสมเพชไปว่าสองพี่น้องช่างตีดาบคือตัวแทนของความมัวหมองในคามดารกะโดยแท้
เสียแรงที่ฟ้าอุตส่าห์หยิบยื่นวาสนายกระดับให้สูงส่ง คนน้องเป็นถึงชายาเจ้าฟ้า คนพี่ก็อาศัยบารมีคนน้องสุขสบาย หลุดพ้นวิถีตรากตรำ แต่ก็ดูเอาเถอะ ช่างไม่สำนึกในคุณแห่งฟ้า กลับลดตัวลงแนบชิดสันดานชาติกำเนิดไม่รู้สร่าง
"แม่นาง" แม่ครูยานีกุมมือที่กำแน่นจนสั่นเกร็ง ปลุกปลอบด้วยเสียงแผ่วล้าเพราะเหนื่อยเต็มทีว่า "เชื่อฟังแม่ครูเถอะเจ้าข้า อย่าเพิ่งวู่วามคิดแต่จะกำราบคนพาล หันกลับมาใส่ใจชะตาเจ้าฟ้าก่อนเถอะเจ้าข้า"
"เรารู้แล้ว เราจะจัดการเรื่องนี้เอง แม่ครูไม่ต้องกังวล ศมะ เจ้าอุ้มแม่ครูไปพักผ่อนที่ห้องพักก่อนเถอะ สั่งลงไปให้นักรบมาเฝ้าหน้าห้องนางอย่าให้คลาดตา เราจะแวะไปหาเจ้าพ่อก่อน"
ศมะรับคำแผ่วแล้วค่อยตรงเข้าอุ้มแม่ครูยานีด้วยสองแขนแข็งแรง ยามได้ยินนางร้องครางเจ็บปวดแผ่วๆ ก็อดเวทนาวูบไม่ได้ สภาพยามนี้ช่างบอบช้ำสาหัสนัก
วจารนหาที่ตายและตายไม่ดีเสียด้วยที่บังอาจมาหยาบหยามแม่ครูของแม่นางกณิการ์ ใครก็รู้กันทั่วว่าแม่ครูยานีรอบรู้เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งดนตรี ยากนักที่จะหาใครมาเทียบรัศมีทั่วเขตคามดารกะ
ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเป็นเจ้าของวงหน้ากระจ่างสวยสดด้วยวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งเป็นที่หมายปองของบรรดานักรบทั้งหลาย หากแต่ก็ไม่กล้าเผยความนัยโจ่งแจ้ง ด้วยยำเกรงว่านางเป็นแม่ครูที่แม่นางกณิการ์เคารพยิ่ง
เจ้าฟ้าจ่างเลิกคิ้วแปลกใจที่เห็นแม่นางกณิการ์ยกถาดอาหารคาวหวานมาวางบนโต๊ะกลางห้อง
ท่านกำลังอ่านตำราโหราศาสตร์ เพราะหมู่นี้สังเกตเห็นว่าทิศทางโคจรของดวงดาวมันแปลกไป เอ่ยถามพระครูลาพุช ฝ่ายโน้นก็อ้อมแอ้มตอบเหมือนปกปิดบางอย่างชอบกล
"นึกสนุกอะไรขึ้นมาหรือแม่นางจอมซน อ้อ หรือเริ่มสำนึกว่าถ้าห้าวเกินหญิงแล้วจะไม่มีเจ้าฟ้าคามไหนมาทาบทามไปเป็นชายาใช่ไหมเจ้า"
"ไม่ต้องมาค่อนขอดลูกเลยเจ้าข้า ทำคุณบูชาโทษแท้นัก ลูกอุตส่าห์ลงครัวชี้นิ้วสั่งการด้วยตนเองเชียวนะ"
เจ้าฟ้าบิดาต้องหลุดเสียงหัวเราะระอาออกมาเพราะเหลือจะฟังเสียงโอ้อวด นึกว่าจะลงมือปรุงอาหารรสเลิศด้วยตนเองเสียอีก ที่แท้ก็ลงไปชี้นิ้วสั่งการหรอกหรือ "เก่งนะเจ้า ยังพอจำเส้นทางไปสู่โรงครัวได้อยู่"
แม่นางกณิการ์อมยิ้มพลางเดินมาประคองเจ้าฟ้าชรามานั่ง ตนก็นั่งด้วย ยามมองตาฝ้าฟางก็ให้สังเวชแกมอาดูร เจ้าฟ้าบิดาทรุดโทรมลงจวนละสังขารในอีกไม่ช้าแล้ว แต่แม่นางแพรชายาชั่วยังใจหยาบคิดลอบปลิดชีวิตด้วยยาพิษอีก "มองเจ้าฟ้าจ่างด้วยแววตาดูหมิ่นแบบนั้น ไม่กลัวว่าเราจะสั่งลงหวายลงดาบหรอกหรือแม่นางกณิการ์"
"หวายดาบต่างหากที่กลัวลูก จะให้ลูกช่วยป้อนไหม"
"ไม่ต้อง" เจ้าฟ้าบิดารีบบอกกลั้วหัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มตักอาหารชิมทีละอย่าง พยักหน้าหงึกๆ แล้วสัพยอกอีก "ใช้ได้ทีเดียว อาหารที่เจ้าลงไปชี้นิ้วสั่งการด้วยตนเองรสเลิศนัก"
"เจ้าพ่อ" แม่นางจอมซนพอฟังก็กระเง้ากระงอดหยิกแขนหน้าเคือง
"เจ้าไม่กินกับเจ้าพ่อด้วยหรอกหรือ"
"ลูกอิ่มแล้ว ทุกครั้งที่เห็นเจ้าพ่อกินได้ ลูกก็อิ่มตื้อเลย"
เจ้าฟ้าจ่างผงกศีรษะสุขุม อายุปูนนี้แล้วมีหรือจะให้แม่นางหน่อเนื้อตบตาด้วยเล่ห์กลอ่อนหัดเช่นนั้น แม่นางมีกิจมาหารือด้วยต่างหาก แล้วกิจนั้นก็คงสำคัญยิ่ง จึงรีรอให้ถึงจังหวะเหมาะ ช่างเยือกเย็นและรอบคอบนักหนาแม่นางคนดี
"เจ้าพ่อคุ้นเคยดีกับการกินไปฟังกิจธุระของเหล่านักรบองครักษ์ ตลอดจนนักวิชาการด้านต่างๆ หรือแม้แต่จะกินไปตรวจงานไป เจ้าพ่อก็ทำมาตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น แม่นางเจ้าเล่ห์มีกิจอยากหารือก็ว่ามาได้เลย"
"อุ๊ย นี่ลูกเผลอเผยเล่ห์กลให้เจ้าพ่อจับได้หรือเจ้าข้า แหม ทำไมลูกสับเพร่ายิ่ง"
เจ้าฟ้าบิดาพอฟังก็โคลงศีรษะ ทั้งระอาแต่ก็เอ็นดูนัก ยามอยู่ต่อหน้าท่าน หน่อเนื้อคนนี้ก็แสนซุกซน ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากสาวสะคราญทั่วไปนัก แต่ในยามอยู่เบื้องหน้าประชาชน บุคลิกแม่นางก็แปรเปลี่ยนเป็นเด็ดขาดอาจหาญน่าครั่นคร้ามยิ่ง
"จะเอ่ยออกมาได้หรือยังเจ้า"
"ได้ ตั้งใจฟังให้ดีนะเจ้าข้า ลูกจะพูดแค่ครั้งเดียว"
"ตกลง"
"เจ้าพ่อมีความเห็นประการใดบ้าง ถ้าลูกเสนอให้ปลดแม่นางแพรออกจากตำแหน่งชายาเจ้าฟ้า"
อาหารรสเลิศถูกมองนิ่งเมื่อสิ้นเสียงใส เจ้าฟ้าจ่างถอนหายใจแล้วเหลือบสบตาขรึมของแม่นางหน่อเนื้อ ท่านตระหนักเรื่อยมาว่าชายาใหม่กับพี่ชายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับแม่นางผู้น้อง
อีกทั้งวจาเขยอัปยศก็หมั่นก่อเรื่องให้แม่นางจอมห้าวอาละวาดไม่หยุดหย่อน แต่ท่านกลับแน่ใจว่าความปรารถนานี้จะต้องไม่ได้มาจากสาเหตุนั้น
"ลูกขอไม่บอกสาเหตุในตอนนี้นะเจ้าข้า แล้วลูกก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าพ่อต้องปลดเลยทันที ลูกเพียงแต่อยากฟังความเห็นของเจ้าพ่อก่อน"
"ความเห็นของเจ้าพ่อมันต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุด้วย"
แม่นางกณิการ์ก้มมองมือสะอาดที่เริ่มเห็นผิวเหี่ยวย่นนิดๆ ของเจ้าฟ้าบิดา นางคงเปิดเผยแผนการหยาบช้าของแม่นางแพรในตอนนี้ไม่ได้
ในเมื่อแม่ครูยานีโดนทำร้ายข่มขวัญไม่ให้แพร่แผนร้ายออกไป นางก็เชื่อว่าสองพี่น้องคงยับยั้งชั่งใจกันไว้ก่อนแน่ หากบอกไปตอนนี้ ก็มีแต่จะเพิ่มความกังวลระคนหวาดระแวงแก่ท่านเปล่าๆ "ลูกมีเหตุอันสมควรและปลดได้แน่นอนเจ้าข้า แต่ถ้าไม่มีสาเหตุ แล้วลูกขอปลดแม่นางแพรได้ไหมเล่าเจ้าข้า"
"ได้ เจ้าเป็นหน่อเนื้อแห่งเจ้าฟ้าจ่าง มีสิทธิ์และอำนาจโดยชอบอยู่แล้ว จะแต่งตั้งสั่งปลดก็ไม่มีใครกำแหงมาทักท้วงได้ เจ้าพ่อเองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่"
"คิดอยู่" แม่นางกณิการ์เลิกคิ้วประหลาดใจ
"ใช่ แม่นางแพรกับพี่ชายหยาบกร้านเกินกว่าจะขัดเกลา อีกทั้งจิตใจก็โหดร้ายคับแคบ คงไม่สามารถปกครองคามดารกะให้ร่มเย็นได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ด้วยนิสัยเถื่อนถ่อยของวจา ก็จะพานไปจุดชนวนก่อศึกสงครามต่างคามอีกด้วย"
"ลูกเห็นด้วยเจ้าข้า"
"แต่การปลดแม่นางแพรก็ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน วู่วามไปก็จะกระทบไปถึงศักดิ์ของเจ้าพี่ของเจ้า"
แม่นางจงอรคือเงื่อนปมใหญ่สินะ นางอยู่ในฐานะภรรยาวจาใจหยาบ หากปลดแม่นางแพรลงจากตำแหน่งชายาเจ้าฟ้า สองพี่น้องก็ต้องอเปหิตัวออกจากเขตกำแพงคาม แม่นางหน่อเนื้อในฐานะภรรยาก็จะพลอยสิ้นศักดิ์ จำต้องติดตามสามีไปแร้นแค้นตกระกำในโรงตีดาบโน่น
"ลูกเข้าใจแล้ว" หลังใคร่ครวญเงียบๆ เพียงอึดใจ แม่นางกณิการ์ก็กล่าวขึ้น "เจ้าพ่อวางใจลูกได้ ลูกจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด กล้ารับรองได้ด้วยว่าจะไม่เกิดการกระทบกระทั่งไปถึงศักดิ์หน่อเนื้อเจ้าฟ้าจ่างอีกคนเป็นแน่เจ้าข้า"
"เจ้าเป็นยอดหญิงเสมอ ถ้าเจ้าพี่ของเจ้ามากความสามารถเพียงเสี้ยวหนึ่งของเจ้าก็คงดีไม่น้อย"
"แหม ทำไมละโมบนักเล่าเจ้าพ่อ มีแม่นางหน่อเนื้อตั้งสองคน ใจคอจะให้เก่งกล้าสามารถเทียบได้กับชายอกสามศอกหมดเลยเชียวหรือ เว้นให้เจ้าพี่เป็นแม่นางอ่อนหวานสักคนเถอะเจ้าข้า อีกอย่างนะเจ้าข้า ลูกไม่อยากมีคู่แข่ง"
เจ้าฟ้าบิดาเม้มปากยิ้มหมั่นไส้กิริยาลอยหน้ายื่นปากจนอดที่จะอ้าแขนต้อนรับร่างอรชรไม่ได้ ท่านสวมกอดอย่างแสนรัก อย่างภาคภูมิใจ อย่างปลาบปลื้ม และอย่างใจหายแกมอาลัยอาวรณ์
"แม่นางคนดีของเจ้าพ่อ ขอบใจเจ้าเหลือเกินที่คอยแบ่งเบาภารกิจมากมายทั่วคามดารกะแทนเจ้าพ่อ เจ้าช่างเป็นมิ่งขวัญยอดหญิงไม่ผิดเพี้ยนจากเจ้าแม่ของเจ้าเลย"
"ยังหรอกเจ้าพ่อ รอให้ลูกอายุยี่สิบเสียก่อน ถึงตอนนั้นนะ ถ้าลูกไม่พริ้มเพราเท่าเทียมเจ้าแม่ ก็คงต้องเรียกว่าผิดเพี้ยนแล้ว"
"อ้อ ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องรอถึงอายุยี่สิบหรอกเจ้า ตอนนี้ก็พอรู้พอเห็นอยู่ว่ายังไงก็ไม่มีทางพริ้มเพราได้เท่าเจ้าแม่แน่นอน เจ้าพ่อตัดสินความเองได้เลย เจ้าอย่ารอให้เหนื่อยเปล่าเลย"
"แหม เจ้าพ่อ หมิ่นความงามหญิงกันเช่นนี้ ระวังอาหารมื้อต่อไป รสจะไม่เลิศได้เท่าบ่ายวันนี้นะเจ้าข้า"
"อ้อ หมายความว่าเจ้าจะไม่ลงไปชี้นิ้วสั่งการด้วยตนเองแล้วละสิ"
"ใช่ คราวนี้ลูกจะแสดงฝีมือแม่หญิงผู้เชี่ยวชาญการครัวด้วยสองมือหนึ่งลิ้นของลูกเองเลยเชียวเจ้าข้า"
เจ้าฟ้าบิดาห่อปากแต่สั่นหน้าดิก สร้างความเคืองแก่หน่อเนื้อจอมซนจนวุ่นวายให้ทุบอกตีแขนพัลวัน ปากก็ร้องแง่งอนว่า 'แหม เจ้าพ่อ' เรื่อยไป
นี่ก็คืออีกด้านหนึ่งที่แสนน่ารักของแม่นางกณิการ์ จิตใจที่อ่อนโยนแทรกแฝงอารมณ์ขันพอประมาณ เจ้าเล่ห์แสนกลบ้าง แต่ก็เป็นอีกบุคลิกที่ต่างออกไปในยามอยู่เบื้องหน้าเจ้าฟ้าบิดาและเจ้าพี่ผู้อ่อนช้อย
แน่นอนว่าประชาชนทั่วไปต้องไม่มีโอกาสได้เห็นและซึมซับให้ชื่นใจ อ้อ แต่ก็ยังพอมีอีกนะ คนที่มีโอกาสได้เห็นและซึมซับอิริยาบถปลอดโปร่งน่าเอ็นดูเช่นนี้ของแม่นาง
อย่างแม่ครูยานีก็เห็นบ่อย อย่างศมะก็เห็นประปราย แต่รายนี้เมื่อเห็นแล้ว ก็เผลอไผลฝักใฝ่พิสมัย แอบเก็บไปคะนึงหาอย่างอาจเอื้อมไม่มีว่างเว้นเสีย 'ทุกค่ำคืน'
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
7 ส.ค. 55 22:03:48
|
|
|
|