Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๓ : สายน้ำแห่งกษัตรา ติดต่อทีมงาน

+++ แหะๆ หายไปนานพอดู แถมมาทั้งทียังมาอัพแค่เรื่องเดียวอีก อย่าว่ากันนะคะ สงสารคนเขียนตัวน้อยๆ ด้วยเถอะค่ะ แบบว่าเจอภารกิจที่ไม่อาจหลีกหลบได้จริงๆ +++


บทที่ ๑๓ : สายน้ำแห่งกษัตรา



สิงห์นั่งตัวลีบ ไม่กล้าเงยหน้ามองนายสาวเพราะเกรงจะสบเข้ากับลูกแก้วสีนิลฉายแววดุเข้าอีก ก่อนหน้านี้ที่ปทุมวดีมาหาและบอกว่าพระนางจามเทวีเรียกหาเขาเป็นการเฉพาะตัว เขาก็รู้แล้วว่าความแตกเป็นแน่ ทั้งที่รู้ว่าพระนางจามเทวีมิใช่คนดุ แต่ก็ยังอดร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้อยู่ดี ชายหนุ่มสะดุ้งนิดๆ เมื่อยินเสียงระฆังแก้วกังวานถามมา

“สิงห์ รู้ฤๅไม่ว่าเจ้าทำผิดนัก”

“รู้เจ้าข้าพระแม่เจ้า”

“แล้วกฤษณาเล่า รู้ความนี้ด้วยหรือไม่”

“นางเพิ่งมาแจ้งใจเพลาที่แยกตัวมาจากเมืองสรรค์เจ้าข้า แต่ท่านมหาอุปราชสั่งห้ามมิให้นางบอกความแก่ผู้ใด นางจึงพลอยตกกระไดพลอยโจนด้วยข้า”

“สมกันทั้งนายทั้งข้า” พระนางจามเทวีพูดอย่างเหนื่อยใจเต็มที “เช่นนั้นตอบเรามาตามสัตย์จริง เจ้าทำประการใดจึงให้ยาของมหาฤๅษีสุกกทันตะกับมหาอุปราชท่านได้ ทั้งที่เพลานั้นหมอหลวงไม่น่าจักยอมให้คนที่ไม่มีส่วนข้องเกี่ยวเข้าไปได้”

“เรื่องนี้...” สิงห์ยิ้มแห้งๆ ยอมเล่าความจริงแต่โดยดี  “เพลานั้นโกลาหลใช่น้อย ด้วยไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามหาอุปราชท่านจักต้องอาวุธในตำแหน่งอันเป็นอันตรายเช่นนั้น หมอหลวงกันคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป แต่ข้าดึงดันที่จักอยู่รอดูอาการของท่าน ประจวบกับข้านึกถึงยาของท่านมหาฤๅษีที่มหาอุปราชท่านได้มา และฝากข้าเก็บเอาไว้ ข้าจึงมอบมันให้หมอหลวงไป จากนั้น...เอ้อ เป็นเช่นที่พระแม่เจ้าแจ้งนั้นแล้วเจ้าข้า”

“เจ้ามิได้บอกหมอหลวงถึงสรรพคุณของมันใช่ฤๅไม่”

“เอ้อ มิได้บอกสักครึ่งคำเจ้าข้า หมอหลวงสำคัญว่ามหาอุปราชท่านสิ้นแน่แล้วจึงป่าวบอกคนที่รออยู่ตามที่เห็น”

“ดีแท้ แล้วเจ้าก็ไม่คิดแก้ความเข้าใจของหมอหลวง กลับปล่อยให้เลยตามเลยเสียอีกเล่า”

สิงห์ก้มหน้างุด ไม่กล้าตอบความแม้สักคำเพราะรู้ถึงความผิดตนเองดี พระนางจามเทวีทอดถอนใจยาวอย่างหนักใจ ที่:-)ไสบดีไปเมื่อครู่ก็ใช่พระนางเธอจะไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แม้จะเห็นใจบดีสักปานใด แต่เมื่อเจ้าชายรามราชผูกเงื่อนได้ก็ต้องหาทางแก้ไขได้เช่นกัน


“สิงห์ทำไปเพราะมีเจตนาดีเป็นที่ตั้ง ที่พระแม่เจ้าพึงโกรธคือข้าคนเดียว”

เสียงทุ้มดังมาจากทางกราบเรือเบื้องซ้าย พระนางจามเทวีมองตามเสียงก็เห็นร่างสูงนั่งเอนพิงกราบเรือมองฟ้าอยู่ก่อนแล้ว จึงลุกออกไปพบ

“ที่พักของท่านอยู่ที่เรืออีกลำ ไฉนจึงมาที่นี่ได้เล่า ขึ้นเรือเจ้านายโดยที่มิได้เรียกหา มีความผิดสถานใดย่อมรู้แก่ใจ”

พระนางจามเทวีพูดพลางเหลือบสายตาไปทางฝั่งขวาที่บรรดานางข้าหลวงคนสนิททั้งห้านั่งก้มหน้ามองพื้นเรืออย่างรู้ถึงความผิดตน แน่ล่ะ เจ้าชายรามราชไม่มีทางขึ้นมาบนเรือของพระนางได้โดยง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะนางทั้งห้ารู้เห็นเป็นใจ ชะรอยคงเป็นกฤษณาที่เล่าสู่ความจริงนี้แก่พวกพ้องของตนแน่

“นางทั้งห้าก็หามีความผิดไม่ บอกแล้วมิใช่รึ ข้าพระเจ้าทำทุกสิ่งโดยพลการ”

เจ้าชายรามราชเอ่ยลอยๆ มาอีก พระนางจามเทวีถอนใจยาว ดูเหมือนว่าการรับมือบดีผู้แสนดื้อดึงคงยากกว่าการล่องทวนน้ำแล้วกระมัง ในที่สุดจึงยอมออกปากว่า

“เข้าไปรอเราที่ด้านในเสียก่อน บอกสิงห์ให้กลับออกมาด้วย”

เจ้าชายรามราชขบริมฝีปากนิดหนึ่งกับน้ำเสียงห่างเหินราวเป็นคนอื่นไกลของจอมนาง แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดีเพราะรู้ว่าในสายตาคนทั่วไป ตนเองเป็นเพียงทหารคนหนึ่งเท่านั้น ร่างสูงลุกขึ้นทำความเคารพจอมนางแล้วเดินเลี่ยงเข้าไป คล้อยหลังบดี พระนางจามเทวีหันไปทางเกษวดีซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่สุด

“พี่เกษวดี เราวานพี่ไปเชิญครูท่านมาเถิด ส่วนคนอื่น รออยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปที่ใดทั้งสิ้น บอกสิงห์ด้วยว่าให้อยู่รอก่อน”


เจ้าชายรามราชมองร่างที่สมบูรณ์เช่นสตรีที่กำลังจะเป็นมารดาด้วยสายตาอ่อนลง ความห่วงหาอาทรฉายชัด พระนางจามเทวีเพิ่งทรุดกายลงนั่ง พอเห็นสายตานั้นก็ชะงักไปชั่วอึดใจ ระยะทางห่างไกลและเพลาที่ล่วงผ่านไม่มีสักวันที่จะทำให้สายใยความผูกพันนั้นคลายออก ตรงข้ามมีแต่จะแน่นเหนียวเป็นทบเท่าทวี

“ลูก...เป็นอย่างไรบ้าง”

คำถามเบาแสนเบา หากหัวใจสองดวงกลับรู้สึกคล้ายก้องไปทั้งลำเรือ

“แข็งแรงดีเจ้าค่ะ ชะรอยว่าจักซนมิใช่น้อย”

“ดีแล้ว เห็นน้องกับลูกอยู่ดีมีสุขพี่ก็พลอยสุขด้วย”

เจ้าชายรามราชพูดเท่านั้นก็เงียบไป ทั้งที่ใจอยากลุกจากที่ไปกอดประทับรับขวัญแม่ลูก แต่ก็จำต้องหักใจด้วยรู้ดีว่าเพลานี้ตนอยู่ในฐานะใด เจ้าตัวพร่ำเตือนใจตนซ้ำๆ ว่าเจ้าชายรามราชสิ้นแล้ว ที่นั่งอยู่คือทหารเลวชื่อปานเท่านั้น ไม่ควรที่ทหารจะทำการเกินเลยอื่นใดต่อนายทั้งสิ้น ข้างพระนางจามเทวีเองก็มิได้พูดจาอย่างไร แม้อยากออกปากเชื้อเชิญให้บดีลุกจากพื้นขึ้นมานั่งร่วมตั่งด้วยก็ตาม ทว่าจำต้องหักใจเสีย ด้วยเกรงว่าสายสัมพันธ์จะทำให้เจ้าชายรามราชไม่สามารถตัดใจจากพระนางได้ขาด ที่สุดสองบดีชายาจึงได้แต่นั่งเงียบอยู่ในที่ของตัวเท่านั้น      

เสียงเกษวดีขานบอกการมาถึงของสุกกทันตะฤๅษี พระนางจามเทวีจึงขยับตัวลุกขึ้นจัดวางอาสนะของมหาฤๅษี ครั้นเรียบร้อยดีแล้ว จึงย้ายมานั่งลงห่างจากตำแหน่งที่เจ้าชายรามราชนั่งอยู่ก่อนแล้วประมาณศอกหนึ่ง พลางออกปากอนุญาตให้เกษวดีเชิญท่านมหาฤๅษีเข้ามา เกษวดีทำตามโดยเคร่งครัด ก่อนยั้งหยุดเพียงทางเข้าออก แล้วยอบตัวลงนั่งเพื่อให้ท่านมหาฤๅษีก้าวเข้าไป เมื่อท่านเดินผ่านไปแล้วจึงหลบไปนั่งรอฟังเสียงเรียกหาของผู้เป็นนายอยู่ด้านนอกอย่างรู้หน้าที่


สุกกทันตะฤๅษีมองหน้าเจ้าชายรามราชที่ดำข้างกะดำกะด่างข้างอย่างขันๆ ทั้งที่ท่านแจ้งใจดีอยู่ว่าฝ่ายนั้นทำไปเพื่อการใด แต่ก็ออกปากเย้าเพื่อคลายความอึดอัดที่มีอยู่ก่อนลงบ้าง

“นั่นหน้าไปต้องยางไม้ที่ใดมารึเจ้าชายรามราช หรือต้องพิษอันใดมา”

เจ้าชายรามราชยิ้มนิดเดียว โดยมิได้ตอบคำ สุกกทันตะฤๅษีเดินเข้าไปใกล้แล้วส่งผ้าแห้งสีเปลือกไม้ให้พร้อมกับบอกว่า

“เช็ดเสีย อย่าทำให้หน้าตนต้องหมองคล้ำเสียราศีเลย”

เจ้าชายหนุ่มรับมาแต่โดยดี มิได้ทักท้วงว่าต้องใช้สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งล้างจึงจะออกได้ แต่สำหรับสุกกทันตะฤๅษี ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ ชั่วอึดใจที่เจ้าชายรามราชเช็ดหน้าด้วยผ้าผืนนั้น ปานและรอยทั้งปวงจึงปลาสหายจากดวงหน้า เผยให้เห็นดวงหน้าเข้มดุจกาลก่อน ส่วนพระนางจามเทวีเลี่ยงไปนั่งลงอีกมุมหนึ่ง ห่างจากบดีพอควร สุกกทันตะฤๅษีเห็นแล้วก็ยิ้ม

“ให้เกษวดีเชิญเรามา คงมิได้ให้เรามาตัดสินความเรื่องบดีชายากระมังพระแม่เจ้า หากเป็นเช่นนั้นหาใช่กิจของเราไม่”

“หามิได้เจ้าค่ะครูท่าน ศิษย์เพียงจักขอร้องครูท่านให้ช่วยพูดให้เจ้าชายรามราชยอมกลับคืนสู่ลวปุระเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ทางโลกนี้ยุ่งแท้หนอ” สุกกทันตะฤๅษีแสร้งเปรยเสียงดัง “เจ้าชายรามราชท่านลบชื่อตนออกจากแผ่นดินเสียแล้ว จักให้คืนกลับได้เยี่ยงไร”  

“นั่นเป็นเรื่องของเจ้าชายรามราชโดยแท้เจ้าค่ะ”

พระนางจามเทวีบอกเสียงเรียบ ไม่ยอมหันไปมองบดีที่นั่งส่งสายตาตัดพ้อน้อยใจมาแม้แต่นิดเดียว สุกกทันตะฤๅษีถอนใจยาว มองเจ้าชายรามราชนิ่งอยู่ราวอึดใจหนึ่ง จึงถามว่า

“เราจักไม่รื้อเรื่องที่ท่านใช้ยาของเราในทางที่ผิดขึ้นมาพูดอีก เพราะผลที่ได้รับท่านก็ได้ประจักษ์แก่ใจแล้ว ส่วนเรื่องที่พระแม่เจ้าขอให้เราช่วยเจรจากล่อมท่านคืนไปลวปุระหรือรามนครนั้น เราก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน หากที่เราอยากรู้ ไฉนท่านจึงทำเช่นนี้ ละทิ้งลวปุระดุจคนไร้ความรับผิดชอบ เพียงเพื่อติดตามชายามากระนั้นหรือ”

เจ้าชายรามราชมองสบตาสุกกทันตะฤๅษีนิ่ง เหตุผลนั้นมีแน่แท้ แต่จะมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหนก็สุดแท้แต่คนรับฟังจะเมตตาแล้ว เจ้าชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งดุจจะทบทวนและร้อยเรียงคำพูด แล้วตอบคำท่านมหาฤๅษีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงนัก

“ข้าไม่ปฏิเสธข้อที่ถูกกล่าวหาว่าไร้สิ้นซึ่งความรับผิดชอบ หากนั่นเป็นสิ่งที่ข้าตรองดีแล้ว ทั้งภาระหน้าที่แห่งมหาอุปราชลวปุระ ข้าก็ทอดไว้ในมือของผู้ที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง มิพักต้องกังวลอื่นใดอีก” เจ้าชายรามราชหยุดนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อไปว่า “ข้าติดตามเจ้าจามเทวี เอ้อ ติดตามพระแม่เจ้ามาด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือด้วยหน้าที่แห่งบดีที่จักป้องปกชายาและหน้าที่ของบิดาที่จักคุ้มครองเลือดเนื้อของตน น้ำแม่ระมิงค์มีเกาะแก่งอันอาจเป็นอันตรายมากมาย ข้ามิอาจหักใจวางใจไม่ห่วงหาได้”

“แล้วประการถัดไปเล่า”

“หน้าที่แห่งข้าแผ่นดิน ท่านมหาฤๅษี”

“กระไร จงขยายความให้แจ้งใจ”

“ข้าพอใจเป็นเพียงทหารคนหนึ่ง ที่จักช่วยรานขวากหนามทั้งปวงมิให้ทิ่มตำพระแม่เจ้าได้ นับแต่ข้ารู้ว่าพระแม่เจ้าจักขึ้นเหนือแน่แท้ ข้าก็ให้สัตย์กับตนเองแล้วว่าจักทำทุกทางให้พระแม่เจ้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งสูงสุดให้จงได้ นามที่จักจารจดสืบไปเบื้องหน้า แม้อำนาจกาลก็มิอาจเลือนลบได้คือพระแม่เจ้าจามเทวี ส่วนชื่อรามราชจักปรากฏในแผ่นดินหรือไม่นั้นไม่สำคัญ ฐานแห่งบัลลังก์ต้องมีสิ่งช่วยค้ำจุนให้มั่นคงสถาพรฉันใด ข้าจักดำรงตนฉันนั้น”    

สุกกทันตะฤๅษียิ้มน้อยๆ อย่างพอใจกับคำตอบ ขณะที่พระนางจามเทวีนิ่งงันเมื่อประจักษ์ถึงน้ำใจบดี คำของมหาฤๅษีที่แจ้งไว้เมื่อเช้าว่าให้รอกำลังสำคัญแว่วอยู่ในโสต บัดนี้พระนางเธอเข้าใจแจ้งชัดว่าท่านหมายถึงผู้ใด

“ต้นไม้จักแข็งแรงแผ่กิ่งก้านหยั่งรากลึกได้ ย่อมต้องมีน้ำดีดินดี ดินดีนั้นเรามิได้ห่วง ด้วยมีมากพออยู่แล้ว ส่วนน้ำ หากเป็นน้ำทั่วไปแล้ว ไม่ว่าที่ลวปุระและเมืองเหนือนั้นย่อมมีอยู่เอง แต่น้ำอันพิสุทธิ์เปรียบปานน้ำอมฤตนั้นหาได้ยากยิ่ง” สุกกทันตะฤๅษีบอกด้วยน้ำเสียงเนิบช้า เพื่อให้จอมนางได้ตรึกตรองตามไป “ราม นามนี้มิได้หมายถึงอวตารแห่งพระวิษณุเท่านั้น หากยังหมายถึงสายนทีด้วย รามราช สายน้ำแห่งกษัตรา”

ถึงเพลานี้ จอมนางยอมพ่ายแพ้แก่น้ำใจของบดีโดยสิ้นเชิง พระนางขยับเข้ามาใกล้เจ้าชายรามราช มือน้อยประนมขึ้นไหว้แล้วกราบลงที่อกบดีโดยไม่ได้พูดว่าอย่างไรอีก ความเต็มตื้นในอกกับการตัดสินใจของบดียากเกินกว่าจะกลั่นออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้ สิ่งเดียวที่คู่ควรคือทศเทียนและกชกรที่จามเทวีขอบูชาลงตรงหัวใจของเจ้าชายรามราชเท่านั้น


ฟ้าไม่ทันสางดีนัก กระบวนเรือของพระนางจามเทวีก็เริ่มต้นออกเดินทางสู่แผ่นดินใหม่อีกคำรบ น้ำแม่ระมิงค์กำลังขึ้น การออกเรือไล่ตามน้ำไปจะช่วยให้นายท้ายและคนถ่อไม่ต้องออกแรงมากนัก นายท้ายเรือเช้าวันนี้ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษถึงกับขับลำนำของชาวเรือออกมา คนที่ได้ยินได้ฟังต่างพากันอมยิ้ม ถึงแม้เสียงนายท้ายจะไม่ไพเราะเพราะพริ้ง แต่ก็บอกถึงความรู้สึกของคนร้องได้เป็นอย่างดี คนที่พอขับได้ก็พลอยขับประสานไปอย่างครึกครื้น แล้วเลยพลอยร้องตามกันไปทุกลำ จนเสียงก้องไปทั้งลำน้ำ

“ครึกครื้นกันเช่นนี้ทุกวันฤๅ พระแม่เจ้า”

เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากทางด้านหลัง พระนางจามเทวีที่ยืนอยู่หัวเรือหันไปตามเสียงก็เห็นเจ้าชายรามราชยืนอยู่ก่อนแล้ว เส้นผมที่ยุ่งเหยิงนิดๆ ตามแรงลมบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงตามออกมายืนดูเงียบๆ อยู่นานพอดู  

“เพิ่งมีก็วันนี้” ตอบแล้วก็ถามเสียงอ่อนคล้ายตัดพ้อ “ไยเรียกพระแม่เจ้า ช่างฟังดูห่างเหินนัก”

“เช่นนั้นจักให้เรียกขานประการใด ในเมื่อเพลานี้ข้าเป็นเพียงทหารราชองครักษ์ของพระแม่เจ้าเท่านั้น”

เจ้าชายรามราชย้อนถามด้วยสีหน้ายิ้มละไม เพราะรู้ว่าชายาเย้าเล่นมากกว่าจะคิดจริงจัง ส่วนตำแหน่งทหารราของครักษ์นั้นเป็นตำแหน่งที่เจ้าตัวคิดอุปโลกน์ขึ้นมาเองเดี๋ยวนั้น พระนางจามเทวีก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม แล้วแกล้งทำเสียงขึงขังขึ้น

“เช่นนั้นทหารราชองครักษ์ขึ้นมาบนเรือข้าได้อย่างใด ในเมื่อข้ายังมิได้เรียก ซ้ำบนเรือลำนี้มีแต่ผู้หญิงทั้งสิ้น”

“ประกาศิตพระแม่เจ้าและบัญชาท่านมหาฤๅษีหรอก ข้าจึงอยู่ได้ หากพระแม่เจ้าไม่โปรด ข้าจักกระโดดลงน้ำว่ายไปขึ้นเรือลำหน้าของท่านมหาฤๅษีบัดเดี๋ยวนี้”

เจ้าชายรามราชพูดพลางตั้งท่าจะทำอย่างที่พูดจริงๆ แต่พอเห็นพระนางจามเทวียืนกอดอกมองเฉยอยู่ก็ชะงัก

“พระแม่เจ้าไม่ห้ามปรามข้าเลยรึ”

“พระแม่เจ้าไม่ห้าม มีแต่จักเร่ง ยิ่งเรียกขานพระแม่เจ้าอยู่เยี่ยงนี้ จักยิ่งบังคับเสียด้วย”

“เคืองข้ารึ” เจ้าชายรามราชเลิกคิ้วถามล้อๆ

“คิดเองเถิด พ่อองครักษ์”

พระนางจามเทวีตอบเสียงสะบัดนิดๆ แล้วเดินสวนจะกลับเข้าข้างใน หากคนที่ยอมเป็นราชองครักษ์รีบเข้าขวางเอาไว้

“แสนงอนจริง ลูกจักงอนเหมือนแม่หรือไม่หนอ”

“ดีกว่าเจ้าเล่ห์เจ้ากลเหมือนพ่อ”

จอมนางสวนคำกลับไม่ลดละ เจ้าชายรามราชหัวเราะชอบใจ นานแล้วที่มิได้ประคารมด้วยเจ้ายอดดวงใจเช่นนี้  

“ยอมรับผิดแต่โดยดี ว่าแต่พระแม่เจ้าเถิด ยังมิได้บอกข้าเลยว่าจักให้เรียกขานพระแม่เจ้าอย่างไร”

“เคยเรียกอย่างใดก็ให้คงเดิมเถิดเจ้าค่ะ ยศศักดิ์ทั้งปวงเป็นเพียงสิ่งสมมติ เป็นเพียงสิ่งที่คนอื่นเขากำหนดให้เราเป็น หากปลดเปลื้องออกแล้ว น้องก็คือจามเทวีคนเดิม ผู้หญิงที่ไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากให้ครอบครัวของตนเป็นสุข”

เจ้าชายรามราชฟังแล้วก็นิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง โลกเป็นเช่นนี้เอง ผู้มียศศักดิ์อำนาจพร้อมสรรพก็ใคร่จะปลดปลงลงเป็นเพียงคนธรรมดา ขณะเดียวกันคนสามัญก็ใฝ่ปองยศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจไม่สิ้นสุด ทว่าคนเราไม่อาจเลือกเกิด และไม่อาจได้ทำได้เป็นอย่างที่ตนต้องการเสมอไป

“แต่น้องก็ไม่สามารถจักวางสิ่งที่เขาสมมติให้เป็นนั้นได้”

เจ้าชายรามราชท้วง พระนางจามเทวีพยักหน้ารับ แล้วเดินไปทางกราบเรือ ท้องฟ้าที่เริ่มแปรเป็นสีเทาอ่อนให้แสงสว่างมากพอที่จะเห็นต้นไม้ริมฝั่งแม่น้ำได้ชัดเจนขึ้น จอมนางทอดสายตามองทิวทัศน์พลางตอบว่า

“เพลานี้เท่านั้นที่น้องยังวางไม่ได้ ด้วยเรือนของน้องมิได้เล็กและมีเพียงวงศ์วานว่านเครือกับบริวารไม่กี่คนดุจกาลก่อนแล้ว การปกครองไม่ใช่เรื่องยากถ้าจักปกครองกันแต่เพียงร่างกาย ที่ว่ายากก็เพราะต้องปกครองหัวใจเขาให้ได้ด้วย ยิ่งในแผ่นดินที่แผกออกไปจากที่เคยคุ้นด้วยแล้วยิ่งต้องอุตสาหะและพิสูจน์ตนเองเพิ่มขึ้นกว่าคนอื่นเป็นทบเท่าทวี อีกประการเล่า น้องเป็นปฐมกษัตริย์ในเมืองใหม่ นอกเหนือจากการผูกใจประชาราษฎร์ดังว่าแล้ว ยังต้องวางรากฐานทั้งปวงของเมืองและราชวงศ์ด้วย เมื่อใดก็ตามที่น้องเห็นว่ารากนั้นหยั่งลึกและมั่นคงแล้ว น้องจึงจักปลดวางทุกสิ่ง”

“น้องพูดราวกับว่าจักได้ปกครองเมืองเพียงชั่วเพลาไม่นาน”

“เจ้าค่ะ น้องคิดเช่นนั้น”

พระนางจามเทวีบอกเสียงผะแผ่วแต่หนักแน่นอยู่ในที จอมนางหันหน้ามาเผชิญกับบดี ตาต่อตาสบประสานกันนิ่ง ชั่วอึดใจหนึ่ง รอยยิ้มแจ่มใสจึงปรากฏในดวงหน้างาม ผิดกับเจ้าชายรามราชที่ทำสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“อย่าทำหน้าเช่นนั้นเจ้าค่ะ เจ้าพี่ ที่น้องว่าจักอยู่เพียงไม่นานนั้นมิได้กล่าวเป็นลางหรือทางอวมงคลแต่อย่างใด ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เที่ยงแท้ยั่งยืนดอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปสมพระพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าทุกประการ” ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นชี้สายน้ำเบื้องหน้าให้บดีดู “สายน้ำยังมีขึ้นมีลง ชีวิตคนหรือจักไม่เป็นไปเช่นนั้น น้องไม่รู้ดอกว่าเพลาของตนเองนั้นมีมากน้อยเท่าใด หากยังมีลมหายใจก็อยากทำให้สุดกำลังที่มี เพื่อที่ลูก หรือใครก็ตามที่จักขึ้นนั่งเมืองต่อจากน้องจักได้ไม่ต้องเหนื่อยยากมากนัก”      

เจ้าชายรามราชเหลียวมองหน้าชายาแล้วก็ค่อยยิ้มออกบ้าง เจ้าจามเทวีของพี่คงไม่รู้ตัวว่าน้ำใจน้องก็ไม่ต่างกับสายน้ำเช่นกัน หากรามราชคนนี้คือสายนทีดังคำที่สุกกทันตะฤๅษีท่านบอกไว้เมื่อวันวาน ก็เป็นแต่แควแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำใหญ่ของพระนางเธอเท่านั้นเอง


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 00:15:12




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com