Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำดวนหลงดง ตอนที่ 1 ติดต่อทีมงาน

ลำดวนหลงดง ตอนที่ 1





ตำบลหญ้าปล้อง จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ.๒๔๙๕

พอเสร็จจากมื้ออาหารเย็นทีไรทองคูณเป็นต้องหายไปจากบ้านทันที วันนี้พระจันทร์นั้นดวงกลมโตกว่าเมื่อวาน จึงทำให้การสัญจรไปมายามค่ำคืนเป็นไปอย่างไม่ลำบากนัก คืนนี้มีเพื่อนของกุลแก้วและแววดาวมาช่วยกันเข็นฝ้ายที่หน้าบ้านด้วย ที่ไหนมีหญิงสาว ที่นั่นย่อมต้องมีชายหนุ่มติดตามมาเป็นธรรมดา เหมือนดอกไม้หอมที่มีเหล่าภมรมาคอยดอมดมอยู่เสมอ  

ลานโล่งหน้าบ้านที่นายบุญมาใช้เป็นสถานที่ให้ลูกสาวทั้งสามได้เข็นฝ้าย นัยหนึ่งนั้นก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกสาวได้พบปะชายหนุ่มทั้งในหมู่บ้านและจากต่างหมู่บ้าน โดยอยู่ในสายตาของผู้เป็นพ่อแม่ สิ่งนี้เป็นขนบประเพณีของชาวอีสานมาแต่โบราณแล้ว ฝ่ายทองคูณผู้เป็นพี่ชายคนโต ก็รีบวิ่งดุ่มๆ ไปบ้านแสงพลอยทันทีที่กินข้าวอิ่ม ด้วยที่ว่าหมายปองเธอมานาน มิหนำซ้ำยังมีคู่แข่งหลายคน จึงต้องรีบทำคะแนนเทียวไปหาเช้าเย็น

“เฮ็ดการบ้านเสร็จแล้วเป็นหยังคือบ่ลงไปซ่อยเอื้อยเฮ็ดงานล่ะเก้า...”

นางทับทิมที่เพิ่งตำข้าวเสร็จเดินขึ้นเรือนมาอย่างเนิบนาบพร้อมกับเอ่ยถามลูกสาวคนเล็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชานเรือน

เก้าจันทร์ในวัยสิบเจ็ดปีละสายตาจากตัวหนังสือในตำราก่อนก้มมองที่ลานหน้าเรือน ด้วยที่มารดาอยากให้ลงไปช่วยพวกพี่ๆ ทำงานอีกแรง แต่เมื่อได้เห็นสายตาหวานหยาดเยิ้มของเหล่าชายหนุ่มที่มาช่วยกุลแก้วและแววดาวเข็นฝ้ายที่จ้องมองมานั้น ก็ต้องรีบก้มหน้างุด

“ทางล่างคนหลายแล้ว เก้าขออ่านหนังสือเทิงเฮือนดีกั่วจ้ะ”

“แม่กะย่านว่าอินังดาวมันสิเคืองเก้าเอา แล้วนี่เฮ็ดงานบ้านแล้วเบิดซุอย่างแล้วบ่...” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามพลางทรุดนั่งลงบนเรือน หยิบเอาเข็มที่ปักไว้บนเสื้อนายบุญมาออกและจัดการเย็บซ่อมผ้าในส่วนที่ทำค้างไว้

“เก้าผ่าฟืน ตักน้ำใส่โอ่งแล้วกะล้างจานแล้วเบิดหละจ้ะ” เก้าจันทร์บอกเสียงใสก่อนก้มหน้าอ่านหนังสือ ได้ยินเสียงต่อผญาของหนุ่มสาวดังแว่วมาจากหน้าเรือน ชายหนุ่มบางคนก็เป่าแคนจีบสาว ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดมาเป็นระยะ

“เออ...แม่พวมนึกพ้อ มื้ออื่นวันพระ บุญลอยกระทง เก้าไปฮ้อยมาลัยให้แม่แหน่ลูก” คำขอของมารดาทำให้อีกฝ่ายต้องแอบถอนหายใจ “ตอนค่ำแม่กะหลงเก็บดอกมะลินำ เก้าไปบอกเอื้อยดาวให้ไปเป็นหมู่เดอลูก ย่างกะระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอนำล่ะ”

“บ่เป็นหยังจ้ะแม่ เก้าไปเองดีกั่ว”

จบคำก็ปิดตำราเล่มหนาลงก่อนหยัดกายลุกขึ้นยืน เด็กสาววัยสิบเจ็ดปีถือเอาตะเกียงไฟค่อยๆ เดินลงจากเรือนตรงสู่สวนหลังบ้าน เพื่อไปเก็บดอกมะลิมาร้อยมาลัยตามคำสั่งของนางทับทิมผู้เป็นมารดา

แต่ไม่ทันจะถึงที่หมายเสียงเดินดังสวบสาบจากข้างหลังก็ต้องทำให้เก้าจันทร์หยุดกึกลงกลางทาง มือที่ถือตะเกียงไฟดวงน้อยกำแน่น ตัดสินใจหันกลับไปมองข้างหลังอย่างรวดเร็ว

“อ้ายเภา...”
เก้าจันทร์อุทานเสียงหลงก่อนที่สำเภาจะเอามือจุ๊ปาก เด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม แสงไฟจากตะเกียงสาดใส่ใบหน้าดำคล้ำที่มันเยิ้มของมัน

“เก้าจันทร์สิไปไสจ้ะ ให้อ้ายเภาไปเป็นหมู่บ่อ...”

“เก้าสิไปเก็บดอกไม้ แล้วนี่อ้ายเภามาตั้งแต่ตอนได๋” ใบหน้าขาวเนียนเชิดขึ้นน้อยๆ

“อ้ายนั่งดีดพิณอยู่ข้างๆ อ้ายสรรค์ชัยน่ะจ้ะ พอเห็นน้องเก้าถือตะเกียงย่างลงจากเฮือน กะฟ้าวแลนออกมาจากวงเลย” สำเภาพูดพลางถูมือสากๆ ไปมา รอยยิ้มกว้างที่ฉีกจนถึงใบหูและสายตาใสซื่อของมัน เปิดเผยความในใจที่มีต่อเก้าจันทร์จนหมดสิ้น

คนตรงหน้าถอนหายใจน้อยๆ ก่อนเอี้ยวตัวกลับและออกเดินต่อจนถึงแปลงดอกมะลิ เก้าจันทร์วางตะเกียงไฟลงบนพื้นก่อนปลดผ้าคลุมไหล่ออกมาใช้ห่อดอกมะลิที่เด็ดใส่มือไว้ สำเภาไม่รีรอรีบช่วยหญิงสาวเก็บดอกไม้อย่างขะมักเขม้น มือนั้นเอื้อมไปเด็ดดอกไม้แต่ตากลับไม่ละห่างจากวงหน้าหวานของเก้าจันทร์

“อ้ายสรรค์ชัยเขามักเอื้อยกุลบ่อ้ายภา”
เก้าจันทร์เอ่ยถามอย่างไม่หันมามอง สำเภาทำหน้าเหรอหราอยู่แวบหนึ่งก่อนเอ่ยตะกุกตะกัก

“แหม่นแล้วจ้ะ เอื้อยกุลแก้วเองกะมักอ้ายสรรค์คือกัน เรื่องนี้น้องเก้าจันทร์ฮู้แล้วบ่...”
คำพูดของสำเภาทำให้เก้าจันทร์ต้องเบิกตากว้าง ร่างที่ย่อลงเก็บดอกมะลิยืดตรงและหันมาหาคนตรงหน้าทันที ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าพี่สาวของเธอคิดเช่นไรกับพี่สรรค์ชัย ลูกพี่ใหญ่ของสำเภา

“แต่พ่อเก้าบ่ถืกกันกับพ่อของอ้ายสรรค์ชัย อ้ายเภาเองกะฮู้ แล้วจั่งซี้เอื้อยกุลสิเฮ็ดจั่งได๋ล่ะ...”
ลากเสียงค้างคล้ายกับเอ่ยถามสายลมและท้องฟ้ายามราตรี สำเภาเองก็นิ่งคิดอย่างไม่รู้ตัว ตัวเองนั้นเป็นลูกน้องของสรรค์ชัย คอยตามติดอีกฝ่าย นับถือเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง รับรู้มาโดยตลอดว่าสรรค์ชัยนั้นรักกุลแก้วมาเพียงใด แต่เห็นท่าว่าความรักของทั้งคู่อาจไม่ได้ลงเอยง่ายๆ เมื่อว่าที่พ่อตาอย่างนายบุญมาที่เคยมีปากเสียงและไม่ลงรอยกับพ่อของสรรค์ชัยตั้งแต่สมัยครั้งยังเป็นหนุ่ม

เก้าจันทร์ก้มลงเก็บดอกมะลิอีกสี่ห้าดอกจึงคว้าเอาตะเกียงและเอี้ยวตัวเดินกลับเข้าบ้าน สำเภารีบตามติดหญิงสาวมาเป็นเงา อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์มัน ด้วยที่ว่าเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“มื้ออื่นบุญลอยกระทง น้องเก้าสิไปลอยกระทงกับไผบ่อจ้ะ...”
เด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีก้มหน้าถามด้วยหัวใจอันพองโต ลุ้นอยู่ว่าแม่หญิงข้างหน้าจะตอบว่าเช่นไร

กลิ่นหอมของดอกมะลิลอยมาตามสายลมหนาว เก้าจันทร์เร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านไวๆ ขณะที่คนข้างหลังก็เดินตามมาติดๆ อย่างไม่ยอมห่างเกินช่วงแขน

“เก้าสิไปกับหมู่น่ะจ้ะ มื้ออื่นนี้ที่โรงเรียนสิจัดประกวดกระทงนำ เก้าสิเอาใบตองไปเฮ็ดกับหมู่อยู่พู้นเลย”

“ว้า...อ้ายกะว่าสิเอาใบตองมานั่งเฮ็ดนั่งทำกระทงกับน้องเก้าที่เฮือน” สำเภาตัดพ้อแต่ทว่าคนข้างหน้ากลับยังคงเดินเฉยไม่ใส่ใจ

“เอื้อยกุลแก้วกับเอื้อยแววดาวคือสินั่งเฮ็ดกระทงอยู่หน้าเฮือน อ้ายมาเฮ็ดกระทงกับพวกเอื้อยเก้ากะได้นี่จ้ะ”

เก้าจันทร์เร่งฝีเท้าโดยไม่รอคนข้างหลัง เมื่อถึงหน้าบันไดเรือนสำเภาจึงเลิกเดินตาม ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างเนิบนาบ ไอ้สำเภาได้แต่แหงนมองนางฟ้าของมันด้วยความชื่นชมและหลงใหล เก้าจันทร์หันมาส่งยิ้มบอกลาในฐานะมิตรสหายที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย ก่อนจะนำดอกมะลิไปร้อยตามคำสั่งของนางทับทิมมารดา



คืนนั้นกว่าทองคูณจะกลับถึงบ้านไก่ก็โก่งคอขันเสียแล้ว ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนแคร่ใต้ต้นมะม่วงหน้าเรือนในสภาพเมาแอะ ภาพบาดตาเมื่อคืนนี้ทำให้ทองคูณซัดเหล้าหมดไปหลายไห ด้วยที่ว่าแม่แสงพลอยหญิงสาวที่หมายตาหลบไปนั่งพลอดรักกับไอ้สุพรรณหนุ่มบ้านเดียวกันที่กระท่อมปลายนา

ยิ่งนึกถึงภาพนั้น ใจมันก็ยิ่งเจ็บแค้น เขาสู้อุตส่าห์เฝ้ารักเฝ้าจีบแสงพลอยมาตั้งแต่หล่อนเริ่มแตกเนื้อสาว จนบัดนี้ก็ถึงวัยที่ควรจะมีเหย้ามีเรือนได้แล้ว หากแต่หญิงสาวกลับไม่ตกลงปลงใจรับรักเขาเสียที ซ้ำยังคงเล่นหัว พูดคุยหว่านเสน่ห์ให้กับชายอื่น ทั้งในหญ้าปล้องและชายหนุ่มต่างบ้านที่เข้ามาหา ด้วยหลงใหลในความงดงามและกิริยาของหล่อน

ตาบุญมานั้นไปนอนเฝ้าข้าวที่นา เลยไม่ได้เห็นสภาพของลูกชายคนโตในเช้านี้ คนที่มีหน้าที่ต้อนฝูงวัวควายเกือบสิบตัวออกจากคอกจึงได้เป็นคนเข้ามาดูชายหนุ่มเป็นคนแรก

“อ้ายคูณ อ้ายคูณคือมานอนอยู่นี่...”

น้องคนที่สองเดินเข้ามาตบหน้าพี่ชายเบาๆ อากาศหนาวเย็นแบบนี้ก็กลัวว่าผู้เป็นพี่จะไม่สบายเอาเสียได้ ทองคูณปรือตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนลุกพรวดขึ้นรีบวิ่งไปโก่งคอสำรอกอาหารที่ดื่มกินเมื่อคืนออกมาเพราะพิษเหล้า

“ไปกินมาแล้วอีกแหม่นบ่อ ดีที่เมื่อคืนพ่อบ่กลับบ้าน ถ้าพ่อฮู้ว่าอ้ายไปกินเหล้ามาอีกต้องเคียดหลายแท้”

กุลแก้วส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ช่วงนี้ทองคูณชักจะดื่มบ่อยจนน่าตกใจ เธอเองก็รู้ดีว่าสาเหตุที่พี่ชายเมาแอะกลับมาทุกวันนั้นเป็นเพราะอะไร จะกลัวก็แต่ว่าพ่อแม่จะตำหนิได้ โดยเฉพาะพ่อที่ไม่ค่อยจะพอใจกับพฤติกรรมของลูกชายคนโตสักเท่าไหร่ ดีที่นาหลายไร่เกี่ยวมัดเสร็จแล้ว จะเหลือก็แต่นาหนองระฆังเท่านั้นที่ยังเกี่ยวค้างไว้ ถ้าหากทองคูณเอาแต่เมามายแบบนี้ ก็คงไม่เป็นอันทำการทำงานกันพอดี

กุลแก้วตรงเข้าไปลูบหลังพี่ชายก่อนรีบไปตักน้ำจากตุ่มใส่ขันมาให้ทองคูณดื่มกินและล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แต่ไม่ทันไรเสียงร้องแป๋นของแววดาวก็ดังมาเข้าหู

“เอื้อยกุล คือปล่อยงัวควายให้เดินลุยถ่งไปแบบนั้น...” แววดาว ลูกคนที่สามของนายบุญมาและนางทับทิม วิ่งเตลิดลงมาจากชานบ้าน ก่อนวิ่งตามฝูงวัวควายไป เมื่อถึงแล้วจึงคว้าเอาเชือกที่ใช้สนตะพายพวกมันไว้

กุลแก้วละจากพี่ชาย รีบวิ่งกลับไปหาน้องสาวที่ยืนเหนื่อยหอบอยู่กลางทุ่ง ไอหมอกสีขาวขุ่นยังคงปกคลุมเหนือผืนนาซึ่งบางส่วนก็ได้เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นแล้ว

“เกือบแล้ว... ถ้าเกิดว่าข่อยมาบ่ทัน งัวพวกนี้ได้เหยียบข้าวยายหมานแท้ๆ” ดวงหน้ากลมรีสะบัดไปมองผืนนาข้างเคียงกับของตนซึ่งยังไม่ได้รับการเก็บเกี่ยว ก่อนหันมามองหน้าพี่สาวด้วยสายตาขุ่นเคือง

“เฮ็ดกับข้าวแล้วล่ะบ่แวว เอื้อยฝากแหน่ ซ่อยเอางัวควายไปนาแทนเอื้อยได้บ่อ...”

“อุ๊ย...บ่ได้ดอกเอื้อยกุล แววขั่วบักพริกค้างไว้ ป่านนี้คือสิไหม้เบิดแล้วหละ เอื้อยแววฟ้าวไปนาเถาะเดี๋ยวข่อยสิฟ้าวกลับไปเฮ็ดกับข้าว” ฝ่ายน้องสาวอ้างเหตุผล

“ถ้าจั่งซั้น เอื้อยฝากแววเบิ่งอ้ายคูณแหน่...” สองพี่น้องสบตากัน พอได้ยินชื่อพี่ชายคนโตแววดาวก็พอจะเข้าใจ เธอพยักหน้าให้กุลแก้วสองสามทีก่อนวิ่งไต่คันแทนา กลับเข้ามายังเรือนพัก

กุลแก้วมองตามร่างน้องสาว วันนี้เป็นบุญลอยกระทง จู่ๆ ก็รู้สึกชวนให้กังวลใจอย่างบอกไม่ถูก กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับทองคูณผู้เป็นพี่ชาย...


ด้วยความที่เอือมระอากับสิ่งที่ได้เห็น แววดาวจึงไม่สนใจที่จะเข้าไปดูดำดูดีพี่ชาย หล่อนรีบกลับเข้ามาทำกับข้าวต่อ ส่วนทองคูณเมื่อสำรอกอาหารในท้อง ก็ล้มครืนลงบนพื้น นอนเกลือกกลิ้งไม่ต่างกับหมา

“อ้ายคูณ... อ้ายคูณเป็นอิหยัง...”

เก้าจันทร์ ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านร้องเสียงหลงขณะกำลังก้าวขาลงบันไดมา เด็กสาวในชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยม รีบตรงเข้ามาหาพี่ชายด้วยความเป็นห่วง

“บ่ต้องไปสนใจดอกเก้า ฟ้าวไปรอนั่นเถาะ เดี๋ยวสิบ่ทัน...” แววดาวว่าออกมาจากห้องครัว เก้าจันทร์หันไปมองตามเสียงแวบหนึ่ง ก่อนหันมาหาพี่ชายที่เมามายไม่ได้สติ กลิ่นเหล้าที่ติดกายพี่ชายมาเริ่มจะทำให้ความอดทนของเก้าจันทร์หมดลง

น้องสาวคนสุดท้องตัดสินใจประคองร่างพี่ชายให้ลุกนั่ง ก่อนที่ทองคูณจะสำรอกอาหารที่เหลือค้าง ใส่ร่างแน่งน้อยที่กำลังประคองเขา

“อ้ายคูณ !”

เก้าจันทร์กรีดร้องเสียงหลง จนคนที่กำลังถือหม้อข้าวอยู่เกือบทำมันตกพื้นด้วยความตกใจ เด็กสาวผลักร่างพี่ชายออกห่างขณะที่แววดาววิ่งตะลีตะลานลงมาดูด้วยสีหน้าแตกตื่น

เก้าจันทร์ยืนหน้าเสีย เอามือปัดเศษข้าวเศษอาหารออกจากเสื้อนักเรียนด้วยความขยะแขยง แวบแรกที่แววดาวเห็นก็แทบพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะยืนยิ้มเย่าะใส่น้องสาวตัวดีที่ไม่ยอมเชื่อฟังหล่อน

“สมน้ำหน้า เอื้อยบอกแล้วเห็นบ่อ...ฟ้าวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวสิบ่ทันรถ ส่วนอ้ายคูณเดี๋ยวเอื้อยจัดการเอง”

เก้าจันทร์ก้มลงมองดูสารรูปพี่ชายแวบหนึ่งด้วยความขุ่นเคือง ก่อนรีบวิ่งดุ่มๆ ขึ้นบ้านไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยกลัวว่าจะไม่ทันรถ ฝ่ายแววดาวนั้นก็กึ่งลากกึ่งดึงร่างพี่ชายที่ยังลุกขึ้นยืนประคองตัวเองไม่ได้มายังร่มมะม่วง

แววดาวผละไปทำกับข้าวที่ค้างไว้จนเสร็จส่วนเก้าจันทร์นั้นก็รีบกระหืดกระหอบวิ่งไปที่ศาลาหน้าหมู่บ้านด้วยกลัวว่าจะไม่ทันรถ เมื่อน้องสาววิ่งไปได้สักครู่แววดาวจึงตรงมาหาพี่ชายที่ยังคงไม่สร่างเมาพร้อมกับขันน้ำในมือ


น้องสาวยิ้มเย่าะอยู่หน้าร่างของทองคูณ ก่อนสาดน้ำในขันใส่หน้าพี่ชายเต็มแรง ขณะที่อีกฝ่ายยกสองมือขึ้นลูบหน้าลูบตาด้วยความตกใจ ก่อนอ้าปากว่าน้องสาวที่กล้าดีทำแบบนี้กับตน

“เป็นหยังคือเฮ็ดกับอ้ายจั่งซี้แวว...” ทองคูณลุกขึ้นยืนอย่างโอนเอน ดวงตาแดงก่ำจากพิษสุราจ้องหน้าแววดาวอย่างขุ่นเคือง นี่เห็นว่าเป็นน้องสาวหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงต้องได้ลงไม้ลงมือสั่งสอนแน่

“นี่กะสายแล้ว อิแม่ก็ใกล้สิกลับวัด จักหน่อยอิพ่อกะสิกลับเข้าบ้าน ถ้าพ่อเห็นอ้ายนอนเมาอยู่แบบนี้ อ้ายกะฮู้แหม่นบ่อว่าสิเกิดอิหยังขึ้น...”

แววตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นไม่อยากจะทำให้ทองคูณเชื่อนัก ว่าสิ่งที่น้องสาวทำลงไปเพราหวังดีหรือเป็นเพราะอยากแกล้งเขาให้สนุกเท่านั้น



เมื่อผูกวัวควายเรียบร้อยแล้วกุลแก้วก็เดินลัดเลาะไปตามชายทุ่งอย่างใจลอย ดวงตากลมใสบนเรือนหน้าสีน้ำผึ้งเบิกมองกลุ่มหมอกสีขาวขุ่นที่ยังคงลอยปกคลุมอยู่เหนือผืนนา มองหยาดน้ำค้างที่เกาะตอฟางข้าวที่ถูกแสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าส่องกระทบเป็นประกายระยิบระยับ รู้สึกว่าเสื้อแขนยาวสีคล้ำตัวเก่าที่สวมใส่เริ่มจะให้ความอบอุ่นไม่เพียงพอ ก้าวขาไปพลางคิดไปว่าสายนี้จะเข้าไปซื้อเสื้อผ้ากับแววดาวที่ตลาด แต่เดินมาได้ไม่ทันไรร่างสูงใหญ่ของสรรค์ชัยก็ปราดเข้ามาขวางหน้าไว้เสียก่อน

กุลแก้วสะดุ้งน้อยๆ เบิกตาจ้องมองใบหน้าคมคายของชายหนุ่มตรงหน้าที่ฉีกยิ้มกว้าง หลังจากต้อนวัวควายออกจากคอกและผูกไว้ที่โนนดินใกล้เถียงนา สรรค์ชัยก็รอพบกุลแก้วตามที่ใจนั้นหมายไว้

“แก้ว คืนนี้ไปลอยกระทงกับอ้ายเดอ...”

สายตาและน้ำเสียงอันหวานจับใจนั้นแทบจะทำให้กุลแก้วหลอมละลายคล้ายเทียนที่กำลังถูกความร้อน หญิงสาวอายม้วน ก่อนสาวเท้าเดินหนีกลับไปที่เถียงนาของตน สรรค์ชัยเองก็รีบวิ่งมาเดินเคียงข้าง สายตาไม่ห่างจากใบหน้าของกุลแก้วเลย

“แก้ว... แก้วยังบ่บอกอ้ายเลย ว่าคืนนี้สิไปลอยกระทงกับอ้ายบ่อ...” สรรค์ชัยถามเสียงอ้อน ก่อนคว้าข้อมือน้อยๆ นั้นไว้จนร่างบางต้องหยุดกึก สองตาหันมาประสานกันในบัดดล หัวใจของกุลแก้วพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะรีบปลดมือของชายหนุ่มออกและเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย

สรรค์ชัยพอเห็นหญิงสาวเล่นตัวจึงแกล้งตัดพ้อเสียงเศร้า “แก้วบ่ตอบ แสดงว่าแก้วสิไปลอยกระทงกับผู้ซายคนอื่นแหม่นบ่อ...” พูดจบก็แกล้งถอยหลังหนีก่อนที่กุลแก้วจะหันขวับมาสีหน้าเป็นกังวล

“บ่แหม่นเลย แก้วบ่เคยคิดสิไปลอยกระทงกับไผนอกจากอ้ายชัย”

หญิงสาวเอ่ยบอกเต็มเสียง ก่อนจะยกมือปิดปากตัวเอง ใบหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่มพลันได้อมยิ้มด้วยความพอใจ สรรค์ชัยก้าวขาเข้าไปหากุลแก้วก่อนจับมือของเธอไว้พลางบีบเบาๆ

“อ้ายสิถ่าแก้วอยู่ใต้กกตาลริมคลองเดอแก้ว...ไหว้พระแล้ว เฮาค่อยพ้อกัน...” สรรค์ชัยนัดแนะเสียงหวานก่อนก้าวขาลาจากไป กุลแก้วก็คอยชะเง้อคอมองตามหลังหนุ่มที่รักใคร่จนเขาเดินลับหายผ่านเข้าไปในดงไม้ที่กั้นระหว่างผืนนาของตนกับผืนนาของบิดาสรรค์ชัย

คำหวานและสายตาของเขาชวนให้หญิงสาวยิ้มไม่ยอมหุบ หากแต่ใจหนึ่งก็อดคิดด้วยความน้อยใจไม่ได้ ด้วยที่ต้องแอบนัดพบกับแบบหลบซ่อน กลัวว่าผู้คนจะรู้แล้วนำไปแจ้งผู้ใหญ่ ด้วยที่ว่าบิดาของตนกับครอบครัวของสรรค์ชัยเกิดเรื่องบาดหมางและไม่ลงรอยกันมานมนานแล้ว



เก้าจันทร์วิ่งอย่างสุดชีวิต แม้กลัวว่ารองเท้านักเรียนจะขาดเอาได้แต่เด็กสาวก็ไม่ยอมหยุดวิ่ง พอจวนใกล้จะถึงศาลาหน้าหมู่บ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นรถโดยสารประจำทางที่กำลังขับผ่านศาลาไป

“เดี๋ยวก่อนจ้ะ... เดี๋ยว...”

เก้าจันทร์ร้องเรียกพร้อมเร่งฝีเท้า แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว รถโดยสารวิ่งไปไกลร่วมกิโลฯ เมื่อเด็กสาวมาถึงศาลาหน้าหมู่บ้าน

เก้าจันทร์วางกระเป๋าลงบนที่นั่งพร้อมกับทรุดลงอย่างเหนื่อยหอบ ได้แต่ทอดมองถนนสายยาวด้วยสายตาอาวรณ์ ก่อนก้มลงบีบข้อเท้าที่เริ่มปวดระบมขึ้นมา

“อ้าวเก้า... น้องเก้าบ่ได้ไปโรงเรียนบ่จ๊ะ...”

สำเภาที่เพิ่งกลับมาจากนาเอ่ยถาม ก่อนเดินเข้าไปในศาลาพร้อมกับวางถังสังกระสีใบเก่าซึ่งภายในมีปลาเล็กปลาน้อยและปูนาตัวจ้อยกระโดดดิ้นอยู่

“เก้าบ่ทันรถจ้ะ...” เก้าจันทร์บอกเสียงอ่อนแรง สีหน้าหมองหม่นนั้นทำให้สำเภากังวลใจไปด้วยไม่ได้

“แล้วจั่งซี้ มื้อนี้น้องเก้ากะต้องขาดเรียนตี๋ซั่น...” เด็กหนุ่มว่าพลางทรุดนั่งลงข้างเก้าจันทร์ อีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆ ส่งให้ก่อนหยิบเอากระเป๋านักเรียนและลุกจากไม้กระดานแผ่นยาวที่ทำเป็นที่นั่ง

พอเห็นอีกฝ่ายลุกจากไปไอ้สำเภาก็รีบคว้าเอาถังสังกะสีใบเก่าของมันและออกเดินตามทันที เก้าจันทร์ยกมืออีกข้างขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากก่อนมุ่งหน้าเดินกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดและกังวลใจ ไม่รู้ว่าจะตอบพ่อแม่เช่นไรดีที่วันนี้ไปไม่ทันรถ เธอรู้ว่าทุกคนในครอบครัวคาดหวังกับเธอมากแค่ไหน เงินแต่ละบาทที่พ่อแม่หามาและส่งเสียให้เธอได้เรียนหนังสือสูงกว่าพี่ๆ อีกสามคน คอยเตือนให้เก้าจันทร์รู้อยู่เสมอว่าเธอจะต้องเป็นคนดีตั้งใจเรียน มีหน้ามีตากว่าพี่ๆ ทุกคน ได้เป็นเจ้าคนนายคนตามที่พ่อและแม่คาดหวังไว้

ระหว่างเดินกลับบ้าน สำเภาก็ชวนคนข้างกายคุยไปเรื่อยเปื่อย หวังให้เก้าจันทร์นั้นคลายความกังวลลง คนที่เรียนสูงก็ย่อมต้องมีเรื่องคิดมากเป็นธรรมดา ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้และมีเรื่องให้คิดมาก ตนนั้นรู้หนังสือแค่ชั้น ป.๔ พอเรียนจบก็ออกมาทำไร่ไถนาเหมือนกับลูกหลานหญ้าปล้องส่วนใหญ่ จะมีเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านที่ได้เรียนต่อชั้นสูงๆ อย่างเช่นเก้าจันทร์

และพอเดินมาถึงทางแยกเก้าจันทร์จึงจำต้องหันมาบอกลาคู่สนทนาที่เดินมาเป็นเพื่อน สำเภายังคงผายยิ้มอย่างอบอุ่นเสมอ ถึงแม้หน้าตาจะดูมอมแมมและดำคล้ำตามประสาชาวนา แต่มันก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก ซ้ำยังมีนิสัยใจคอดี ขยันขันแข็งช่วยพ่อแม่ทำการทำงาน เพื่อนชายรุ่นเดียวกันกับมันก็ล้วนแต่รู้ว่าสำเภาคิดเช่นไรกับเก้าจันทร์ ลูกสาวคนเล็กของตาบุญมากับยายทับทิม ครอบครัวซึ่งจัดได้ว่ามีฐานะดีครอบครัวหนึ่งในหญ้าปล้อง



กุลแก้วกลับมาบ้านพร้อมกับนายบุญมาผู้เป็นบิดา แม้จะย่างเข้าวัยห้าสิบปีแล้วหากแต่ร่างกายของนายบุญมาก็ยังคงแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ไข้อะไรหนักหนา จะมีเพียงก็แต่เรื่องของบรรดาลูกๆ ที่ทำให้ต้องคอยกังวลใจ โดยเฉพาะลูกชายคนโต ที่หวังจะพึ่งพา หวังให้เป็นเสาหลักของครอบครัวและน้องๆ ในภายภาคหน้า แต่พฤติกรรมของทองคูณก็ทำให้ตาบุญมาคิดไม่ตก ใช่ว่าเขานั้นจะไม่เคยผ่านวัยหนุ่ม หากแต่ตอนตนเป็นหนุ่มนั้นก็ไม่เคยปล่อยให้ความหลงความรักมาครอบงำชีวิตมากมายเหมือนเช่นลูกชายตนคนนี้

พอพ่อกลับมาก็เรียกทองคูณที่สร่างเมาแล้วเข้าไปคุยบนเรือน แววดาวก็แอบย่องไปทางใต้ถุนบ้าน แหงนมองผ่านซี่ไม้กระดานขึ้นไปด้านบนพร้อมเงี่ยหูฟังว่าบิดาจะเอ็ดด่าพี่ชายว่าอย่างไร


“บ่เป็นหยังดอกเก้า ขาดเรียนแค่มื้อเดียวเอง เก้าไปผลัดผ้าแล้วมาซ่อยเอื้อยกับแม่เฮ็ดกับข้าวไปถวายเพลพระดีกั่ว”

กุลแก้วเอ่ยปลอบน้องสาวคนเล็กที่ยังนั่งทำหน้างอก่อนที่นางทับทิมจะร้องสั่งให้เก็บผักบุ้งริมสระและพริกขี้หนูสักสองสามกำมาทำผัดผักบุ้งและตำแจ่วปลาร้า

เก้าจันทร์ถอนหายใจจนสุดก่อนเดินนำหน้ากุลแก้วขึ้นเรือนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเดินขึ้นไปก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองทางห้องบิดาที่ประตูเปิดแง้มไว้ เด็กสาวแอบส่องสายตาเข้าไปในนั้น เห็นเพียงแค่ทองคูณนั่งก้มหน้านิ่งอยู่

“เดี๋ยวเอื้อยไปเก็บผักบุ้งก่อน แต่งโตเสร็จแล้วเก้ากะไปตั้งหม้อต้มน้ำปลาแดกไว้เดอ” กุลแก้วส่งน้องสาวที่หน้าห้อง ก่อนเดินลงเรือนจากไป

หลังแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เมื่อเก้าจันทร์เดินออกจากห้องก็พบกับทองคูณที่เปิดประตูห้องออกมาพร้อมกันพอดี นัยน์ตาของพี่ชายนั้นแดงก่ำ ก่อนจะหลบสายตาน้องสาวและสาวเท้าเดินลงบันได วิ่งหนีหายไป

“นี่อิพ่อบ่เอาไม้ตีอ้ายคูณกะนับว่าดีส่ำได๋แล้ว มื้อหนึ่งๆ บ่เคยเห็นเฮ็ดหยังซ่อยพ่อแม่เลย” แววดาวบุ้ยปากบ่นอุบอิบเดินขึ้นบันไดมา คล้อยหลังที่ทองคูณลงไปได้ไม่เท่าไหร่ ก่อนที่กุลแก้วที่เดินตามหลังจะแทรกขึ้นเสียงแข็ง

“โตเป็นน้อง เป็นหยังจั่งเว้าแบบนี้แวว ถ้าอ้ายคูณมาได้ยินสิคึดจั่งได๋”

แววดาวเบะปากทีนึง ก่อนวางปลาช่อนสองตัวลงบนเขียง เก้าจันทร์เดินไปรับผักบุ้งและพริกจากกุลแก้ว นำไปคั่วพร้อมกับหอมและกระเทียมเพื่อใช้ทำแจ่วปลาร้า

“ที่อ้ายคูณต้องเป็นแบบนี้ กะเพราะว่าหมู่โตบ่แหม่นบ่” กุลแก้วอดเหน็บแหนมไม่ได้ พอได้ยินดังนั้นแววดาวจึงลมออกหู ด้วยที่รู้ว่าเหตุที่ทำให้ทองคูณไม่เป็นอันทำการทำงานเพราะแสงพลอยเพื่อนรุ่นเดียวกันกับตน

“ข่อยบ่เคยนับมันเป็นหมู่ดอกเอื้อยแก้ว อีผู้หญิงหลายใจ มารยา:-)ปานว่าโตโกงในหมอลำเรื่อง”

แววดาวสะบัดเสียง พอได้ยินเสียงลูกสาวคุยกันจ้อแจ้ระหว่างทำกับข้าวกับปลานางทับทิมจึงเดินขึ้นมาเอ็ดเข้าให้ พอโดนมารดาดุวงสนทนาจึงเงียบลง โชคดีที่พ่อกับแม่ไม่เอาเรื่องเก้าจันทร์ที่ขาดเรียน เพราะสาเหตุนั้นมาจากทองคูณ...



พอสำรับกับข้าวเสร็จสรรพแล้วนางทับทิมจึงตระเตรียมข้าวของเพื่อนำไปถวายเพลพระ ด้วยที่ว่าวันนี้เป็นบุญลอยกระทง หากแต่สามีกลับปฏิเสธไม่ไปด้วย เพราะอยากกลับไปถอนหญ้าในแปลงหอมแดงที่ทำค้างไว้เมื่อตอนเช้าให้เสร็จ ส่วนทองคูณก็หายไปเหมือนทุกวัน คงไปขลุกอยู่บ้านไอ้สมหมายเพื่อนสนิทอย่างไม่ต้องคิด

“อ้าว...แต่งโตกันแล้วล่ะบ่ลูก เดี๋ยวพระสิฉันท์เพลก่อนได๋”

นางทับทิมตะโกนร้องอยู่หน้าเรือน ตนนั้นใส่เสื้อลูกไม้สีขาวที่ซื้อไว้จากพวกยวนที่หาบเร่ขายเมื่อเดือนก่อน ท่อนล่างเป็นผ้าซิ่นสีเลือดหมูทอจากไหมเนื้อดี

กุลแก้วก้าวขาออกมาจากห้องเป็นคนแรก ใจนั้นนึกไปถึงผู้คนที่จะแห่กันมาทำบุญที่วัดในวันนี้ ผมยาวดำขลับนั้นรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง เรือนหน้าสีน้ำผึ้งนวลเนียนผัดแป้งแต่พองาม ริมฝีปากทาด้วยขี้ผึ้งเป็นมันเงาอวบอิ่ม ใส่เสื้อลูกไม้สีขาวเหมือนกับแม่หากแต่แขนเสื้อนั้นยาวเลยศอก นุ่งซิ่นสีฟ้าสดใสที่ทำจากไหมซึ่งทอเองกับมือ

ตามมาด้วยแววดาวที่ใส่เสื้อแขนกุดสีส้มสด ระบายด้วยโบว์เล็กๆ รอบคอเสื้อซึ่งเพิ่งซื้อมาจากตลาดเมื่อวันสองวันก่อนนี่เอง บนศีรษะมีที่คาดผมสีชมพูคาดอยู่ ผมหยิกเป็นลอนปล่อยสยายด้านหลัง เครื่องหน้าที่จัดวางได้อย่างงดงามไม่แพ้ผู้พี่ดูสวยสะดุดตาเมื่อถูกแต่งแต้มอย่างดิบดี ทำให้ยิ่งงามกว่าหญิงชาวบ้านคนอื่น

และเก้าจันทร์ที่ไม่คิดว่าจะได้พลอยมาถวายเพลพระในวันนี้ด้วย สวมเสื้อลูกไม้แขนยาวถึงข้อมือหากแต่เข้ารูปน่ามอง รับกับผ้าซิ่นสีชมพูลายสร้อยดอกหมากที่ทำจากไหมซึ่งได้รับจากยายผู้ล่วงรับไป ผมที่ยาวเลยติ่งหูมาหน่อยนั้นถูกหวีและลงน้ำมันลูกหว้าเป็นเงางาม หูซ้ายนั้นทัดดอกจำปี ใบหน้าขาวเนียนสดใสกว่าพี่สาวทั้งสองคนปราศจากเครื่องสำอางมาแต่งแต้ม

แต่ละคนต่างก็หยิบฉวยเอาข้าวของที่จะต้องนำไปวัด มีตะกร้ากับข้าว ผลไม้และดอกไม้ ก่อนเดินตามหลังนางทับทิมสู่วัดหญ้าปล้อง พร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ต่างก็ตรงไปทำบุญในวันนี้เช่นเดียวกัน...

แก้ไขเมื่อ 11 ส.ค. 55 10:17:37

จากคุณ : ผีเสื้อสีดำ
เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 02:19:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com