16
นภัสรินทร์กลับถึงห้องราวหนึ่งทุ่ม วันนี้งานไม่ยุ่งแต่รู้สึกอ่อนล้าจนอยากจะพักผ่อนเพื่อปรับจังหวะลมหายใจซึ่งสูญเสียการควบคุมไปจากเหตุการณ์เมื่อคืนและช่วงเช้านี้ให้เข้าที่เข้าทาง เธอปลดล็อคห้อง แสดงว่าปัญวิชช์กลับไปแล้วสินะ เธอก้าวเข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยืนคือเสียงจากโทรทัศน์ ฝีเท้าถูกตรึง คีย์การ์ดร่วงจากมือ
ร่างนั้นสะดุ้ง ลุกพรวดขึ้นมาหาที่มาของเสียง พอเห็นว่าเป็นใครก็เปิดยิ้ม
“รินนั่นเอง มาเงียบ ๆ ตกใจหมดเลย”
สติของหญิงสาวกลับมา พูดดุ ๆ “ใครกันแน่ที่ตกใจ นั่นควรจะเป็นคำพูดของฉันมากกว่า ทำไมคุณยังไม่กลับไปอีก”
ปัญวิชช์ยิ้มเจื่อน “ก็...พอกินยาเข้าไปมันก็เลยหลับเพลินน่ะ ก็ว่าจะกลับอยู่เหมือนกัน”
ใจหนึ่งโกรธ แต่อีกใจก็ขำปนสงสาร พอเห็นคำตอบอย่างสำนึกผิดของเขาก็เห็นใจ อย่างน้อยมันก็มีความสบายใจเล็ก ๆ ที่เห็นเขา นภัสรินทร์มองรอบห้อง ทุกอย่างเป็นปกติ แม้แต่เสื้อคลุมอาบน้ำของเธอเขาก็ยังสวมอยู่ มีแค่กล่องพิซซ่าที่อยู่บนโต๊ะ ซึ่งก็วางอย่างเรียบร้อยเช่นกัน เขาคงสั่งมากินแทนอาหารกลางวัน
เธอถอนใจ ไม่รู้เป็นกี่หนแล้วในรอบสองวันนี้ เขาทำให้ความเป็นตัวเธอลดน้อยลง
“ฉันโทรมาคุณก็ไม่รับ ถ้ารู้ว่ายังอยู่จะได้สั่งข้าวสั่งยาให้” นภัสรินทร์เดินไปล้างมือ
“ผมคงหลับอยู่มั้ง เพราะพอตื่นมาโทรศัพท์มันก็แบตหมดพอดี ดูสิ” เขาวางให้ดู ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ทำให้นภัสรินทร์นึกถึงคำที่เขาโกหกนีรนารถ
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“มันก็ยังเจ็บอยู่ ตึง ๆ หนักแขน”
“คุณต้องไปหาหมอ เขาจะได้ฉีดยาให้ มันจะไม่ระบมแบบนี้ ยาแก้ปวดไม่พอหรอก”
“เดี๋ยวผมไป”
“เดี๋ยว?”
นภัสรินทร์จ้องหน้าเขา “อย่าคิดว่าฉันจะให้คุณค้างอีกคืนนะคะ คุณสส. เข้าใจว่าวันนี้คุณก็โดดงานแล้ว ถ้าจำไม่ผิดวันอังคารคือวันประชุมครม.ซะด้วยนี่”
ปัญวิชช์ทำหน้าเจ็บปวด “โอย อย่าพูดเรื่องงานได้ไหม รู้สึกเหมือนไข้จะกลับ...รินกินข้าวหรือยัง เอาพิซซ่าไปอุ่นสิ เหลืออีกตั้งหลายชิ้น”
หญิงสาวเริ่มจะชินกับพฤติกรรมเด็ก ๆ ของเขาบ้างแล้ว แต่ยังอดหมั่นไส้ไม่ได้ เธอส่ายหน้า “เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ ผมจะกลับก็แล้วกัน”
คนฟังนิ่ง มันเป็นอะไรที่ประหลาด ปัญวิชช์ไม่ได้ทุ่มเทของขวัญให้ ไม่ได้มีประโยชน์กับเรื่องงานของเธอ แต่เขามีใจ มีเวลา ไม่ได้อยากอยู่ใกล้ชิดเธอเพราะแค่ความสวย ในเวลาหลายปี สิ่งที่เขาทำมันน่าจะมากกว่าใครแล้ว
นภัสรินทร์ผละออกไป เห็นเสื้อเชิ๊ตของเขาวางอยู่บนขอบตระกร้าในห้องน้ำจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ เดินถือออกมา
“จะซักให้ แต่ไม่รับปากว่าจะออกหรือเปล่านะ รอยเลือดฝังแบบนี้”
ปัญวิชช์ทำท่าตกใจ “ไม่ต้องก็ได้”
“ไม่เป็นไร” เธอบอกเรียบ ๆ ชายหนุ่มคาดเดาไม่ถูก ดีใจก็ใช่ แต่ก็ตื่นเต้นจนหวั่นเกรง เหมือนเด็ก ๆ ที่ลุ้นกับผลสอบจนหายใจไม่ทั่วท้อง การมาหาเธอแทนที่จะให้หมอรักษาก็เป็นการรบกวนพอดูอยู่แล้ว แต่คราวนี้เขาก็เลือกไม่พูดเล่นลิ้น แล้วนั่งเงียบ ๆ แทน
กระทั่งเธอทำเรียบร้อยก็เดินออกมา ปากบอกว่าแค่จางลงนิดหน่อยเท่านั้น
“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ” ปัญวิชช์พูด ทั้งสีหน้าและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“แบบนี้ที่บ้านคุณก็รู้อยู่ดีนะ”
“ไม่หรอก ผมมีสูทอยู่ในรถ ตอนโดนยิงน่ะถอดออก เดี๋ยวสวมทับก็ไม่มีใครรู้แล้ว”
ต่างคนต่างนิ่งกันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนภัสรินทร์ก็ตกลงจะกินพิซซ่ากล่องนั้น เธอโทรสั่งสปาเก็ตตี้จากครัวของคอนโด และทำสลัดผักเพิ่ม บรรยากาศเป็นไปง่าย ๆ แต่อบอวลด้วยความรู้สึกหลากหลาย
นภัสรินทร์กำลังคิดเรื่องผู้หญิงที่ทำร้ายปัญวิชช์
แต่ชายหนุ่มคิดแต่เรื่องผู้หญิงตรงหน้าตนเอง
“ที่นี่ทำอาหารอร่อยดีนะ วันหลังมาหารินมากินที่นี่บ้างดีกว่า” เขาบอกพยายามใช้มือซ้ายพันสปาเก็ตตี้กับส้อม
นภัสรินทร์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ได้แต่ฟังและพยักหน้าเมื่อปัญวิชช์พูด เธอรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เวลาอยู่กับเขารู้สึกเหมือนเปลือกที่ห่อหุ้มมันบางลง ไม่ต้องใส่หน้ากากเสแสร้งเหมือนยามอยู่กับคนอื่น ชายหนุ่มชอบทำให้เสียศูนย์ ทำให้หลุดมาด โดยเฉพาะเวลาที่มาดักทางแบบเด็กขี้ตัดพ้อแบบนี้
ถ้าเป็นคนอื่น เธอพร้อมจะโปรยเสน่ห์เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมุ่งหวังอะไร แต่ปัญวิชช์ไม่มี ถ้าเธอเอ่ยปากก็ไม่ต่างอะไรก็เท่ากับการหลอกใช้เขา เพียงแค่ลากเขามาอยู่ในเกมส์เธอต้องรับผิดชอบแล้ว
เธอต้องตัดสัมพันธ์ถ้าเกิดว่าเขาเป็นอะไรไป เห็นได้ชัดว่าเพียงแต่เริ่มต้น เขาก็บาดเจ็บแล้ว
“วิช...”
เขาลดแก้วน้ำ “ครับ”
นภัสรินทร์ลูบหน้าผาก พยายามทำใจให้เข็มแข็งและเด็ดขาด
“ฉันคิดว่า...เราควรจะคุยกัน” เพราะน้ำเสียงจริงจังทำให้เขาทำท่าตื่น ๆ ขึ้นมา แต่เธอรีบยกมือ “ฟังก่อน คุณควรจะเลิกวุ่นวายกับฉันได้แล้ว เห็นไหมว่าผลมันเป็นยังไง”
“มันเกี่ยวอะไรกัน”
หญิงสาวเป่าปาก “ใครคบกันฉันก็มักโชคร้ายแบบนี้ไง”
ปัญวิชช์เข้าใจว่าเธอหมายถึงปรเมศ เมื่ออาของเขาดำรงฐานะเป็นคนรักก็โชคร้ายต้องเสียชีวิตในอุบัติเหตุ เมื่อเขาถูกยิง เธอจึงเหมารวมกันสินะ เขาสบตาเธอ
“ถ้าคบกับคุณแล้วต้องโชคร้าย ผมยอมโชคร้ายทั้งชีวิตเลย”
นี่จะเรียกว่าคำสารภาพเลยก็ว่าได้ ถึงแม้นภัสรินทร์จะได้ยินมาหลายครั้ง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันดูแปลกออกไป
“ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ เรื่องนั้นรินไม่ต้องห่วงหรอก ปู่มีการ์ดมาให้ผม” เขาพูดยิ้ม ๆ “ผมขอโอกาสบ้าง อย่าขับไสไล่ส่งกันเลยนะ”
หรือว่าเธอเคยตัวที่มีเขาวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ หรือว่าวันเวลาที่น้ำหยดลงหินอย่างจะยาวนานจนกร่อนความใจแข็งของเธอไปหมดแล้ว ในที่สุดนภัสรินทร์ก็ถอนใจกับตัวเองอีกครั้ง
ปัญวิชช์ใช้โทรศัพท์ซึ่งขอยืมที่ชาร์จแบตจากนภัสรินทร์ชาร์จพลังงานแล้วเพื่อโทรหากฤษให้มารับที่หน้าคอนโด และออกจากห้องเธอตอนใกล้สามทุ่ม
“ขอบคุณมากนะริน” เขาไม่ให้เธอเดินไปส่ง
“อย่าลืมไปหาหมอซะล่ะ”
“คร้าบ” เขาตอบล้อ ๆ แล้วเดินออกไป นภัสรินทร์มองตามแผ่นหลังนั้น ครั้นแล้วก็กลับเข้าห้อง
ปัญวิชช์รีบเดินไปที่รถ หยิบเสื้อสูธมาสวมเพื่อปิดบังหลักฐานบนเสื้อเชิ๊ต สวมเสร็จการ์ดหนุ่มเดินเข้ามาพอดี ทำเอาสะดุ้ง เขาไม่พูดอะไร ส่งกุญแจรถให้แล้วเดินเร็ว ๆ เพื่อไปนั่งที่เบาะหลัง ความเคยชินทำให้เขายกมือขวาเปิดประตู จึงทำให้เจ็บแปล๊บขึ้นมา แต่ฝืนทนจนเข้ามานั่งในรถ แล้วเผลอกุมแขนขวา พอรู้สึกตัวก็รีบลดมือลง แต่ไม่พ้นสายตาเฉียบคมของกฤษ
“คุณวิชเป็นอะไรครับ เจ็บแขนเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่คุณวิชเจ็บแขน”
“เออ เจ็บ แล้วไง ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง แล้วที่สำคัญ สงบปากสงบคำเอาไว้ด้วยนะ ถ้าไม่อยากตกงาน”
กฤษเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้านายอายุน้อยกว่าออกมาจากคอนโด เอาเสื้อสูธสวมทับอย่างไม่จำเป็น แสดงให้เห็นว่าปกปิดรอยอะไรบางอย่าง เขารู้สึกถึงความยุ่งยากในอีกไม่นาน
เช้าวันต่อมา ทรงพลไปคุยกับสุเชาวน์เรื่องมติจากประชุมคณะรัฐมนตรี เรื่องการปรับอัตราเงินเดือนตอบแทนพิเศษรายเดือนให้กับพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับเรื่องการปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติมสำหรับโครงการระบบรถไฟชายเมืองสายสีแดง พอพูดคุยเรื่องวิชาการกับจบ อดีตหัวหน้าพรรคก็ถามเรื่องสมาชิกพรรคที่เข้าประชุม เลขาพรรคเป็นคนตอบ
“เมื่อวานมีไม่เข้าประชุม 3 คนครับ คุณวิฑูรย์โทรมาลาป่วยแล้ว ส่วนคุณกำพลไปต่างจังหวัดตามกำหนดการบอกว่ากลับมาถึงเช้าเมื่อวาน แต่ยังติดต่อไม่ได้...”
“คุณกำพลนี่อีกแล้ว” ทรงพลแทรกขึ้น “โดยส่วนตัวนะ ผมเองก็ไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการมากเรื่องเข้าประชุม จะขาดลาสาย หรืออะไรถ้าจำเป็นก็เข้าใจ แต่ไม่ชอบถ้าจะหายไปเฉย ๆ เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อีกอย่างนี่มันก็นโยบายของพรรคเราด้วย ยังไงฝากคุณสุเชาวน์เรื่องนี้ด้วยแล้วกัน”
“ได้ครับ” หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันรับคำ เขายังคงความเกรงใจบารมีของอีกฝ่ายไม่น้อย “อ้อ เมื่อกี้บอกสามคนใช่ไหม อีกคนล่ะใคร”
เลขาสบตาหัวหน้าพรรค ท่าทางอึดอัดใจที่จะบอก
“ทำไมล่ะ แค่บอกชื่อเอง”
อีกฝ่ายหลบตา “เอ่อ...คุณปัญวิชช์ครับ”
ทรงพลอึ้ง ค่อย ๆ รู้สึกร้อนบนใบหน้า คำตำหนิยืดยาววกกลับเข้ามาฉกตัวจนชา ที่ทำผิดกลายเป็นคนในความปกครองเสียเองแบบนี้ ผู้อาวุโสรู้สึกถึงสายตาขบขันเป็นบางคู่ สำหรับเขาเป็นอะไรที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด
แต่เขาก็เก็บอารมณ์ พยักหน้ารับรู้อย่างนิ่ง ๆ “โอเค เดี๋ยวผมจะคุยกับเขาเอง”
“วันนี้ คุณปัญวิชช์ก็โทรมาลาป่วยด้วยครับ”
ทรงพลอดไม่ได้ที่จะชักคิ้ว เหมือนโดนซ้ำดาบสอง ทำให้ต้องเสียหน้าขนาดนี้ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่จะต้องจัดการให้เด็ดขาด เจ้าหลานตัวแสบ
ในช่วงเวลาที่ทรงพลไปที่พรรค ปัญวิชช์โทรหากฤษ ถามถึงปู่ อีกฝ่ายบอกว่าออกจากบ้านไปแล้ว ชายหนุ่มจึงรีบออกจากเรือนหลังเล็ก วิลาสินีทักทาย แต่ลูกชายตัดบทสั้น ๆ โชคดีว่าปู่เป็นคนให้ความสำคัญกับเวลา ถ้ามีธุระที่ไหนก็จะตื่นแต่เช้า ทำให้ ณ ตอนนี้เพิ่งจะผ่านแปดโมงมาห้านาทีก็ไม่พบปู่อยู่ในบ้านแล้ว ทางสะดวกสำหรับปัญวิชช์
“จะไปหาหมอ”
เขาบอกกับบอดี้การ์ดหนุ่มที่ควบตำแหน่งคนขับรถ อีกฝ่ายหันมาถามเชิงขอขยายความ
“ขับไปก่อน เดี๋ยวฉันบอกทางเอง”
เพราะปัญวิชช์เลือกคลินิคเล็ก ๆ แทนที่จะเป็นโรงพยาบาล กฤษรออยู่ที่รถ ส่วนตัวเขาก็เข้าไปให้หมอทำแผลพร้อมคำตำหนิ
“ทำไมไม่รีบมารักษาล่ะ คิดว่าเล็กน้อยเหรอ ดูสิแผลบวมขนาดนี้ ถ้าติดเชื้อเนื้อเน่าลามกินไปเรื่อย ๆ ถึงขึ้นตัดแขนได้เลยนะ”
หมอเป็นชายวัยหกสิบ ร่างผอม ถึงจะดุแต่แววตายังดูใจดี ปัญวิชช์ได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยนตอนถูกฉีดยากันบาดทะยักและทำแผลใหม่ หมอมือเบาชดเชยกับความจัดจ้านของฝีปากได้ แต่เขาก็ไม่โกรธหมอ ไม่โกรธใคร นึกขอบคุณคนยิงด้วยซ้ำ ที่ทำให้มีโอกาสดี ๆ กับนภัสรินทร์ ให้เขาได้ใช้ของร่วมกับเธอ พอคิดเช่นนี้ก็ราวกับคนโรคจิตจนขำตัวเอง
“ขำอะไร” หมอถาม
“เปล่าครับ”
“คิดว่าโดนยิงถาก ๆ แค่นี้ จะไม่เป็นไรเหรอ หรือคิดว่าต้องให้กระสุนตุงท้องค่อยมารักษาล่ะ”
คนเจ็บหุบยิ้ม ครั้นแล้วก็ตาโต “เอ๊ะ ผมว่าผมยังไม่ได้บอกหมอว่าถูกยิงมาเลยนะครับ”
“ฮื้อ” หมอสูงวัยส่ายหน้า ทำนองว่าเรื่องแค่นี้ เทียบกับประสบการณ์หมอที่ผ่านคนไข้มามากมายเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อย ปัญวิชช์จึงเลือกเงียบ เพราะไม่อยากโดนดุอีก
เขาได้ยามากินถุงใหญ่ กลับถึงบ้านโดยที่ไม่พูดเรื่องโดนยิง เขาบอกกับผู้เป็นแม่ว่าไม่สบาย พอกินข้าวที่เธอหาให้ก็หลับยาวด้วยฤทธิ์ยา
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันแม่แห่งชาติ 55 13:32:43
|
|
|
|