ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๔ : เสี่ยงสัตยาธิษฐาน
|
 |
+++ ง่า... ช่วงนี้ขอพักพี่โมกชั่วคราวนะคะ ขอจัดการเรื่องนี้ให้จบก่อน เดธไลน์ใกล้เข้ามาแย้ว >< เลยไม่ได้รีไรท์พี่โมกเลยซักกะนิด แง+++
บทที่ ๑๔ : เสี่ยงสัตยาธิษฐาน
วันต่อวันคืนต่อคืนที่ล่วงผ่านไปอย่างเชื่องช้า บัดนี้กระบวนเรือเพิ่งจะพ้นระแหงมาได้ไม่มากนัก เมื่อมาถึงหมู่บ้านหนึ่งนางข้าหลวงเห็นว่าแดดจัดจ้าเหมาะแก่การซักล้างผ้าและข้าวของยิ่ง จึงขอต่อพระนางจามเทวีให้หยุดเรือเพื่อทำกิจดังนั้นเสียก่อน พระนางจามเทวีเห็นว่าแดดจัด ทั้งยังหลายเพลาแล้วที่มิได้มีการซักล้างผ้าที่ผลัดแล้วจึงตกปากอนุญาต และชั่วอึดใจถัดมา นายท้ายเรือแต่ละลำจึงได้รับคำสั่งให้คัดท้ายเรือวาดเข้าหาหาดทรายริมแม่น้ำ
พระนางจามเทวีมองข้าราชบริพารที่นั่งจับกลุ่มกันซักผ้าอยู่ริมน้ำ บ้างก็ลงเล่นน้ำอย่างสำราญใจก็ยิ้ม การเดินทางที่แสนนานหากมีสิ่งที่จะพอช่วยให้คลายความเบื่อหน่ายลงบ้างก็เป็นการดีอยู่ไม่น้อย จอมนางยืนมองอยู่ครู่ก็เลี่ยงกลับขึ้นไปบนเรือ ปล่อยให้ข้าราชบริพารได้พักผ่อนและทำงานกันอย่างเต็มที่ เจ้าชายรามราชหันมาเห็นเข้าก็สั่งความสิงห์กับอศิระเพียงสั้นๆ แล้วก้าวยาวๆ ตามชายาไป
มือเรียวสอดเข้าไปหยิบม้วนแผ่นหนังออกมาจากใต้หมอนแล้วคลี่อ่านด้วยสีหน้าหนักใจไม่น้อย พระนางจามเทวีค่อยทรุดกายลงนั่งบนตั่งกว้างที่ใช้แทนเตียง นิ้วลากไล้ตามลายเส้นที่ปรากฏในแผ่นหนังอย่างช้าๆ ความที่ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังอ่านทำให้พระนางเธอไม่ทันได้ยินเสียงฝีเท้าของบดี ตราบจนเจ้าชายรามราชเข้ามาใกล้และเอ่ยทักพลางหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างจึงรู้ตัว
“อ่านสิ่งไรอยู่หรือ เจ้าดอกจำปาของพี่”
“อุ๊ย! เข้ามาแต่เมื่อใดเจ้าคะ” เสียงใสอุทานพลางหันมามองต้นเสียงตามสัญชาตญาณ เจ้าชายรามราชยิ้มอ่อนก่อนตอบว่า
“ตามมาครู่ใหญ่แล้ว ยืนอยู่เป็นนานสองนานน้องก็ไม่สนใจ จึงถือวิสาสะเข้ามานั่งด้วย” เจ้าชายหนุ่มเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชายาแล้วก็มุ่นคิ้วอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ! นี่มันแผนที่แม่น้ำระมิงค์ไม่ใช่รึ เอามาจากที่ใดกัน”
“ครูท่านให้มาคราวที่ออกจากลวปุระเจ้าค่ะ เพลานี้เราน่าจักอยู่ตรงนี้”
ปลายนิ้วเรียวชี้ลงยังตำแหน่งหนึ่ง หากสายตาจับนิ่งอยู่ที่หน้าคมเข้มของบดีที่ก้มมองตาม เจ้าชายรามราชเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ายุ่งยากใจไม่แพ้กัน จากตำแหน่งนั้นเหนือขึ้นไปไม่มาก คือปากวัง บริเวณที่แม่น้ำวังและแม่น้ำระมิงค์ไหลมาบรรจบ อันที่จริงก็เป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อย เพราะถ้าถึงปากวังก็หมายความว่าจุดหมายปลายทางอยู่อีกไม่ไกล แต่เพราะเรื่องเกาะแก่งแห่งสายแม่ระมิงค์ที่ขึ้นชื่อลือชาจึงทำให้ความปรีดาถูกทอนหายลงไปกว่าครึ่ง
“อุปสรรคกลางสายน้ำที่รอท่า” เจ้าชายรามราชบอกเสียงแผ่ว
“เจ้าค่ะ อีกไม่นานเราจักผ่านปากวังแล้ว ลำพังถ้าเป็นการเดินทางด้วยคนจำนวนน้อย น้องคงไม่ห่วงถึงเพียงนี้ แต่นี่...”
“ถ้าแก่งเล็กไม่น่าห่วง” เจ้าชายรามราชพูดพลางลูบคางอย่างครุ่นคิด ขณะที่พระนางจามเทวีทอดถอนใจนิดๆ
“เจ้าค่ะ ถ้ามีแค่นั้นน้องจักไม่ห่วง แก่งแม่ระมิงค์มีไม่น้อยกว่า ๒๐ แห่ง แก่งเล็กเราพอข้ามผ่านไปได้ ไม่เสียเพลากระไรนัก หลายวันก่อนน้องถามควิยะถึงเรื่องนี้ เขาบอกว่าถ้าเป็นหน้าแล้งน้ำจักนิ่งไม่เป็นแก่ง การเดินทางอยู่ข้างสะดวก หากเป็นหน้าน้ำ แก่งที่ร้ายๆ นั้นน้ำไหลแรงและเชี่ยวนัก การล่องลงมายังยาก ต้องคอยประคองให้ดี ตรงข้ามกับเราที่จักล่องขึ้นไป”
“ที่ว่าล่องลงมานั้น เขาล่องลงอย่างไร”
“ถ้าเป็นเรือใหญ่เขาใช้เชือกใหญ่ช่วยผูกแล้วผายเรือลงมาทีละน้อยเจ้าค่ะ แต่ของเราคงต้องกว้านขึ้น ขลุกขลักอยู่ใช่น้อย อีกทางหนึ่งที่เขาทำกันคือรอให้น้ำลดลงจนเห็นว่าพ้นน้ำร้ายเสียก่อนจึงค่อยขึ้นล่อง ไม่ว่าทางใดเราก็ต้องเสียเพลาอยู่นั่นเอง”
พระนางจามเทวีว่าแล้วก็นิ่งไป สายตาทอดจับที่แผนที่ทางน้ำบอกตำแหน่งเกาะแก่งทั้งหลายอีกคำรบ เจ้าชายรามราชเองก็พลอยเงียบไปด้วย พักใหญ่เจ้าชายรามราชจึงพูดขึ้นว่า
“เสียเพลารอน้ำลดลงก่อนจักดีกว่ากระมัง เพลานี้น้ำเหนือก็มากอยู่ ชะดีชะร้ายเร่งเดินทางเราจักเสียมากกว่าได้”
ผู้เป็นชายาทอดถอนใจยาว ใจหนึ่งนึกเห็นดีด้วยบดี แต่อีกใจหนึ่งก็ปรารถนาให้การเดินทางแสนยาวนานนี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว มิใช่เพื่อตัวของพระนางเอง แต่เพราะเล็งเห็นแล้วว่าข้าราชบริพารทั้งหลายเริ่มอ่อนล้ากับการเดินทางมากขึ้นทุกที ซ้ำบางคนก็เริ่มเจ็บไข้ หากทอดเพลาให้เนิ่นช้ามากกว่านี้ พระนางเธอเกรงว่าข้าราชบริพารจะพากันหมดกำลังใจเสียเปล่าๆ ที่สุดจึงบอกเจ้าชายรามราชด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงแต่เข้มแข็งอยู่ในทีว่า
“น้องเองก็ใคร่จักทำดังเจ้าพี่ว่า แต่ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้ากว่านี้ เราก็จักเสียมากกว่าได้เช่นกัน ในเมื่ออีกไม่ไกลก็จักลุถึงเมืองเหนือของครูท่านแล้ว เราจักทอดเพลาให้ยาวออกไปนั้นหาควรไม่ ตรงข้าม ทางใดที่จักทำให้เพลาย่นย่อลงมาได้ก็ต้องทำ น้องจักให้คนช่วยฟั่นเชือกเอาไว้เสียแต่เพลานี้ เมื่อถึงคราวต้องใช้จักได้ไม่ฉุกละหุกนัก”
“แต่เราต้องเสี่ยงภัย รอให้พ้นหน้าน้ำไปจักดีเสียกว่า”
“เรารอน้ำลดได้ แต่ใจของราษฎรที่เฝ้าคอยแม่เมืองนั้นรอได้ฤๅเจ้าคะ เราเป็นนายเขานั้นจริงแท้ แต่นายก็หาทำตามใจได้เสมอไปนี่เจ้าคะ”
“แล้วใจคนที่ห่วงเล่า น้องคิดถึงบ้างฤๅไม่”
เจ้าชายรามราชโพล่งถามอย่างน้อยใจยิ่ง ยิ่งนานวันหัวใจของพระนางเธอก็มีแต่คำว่าบ้านเมืองและราษฎร จนเจ้าชายรามราชอดคิดไม่ได้ว่า หัวใจดวงนั้นจะยังพอมีที่ว่างเหลือสำหรับตนเองและครอบครัวเล็กๆ อยู่อีกหรือไม่ พระนางจามเทวียินวาจานั้นก็สะอึกอึ้งไปชั่วขณะ ที่สุดก็ประณตมือกราบลงที่อกของบดี
“น้องขอษมาเถิดเจ้าพี่ ใช่น้องจักมองไม่เห็นความห่วงใยของเจ้าพี่ แต่เจ้าพี่ย่อมรู้ดีว่าคนที่เป็นกษัตริย์นั้น เรื่องของตนเองต้องไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องของบ้านเมืองและทวยราษฎร์ น้ำใจของเจ้าพี่นั้นน้องประจักษ์ชัดเสมอมา และน้องเองก็รับรู้มาตลอด บางคาบคราเจ้าพี่อาจดูราวกับว่าน้องนี้เมินเฉยไม่ใส่ใจ แต่น้องอยากให้เจ้าพี่รู้ หัวใจของจามเทวีจักดำรงคงอยู่มิได้เลย หากปราศจากน้ำอมฤตจากรามราชคอยประพรมให้ชุ่มชื้นชูใจ”
เจ้าชายรามราชฟังความนั้นแล้วก็ค่อยมีท่าทีอ่อนลง วงแขนแกร่งโอบรอบร่างบางให้ซุกอยู่กับอกกว้าง ก่อนโน้มหน้าลงจูบที่หน้าผากนางอย่างอ่อนโยน
“พี่เองก็ขอษมาที่ทำให้น้องไม่สบายใจ พี่ยินดีนักที่ยินน้องพูดเช่นนี้ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พี่ยังติดค้างอยู่ในใจ”
“สิ่งใดฤๅเจ้าคะ”
“หัวใจของพระแม่เจ้า ยังพอมีที่ว่างเหลือให้ตัวเองกับบดีและลูกน้อยที่กำลังจักเกิดนี้บ้างฤๅไม่”
คนถูกตั้งคำถามดันตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่ง แล้วหยัดกายขึ้นนั่งหลังตรง นัยน์ตาคมคู่นั้นฉายแสงอ่อนลง จอมนางยกมือแบลงตรงหน้าบดีพลางบอกว่า
“มาตรแม้นมือนี้คือหัวใจของจามเทวี ฝ่ามือคือส่วนที่จามเทวีอุทิศให้กับแผ่นดิน พระศาสนา และราษฎร นิ้วทั้งห้านั้น สามนิ้วแรกคือครูท่านทั้งสองกับบิดามารดาตลอดจนผู้มีพระคุณ ถัดมาคือพระสงฆ์ และข้าราชบริพารทั้งปวง สองนิ้วที่เหลือคือเจ้าพี่กับลูก”
“น้อยนักเมื่อเทียบกับแผ่นดิน”
“เพราะแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง” พระนางจามเทวีตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุน “แต่เจ้าพี่ดูให้ดี แม้แยกส่วนกันไป แต่ทั้งหมดก็ประกอบรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่นั่นเอง”
“แล้วส่วนของน้องเองเล่าอยู่ที่ใด ไม่เห็นพูดถึงเลย”
สิ้นคำถามนั้น มือเรียวยกขึ้นวางทาบอกเบื้องซ้ายของเจ้าชายรามราช รอยยิ้มแสนหวานปรากฏในดวงหน้างามยามตอบคำ
“น้องฝากไว้ในนี้เจ้าค่ะ ตัวของน้องจักมีเพลาคิดถึงตนเองสักกี่มากน้อย สู้ฝากไว้กับคนที่เขาเต็มใจจักดูแลมิดีกว่าหรือ”
เจ้าชายรามราชหัวเราะออกมาได้กับคำตอบนั้น แล้วยกมือวางทาบทับมือน้อยไว้มั่น กระบวนเจ้าคารมนี้ไม่มีใครในลวปุระอีกแล้วที่จะเสมอเหมือนเจ้ายอดดวงใจ และไม่มีนางใดอีกแล้วที่รามราชผู้นี้จะยอมพ่ายแพ้ด้วยความเต็มใจยิ่ง
การเดินทางสู่ปากวังมีอันต้องล่าช้าออกไปอีก เพราะกว่าที่นางข้าหลวงจะเก็บผ้าและข้าวของบรรจุลงหีบเรียบร้อยก็ตกช่วงสายของวันใหม่ ซ้ำพอพ้นปากวังได้ไม่เท่าไรก็จวนเที่ยงเต็มที กระบวนเรือก็ต้องแวะพักกันอีกคำรบ กว่าจะเริ่มต้นเดินทางจริงจังก็ตะวันชายจากกลางฟ้าไปแล้ว
ร่างสูงยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่หัวเรือ ทอดสายตามองลำน้ำแม่ระมิงค์ที่ทอดตัวคดเคี้ยวอ้อมไปตามแนวตลิ่ง แล้วหายลับไปในพุ่มพฤกษ์และทิวเขาที่แลเห็นอยู่ตรงมุมโค้งเบื้องหน้า อากาศช่วงบ่ายที่ร้อนอบอ้าวผิดไปจากทุกวัน ทำให้เจ้าตัวต้องแหงนเงยมองฟ้าอย่างกังวล แม้เพลานี้เบื้องบนจะยังระบายสีฟ้าใสอย่างงดงามก็ตามที แต่นั่นก็ไม่ทำให้เจ้าชายรามราชสบายใจได้สักกี่มากน้อย หากเจ้าตัวพยายามปัดไปว่าตนคงร้อนจนฟุ้งซ่านไปเองมากกว่า เพราะบัดนี้ก็ล่วงเข้ากลางเดือนสิบแล้ว ถือเป็นปลายฝนเต็มที เรื่องพายุปลายฤดูเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง หรือถ้าจะมีก็คงเป็นเพียงฝนฟ้าคะนองตามปกติเท่านั้น
เจ้าชายรามราชกำลังหมุนตัวกลับจะก้าวเข้าไปด้านใน พลันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อจู่ๆ แสงแดดจัดจ้าก็กลับราฤทธิ์ร้อนลงโดยปัจจุบันทันด่วน พร้อมกับกระแสลมเย็นพัดผ่านจากทางบูรพาทิศไปสู่ประจิมทิศ ที่หอบพาละไอเย็นชื้นมาด้วย อธิราชหนุ่มเหลียวมองทางต้นลมแล้วก็ตกตะลึง เลือดในกายคล้ายจับตัวกันเป็นก้อนแข็งเมื่อเห็นผืนฟ้าครามเมื่อครู่ ถูกเมฆดำก้อนใหญ่แผ่เข้าคลุมอย่างรวดเร็ว แสงวิชชุแลบแปลบปลาบเห็นอยู่ไกลๆ เสียงไม้ไร่ที่หักโผงผางลั่นมาจากในป่าด้านตะวันออก ปลุกให้เจ้าชายรามราชตื่นจากอาการตกตะลึง เร่งกวาดสายตามองหาทางหนีทีล่อย่างรวดเร็ว ครั้นเห็นผาสูงทางฝั่งด้านตะวันตกมีปากถ้ำใหญ่เห็นได้ชัดอยู่สามถ้ำ จึงร้องสั่งให้คัดท้ายเรือเบนเข้าฝั่งทันใด เมฆดำสนิทเช่นนี้บ่งชัดว่าต้องเกิดพายุใหญ่เป็นแม่นมั่น หากอยู่ในเมืองคงไม่น่ากลัวเท่าไรนัก แต่นี่อยู่กลางแม่น้ำ ซ้ำยังอยู่ท่ามกลางพงไพร อันตรายที่จะเกิดย่อมมีมากขึ้นเป็นเท่าทวี
นายท้ายเรือแต่ละลำเร่งทำตามคำสั่งของเจ้าชายรามราชอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครถามให้มากความ ด้วยต่างมองเห็นเค้าลางของพายุร้ายกันทั่วทุกคน การเคลื่อนย้ายคนและเรือขึ้นสู่ฝั่งจึงเป็นไปด้วยความรีบเร่งแข่งกับเพลา เจ้าชายรามราชสั่งให้ควิยะพาสุกกทันตะฤๅษี และสั่งเกษวดีให้เร่งพาพระนางจามเทวีหลบเข้าที่กำบังตามธรรมชาตินั้นก่อน ส่วนคนที่เหลือนั้นก็พากันวิ่งเข้าที่กำบังโดยมิพักต้องรอฟังคำสั่งแต่อย่างใด ข้างเจ้าชายรามราชพอสั่งสิ้นกระแสความแล้ว เจ้าตัวก็วิ่งฝ่าผงคลีที่ปลิวตลบตามแรงลมเข้าไปช่วยทหารฉุดลากเรือขึ้นมาให้พ้นน้ำ เพลานี้นอกจากเสียงตะโกนโหวกเหวกของฝ่ายชายแล้ว ก็มีเพียงเสียงลมพายุที่ฟังคล้ายเสียงอสูรร้ายครางกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณ ต้นไม้ฝั่งน้ำข้างกระโน้นเอนลู่ตามแรงลมจนดูราวกับว่าจะถูกถอนออกมาก็ไม่ปาน เมฆดำแผ่ขยายปกคลุมผืนฟ้าอย่างรวดเร็วจนทั่วบริเวณนั้นมืดครึ้ม เมื่อเรือลำสุดท้ายถูกลากขึ้นมาบนฝั่งและจัดการผูกไว้แน่นหนามิให้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำที่ม้วนขึ้นมาบนฝั่งแล้ว สายฝนจึงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ส.ค. 55 20:52:40
|
|
|
|