17
“เชิญ”
เขาพูดซ้ำพร้อมผายมือ เบี่ยงตัวเป็นสัญลักษณ์เปิดทางให้ นภัสรินทร์รู้ว่าเขากำลังขู่ แต่เธอไม่ได้กลัวลนลาน เดินไปขึ้นรถและพบว่าบนรถก็มีคนขับรออยู่ก่อนแล้ว ชายคนที่พูดเดินตามมานั่งข้าง อีกคนเข้าไปนั่งข้างคนขับ
รถแล่นมาเทียบบริเวณประตูเพื่อรับบัตรใบเสร็จค่าจอดรถ
“ขอความกรุณาเงียบด้วย” ชายที่นั่งข้างออกคำสั่งเสียงเข้ม นภัสรินทร์ไม่เปิดปาก เธอเองก็ไม่อยากเสี่ยงกับชายฉกรรจ์สามคนนี้อยู่แล้ว
เธอคิดกำลังหาทางหนีทีไล่และพยายามตั้งสติเพื่อตรองสถานการณ์ และคิดว่าใครกันที่อยากคุยด้วยถึงขนาดต้องให้ชายฉกรรจ์สามคนมาพาตัวไปเช่นนี้ ลำพังเธอกับผู้ชายคนเดียวก็ไม่สามารถต่อต้านได้อยู่แล้ว แต่อย่างน้อยการเข้าไปในอาณาเขตที่สามารถสืบหาการพาตัวเธอมาได้แบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เรื่องลับสุดยอดเท่าไหร่
รถแล่นออกนอกชุมชนเมือง ถนนเริ่มร่างยวดยาน ยิ่งกว่านั้นยังร้างบ้านเรือน สองฝั่งถนนมีพื้นที่ซึ่งยังรกร้าง ใจเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ เธอตัดสินใจถาม
“ตกลงว่าจะพาฉันไปพบใคร”
ภายในห้องโดยสารเงียบกริบ นภัสรินทร์แทบจะได้ยินเสียงลมหายใจตนเอง คนทั้งหมดแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากคำของเธอ
“บอกให้รู้หน่อยไม่ได้เหรอ อย่างน้อยฉันจะได้เตรียมใจไว้บ้าง”
“ผมไม่ได้มีหน้าที่ตอบคำถาม” ชายที่นั่งข้างเธอพูดโพล่ง หญิงสาวสะดุ้งเพราะไม่มีการเคลื่อนไหวของเขาบอกให้รู้มาก่อนเลย
“แต่บอกชื่อ...”
“เดี๋ยวไปถึงคุณก็รู้เอง” เขาตอบห้วน “ทางที่ดีที่สุดคือกรุณาเงียบแล้วรอเวลานั้นดีกว่า”
นภัสรินทร์จำต้องปิดปากสนิท เมื่อรู้แล้วว่าความพยายามไม่ได้ผล เหลือก็แค่สติและความคิดอ่านของตนเองเท่านั้นจะประมวลว่าใครกันที่ทำแบบนี้กับเธอ
คนที่เกลียดเธอ คนที่เสียผลประโยชน์จากการมีเธอ คู่แข่งทางธุรกิจ พอนึกดูแล้วก็จนใจ แทบจะเรียกได้ว่าเกือบทุกหย่อมหญ้ากระมังที่ไม่ชอบเธอ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่าเธอทำ และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอำนาจสั่งคนได้ขนาดนี้ เธอนิ่ง...
หรือจะเป็นเมธี ชายคนนั้นมีความเป็นไปได้ที่สุด เธอจำสีหน้าโมโหของเขาได้ดีเมื่อถูกภรรยาจับได้ และจินตนาการได้ว่าเขาจะกราดเกรี้ยวเพียงใดหากรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของเธอ
ถ้าใช่...จะทำยังไงดีนะ
ลมหายใจหญิงสาวตีบตัน มือเย็นเฉียบจนต้องกำเข้าออกเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ความหวาดหวั่นคลี่แผ่ปกคลุมตัว ถ้าหากยังพอจะเจรจากันได้ก็คงดี แต่ถ้าไม่...เธอหลับตา ความน่ากลัวไม่ได้อยู่ที่บุคคลเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความไม่รู้และการรอคอยอีกด้วย นี่กระมังความรู้สึกของนักโทษประหาร
รถเลี้ยวเข้าไปยังเขตของหมู่บ้าน คนขับทำเพียงลดกระจกลงและชะลอความเร็ว รปภ.ที่เฝ้าอยู่ก็ยกรั้วขึ้นให้อัตโนมัติ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดได้เตรียมการไว้แล้ว นภัสรินทร์พยายามมองฝ่าความมืด ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่หรูหราเพราะมีระยะห่างระหว่างตัวบ้านซึ่งค่อนข้างมีเนื้อที่ กลางหมู่บ้านทำเป็นลำคลองเล็ก ๆ คดเคี้ยวให้น้ำไหลผ่านและเป็นทิวทัศน์หย่อนใจ รถแล่นไปจนกระทั่งหยุดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
ประตูรถเปิดออก ชายทั้งหมดลงไปยืนรอ นภัสรินทร์สูดลมหายใจลึก จะคิดเสียใจในการกระทำของตนเองก็คงไม่อาจแก้อะไรได้แล้ว เธอก้าวตามเข้าไปแต่โดยดี
ผู้มาเยือนไม่ได้มีเวลาได้สำรวจสิ่งใด ๆ ในบ้านหลังนี้ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหรือความสวยงาม เธอก้าวตามชายคนนั้นไป และเมื่อถึงห้องรับแขกเขาก็หยุด เช่นเดียวกับนภัสรินทร์ที่ตะลึง
ทรงพล
หญิงสาวทั้งตกใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน ที่แท้คนที่ต้องการพบกับเธอเป็นอดีตว่าที่พ่อสามี บุคคลหนึ่งผู้มีส่วนเปลี่ยนแปลงชีวิต อดีตรัฐมนตรีนั่งอยู่ที่โซฟาตัวกลาง ไขว่ห้างด้วยกิริยาสบาย ๆ หากแฝงด้วยอำนาจ ว่าสามารถจะควบคุมและออกคำสั่งใด ๆ ก็ได้ ถ้าต้องการ
“นั่งก่อนสิ ตกใจมากหรือเปล่าที่ให้คนไปเชิญมากระทันหันแบบนี้”
น้ำเสียงไม่บอกทั้งความเป็นมิตรและศัตรู นภัสรินทร์เคลื่อนกายไปนั่ง รับรู้อาการกลับมาเต้นของหัวใจอีกครั้งด้วยความโล่งอก เหมือนยกก้อนเหล็กออกไปจากบ่า
“ไม่ตกใจเท่าแปลกใจหรอกค่ะ ถ้าท่านอยากเจอรินทำไมไม่บอกกันดี ๆ ล่ะคะ ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้”
หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ อย่างน้อยก็ยังมีความเคารพลึก ๆ อยู่ในใจ
“ขอโทษด้วยแล้วกัน ท่าทางเธอสบายดีนะ ดูแล้วหน้าที่การงานก็คงไปได้สวย”
“ก็เรื่อย ๆ น่ะค่ะ” เธอตอบ
“อืม...มาเริ่มเรื่องกันดีกว่า ฉันมีเวลาไม่มากนัก ฉันได้ยินว่าเธอยื่นซองประมูลโครงการตัดถนนใหม่ เธออยากได้งานนี้ไหม”
คนฟังกะพริบตา เริ่มเข้าใจจุดประสงค์ของการ ‘เชิญ’ มาพูดคุยในครั้งนี้แล้ว “ท่านหมายความว่ายังไงคะ ฟังดูคล้ายว่ากำลังยื่นข้อเสนอ เป็นเรื่องที่รินไม่ค่อยชอบเลยค่ะ”
ทรงพลเหยียดยิ้ม “ใครว่าล่ะ ฉันว่านี่เป็นเรื่องที่เธอชอบและถนัดเลยต่างหาก ก็งานที่ได้มาทุกวันนี้ใช่วิธีหนี้ไม่ใช่เหรอ หรือว่าฉันเข้าใจผิด”
นภัสรินทร์รู้สึกเหมือนโดนเผาทั้งร่าง แววตาเย้ยหยันและคำดูแคลนมาพร้อมกัน แรกทีเดียวเธอยังมีความรู้สึกเกรงใจ อย่างน้อยก็เคยได้รับการเอ็นดูจึงไม่ถือโทษเรื่องการขู่แกมบังคับให้มาคุย แต่เมื่อได้รับกิริยาแบบนี้เป็นการตอบแทน มารยาทที่ถือไว้ก็ไม่ต้องจำเป็นเช่นกัน
“ก็ไม่ผิดหรอกค่ะเพียงแต่ปกติแล้วคนที่ดิฉันจะแลกด้วยเขาไม่ค่อยปฏิบัติด้วยแบบนี้”
คราวนี้เป็นทรงพลบ้างที่ร้อน ชายชราหน้าบึ้ง “เอาเถอะ จะแบบไหนก็เหมือนกัน ข้อเสนอของฉันคือ ฉันอยากให้เธอเลิกยุ่งเกี่ยวกับนายวิชหลานฉัน”
นภัสรินทร์เลิกคิ้ว และนิ่ง “ดิฉันว่าท่านมาบอกคนผิดแล้วล่ะค่ะ ท่านน่าจะบอกหลานชายของท่านน่าจะถูกกว่านะคะ”
“เธอต้องการเท่าไหร่”
หญิงสาวกำมือที่วางบนตักแน่น กลายเป็นยิ่งเดินหน้ายิ่งถูกแทงลึก “ดิฉันไม่สนใจเงินเท่ากับงานหรอกค่ะ”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าฉันให้เธอได้ทั้งสองอย่างล่ะ น่าสนใจเพิ่มขึ้นไหม” ทรงพลยิ้มหยัน เมื่อเห็นอาการนิ่งของคู่สนทนา เขาตีความว่าเธอคงกำลังใคร่ครวญ “เพียงแค่แลกกับการที่เธอต้องเลิกยุ่งเลิกหว่านเสน่ห์กับหลานชายฉัน เพราะฉันไม่ต้องการผู้หญิงอย่างเธอมาร่วมวงศ์ตระกูลด้วย คงไม่ว่านะถ้าฉันจะบอกตรง ๆ”
ดั่งถูกราดด้วยน้ำกรด ทุกคำเชือดเฉือนจนหัวใจเหวอะหวะ มีหรือนภัสรินทร์จะไม่โกรธ แต่เธอระงับอารมณ์ สะกดตัวเองไม่ให้ระเบิด ยิ้มเยือกเย็นตอบ
“ดิฉันคิดว่าถ้าตัวเองอยากได้งานประมูลครั้งนี้จริง ๆ แค่บอกท่าน สส.ปัญวิชช์ จะได้มาง่ายกว่านะคะ แถมไม่ต้องพึ่งบารมีท่านแล้วก็ไม่ต้องแลกกับอะไรด้วย แต่สำหรับดิฉันคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอ ไม่ต้องพึ่งบารมีใครค่ะ”
“อย่ามาทำยะโสใส่ฉันนะนภัสรินทร์ ตอนปรเมศเธอก็ทำแบบนี้ไม่ใช่หรือไง”
นภัสรินทร์จ้องตาทรงพล ทำไมต้องพูดถึงปรเมศตอนนี้ ขุดคนที่ตายขึ้นมาเพื่ออะไร หรือจะให้เธอรู้สึกสำนึกกับสิ่งที่ทำกับลูกชายของเขาตามที่เข้าใจ มือของเธอชาไปหมดแล้ว
“ที่ว่าถนัดน่ะ หมายถึงว่าดิฉันเป็นฝ่ายเอาไปให้เพื่อแลกมาค่ะ ไม่เคยต้องเดินหนีแบบนี้”
ทรงพลหน้าแดงจัด ขึ้นเสียง “นภัสรินทร์!”
นภัสรินทร์ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว “ท่านเองต่างหากที่ควรจะบอกท่าน สส. ให้เลิกยุ่งวุ่นวายกับดิฉันซะที ท่านเองก็น่าจะรู้ว่าใครวิ่งตามใคร ดิฉันจะขอบคุณท่านมากถ้าท่านทำได้สำเร็จ”
เธอลุกขึ้นยืน ทรงพลไม่ยอม
“อวดเก่งนักนะ! น้ำหน้าอย่างเธอถ้าไม่ได้ใช้ความสวยแลกมาเนี่ย จะมีอะไรได้บ้าง!”
ขอบตาร้อนผะผ่าว นภัสรินทร์เหลือบมอง “แล้วถ้าท่านไม่ต้องมาต่อรองกับดิฉัน จะสามารถห้ามหลานชายตัวเองได้ไหมคะ ขอบคุณสำหรับเรื่องที่คุยกันวันนี้ค่ะ”
แล้วเธอก็เดินหนีออกมา ทรงพลเม้มปากแน่น ทิ้งตัวลงนั่ง ระงับอาการโกรธกราดเกรี้ยว โดนผู้หญิงรุ่นหลานโต้ฝีปากด้วยความอวดดี ทำเอาสั่นไปทั้งร่าง ไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับข้อเสนอ แต่จี้ได้โดนจุดว่าเขาไม่สามารถห้ามปัญวิชช์ได้ ปัญหาอยู่ตรงนั้น
นภัสรินทร์ก้าวยาว ๆ ออกมา คนขับรถลุกยืน เขามองลังเลเมื่อหญิงสาวเดินจ้ำออกมา เห็นสัญลักษณ์โบกมือจากผู้เป็นนายจึงเดินตาม และขับรถมาส่งยังที่ซึ่งรับเธอมา
นภัสรินทร์กลับมาอยู่ในยานพาหนะอีกครั้ง คราวนี้เป็นรถของเธอเอง โลกซึ่งเหลือเพียงเธอลำพัง เธอต้องรวบรวมพละกำลังอยู่หลายนาทีกว่าจะขับเคลื่อนรถออกไปได้ เสมือนว่าเมื่อครู่ได้ถูกริดรอนแรงกายแรงใจไปจนหมดสิ้น
‘แลกกับการเลิกหว่านเสน่ห์ใส่หลานชายของฉัน...’
คำดูถูกของทรงพลทำให้เธอสมเพชตัวเอง เธอไม่คิดจะหลอกใช้ปัญวิชช์เพื่อประโยชน์ของตัวเองแม้แต่น้อย ทั้งที่รู้ว่าเพียงแค่เอ่ยปากชายหนุ่มก็พร้อมจะทำให้ถวายหัว เธอยังไม่เลือกทำ แต่คนเป็นปู่ไม่คิดเช่นนั้น
ถึงจะปากกล้าโต้ตอบไปอย่างหยิ่งทะนง แต่ในใจนภัสรินทร์รวดร้าว ภาพผู้หญิงเจ้าเล่ห์มารยาห่อตัวเธอจนไม่เหลือช่องให้ใครเข้าถึง ทรงพลไม่มีวันรู้ว่าทำไมเธอถึงเลือกไม่เป็นพยานชี้ตัววีรญา ก็เพราะปกป้องลูกชายของเขานั่นเอง ผลก็คือเขาปิดประตูใส่หน้าเธอ เอาสีมาป้ายอย่างรังเกียจ หญิงสาวขับรถ...น้ำตารื้น เธอสูญเสียความรักและศรัทธาหมดสิ้น เหลือไว้แต่ความลับที่จำเป็นต้องแบกไว้ไม่ให้ใครรู้ มันกดอยู่ที่สองบ่า และไม่รู้ว่าจะต้องแบกไว้อีกนานเท่าไหร่
บางที...อาจชั่วชีวิต
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ส.ค. 55 10:19:28
|
|
|
|