ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ท้องฟ้าที่กำลังอึมครึมพาให้บรรยากาศรอบบ้านดูเงียบเหงา แม้ว่าจะเป็นฤดูที่น่าเบื่อสำหรับใครหลายคน แต่ทว่า... สายฝนเป็นสิ่งที่อมีนาหลงใหลมากที่สุด อากาศชุ่มฉ่ำ นั่งฟังเสียงฝนหล่นโปรยปรายกระทบหลังคา อวลกลิ่นของต้นไม้ใบหญ้ารอบๆ บ้านหอมระรวยมาตามลม เท่านี้ก็ไม่ต้องไขว่คว้าหาความสุขที่ไหนอีกแล้ว
บ้านหลังน้อยยังคงรูปลักษณ์แบบไทยเอาไว้ ตัวบ้านมีสองชั้น ชั้นบนมีห้องนอนสามห้อง ทุกๆ ห้องจะมีระเบียงยื่นออกไปด้านนอก ชั้นล่างมีโถงกว้างคั่นกลางระหว่างห้องรับแขกและห้องครัวซึ่งมีประตูหลังทะลุออกไปเป็นสวน ปลูกต้นไม้ใบหญ้าหลากหลายชนิดไว้อย่างร่มรื่น
จากประตูห้องโถงออกไปเป็นทางแคบๆ ปูด้วยหินกาบ เชื่อมไปยังประตูหลังของร้านอาหาร บ้านมณฑา ซึ่งยังคงโครงสร้างแบบไทยไว้เช่นกัน ร้านนี้เปิดกิจการมาร่วมสิบปี แต่เดิมพื้นที่ตรงนี้เป็นสวนผลไม้ เมื่อทางการมีโครงการสร้างถนนตัดผ่าน คุณมณฑา ผู้เป็นเจ้าของบ้านจึงมองหาลู่ทางทำมาหากินโดยอาศัยประโยชน์จากการที่มีรถน้อยใหญ่สัญจรไปมา ท่านจึงใช้เงินที่ได้รับจากการขายสวนมาลงทุนเปิดร้านอาหาร ตกแต่งร้านแบบไทย ก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ไม่แตกต่างจากตัวบ้านซึ่งอยู่ถัดไปด้านหลังมากนัก ที่แตกต่างอย่างเดียวคือประตูหน้าบ้านยังคงเป็นประตูไม้แบบดั้งเดิม ส่วนประตูหน้าร้านอาหารเป็นประตูกระจกเลื่อน ล้อมรอบด้วยรั้วดอกโมกส่งกลิ่นหอมกั้นเขตไว้เป็นพื้นที่จอดรถสำหรับลูกค้า
แม้ปัจจุบัน คุณมณฑาจะส่งทอดกิจการให้ลูกสะใภ้ดูแลอย่างเต็มตัว แต่วันไหนที่ลูกค้าเข้าร้านมาก หญิงชราก็ยังคงช่วยงานในครัวบ้าง ด้วยบรรยากาศแบบไทยๆ แวดล้อมด้วยแมกไม้ร่มรื่นนานาพันธุ์ ประกอบกับอาหารไทยระดับรสมือที่สืบทอดมาจากต้นตำรับอย่างคุณมณฑาซึ่งถ่ายทอดให้กับลูกสะใภ้ ส่งผลให้ลูกค้าขาประจำและขาจรต่างก็ติดใจ ภายในร้านมีลูกจ้างสามคน คอยรับออเดอร์ เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน และเก็บโต๊ะ รวมถึงเปิดร้านจนกระทั่งเก็บร้าน มีอาหารให้สามมื้อ ที่พักฟรี คุณมณฑาปลูกเรือนให้อยู่ที่หลังบ้าน เวลาเปิดร้านคือเช้าตรู่จนกระทั่งเย็น บางวันขายดีหน่อยก็จะเลื่อนไปปิดตอนค่ำๆ อย่างเช่นวันนี้
มีน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทำไมไม่เปิดไฟล่ะลูก ผู้เป็นแม่ร้องเตือนจากด้านล่าง เมื่อมองไปเห็นบุตรสาวนั่งจดจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กอย่างเคร่งเครียดบนชานระเบียงชั้นสองของบ้าน ซึ่งเป็นมุมโปรดที่มักจะนั่งเล่น ทำการบ้าน อ่านหนังสือ และมุมนี้สามารถมองเห็นฝั่งร้านอาหารได้ชัดเจน เวลาที่มีลูกค้าเยอะ เธอจะได้รีบไปช่วยแม่ได้
แปบนึงจ้ะแม่ อมีนาตอบผ่านๆ สายตายังไม่ละจากหน้าจอโน๊ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเตี้ย เอกสารบางส่วนที่ใช้ในการทำรายงานวางอยู่ถัดจากโน๊ตบุ๊กถูกทับไว้กันลมพัดด้วยที่ทับกระดาษรูปนาฬิกาทราย
ยังจะแปบนึงอะไรอีก เดี๋ยวสายตาเสียนะ สุ้มเสียงเป็นเชิงเอ็ดเล็กน้อย แต่เสียงนั้นยังไม่เข้าหูบุตรสาวที่ทำท่าเหมือนนึกอะไรได้ จึงลุกพรวดพราดยืนเท้าแขนตรงริมระเบียงพร้อมกับร้องถามแม่
แม่... แล้วย่าล่ะ
ก็ไปวัดดอนเจดีย์กับยายหวัณไง ย่าบอกไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่ มารดาตอบ
อ้าว! แล้วทำไมย่าไม่เรียกมีนล่ะ มีนอุตส่าห์บอกไว้แล้วว่าถ้าจะไปให้บอกด้วย น้ำเสียงของผู้พูดผิดหวังเสียเต็มประดา
ดูทำเสียงเข้าสิ ก็ย่าเห็นหนูทำการบ้านอยู่ ไว้คราวหน้ามีเวลาว่างๆ ค่อยไปก็ได้ มีน ทำหูทวนลมนะ แม่บอกให้เปิดไฟยังไม่เปิดอีก เดี๋ยวคอยดูเถอะต้องมานั่งตัดแว่นใส่เป็นคนแก่ ผู้เป็นแม่ทวนเรื่องเดิม
แล้วใครจะยอมเป็นคนแก่ มีนใส่คอนแทคเลนส์ก็ได้ เด็กสาวตอบยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือข้างหนึ่งไปกดเปิดสวิตซ์ แสงไฟสีทองจากซุ้มโคมไฟที่ประดับอยู่ตามริมระเบียงนั่นล่ะ คือแสงสว่างที่หญิงสาวพึ่งพา แม้ว่าจะมีโคมไฟตั้งโต๊ะ แต่หญิงสาวก็ชอบแสงสว่างสีทองจากซุ้มโคมไฟมากกว่า
อมีนารักต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ถอดแบบผู้เป็นย่ามาไม่ผิดเพี้ยน ตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนกระทั่งตอนนี้อายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว เรียกว่าโตมาก็มองเห็นแต่สีเขียวขจีของต้นไม้ก็เป็นได้ แม้แต่เลือกเรียนก็ยังเรียนคณะพฤกษศาสตร์ เอกวิจัยพันธุ์พืชเป็นหลัก
กลิ่นอะไรนะ หอมชื่นใจจัง
หญิงสาวรำพันเบาๆ เมื่อได้กลิ่นดอกไม้หอมแปลกจมูกรวยริน พลางมองหาต้นไม้เจ้าของกลิ่น แม้รอบบ้านมีต้นไม้หลายชนิด แต่หญิงสาวกลับไม่คุ้นกับกลิ่นนี้
กลิ่นโชยแรงขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวจึงรู้ว่ากลิ่นนั้นคือ...
เอ๊ะ! กลิ่นดอกแก้วนี่ หรือว่าย่าจะเพิ่งเอามาปลูก... หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเอง
แต่... ไม่น่าใช่ เพราะคุณย่าไม่ชอบดอกแก้ว หรือว่าบ้านยายหวัณปลูกไว้ แล้วก็คิดเอง ตอบเองเสร็จสรรพ ไม่ทันรู้ตัว ความง่วงงุนก็ครอบงำ เปลือกตางามปิดลงช้าๆ ก่อนจะฟุบหน้าหลับลงบนโต๊ะ หารู้ไม่ว่ากลิ่นหอมละมุนเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้ง
จากคุณ |
:
วันฝัน วันซันเดย์
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ส.ค. 55 18:10:00
|
|
|
|