Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่สอง : กลิ่นคาวของความตาย ติดต่อทีมงาน

เรื่องสั้นชุด Love Like Blood - รักรสเลือด

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12451148/W12451148.html

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12462582/W12462582.html

------------------------

                                   เลือดหยดที่สอง

                                กลิ่นคาวของความตาย


                                          ดวงตา

เชไม่รู้ว่าการแอบเหล่หญิงในงานศพ ถือว่าเป็นบาปหรือไม่

แต่ดวงตาอันแสนเศร้าบนใบหน้าของเธอผู้นั้น ทำให้เขาอดมองไม่ได้จริงๆ

“จ้องอะไรวะ ตาไม่กระพริบเชียว” เต้เอนตัวเข้ามากระซิบพร้อมกับทอดตามองไปตามสายตาของเพื่อนที่มุมศาลาสวดศพ “ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า”

“เออ ไม่มีอะไรหรอก” เชหันมาตอบ เขารู้จักนิสัยเจ้าชู้ของเต้ดี หากเต้พบเห็นหญิงสาวหน้าตาเข้าทีเมื่อไหร่ เป็นได้ปรี่เข้าไปหาเหมือนแม่เหล็กที่ถูกดูด น่าแปลกก็ตรงที่ผู้หญิงเหล่านั้นมักหลงเสน่ห์อันแพรวพราวของเต้ด้วยนี่สิ สำหรับหญิงสาวคนนี้ เชคิดว่าเป็นโชคดีแล้วที่เต้ไม่สังเกตเห็นเธอ

“ไม่มีอะไรแล้วแกมองทำไมฮะ?” เต้ยังไม่หายสงสัย เพราะล่วงรู้ว่าหากเพื่อนมีอาการเช่นนี้ที่ไหน ย่อมหมายถึงมีสาวงามอยู่ที่นั่น

“ก็มองเรื่อยเปื่อยไง” เชตอบอย่างกำปั้นทุบดิน

เต้กวาดตามองไปทางมุมศาลาอีกหลายรอบเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เพื่อนของเขานั่งจ้องมองเมื่อครู่ แต่เขาก็ไม่พบอะไร ในบรรดาผู้ที่นั่งฟังการสวดอภิธรรมที่มุมศาลา มีหญิงสาวที่หน้าตาพอดูดีบ้างเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เธอมากับลูกและสามีซึ่งไม่น่าจะเป็นจุดสนใจของเชได้เลย

เต้ยกมือเกาหัวแกรกแล้วทำเป็นตั้งใจฟังบทสวด เชเองก็ทำเช่นนั้น แต่พวกเขาไม่มีใครที่รับฟังการสวดอย่างจริงจัง ในขณะที่เต้ภาวนาให้พิธีสวดจบลงเร็วๆ เพราะเขาอยากออกไปเที่ยวชมผีเสื้อราตรีของจังหวัดมุกดาหารใจจะขาด เชก็กำลังภาวนาให้การสวดจบลงโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เพราะเขาอยากเที่ยว แต่เป็นเพราะอยากทำความรู้จักกับหญิงสาวผู้นั่งอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนเก้าอี้ตัวสุดท้าย มุมซ้ายของศาลา คนนั้น

เขาไม่สามารถสลัดแววตาแห่งความเศร้าออกไปจากจิตใจและไม่รู้ว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า แต่เชรู้สึกว่าเธอจ้องมองมาทางเขาตลอดเวลา

พิธีสวดจบลงตามที่ชายหนุ่มต้องการในอีกสิบนาทีต่อมา เขารีบลุกขึ้นยืนเพื่อไปทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟอาหารร่วมกับญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิต(เชได้ยินว่าผู้เสียชีวิตเป็นครูสอนวิชาพละที่ถูกฆาตกรรมในโรงแรมม่านรูดในจังหวัดสุพรรณบุรี)ซึ่งไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดใดกับเขาเลย เชไม่เคยรู้จักใครที่นี่และทุกคนที่นี่ก็ไม่มีใครรู้จักเขา แต่พวกเขารู้จักเต้ พวกเขาเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของเต้และที่เชมาที่นี่ก็เป็นเพราะอยากหนีความวุ่นวายของเมืองกรุงมาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ของต่างจังหวัด ซึ่งเขาอดผิดหวังไม่ได้ว่าในยุคปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีได้เข้ารบกวนธรรมชาติจนเขาแทบแยกแยะไม่ออกแล้วว่าอากาศของต่างจังหวัดแตกต่างจากอากาศของกรุงเทพฯ อย่างไร

เมื่อถาดสแตนเลสที่วางเต็มด้วยถ้วยโฟมบรรจุกระเพาะปลามาอยู่ในมือ เชคิดว่าโอกาสในการทำความรู้จักหญิงสาวนัยน์ตาโศกมาถึงแล้ว เขาจะยกกระเพาะปลาไปส่งให้เธอเป็นคนแรก แต่พอหมุนตัวกลับจะก้าวเท้าไปทางมุมศาลา เก้าอี้พลาสติกสีแดงตัวนั้นกลับว่างเปล่าเสียแล้ว

แต่เชยังไม่ละความพยายาม เขาเดินแจกถ้วยโฟมให้แขกที่ยังนั่งคุยกันอยู่ในศาลาพลางสอดส่ายสายตาผ่านเลนส์แว่นหาเธอผู้นั้น เขาคิดในแง่ดีว่าบางทีเธออาจแค่ไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวเธอก็กลับมา จนเมื่อถ้วยโฟมบนถาดหมดลงแล้วนั่นเอง เชจึงได้ยอมรับความจริงว่าหญิงสาวนัยน์ตาโศกกลับบ้านของเธอไปแล้ว เขาคงไม่ได้พบเธออีก เว้นแต่เธอจะมางานศพในคืนวันพรุ่งนี้

เขาเกิดความอยากรู้อย่างประหลาดว่าเธอเป็นใคร ทำไมแววตาของเธอถึงเศร้าปานนั้น?

หรืออาจเป็นเพราะนิสัยของเขากระมังที่ชอบเพ้อฝันเรื่อยเปื่อย?

“เฮ้ย ไอ้เช เดี๋ยวไปผับกันมั้ย น้องฉันบอกว่าแถวนี้มีเด็ดสุดๆ อยู่ที่หนึ่ง” เต้เดินเข้ามาตบไหล่พูดเมื่อเชยืนจมอยู่ในความคิดของตัวเองที่โต๊ะตั้งหม้อกระเพาะปลา

เชหมุนตัวกลับไปมอง ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้านอกจากเต้แล้ว ก็มีเด็กวัยรุ่นผู้โกรกผมสีทองทั้งศีรษะยืนยิ้มฟันเหลืองอยู่ด้านข้าง เด็กวัยรุ่นผู้นั้นเป็นญาติรุ่นน้องของเต้ เชส่งยิ้มให้ ก่อนหันมาส่ายศีรษะให้เพื่อนผู้รู้จักมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยปีสอง - นั่นคือสามปีมาแล้ว

“ไม่เอาดีกว่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเที่ยวผับ” เชตอบ ยกมือขยับแว่นตาหนาเตอะหนึ่งทีตามความเคยชิน

เต้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “แกนี่จะร้อยวันพันปียังไงก็ไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ นะ เป็นนักดนตรีแบบไหนวะ ไม่ยักออกไปสำรวจดูบ้างว่าวงตามผับวงอื่นๆ เขาเล่นไปถึงไหนกันแล้ว”

“เลิกอ้างเหอะน่า ฉันรู้ดีว่าแกไปเพราะอะไร”

“เพราะอะไรล่ะ?”

“ผู้หญิง”

“ฮ่ะๆๆ ถูก!”

                                              ++++++++

สองคืนที่อยู่ในมุกดาหาร เต้ไม่เคยกลับมานอนค้างที่บ้านป้าซึ่งเป็นมารดาของผู้เสียชีวิตและเป็นป้าแท้ๆ ของเขา

เมื่อราตรีกาลคลี่คลุมผืนฟ้า ไม่มีใครในบ้าน (แม้แต่แม่ของเต้)ที่จะได้เห็นเงาของหนุ่มรูปหล่อผู้มีฝีมือด้านกรีดนิ้วบนสายกีต้าร์เป็นเลิศ เต้ใช้ชีวิตกลางคืนอยู่กับบรรดาญาติรุ่นน้องและกลุ่มผีเสื้อราตรีตามผับตามบาร์เหมือนอยู่กรุงเทพทุกประการ มีเพียงเชเท่านั้นที่เข้ามาแทนตำแหน่งของเต้ในบ้านไม้ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางนาข้าวสีเขียวสดหลังนี้  

ชายหนุ่มผู้เป็นมือกลองวงร็อคนาม Keveldon Hatch ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเจ้าของบ้านเป็นอันดี อาจเป็นเพราะว่ากริยาวาจาของเขาค่อนข้างนอบน้อมต่อผู้ใหญ่และท่าทางความเป็นหนุ่มนักฝันไม่มีพิษมีภัยกับใคร ก็ทำให้ได้รับความเอ็นดู ลูบหัวรักใคร่ ยิ่งกว่าลูกหลานของตัวเองเสียอีก

ในช่วงเวลากลางวัน ทุกคนจะเห็นเชพาร่างเก้งก้างของตัวเองเดินเลาะไปตามคันนา สองหูของเขาอุดด้วยหูฟังจากเครื่องเล่นเพลงขนาดพกพา เชจะเดินหนีบสมุดโน้ตสภาพยับเยินเล่มหนึ่งไว้ใต้วงแขน เดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เขาชอบ เชจะนั่งลงกับพื้นโดยไม่กลัวกางเกงเปื้อน และเริ่มต้นเขียนบางอย่างที่ไม่เคยมีผู้ใดรับรู้การมีอยู่ของมัน นอกจากตัวเขาเอง

สองวันที่อยู่ในมุกดาหาร เชเขียนบทกวีและกลอนได้สิบสามบท

ทุกบทเขาเขียนให้หญิงสาวนัยน์ตาโศกผู้ลึกลับคนนั้น

เขาไม่เคยพบหน้าเธออีก เธอไม่เคยมางานศพอีก แม้กระทั่งวันเผาศพก็ไม่มา

แต่ถึงแม้ไม่เคยได้พบหน้ากันอีก แม้ไม่สามารถสลัดแววตาคู่นั้นออกจากจิตใจได้อีก เชก็ไม่เดือดร้อนใจเท่าไหร่แล้ว

เพราะเขาเจอเธอได้ทุกครั้งที่นึกถึง หญิงสาวนัยน์ตาโศกผู้ไร้นามอยู่ในบทกวีของเขา เชมักจะทำอย่างนี้เป็นประจำเวลาที่พบอะไรบางอย่างกระทบใจ เขาจะแปรมันออกมาเป็นตัวอักษรอย่างถูกฉันทลักษณ์บ้างไม่ถูกฉันทลักษณ์บ้างตามสภาพอารมณ์ และตอนนี้เธอก็ได้กลายเป็นหญิงสาวอีกคนหนึ่งซึ่งได้เข้าไปอยู่ในนั้น ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องคิดถึงเธออีกต่อไป

ในบางเวลา การได้แอบคิดถึงใครสักคนเงียบๆ ก็ถือเป็นความสุขชนิดหนึ่งไม่ใช่หรือ?

                                          ++++++++

ในขณะที่นักร้องนำและมือเบสยืนอ้วกอยู่ด้านนอก เป็นเวลาตีสองกว่าแล้วที่เชกับเต้เดินเข้าร้านสะดวกซื้อแห่งนั้นเพื่อหาอาหารรองท้องหลังเสร็จสิ้นจากการเล่นดนตรีในผับชื่อดังของกรุงเทพมหานคร

“เมื่อไหร่สองคนนั้นจะเลิกกินเหล้าระหว่างขึ้นเล่นซะทีวะ” เชบ่นเบาๆ

“ในผับในบาร์ จะไม่กินได้ยังไง ไม่มีใครอยากทำตัวเป็นแกะดำเหมือนแกหรอก” เต้ตอบเบาๆ

“แต่แกก็ไม่เห็นกิน” เชเพิ่มระดับเสียงขึ้นมานิดหนึ่ง

“ฉันไม่กินเพราะถือคติที่ว่า ‘สุราเป็นเหตุให้ประสิทธิภาพในการมองสาวสวยลดลง’ โว้ย” เต้ตอบเจือเสียงหัวเราะในคอ “แค่เมาแล้วได้ปลวกภูเขาไฟไปนอนกอดคืนเดียว สำหรับฉันเท่านั้นก็พอกันสำหรับแอลกอฮอลล์ สู้ไอ้ที่มันมาแบบผงๆ ก็ไม่ได้”

เชหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากชั้นวางมาสองถ้วย “เชื่อเขาจริงๆ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แต่ว่าเล่นโคเคน”

“วิถีชาวร็อคไง Sex,Drug,And Rock ‘n’ Roll น่ะ เคยได้ยินมะ?”เต้ตอบพลางหยิบถ้วยบะหมี่จากมือเพื่อนกลับไปวางที่เดิม “ไอ้นี่ กินมาม่าจนหุ่นจะเหมือนเส้นมาม่าเข้าไปทุกทีแล้ว เปลี่ยนมั่งเหอะ ของอย่างอื่นมีตั้งเยอะแยะ แกไปหาน้ำอะไรให้ไอ้สองตัวนั่นล้างปากดีกว่า เดี๋ยวของกินฉันเลือกให้เอง”

“ไม่เอาเผ็ดนะ”

“เออ รู้แล้วน่า”

เมื่อสั่งจนแน่ใจว่าเต้จะไม่แอบแกล้งหักคอซื้อข้าวกล่องประเภทรสจัดมาให้ เชก็เดินดุ่มมาที่มุมเครื่องดื่ม แต่ขณะที่อ้อมพ้นมุมชั้นวางของมานั้น เป็นจังหวะเดียวกับร่างบางของสาวแคชเชียร์ผู้หยิบไม้ขนไก่มาปัดฝุ่นแก้ง่วงเดินอ้อมออกมาพอดี เขาและเธอจึงเดินชนกันอย่างจัง

“โอ๊ะ –“

“- ว๊ายแม่!”

นั่นคือเสียงอุทานสองเสียงจากคนสองคนที่ล้มลงก้นจ้ำเบ้าเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ายเชกำลังรู้สึกง่วงและมึนจากฤทธิ์ของควันบุหรี่ที่ลอยตลบอบอวลอยู่ในผับ ส่วนสาวแคชเชียร์หน้าหมวยก็กำลังง่วงเพราะไม่เคยเข้าประจำงานกะดึกมาก่อน

แต่บัดนี้ทั้งสองหนุ่มสาวก็ตาสว่างในฉับพลันเพราะความอับอาย เชรีบดันแว่นให้กลับเข้าที่แล้วเงยหน้ามองหญิงสาวผู้กำลังนั่งพับเพียบลูบคลำบั้นท้ายตัวเอง

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” เขาถามเมื่อลุกขึ้นยืนและยื่นมือออกไป

“เจ็บสิ ถามได้ เดินน่ะดูทางมั่งรึเปล่า” สาวหมวยในชุดพนักงานเมินหน้าหนีมือของเช เธอยื่นปากแล้วยันกายลุกขึ้นยืน ท่าทางกระฟัดกระเฟียด

“เอ่อ งั้นผมก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” เชพูดเสียงเรียบ เขาชินแล้วกับการเอ่ยคำขอโทษ แม้บางครั้งเขาจะไม่ใช่คนที่ผิด แต่เชก็ทราบว่าคำขอโทษเพียงคำเดียวสามารถคลี่คลายให้สถานการณ์ดีขึ้นเสมอ

“แว่นนั่นน่ะ ตัดใหม่ได้แล้วมั้ง ถ้าเมื่อกี้สมมติว่าฉันล้มไปโดนชั้นวางของ แล้วชั้นวางของเกิดล้มไปทั้งแถบ ใครจะรับผิดชอบฮะ” สาวหมวยขึงตาพูดเสียงขุ่น

“ผมก็ขอโทษแล้วไง” เชยกมือขยับแว่นอย่างลืมตัว “แล้วสิ่งที่คุณพูดมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ”

“เหรอ” หญิงสาวลากเสียงยานคาง “แต่ถ้ามันเกิดขึ้นล่ะ ไม่ใช่ฉันเรอะที่ซวย ผู้ใหญ่น่ะไม่เอาความกะลูกค้าหรอก แต่เค้าจะมาเอาความกะพนักงานอย่างฉัน”

“โอเค งั้นผมขอโทษอีกครั้ง” เชพูดอย่างระงับอารมณ์ เขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไหนปากจัดใส่เขาเท่านี้มาก่อน “และถ้าเรื่องที่คุณสมมติมันเกิดขึ้น ผมจะรับผิดชอบเอง”

คู่กรณีผู้มีวงหน้ารูปไข่เม้มปากมองเชอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนส่งเสียง ‘ชิ’ และก้มลงหยิบไม้ขนไก่ หมุนตัวเดินย่ำเท้ากลับไปอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงินดังเดิม

“มีอะไรวะ?” เต้โผล่หน้ามาจากมุมชั้นวางอาหารกึ่งสำเร็จรูป มองเชสลับกับพนักงานสาวหมวยคนนั้น

“อุบัติเหตุนิดหน่อย” เชตอบกลับและเดินตรงไปที่ตู้แช่เครื่องดื่ม ไม่ทันได้สังเกตว่าเต้กำลังเพ่งพินิจสาวหมวยด้วยดวงตาแวววาว

เชเป็นสมาชิกคนเดียวภายในวงดนตรี Keveldon Hatch ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดและของมึนเมา ดังนั้น เชจึงสามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ในรอบสองสามปีมานี้ เขาไม่เคยมีเรื่องวิวาทกับใครเพราะจุดเดือดของเขาอยู่ค่อนข้างสูง ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ จุดเดือดของเขาไม่เคยถูกแตะต้อง

นอกจากนี้ เชยังเป็นคนที่รู้ว่าความโกรธและความหงุดหงิดไม่เคยให้ผลประโยชน์ใดนอกจากความขุ่นมัวในใจ พ่อเคยบอกเขาว่าหากคนเราล่วงรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง ความวุ่นวายทั้งหลายก็ไม่มีทางเกิดขึ้น มันคือหลักการง่ายๆ ที่เชรำมาปฏิบัติตามในระยะหลัง ทุกครั้งที่เกิดอารมณ์หงุดหงิด เขาจะนึกถึงเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นในหัวเป็นสัญญาณเตือนให้เขาเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่น

เช่นในขณะนี้ เชกำลังพยายามลืมเลือนน้ำเสียงอันแข็งกระด้างของสาวหมวย มันทำให้เขาหยิบเครื่องดื่มอย่างสุ่มๆ ออกมาจากตู้แช่และเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินและออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่เมื่อมาถึงเคาน์เตอร์ เชกลับพบว่าหญิงสาวผู้ขึงตาใส่เขาอยู่เมื่อครู่ บัดนี้กำลังยืนหน้าแดงด้วยความขวยเขินต่อสายตาเจ้าชู้ที่เต้ส่งออกไปขณะยืนท้าวมือกับเคาน์เตอร์อย่างวางมาดเต็มที่

“...อ๋อ พี่ก็ว่าทำไมไม่เคยเห็นหน้าเราเลย ที่แท้ก็เพิ่งสลับมาทำงานกะดึกนี่เอง อยู่ประจำกะดึกตลอดไปได้มั้ยอ่ะ พวกพี่เป็นนักดนตรี เล่นที่ผับเสร็จก็ต้องแวะหาอะไรกินแถวนี้อยู่แล้ว เราสองคนจะได้เจอกันอีกบ่อยๆ ไงจ้ะ” เต้กำลังพูดอย่างกระลิ้มกระเหลี่ยเมื่อเชเดินไปวางเครื่องดื่มสี่กระป๋องลงบนเคาน์เตอร์

“ปากหวานนะคะ นักดนตรีก็แบบนี้แหล่ะ” สาวหมวยพูด มองหน้าเต้ไม่หลบสายตา แต่สองมือบิดพันกันไปมา

เชถอนหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ ก็เล่นมีหนุ่มหล่อมาดเซอร์ ระเบิดหู เจาะคิ้ว สวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาเดฟและห้อยไม้กางเกงสีเงินวับกวัดแกว่งมายืนตาหวานใส่อย่างนี้ ผู้หญิงที่ไหนก็ต้องเขิน ยกเว้นเธอจะมีสามีมาด้วยเท่านั้น

“รู้ได้ไงว่าพี่ปากหวาน ลองชิมแล้วหรอ” เต้พูดทีเล่นทีจริง

สองแก้มนวลของหญิงสาวแดงปลั่งมากขึ้น เธอไม่รู้ว่าจะรับคำอย่างไรไม่ให้น่าเกลียดหรือกลายเป็นฝ่ายให้ท่า เสียงไมโครเวฟที่ด้านหลังส่งสัญญาณช่วยชีวิตไว้พอดี สาวหมวยสวมถุงมือกันความร้อน หมุนตัวไปเปิดฝาตู้ไมโครเวฟและหยิบกล่องอาหารสองกล่องออกมาขณะได้ยินเสียงหนุ่มรูปหล่อถามต่อ

“แล้วเพื่อนที่เข้ากะด้วยกันไปไหนแล้วล่ะ ทำไมปล่อยให้เราเฝ้าร้านคนเดียว แบบนี้เกิดมีโจรเข้ามาปล้นจะทำไง?”

“เพื่อนกวางมันงีบอยู่ใต้เคาน์เตอร์นี่แหละค่ะ” แคชเชียร์สาวหันตัวกลับมาวางกล่องอาหารบนเคาน์เตอร์ “แต่แหม พี่คะ ย่านคนพลุกพล่านแบบนี้ โจรที่ไหนจะโง่มาปล้นให้ถูกจับง่ายๆ”

“มีสิ และมันก็กำลังจะปล้นอยู่แล้วด้วย” เต้ตอบขณะเชเอื้อมมือหยิบหมากฝรั่งมาวางเพิ่มข้างขวดเครื่องดื่มสองกล่อง

“ไหนคะ?”

“ก็ยืนอยู่ตรงหน้านี่ไงจ๊ะ”

สาวหมวยดึงถุงมือออกจากมือ “หมายถึงพี่อ่ะหรอ?”

“ช่าย” เต้ยิ้มมุมปาก “พี่เป็นโจร...โจรปล้นใจ”

“เฮ้ย เต้ ฉันขอออกไปข้างนอกก่อนนะ” เชโพล่งขึ้น

“ไปไหนวะ?”

“ไปอ้วก”

แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 55 18:04:00

แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 55 20:43:12

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 55 19:13:53




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com