Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 11 หวนคืนสู่ป่า ติดต่อทีมงาน

ภูตครามบทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1

บทที่ 10 น้ำตานาง
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12474841/W12474841.html

บทที่ 11 หวนคืนสู่ป่า

แม้จะเป็นอรุณรุ่งที่สดใสแต่พิมมาดากลับรู้สึกหม่นหมองจนแทบไม่อยากขยับตัวไปไหน หญิงสาวนอนลืมตามองเพดานห้องพลางคิดย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน สีหน้าและแววตาที่โกรธขึ้งของนายองอาจทำให้เธอไม่อยากไม่ทำงานเลย

“มัวทำอะไรอยู่”

เสียงทุ้มน่าฟังของภูธราดังอยู่ข้างหู หญิงสาวหันไปมองจึงพบว่าเขากำลังยืนอยู่ข้างเตียงห่างจากเธอไม่ถึงช่วงแขน ยังไม่ทันจะเอ่ยปากตอบกลิ่นดอกมะลิหอมกรุ่นก็ลอยมากระทบจมูก ตอนแรกหญิงสาวคิดว่ามันมาตามลมแต่เมื่อขยับศีรษะเธอจึงพบดอกไม้สีขาวนวลกองพูนอยู่ข้างหมอนของตัวเอง

“ดอกมะลิจะทำให้เจ้าสดชื่นขึ้น” ภูธราพูด พิมมาดายิ้มอย่างเศร้าสร้อย

“ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น” ดวงตาเลื่อนกลับไปมองเพดานอีกครั้ง ภูตหนุ่มมองอย่างเห็นใจและเลื่อยกายเข้ามาใกล้เธออีกนิด

“ข้าจะทำให้กลิ่นดอกไม้นี่ฟุ้งกระจายอยู่ในห้องทำงานของเจ้าทั้งวันก็ได้” เขาพูดเอาใจ หญิงสาวจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“ขืนดมกันทั้งวันมีหวังได้เป็นลมตายกันพอดี” เธอระบายลมหายใจออกมาค่อนข้างยาวก่อนจะเหวี่ยงผ้าห่มไปด้านหนึ่งและลุกขึ้นนั่ง ความคิดที่ว่าจะไปทำงานโดยไม่สนใจคำบริภาษของเจ้านายเริ่มคลอนแคลน ทั้งที่เมื่อวานเธอตั้งใจอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ๆว่าจะต้องเข้มแข็งแต่พอเอาเข้าจริงกลับหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขาลงจากเตียง ดูเหมือนภูธราจะเข้าใจความรู้สึกของหญิงสาวเพราะเขาขยับเข้ามาหาเธออีกก้าวพร้อมกับพูด

“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดเวลา”

ลมกลุ่มหนึ่งหมุนวนรอบตัวพิมมาดามันทำให้เธอรู้สึกเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนกำลังโอบกอดเธออย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นของสัมผัสทำให้หญิงสาวเผลอยกมือขึ้นแตะแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เธอหันไปมองภูตหนุ่มด้วยความสงสัย อีกฝ่ายส่งยิ้มละมุนกลับมา
“สบายใจขึ้นหรือยัง”

คำพูดนั่นเองที่ทำให้หญิงสาวรู้ว่าอ้อมกอดของสายลมคือการกระทำของภูธรา ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที แม้จะโกรธแต่ความอายนั้นมีมากกว่า หญิงสาวจึงทำเป็นนิ่งเฉยไม่กล้าพูดต่อว่าอะไรออกมาเลยสักคำ ด้วยความกลัวว่าภูตหนุ่มจะกระทำเช่นนั้นอีกเธอจึงรีบลุกขึ้นเพื่ออาบน้ำแต่งตัว

หลังจากถ่วงเวลาด้วยการแต่งหน้านานกว่าทุกครั้งพิมมาดาจึงเดินลงมาชั้นล่างและพบว่าภูธราได้จัดเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ แม้จะมีเพียงกาแฟร้อนและน้ำชาอย่างละหนึ่งถ้วยกับขนมปัง แต่ความสุขใจที่มีใครบางคนคอยให้ความห่วงใยทำให้หญิงสาวรู้สึกอิ่มจนแทบจะกินอะไรไม่ลง เธอนั่งมองอาหารตรงหน้านิ่งไม่ยอมขยับจนภูธราต้องถามด้วยความสงสัย

“ไม่ชอบหรือ”

พิมมาดารีบสั่นศีรษะ

“ชอบสิ มากด้วย ขอบใจมากนะภูธรา”

เธอหันไปส่งยิ้มหวานให้ภูตหนุ่ม เขามีสีหน้าขัดเขินเล็กน้อยและรีบแสร้งทำเป็นเมินหน้าหันไปอีกด้านเหมือนไม่ต้องการให้หญิงสาวรู้ว่าตนเองกำลังรู้สึกเช่นใด

“ก็แค่ทำตามที่เห็น” เสียงพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากนัก สีหน้าและท่าทางของเขาทำให้หญิงสาวเกิดความรู้สึกบางอย่างในจิตใจ หากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นสิ่งแลวร้ายที่สุด ภาพภูตครามที่กำลังยืนเขินอายตรงหน้าก็คือสิ่งที่สร้างความสุขให้กับพิมมาดา เพราะความน่ารักของเขาเหมือนสายลมในฤดูร้อนที่ปัดเป่าความทุกข์ภายในอกให้ปลิดปลิวหายไป หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าหากวันนี้ไม่มีภูธรา เธอก็คงจะเอาแต่นั่งหมกตัวอยู่ในห้องและจมจ่อมอยู่กับความหมองเศร้า ไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญหน้ากับใครอีกเลย ทุกครั้งที่หันไปมองภูตหนุ่มเขาก็จะส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นกลับมาให้เสมอ สิ่งนี้เองที่ช่วยดึงความเข้มแข็งให้กลับคืนมาอีกครั้ง จะมีประโยชน์อะไรถ้าซุกหัวอยู่แต่ในบ้านเหมือนคนพ่ายแพ้ คิดดังนั้นหญิงสาวจึงรีบจัดการอาหารตรงหน้าและคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้านด้วยความมั่นใจมากกว่าเดิม
ทั้งที่เตรียมใจมาเป็นอย่างดีแต่พอถึงหน้าบริษัทขาของพิมมาดาก็เกิดอาการแข็งเกร็งจนก้าวไม่ออก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบน คิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความกังวลเมื่อเห็นไฟในห้องทำงานของเจ้านายสว่างไสวอันเป็นเครื่องหมายแสดงว่านายองอาจได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กำลังยืนลังเลว่าจะหันหลังกลับหรือเดินต่อไป กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกมะลิก็ลอยมาตามลม หัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อครู่กลับสงบลงได้อย่างง่ายดาย

“ข้าอยู่ข้างกายเจ้าตลอดเวลา”

เสียงทุ้มของภูธรากระซิบข้างหู มันช่วยสร้างความอุ่นใจให้กับหญิงสาวได้อย่างประหลาดล้ำ พิมมาดาสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าและก้าวเข้าไปในบริษัทด้วยอาการนิ่งสงบเหมือนเช่นทุกวัน หญิงสาวเดินเข้าห้องทำงานของตนทันทีโดยไม่สนใจสายตาทุกคู่ที่พร้อมใจกันจับจ้อง ยังไม่ทันที่จะหย่อนตัวนั่งประจำที่นิลเนตรก็เปิดประตูก้าวเข้ามาพร้อมกับเอ่ยทัก

“เป็นไงบ้าง เมื่อวานฉันโทร.หาเธอทั้งวันแต่ไม่มีคนรับสาย รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงเธอมาก”

“พวกเรา” พิมมาดาทวนคำด้วยความแปลกใจพลางตวัดดวงตามองออกไปนอกห้องและนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานแทบทุกคนกำลังชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วง “ฉันนึกว่าพวกเขาเชื่อเรื่องที่นงนภัสพูดเสียอีก”

“ใครจะไปเชื่อยายชะนี ที่พูดไม่ออกเพราะทุกคนตกใจ ส่วนฉันก็มัวแต่หมั่นไส้ความสำออยของยายนงนภัสจนลืมคำพูด แต่ที่พวกเราทำอะไรไม่ถูกเพราะคุณองอาจพลอยหลงเชื่อยายนั่นไปด้วย” นิลเนตรพูดอย่างมีโมโห พิมมาดายิ้มมุมปาก

“ทำไงได้ สภาพแบบนั้นใครเห็นก็ต้องเชื่อว่าฉันเป็นคนทำ”เธอถอนใจออกมาเบาๆพลางชำเลืองไปทางห้องทำงานของเจ้านาย”ความจริงแล้วฉันไม่สนนงนภัสเลยสักนิด แต่เสียใจที่ทำให้คุณองอาจหมดความเชื่อถือ”

“ใครว่าล่ะ”นิลเนตรพูดและขยับเข้าไปใกล้เพื่อน”ยังจำกล้องวงจรปิดอันใหม่ได้หรือเปล่า ที่ติดไว้ตรงทางเข้าบริษัทน่ะ”

“จำได้ทำไมเหรอ”

“วันนี้คุณองอาจมาแต่เช้าคงเป็นห่วงเรื่องคนร้ายขโมยยาน่ะแหละเพราะพอมาถึงก็รีบเปิดเทปของเมื่อคืน เสร็จแล้วก็ดูม้วนที่บันทึกภาพทั่วไป ลองทายสิว่าท่านเจออะไร”

ลงท้ายด้วยประโยคคำถามและยิ้มเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของพิมมาดา

“คุณองอาจเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ และสั่งให้ฉันมาบอกว่าจะแกล้งทำเป็นบึ้งตึงไปอีกสักระยะเพื่อที่ยายนงนภัสจะได้ไม่เข้ามาวุ่นวายกับเธอ”

เหมือนยกภูเขาออกจากอก พิมมาดานั่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกด้วยความคาดไม่ถึงอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มออกมา

“จริงเหรอนิล”

“จริง” นิลเนตรพูดอย่างหนักแน่นและเหลือบตามองออกไปข้างนอกเหมือนต้องการให้แน่ใจว่าคนที่พูดถึงไม่ได้อยู่บริเวณนั้นก่อนจะลดน้ำเสียงลง”คุณองอาจยังเตือนมาด้วยว่าเธอคงจะโดนยายชะนีนั่นแขวะไปอีกสองสามวัน ขอให้อดทนพอมันเบื่อก็จะเลิกไปเอง”

พิมมาดาอมยิ้มและมองหน้าเพื่อน

“ฉันว่าคุณองอาจคงไม่ได้พูดแบบนี้แน่”

นิลเนตรยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์และทำท่าจะตอบแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากหน้าห้อง

“ยังมีหน้ามาทำงานอีกเหรอยะ”

สองสาวหันไปมองพร้อมกัน พิมมาดาทำหน้าเบื่อหน่ายส่วนนิลเนตรเม้มปากด้วยความโกรธเมื่อเห็นนงนภัสยืนเท้าสะเอวก๋าอยู่หน้าประตู ความที่ไม่อยากต่อปากต่อคำเลขานุการสาวจึงเดินสวนออกไปอย่างเร็วโดยจงใจใช้ไหล่กระแทกฝ่ายที่ยืนขวางไปให้พ้นทาง นงนภัสมองด้วยดวงตาวาว

“มารยาททราม”    

 พูดจบก็หันกลับไปที่พิมมาดาหมายจะพูดจาถากถางให้หนำใจแต่หญิงสาวกลับปิดประตูใส่หน้าพร้อมกับกดล็อคเอาไว้เหมือนไม่ต้องการได้ยินคำผรุสวาทใดอีก การกระทำของเธอทำให้นงนภัสโกรธจนตัวสั่น หลังจากยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่สักพักเธอจึงก้าวฉับๆเข้าไปหานายองอาจในห้องทำงาน

พอเห็นนงนภัสหายเข้าไปในห้องของเจ้านาย พิมมาดาจึงเริ่มลงมือทำงาน ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะดูเทปวงจรปิดแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายองอาจจัดการงานส่วนนั้นไปตั้งแต่เช้าหญิงสาวจึงหันไปหยิบใบสั่งซื้อที่กองสุมอยู่บนโต๊ะมาตรวจที่ละใบ ความที่เธอทิ้งงานไปตั้งแต่เมื่อวาน ใบสั่งซื้อและใบเบิกรวมทั้งเอกสารการเงินจึงมีเป็นจำนวนมาก หญิงสาวค่อยๆนั่งทำงานอย่างรอบคอบจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยง นายองอาจจึงเดินออกจากบริษัทโดยไม่เหลือบตามามองเธอแม้แต่น้อยต่างจากนงนภัสที่จ้องเธอเขม็งราวกับจะหาเรื่อง นิลเนตรรอจนเจ้านายพ้นไปจากบริษัทแล้วจึงรีบเดินไปหาเพื่อนรักพร้อมกับเอ่ยชวน

“ไปกินข้าวกันเถอะพิม”

“แต่งานฉันยังไม่เสร็จ” พิมมาดาพูดทั้งที่ยังคงสาละวนอยู่กับเครื่องคิดเลข นิลเนตรจึงก้าวเข้าไปคว้ากระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วคว่ำมันลงจากนั้นจึงดึงข้อมือของเพื่อน  

“เดี๋ยวค่อยกลับมาทำต่อก็ได้”

“แต่ฉัน...”

“ลุกขึ้น ไปเดี๋ยวนี้ไม่งั้นฉันจะให้เจ้าฤทธิ์เข้ามาลากเธอออกไป”

เจอไม้นี้พิมมาดาจึงจำต้องยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ตอนแรกเธอเลือกจะเข้าร้านเย็นตาโฟเพราะอยากจะรีบกลับไปทำงานแต่นิลเนตรกลับลากไปเข้าร้านประจำ หลังจัดการสั่งอาหารเสร็จสรรพเธอจึงถามเพื่อนด้วยความอยากรู้

“เป็นไงบ้าง”

“ก็อย่างที่เธอบอก คุณองอาจทำเป็นไม่สนใจฉัน ส่วนนงนภัสก็จ้องแต่จะหาเรื่องอย่างเดียว”

พิมมาดาตอบเรียบเรื่อย อีกฝ่ายจุ๊ปากเหมือนไม่สบอารมณ์

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ดวงตากวาดมองซ้ายขวาก่อนจะเอนตัวเข้าไปหาเพื่อนและถามด้วยน้ำเสียงเบาลง “ภูตรูปหล่อนั่นเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างเธอแล้วไง อยากถามอะไรก็ถามเลย” พิมมาดาตอบหน้าตายและอมยิ้มเมื่อเห็นนิลเนตรเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่ก

”ฉันพูดเล่นน่ะ”  

เธอพูดอย่างนึกขำ นิลเนตรจึงค้อนปะหลับปะเหลือกพร้อมกับต่อว่า

“ไม่ตลกเลยนะยายพิม เล่นเอาฉันตกใจเกือบตาย”

“ก็เห็นอยากรู้เรื่องของเขานักนี่นา” พิมมาดาพูดทั้งยิ้ม นิลเนตรส่งค้อนให้เพื่อนอีกหนึ่งวงก่อนจะถามต่อ

“ที่ถามเพราะเป็นห่วงเธอต่างหาก แล้วตกลงเป็นยังไง เขาทำอะไรเธอหรือเปล่า”

พิมมาดาสั่นศีรษะ

“ภูธราดีกับฉันมาก เมื่อเช้ายังเตรียมกาแฟไว้ให้ด้วย”

คำบอกเล่าของเพื่อนทำให้นิลเนตรแทบสำลักน้ำส้มที่เพิ่งดื่มเข้าไป เธอรีบวางแก้วและยิงคำถามใส่ทันที

“หา ภูตเนี่ยนะชงกาแฟ เหลือเชื่อเขาทำได้ยังไงน่ะ”

“ฉันไม่ได้ถาม”พิมมาดาตอบพลางตักแกงเขียวหวานราดบนข้าว “แต่เขาบอกเหมือนกันว่าถึงภูตจะไม่มีร่างกาย แต่ก็สามารถหยิบจับสิ่งของได้ ถ้ามีจิตที่กล้าแข็งพอ นอกจากนี้เขาก็ยังทำให้ดอกไม้บานวันละอย่างตามที่ขอ แล้วก็ช่วยให้มังคุดที่ปลูกไว้หลังบ้านออกลูกด้วย ถึงจะเป็นภูตแต่ทุกอย่างที่เขาทำช่วยให้ฉันสบายใจขึ้นตั้งเยอะ”

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขขณะเล่าทำให้นิลเนตรรู้ได้ในทันทีว่าพิมมาดาเริ่มมีใจให้กับสิ่งที่ถูกเรียกว่า ภูตคราม เพียงแต่จะเป็นในแง่ไหนเท่านั้น หญิงสาวมองเพื่อนอย่างพิจารณาและถอนใจออกมาเบาๆ    

“สบายใจมันก็ดี แต่อย่าลืมนะว่าเขาเป็นภูตกินคน”

นิลเนตรเตือนด้วยความหวังดี ช้อนที่กำลังตักข้าวชะงักค้างอยู่กลางอากาศและลดลงกลับไปวางไว้ในจาน

“ถึงภูธราจะเป็นภูต แต่เขามีความจริงใจกว่ามนุษย์บางคนมาก เธอไม่เคยพูดคุยกับเขาคงไม่เข้าใจ แต่ถ้าให้เลือกฉันก็จะขออยู่กับภูตคราม”
 กลิ่นกุหลาบฟุ้งกระจายอบห้อง ลูกค้าภายในร้านต่างทำหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครซักถามอะไรมากนักเพราะเข้าใจว่าเป็นกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศแต่นิลเนตรกลับไม่คิดเช่นนั้น เธอมองดอกกุหลาบที่วางประดับไว้บนโต๊ะและถามพิมมาดาด้วยสีหน้าหวาด

“ฝีมือเขาใช่ไหม”

 หญิงสาวผงกศีรษะรับและลงมือรับประทานอาหารต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนิลเนตรยังคงมองไปโดยรอบด้วยความกลัวแต่พอเห็นอาการสงบนิ่งของเพื่อนแล้วเธอจึงคิดได้ว่ากลิ่นดอกกุหลาบเมื่อครู่เป็นเพียงการสำแดงเล็กน้อยของภูธรา

“ตกลงแล้วนายเป็นภูตที่น่ารักหรือน่ากลัวกันแน่”

หญิงสาวคิดในใจจากนั้นจึงเริ่มลงมือรับประทานมื้อเที่ยงโดยไม่ซักถามถึงเรื่องของภูตครามอีกเลย

เมื่ออิ่มจากอาหารแสนอร่อยทั้งคู่ก็เดินกลับเข้าที่ทำงาน ระหว่างนั้นนิลเนตรได้แวะร้านผลไม้ข้างทางเพื่อซื้อลองกอง ช่วงที่กำลังเลือกอยู่นั้นเธอสังเกตเห็นแม่ค้าแอบชำเลืองตามองพิมมาดาอยู่หลายครั้ง หลังจากทนนิ่งเฉยอยู่นานในที่สุดเธอก็เอ่ยปากถาม

“มีอะไรหรือคะ”

“คะ อะไรนะคะคุณ” แม่ค้าสะดุ้งพร้อมกับหลุดปากย้อนคำถามกลับ นิลเนตรพยักหน้าไปทางเพื่อนพร้อมกับพูด

“เห็นป้าแอบมองเพื่อนฉันตั้งหลายครั้ง”

“อ...อ๋อไม่มีอะไรหรอกค่ะก็แค่มองโน่นมองนี่ตามประสาคนค้าขายเท่านั้น”พูดพลางหยิบเงินทอนส่งให้นิลเนตร ดวงตาตวัดไปยังพิมมาดาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเอนตัวเข้าไปถาม

“ขอโทษนะคะ คือว่า คุณเลี้ยงกุมารทองหรือเปล่า” น้ำเสียงตะกุกตะกักแบบอยากรู้แต่ก็กลัว พิมมาดาทำหน้าประหลาดใจในขณะที่นิลเนตรทำตาโต

“ทำไมถึงถามแบบนี้คะป้า พวกฉันดูเหมือนคนทรงหรือไง”

“ป...เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างงั้น คือว่า”แม่ค้าผลไม้ทำท่าลังเลก่อนจะพูด”เมื่อวันก่อนตอนกระถางต้นไม้ตกลงมา ฉันเห็นว่ามันกระเด็นออกไปเหมือนโดนปัดเลยคิดว่าคุณคงมีของดีคุ้มครอง”

พอฟังคำอธิบายของแม่ค้าแล้วพิมมาดาได้แต่ยิ้มและเดินออกไป ฝ่ายนิลเนตรกลับหัวเราะ

“คิดมากไปแล้วป้า ดูให้ดีสิตรงนั้นน่ะมีสายไฟเต็มไปหมด ตอนกระถางตกลงมาคงไปโดนเลยกระเด็นออกไป”พูดพลางชี้ไปยังระเบียงที่มีสายไฟฟ้าห้อยระโยงระยางคล้ายใยแมงมุมก่อนจะหันกลับมาที่แม่ค้าผลไม้อีกครั้ง”ไม่ใช่ฝีมือของผีหรือกุมารทองอะไรหรอก”

พูดจบก็เดินออกจากร้านทันทีทิ้งให้ผู้ถามยืนเกาหัวแกรกพร้อมกับบ่นพึมพำ

“ฮี่โธ่ ไอ้เราก็หลงนึกว่าเป็นกุมารทองอยู่ตั้งนาน อุตส่าห์ว่าจะขอเลขเด็ดสักหน่อย เฮอะ น่าเสียดาย”

ถึงจะอยู่ห่างไปพอสมควรแต่นิลเนตรก็ยังได้ยินเสียงบ่นแว่วเข้าหู เธออมยิ้มพลางเร่งเท้าเดินจนทันเพื่อนปากก็พูดไปเรื่อยตามประสาคนช่างคุย

“ภูตของเธอเกือบกลายเป็นกุมารทองไปแล้ว”

พิมมาดายิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร นิลเนตรจึงคุยต่อ

“จะว่าไปก็แปลกเหมือนกันนะที่เราสองคนชอบมาคุยกันในร้านอาหาร”

“ก็ถ้าขืนคุยกันที่ทำงานมีหวังโดนไล่ออกแหง” พิมมาดาหันไปตอบ นิลเนตรยิ้มกว้าง

“นั่นน่ะสิ แต่ไอ้ครั้นจะโทร.ไปคุย เธอก็ไม่ค่อยรับสาย กลับไปแทนที่จะพักเธอทำอะไรนักหนานะยายพิม” ประโยคสุดท้ายถามด้วยความสงสัย พิมมาดาทำท่านึกก่อนตอบ

“ก็ไม่มีอะไรมาก พอถึงบ้านก็ออกมารดน้ำต้นไม้ ให้อาหารปลา บางทีก็อาจจะพรวนดินใส่ปุ๋ยบ้าง เสร็จแล้วก็ปัดกวาดบ้านนิดหน่อย วันไหนมีงานค้างฉันก็จะนั่งทำจนกว่าจะเสร็จ ถ้าขยันหน่อยก็จะ...”

“ไม่ต้องเล่าแล้วเพื่อน เธอนี่เป็นพวกอยู่นิ่งๆไม่เป็นเลยใช่ไหม”

นิลเนตรพูดอย่างอ่อนใจ พิมมาดายิ้ม

“ก็ทำแล้วมันเพลินดีนี่นา”

แม้น้ำเสียงจะเรียบเรื่อยแต่ก็แฝงความอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ในความคิดของนิลเนตรออกจะเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้างที่เพื่อนของเธอยังคงควบคุมสติไดอย่างมั่นคงทั้งที่เพิ่งผ่านเรื่องกระทบจิตใจค่อนข้างแรง แต่อย่างน้อยเธอก็โล่งใจเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความสบายใจของเพื่อนรัก เพียงแต่เธอไม่แน่ใจว่ามันมาจากเรื่องที่คุณองอาจรู้ความจริงหรือเพราะภูตครามที่ชื่อภูธรา แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันก็เป็นสิ่งดีสำหรับผู้หญิงที่จริงจังกับชีวิตอย่างพิมมาดา

การทำงานในช่วงบ่ายไม่มีอะไรมากนักนอกจากยอดสั่งซื้อที่เข้ามามากกว่าทุกครั้ง แต่เจ้าหน้าที่การตลาดก็สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วและส่งรายงานเอกสารทั้งหมดให้กับพิมมาดา ซึ่งเธอก็สามารถสรุปทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนเลิกงาน แต่แทนที่จะได้กลับบ้าน นิลเนตรกลับลากเธอไปซื้อเครื่องสำอางค์ลดราคาในห้างสรรพสินค้ามีชื่อ ทั้งคู่จึงจัดการกับมื้อเย็นที่นั่นก่อนจะแยกทางกัน ความที่เหน็ดเหนื่อยในการตะลอนไปกับเพื่อน พิมมาดาจึงเปลี่ยนจากรถประจำทางเป็นนั่งแท็กซี่กลับบ้าน
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในรั้ว กลิ่นดอกพุทธชาติก็ลอยมากระทบจมูก หญิงสาวอมยิ้มด้วยความสุขใจพร้อมกับเอ่ยทัก

“ภูธรา”

ภูตหนุ่มปรากฏตัวขึ้นภายใต้ซุ้มดอกกระดังงา เขาส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมาให้เธอ

“กลับมาแล้วเหรอ”

“ยังจะมาถาม ก็ตามไปด้วยกันแท้ๆ”

หญิงสาวพูดพลางไขกุญแจเพื่อเปิดประตูบ้าน หลังจากวางกระเป๋าและถุงอาหารกระป๋องแล้วเธอจึงเดินกลับออกมาหยิบสายยางเพื่อรดน้ำต้นไม้ ภูธรายืนมองหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตารดน้ำพรวนดินอย่างเพลิดเพลินทั้งที่ในใจครุ่นคิดถึงแต่เรื่องหนทางที่จะได้เป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และวิธีเดียวที่จะรู้ก็คือเขาต้องกลับไปยังผืนป่าอันเป็นถิ่นกำเนิด แม้การเดินทางของภูตครามจะรวดเร็วปานสายลมแต่เพราะไม่รู้ว่าการสนทนากับหัวหน้าวิษธรจะกินเวลานานแค่ไหนทำให้ภูธราเริ่มเกิดความกังวล เพราะเขาไม่อยากทิ้งให้พิมมาดาต้องอยู่ตามลำพัง หลังจากเงียบไปได้ครู่หนึ่งเขาจึงพูดขึ้น

“ข้าจะกลับป่า”

หญิงสาวชะงักงานที่กำลังทำอยู่ทันทีและเอ่ยปากถามโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปมอง

“จะไปเมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้หลังจากส่งเจ้าเข้าที่ทำงานแล้ว”

ภูตหนุ่มตอบ พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะลงมือพรวนดินให้ต้นไม้ต่อ ตอนแรกภูธราคิดว่าหญิงสาวคงดีใจที่เขาพ้นไปจากบ้านเสียที แต่พอได้ยินคำถามต่อมาภูตหนุ่มถึงกับใจเต้น

“แล้วจะกลับมาตอนไหน”

ภูธราแทบจะยิ้มกว้างด้วยความดีใจเพราะปรกติแล้วหญิงสาวมักจะพูดประชดประชันทำนองขับไล่เขาอยู่เสมอ การที่ได้ยินคำถามประหนึ่งต้องการให้ตนกลับมาทำให้หัวใจของภูตหนุ่มพองโตคับอก แต่ความที่ไม่อยากจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนเองมีความรู้สึกเช่นใด ภูธราจึงวางท่าเคร่งขรึมและตอบเธอด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบเหมือนที่เคยทำ

“อาจจะหนึ่งวัน หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย”

หญิงสาวพยักหน้าและเดินไปเปิดน้ำล้างมือ ระหว่างนั้นเธอก็พูดพอให้ภูตหนุ่มได้ยิน

“ถ้าอยากจะกลับเร็วก็ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ไม่ต้องไปส่งฉันหรอก แค่เตรียมกาแฟไว้ให้ก่อนไปเท่านั้นก็พอ”

พูดจบก็เดินกลับเข้าบ้าน ภูธรารีบเลื่อนตัวตามแต่พอเข้าไปด้านในกลับพบว่าหญิงสาวเดินขึ้นห้องไปแล้ว ยืนรอสักพักเธอก็กลับลงมาแต่ก็หายเข้าไปในห้องน้ำอีกราวยี่สิบนาทีเสร็จจากอาบน้ำเธอก็ลงมือรื้อกับข้าวออกจากถุงเพื่อจัดเก็บเข้าตู้เย็นจากนั้นจึงปิดประตูหน้าบ้านและกลับขึ้นห้องนอนโดนไม่พูดอะไรสักคำ

“โกรธข้าหรือ”

ภูธราถามเมื่อเห็นพิมมาดานั่งบนเตียง หญิงสาวมองเขาและส่ายหน้า

“เปล่านี่ ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”

“พอข้าบอกว่าจะกลับป่า เจ้าก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย”

ภูตหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังนักเหมือนกลัวว่าคำที่พูดออกมาจะทำให้หญิงสาวไม่พอใจ แต่พิมมาดากลับสั่นศีรษะ

“ฉันแค่เหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไรต่างหาก อีกอย่างนายก็บอกแล้วว่าจะไปแค่ประเดี๋ยวเดียว เอาไว้กลับมาแล้วค่อยคุยกัน แต่ต้องรับปากก่อนนะว่าจะเล่าให้ฉันฟังว่ากลับไปที่นั่นอีกทำไม”

พูดออกไปอย่างนั้นทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของภูตป่าเท่าใดนัก แต่ถึงกระนั้นภูธราก็ยังผงกศีรษะรับ

“ได้”

พิมมาดาหันมาส่งยิ้มให้กับเขาจากนั้นจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจิตใจที่พะวงอยู่กับงานหรือเรื่องที่จะต้องห่างจากภูธรา หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดจนเกินกว่าจะข่มตาให้หลับลง หลังจากนอนพลิกตัวไปมาอยู่ราวครึ่งชั่วโมงเธอจึงลุกขึ้นนั่ง เสียงภูตหนุ่มถามไม่ดังนัก

“เป็นอะไรไปทำไมถึงยังไม่นอน”

“ฉันนอนไม่หลับ” พิมมาดาตอบพลางเสยผมไปข้างหลังและหันไปมองภูตหนุ่มที่กำลังยืนพิงหน้าต่าง แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดแต่แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบร่างทำให้ผิวกายของเขาเปล่งแสงสว่างเรืองรองออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ หญิงสาวนั่งมองอย่างตื่นตะลึงและรีบเบือนหน้าหลบเมื่อรู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจ้องมองมาด้วยดวงตาที่ทำให้ใจสั่นรัว

“เจ้าอาจจะเครียดเกินไป” ภูธราพูดเสียงนุ่มพลางขยับมือของตนเองอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมกรุ่นของดอกมณฑาลอยเข้ามาในห้องพร้อมสายลมอ่อนละมุน มันหมุนวนลูบไล้ไปทั่วกายของหญิงสาวอย่างนุ่มนวล สัมผัสที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเปรียบประดุจภูตหนุ่มกำลังปลอบประโลมเธอด้วยมือของเขาเอง

“ภูธรา”

หญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงดุจละเมอ ภูธราเคลื่อนร่างเข้ามาหาพร้อมกับโน้มตัวลง ใบหน้าคมสันอยู่ห่างจากดวงหน้างามไม่ถึงหนึ่งศอก กลิ่นหอมของอากาศอันแสนบริสุทธิ์ที่เธอเคยสูดบนยอดเขาลอยมาปะทะจมูก เสียงซ่าของใบไม้ยามต้องสายลมแว่วเข้ามาในโสต

“นอนเสียเถิดยอดรักของข้า”

ภูธรากระซิบเสียงแผ่ว ดวงตาที่เคยแข็งค้างหรี่ปรือลง พิมมาดามองภูตหนุ่มด้วยความรู้สึกง่วงงุน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังพึมพำ

“นายต้องกลับมานะ”

“ข้าสัญญา”

หญิงสาวเผยอยิ้มด้วยความยินดีขณะเอนตัวลง ภูธรารีบยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อประคองร่างของเธอแต่สิ่งที่สัมผัสกลับเป็นเพียงสายลมอุ่น เมื่อเห็นว่าพิมมาดาหลับสนิทแล้วภูตหนุ่มจึงยืนมองเธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเลื่อนถอยออกไปที่หน้าต่างและเฝ้ามองหญิงสาวอยู่เช่นนั้นด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 07:49:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com