Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาวน้อยหมวกแดง ติดต่อทีมงาน

เขากลั้นหายใจ ตาไม่กระพริบ ปลายนิ้วชี้ค่อยๆ ออกแรงกดลงบนไกของหน้าไม้ทีละน้อย เบื้องล่างในความมืดมิดของผืนป่า ดวงไฟสีแดงสองจุดลอยหยุดนิ่งอยู่ในความมืด เขาไม่รู้ว่ามันรออะไร แต่นี่คือโอกาส และเขาจะไม่ยอมพลาด ดวงไฟคู่นั้นหันมา เหมือนไม่ตั้งใจ แต่เมื่อสายตาของทั้งสองประสานกัน เขาก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเหตุบังเอิญอีกแล้ว

เขาคล้ายรู้สึกได้ถึงผืนป่ารอบกาย ประสาทสัมผัสทั่วตัวเปิดกว้าง เขารู้สึกได้ถึงชีวิต ชีวิตน้อยใหญ่ที่สอดประสานกันเป็นร่างแหที่แสนสลับซับซ้อน เกี่ยวโยงหนุนเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด ชีวิตหนึ่งเพื่ออีกชีวิตหนึ่ง ป่ากำลังมีชีวิต ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่สัตว์ต่างๆ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงดอกไม้ ใบหญ้า ต้นไม้ แมลง และชีวิตที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านั้น

ป่ากำลังมีชีวิต ป่าคือชีวิต

หลังจากช่วงเวลาแห่งความสงบนิ่งของการเล็งในชั่วพริบตานั้นผ่านพ้น ไกถูกเหนี่ยว ความตื่นเต้นพลันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด 'โดนแน่' เขาไม่เคยเล็งพลาดมาก่อน แต่ลูกศรจะถูกเป้าหมายหรือไม่ การเล็ง กับการยิงถูก แม้เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน แต่ระหว่างสองสิ่งก่อนหลังนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ แทรกอยู่อีกด้วย

ดังนั้นการเล็งที่ดีเยี่ยมจึงไม่ใช่การถูกเป้าหมายไปทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน

ดวงไฟสีแดงคู่นั้นหายวับไป เขาไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่มันหายไปแล้ว เขารีบปีนลงมาจากที่ซ่อนตัวบนต้นไม้ เขาไม่ควรทำอย่างนี้ แต่ก็ไม่อาจอดใจรอต่อไปได้ หน้าไม้ทิ้งห้อยลงข้างกายด้วยเชือกหนัง ในมือถูกแทนที่ด้วยมีดขนาดพอเหมาะ เมื่อถึงพื้นคบไฟก็ถูกจุดขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยอุปกรณ์จุดไฟที่กำลังแพร่หลายอยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเปิดใจรับมา พร้อมกับหน้าไม้แบบใหม่ที่มีขนาดเล็กลง และใช้งานได้คล่องกว่าธนูแบบเดิม

แสงไฟจากคบขับไล่ความมืดที่รุมล้อมอยู่ให้ถอยห่างออกไป กลิ่นคาวที่คุ้นเคยโชยมาแตะจมูก ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้ม 'ฉันไม่ได้พลาดเสียทีเดียว' มีรอยเปื้อนสีคล้ำเป็นหย่อมๆ อยู่บนผืนป่า เขายิงโดนแต่คงพลาดจุดสำคัญไป

'จะรีบตามไปดีไหม' อาการบาดเจ็บคงทำให้มันช้าลง แต่การไล่ล่าสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บย่อมหมายถึงอันตรายที่เพิ่มพูนขึ้น เพราะหากเป็นยามปกติ พวกมันจะพยายามหลบหนีเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้รับบาดเจ็บ นั่นจะต่างออกไป พวกมันจะดุร้ายมากขึ้น จนถึงอาจดักซุ่มจู่โจมพรานที่ติดตามมาก็เป็นได้

เขานึกถึงแววตาแดงก่ำคู่นั้นอีกครั้ง รู้สึกลังเลขึ้นมา 'แต่ใกล้จะเช้าอยู่แล้ว' เขากระชับมีดในมือ เร่งออกติดตามรอยเลือดไปอย่างระวัง

#####

“โอย”

ชายร่างท้วมร้องโอดครวญเมื่อตัวยาสมุนไพรเย็นๆ ซึ่งตกทอดกันมาว่ามีคุณสมบัติช่วยในการสมานแผล และทำให้ไม่เป็นหนอง สัมผัสกับแผลสดๆ ที่ขาของเขา สภาพในตอนนี้ช่างแตกต่างจากในยามที่เขายืนถือมีดหั่นเนื้อแล่พวกสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ขายในตลาดเหลือเกิน

“...แกแน่ใจหรือว่ามันเป็นหมาป่า ไม่ใช่พวกหมาที่อาศัยอยู่ในตลาด”

เขามองหน้าผู้เป็นเมียซึ่งกำลังทำแผลให้ด้วยความไม่พอใจ

“นี่แกจะบอกว่า ข้าเมาถึงขนาดแยกไม่ออกระหว่างหมาป่า กับหมาบ้าพวกนั้นเชียวหรือ ข้าที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมพรานคนนี้นะ”

เมียของเขาเงยหน้า พร้อมกับกดไม้ป้ายยาแรงๆ จนเขาต้องร้องโอดโอยออกมาอีกครั้ง

“เออ อดีตจอมพราน ที่ตอนนี้ทำได้แค่ยิงนก ตกปลา ล่ากระต่ายขายไปวันๆ ข้าว่าแกเมาจนโดนหมาในตลาดกัดเอาเสียมากกว่า หมาป่าที่ไหนมันจะเข้ามาในเมืองแบบนี้”

ชายหนุ่มรูปกายกำยำแต่งตัวทะมัดทะแมง ผลักประตูบ้านเข้ามาอย่างตื่นเต้น เมียของชายร่างท้วม หรือก็คือแม่ของเขาเงยหน้าขึ้นถาม

“มีอะไรหรือเจ้าศร หน้าตาตื่นมาเชียว”

“พ่อต้องโดนหมาป่ากัดเอาจริงๆ แน่เลยแม่ มีลูกวัวตัวหนึ่งโดนลากหายไป กับร่องรอยของมันทิ้งเอาไว้เต็มไปหมด เขาว่ามันคงตัวโตน่าดู ตอนนี้พวกชาวบ้านกำลังจะรวมตัวกันเพื่อออกไปล่ามันแล้ว”

แม่หมวดคิ้ว ใบหน้าคล้ายดูเศร้าลงเล็กน้อย

“เห็นไหม ข้าบอกแกแล้วว่ามันต้องเป็นหมาป่า ดีนะที่เป็นข้า จอมพรานคนนี้ แม้จะมีแค่มือเปล่าก็ยังรอดจากคมเขี้ยวของมันมาได้ ฮ่า ฮ่า โอย เจ็บ เจ็บ เจ็บ เบามือหน่อยสิ”

ศร มองทั้งสองคนสลับกันไปมา

“ฉันก็อยากไปกับพวกเขาด้วยได้ไหม”

“ก็ไป...” พ่อกำลังจะตอบ แต่แม่รีบแทรกขึ้นทันที “ไม่ได้เด็ดขาด”

“แต่ฉันอยากไปนะ ฉันจะได้ลองหน้าไม้อันใหม่ด้วย มันยิงได้แม่นดีทีเดียว...ฉันอยากออกล่าพวกสัตว์ป่าอันตรายเหมือนอย่างที่พ่อเคยทำดูบ้าง”

“ไม่ได้” แม่ยังยืนยันคำเดิม

“ข้าก็สอนอะไรมันไปตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว ให้มันได้ลองดูบ้าง จะเป็นไรไป”

พ่อพยายามโน้มน้าว แม่เงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่นั้นทำให้สองพ่อลูกไม่กล้าสบตาด้วย

“ไว้คราวหลังเถอะ ไม่ใช่หมาป่า อย่างน้อยก็อย่าเป็นตัวนี้ หมาป่าที่กล้าเข้ามาในเมืองมันไม่ธรรมดา”

ดูเหมือนว่าบทสนทนาคงจะต้องจบลงเพียงเท่านี้

#####

“รีบไปเถอะ”

“แบบนี้จะดีหรือพ่อ”

ทั้งสองกระซิบกระซาบกันในความมืดด้านหลังบ้าน

“ดีไม่ดีก็ไม่รู้แล้ว แต่ถ้ายังไม่รีบไป ก็คงไม่ได้ไปแน่ จะเอายังไงล่ะ”

“ไป ฉันไป ถ้างั้น ฉันไปเลยน่ะพ่อ”

“เออ” พ่อคว้าไหล่ของลูกชายเอาไว้ พร้อมกับบีบเบาๆ “ระวังตัวให้มากๆ ด้วยล่ะ”

เขามองส่งเงาหลังของลูกชายจนเดินหายลับตาไป เมื่อหันกลับมาเพื่อจะย่องกลับเข้าไปในบ้าน เมียของเขาก็กำลังยืนกอดอกรออยู่ข้างประตูแล้ว ใบหน้านั้นไม่ได้โกรธ แต่มันเศร้า เศร้าจนน่าใจหาย

“...ข้า...ข้า...”

“ช่างเถอะ ถึงห้ามยังไง เจ้าศรมันก็คงต้องแอบหนีไปอยู่ดี”

“เจ้าก็รู้ดีนี่นา” เขารู้สึกโล่งอก

“...ใช่ แต่ข้ากลัวเหลือเกิน”

ทั้งสองมองตากัน

“เจ้ากลัวว่า มันจะเป็นเหมือนพ่อของมันใช่ไหม” ใช่แล้ว เขาไม่ได้เป็นพ่อของศร แต่เขาก็รักเหมือนดั่งเป็นลูกแท้ๆ เลยทีเดียว พวกคนมีอายุในหมู่บ้านต่างก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ไม่มีใครพูดถึงมัน พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มจะรู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่ แต่เขาไม่เคยถาม หรือพูดถึงมันเลย

พ่อที่แท้จริงของศร กับเพื่อนรักอีกคนที่เป็นพรานเหมือนกันถูกหมาป่าฆ่าตาย พวกเขารู้ว่ามันเป็นหมาป่าจากร่องรอย และบาดแผลบนร่างของเพื่อนซึ่งถูกทิ้งไว้ ส่วนร่างของพ่อศรนั้นหายไป ซึ่งก็คงไม่พ้นจากการถูกลากไปเป็นอาหารของมันนั่นเอง เหตุการณ์นั้นหลงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นจากอดีตที่แสนเจ็บปวด ฝากไว้กับเหล่าคนที่ยังมีชีวิตรอดต่อไป

หลังจากที่ต้องเลี้ยงดูลูกชายแบเบาะเพียงลำพังมาช่วงระยะหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือต่างๆ จากคนที่รู้จักกันในหมู่บ้าน นี่คือส่วนหนึ่งของสังคม นี่คือพลังในความเป็นมนุษย์ และเมื่อมีผู้ชายหลายคนมาคอยตามตื้ออย่างไม่หยุดหย่อน ในที่สุดทั้งสามคนก็ได้กลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันจนถึงทุกวันนี้

“....ใช่ ข้ากลัวเหลือเกิน...” แม่รำพึงออกมาเบาๆ

#####

ศรมองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า 'สว่างแล้ว' รอยเลือดยิ่งทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าตำแหน่งที่ถูกยิงคงไม่ได้ทำให้มันได้รับบาดเจ็บมากนัก แต่ก็ทำให้มันช้าลงพอสมควร ช้าจนเขาคิดว่าน่าจะตามมาทันแล้ว คบไฟถูกดับทิ้งไป และตอนนี้เขาก็เปลี่ยนจากมีดกลับมาถือหน้าไม้อีกครั้ง

'มันอาจหลบอยู่แถวนี้ก็ได้'

ความรู้สึกบอกกับเขาอย่างนั้น และเขาเชื่อ ต้นไม้เริ่มกระจัดกระจายอยู่ห่างๆ เมื่อมาถึงบริเวณชายป่า เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดหมาป่าตัวนี้จึงมุ่งหน้ามายังพื้นที่แถบนี้ มันควรหลบหนีเข้าไปในป่าลึก สถานที่ที่จะทำให้มันได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อนตัว หรือซุ่มโจมตี

เงาเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างผ่านเข้ามาทางหางตาด้านซ้าย เขารีบหันไปพร้อมกับยกหน้าไม้ขึ้นเล็ง และเขาได้เห็นสีแดง ชุดคลุมสีแดงซีดบนร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินไปอย่างไม่เร่งร้อน 'น่าจะเรียกว่าเต้นรำมากกว่า' เขาไม่เคยพบเห็นท่าทางการเดินที่ดูสนุกสนานแบบนี้มาก่อน

เขาลุกออกจากที่ซ่อน ป้องปาก พร้อมกับส่งเสียงทักทายออกไป

“สวัสดี”

เงาสีแดงนั้นหยุด ก่อนหันมาหา เขาทิ้งหน้าไม้ในมือให้ห้อยลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นให้เห็น ก่อนเดินเข้าไป แล้วหยุดอยู่ในระยะที่ห่างอย่างเหมาะสม

“ฉันเป็นพราน ชื่อศร กำลังไล่ตามหมาป่าบาดเจ็บตัวหนึ่งมา ระวังด้วย มันอาจซ่อนอยู่แถวนี้”

ร่างนั้นยกมือขึ้นเปิดหมวกของเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นผมสีดำยาวรวบมัดเป็นเปีย ใบหน้ารูปไข่ ฟันขาวเรียงเป็นแถวในรอยยิ้ม กับดวงตาคู่นั้น ที่สำคัญยังคงเป็นดวงตาคู่นั้น หญิงสาวในชุดเสื้อคลุมสีแดงชวนให้เขาคิดไปถึงนิทานเรื่องหนึ่ง นิทานที่แม่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก

“โอ้ หมาป่าชั่วร้ายตัวโตกำลังย่องติดตามฉันมาอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงเยาะหยันในรอยยิ้มนั้นชัดเจน

“ฉันพูดจริงนะ ฉันยิงมันได้ แล้วไล่ตามรอยเลือดมา”

“ไม่มีใครเห็นหมาป่ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ตั้งแต่ตอนที่ยายฉันยังสาวแล้ว” ท่าทางเธอไม่เชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย เขายังคงไม่ละความพยายาม

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็มีมาตัวหนึ่งแล้ว ระวัง...”

เสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสูงอายุดังมาจากตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งคู่หันมองไป ก่อนหันกลับมามองหน้ากัน

“นั่นเสียงยายฉัน” เธอรีบวิ่งจนเสื้อคลุมสีแดงปลิวไสว เขาวิ่งตาม เธอวิ่งเร็วกว่าที่เขาคิดมาก และภายใต้เสื้อคลุมสีแดงนั้นก็มีเสื้อผ้าอยู่บนร่างของเธอน้อยกว่าที่เขาคิด หรือเคยเห็นผู้หญิงคนใดใส่มาก่อนในชีวิต ใบหน้าของเขาเริ่มแดง และมันคงไม่ใช่แค่จากการออกแรงวิ่งเท่านั้น

ห่างออกไปเพียงไม่ไกล พวกเขาก็ได้พบกระท่อมเก่าๆ ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว รอบข้างเงียบสงัด แต่มันเป็นความเงียบที่ไม่ปกติ เธอรีบล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วดึงมีดที่มีด้ามทำจากเขาสัตว์ออกมาถือไว้ ท่าทางที่คล่องแคล่วทำให้เขาต้องคิดเกี่ยวกับตัวเธอใหม่อีกครั้ง ส่วนหน้าไม้ของเขาก็กลับมาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

บ้านมีเพียงประตู กับหน้าต่างไม้ที่ถูกปิดเอาไว้ เธอชี้มาที่ตัวเขา พร้อมกับชี้ไปที่หน้าต่าง เขายังยืนงง แต่เธอก็พุ่งผ่านประตูเข้าไปแล้ว เขามองตามเธอไป ก่อนที่จะมีเงาขนาดใหญ่พุ่งผ่านหน้าต่างไม้ออกมาจากข้างในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว มันมีผ้า หรืออะไรบางอย่างติดตัวไปด้วย

เธอรีบกลับออกมา

“ทำไมไม่คอยดูที่หน้าต่างเอาไว้”

เขาพึ่งเข้าใจว่าเมื่อครู่เธอพยายามจะบอกอะไร เขายกหน้าไม้ขึ้นเล็งตามเงาสีเทาที่ลัดเลาะไปยังชายป่า โดยอาศัยสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ คอยกำบัง เธอรีบยกมือห้าม

“อย่า มันคาบยายฉันไปด้วย”

เขานึกถึงกองผ้า หรืออะไรบางอย่างที่เห็นแวบเดียวเมื่อครู่ อยากจะบอกกับเธอว่ามันคงไม่สำคัญอีกแล้ว ว่ามันจะคาบ หรือทิ้งยายของเธอเอาไว้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็คิดว่ายายเธอคงไม่รอดแน่ แต่เขาไม่อาจใจร้ายแบบนั้น

“ก็มันหนีใครมาล่ะ ใครไปทำให้มันบาดเจ็บล่ะ” เธอย้ำ เธอถอดเสื้อคลุมสีแดงซีดนั้นทิ้งไป หลงเหลือเพียงเสื้อผ้ารัดรูปคล่องตัว และมันไม่ได้น้อยชิ้นอย่างที่เขาเข้าใจในตอนแรกเลย การมองผ่านเสื้อคลุมที่ส่ายไหวนั้นหลอกตา หรือไม่มันก็ไปกระตุ้นจินตนาการของเขาให้คิดไปเอง

“คงไม่คิดว่าฉันจะสวมเสื้อคลุมแบบนั้น ออกไปล่าหมาป่าใช่ไหม” เธอเข้าใจความหมายที่เขามองเธอผิดไป

“เปล่า” เขารีบตอบ ทั้งคู่คิดจะติดตามมันเข้าไปในป่าเบื้องหน้า แต่เพียงห่างออกมาจากบ้านไม่ไกลนัก พวกเขาก็พบร่างของยาย ซึ่งตอนแรกเขานึกว่าเป็นเพียงกองผ้าที่ถูกทิ้งเอาไว้เท่านั้น

“ยาย ยายเป็นอะไรหรือเปล่า” เธอรีบตรงเข้าไปดูอาการทันที ร่างนั้นส่งเสียงครางออกมาเบาๆ เขาพึ่งมองเห็นได้ถนัด ร่างของยายเล็กมาก บางทีมันอาจจะทิ้งนางไว้เพราะไม่รู้จะแทะกินอะไรแล้วก็เป็นได้ เธอช้อนร่างนั้นขึ้นมา ก่อนรีบตรงกลับเข้าบ้าน

“ฉันจะตามมันไปต่อ” เขาบอก แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจ เขาตามรอยมันไปจนต้นไม้เริ่มหนาทึบ ตอนนี้คงมีเพียงแค่รอยเท้า บาดแผลอะไรก็ตามที่มันเคยมีคงดีขึ้นมากแล้ว เพราะไม่มีรอยเลือดให้พบเห็นอีกเลย

เขาหยุดก่อนที่จะเข้าไปในป่าลึกมากกว่านี้ โอกาสที่เขาจะได้พบกับมันนั้นเหลือน้อยเต็มที ดูเหมือนการไล่ล่าจะจบลงแล้ว เขาคงต้องรีบกลับบ้านก่อนที่จะทำให้ใครเป็นห่วงไปมากกว่านี้ จิตใจของเขาเริ่มล่องลอยไป แต่มันกลับถูกแทรกแซงด้วยใบหน้า ด้วยดวงตาของใครอีกคนหนึ่ง

เขาไม่รู้ว่ามันจะเป็นสิ่งนั้นใช่หรือไม่ 'ความรัก' แต่ทั้งคู่พึ่งพบเจอกันเพียงครั้งเดียว และแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย เขายังไม่รู้จัก แม้กระทั่งชื่อของเธอด้วยซ้ำ 'แล้วความรู้สึกนี้ มันคืออะไรกัน'

เขามายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านไม้หลังนี้ได้ครู่หนึ่งแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาตัดสินใจก่อนหน้านั้นอีกพักใหญ่ เขายกมือขึ้น แล้วหยุดค้างอยู่อย่างนั้น 'ฉันแค่มาถามอาการ อยากรู้ว่าคุณยายของเธอเป็นอย่างไร'

เขายกมือขึ้น แต่ยังไม่ทันได้เคาะ ประตูก็เปิดออกเสียก่อน หญิงสาวคนนั้นกำลังยืนร้องไห้ และเขาทำอะไรไม่ถูก

ร่างเล็กๆ ของหญิงชรานอนนิ่งอยู่บนเตียง เหมือนกับเพียงแค่นอนหลับไป ชีวิต กับ ความตาย อาจแตกต่างกันเพียงแค่นั้น นางแต่งกายด้วยชุดที่หญิงสาวบอกว่ายายชอบมากที่สุด สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ที่ข้างเตียงในความเงียบ ตอนนี้เธอหยุดร้องไห้ได้แล้ว

“ตอนกลับมาถึง ยายยังมีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะสั่งเสีย บนร่างของยายไม่มีบาดแผล แต่ทั้งหมดนั้นมันคงหนักหนาเกินไปสำหรับท่าน ยายต้องการให้ฝังร่างเอาไว้ที่หลังบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ต้องเอาก้อนหินมาทับเอาไว้ เพราะถ้าหากมีสัตว์ตัวใดต้องการ ก็จะได้ขุดร่างของยายขึ้นมาเป็นอาหาร”

นั่นเป็นความคิดที่แปลกเมื่อได้ยินเป็นครั้งแรก แต่เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เขารู้สึกถึงได้ในค่ำคืนที่ผ่านมาที่ว่า ป่าคือชีวิต แล้ว เขาก็พอที่จะเข้าใจได้ 'ใช่ ทุกชีวิตต่างเชื่อมโยงกัน และเมื่อมองแบบนั้นแล้ว มนุษย์เองก็ควรเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย'

ทั้งสองใช้ผ้าปูเตียงผืนที่นางนอนอยู่ ห่อร่างเล็กๆ นั้นไว้ ก่อนยกออกไปหย่อนลงในหลุมตื้นๆ ที่ช่วยกันขุดขึ้นมาตามที่นางต้องการ ไม่มีพิธี ไม่มีอะไรซับซ้อน มีเพียงแค่คำกล่าวลา และดินเท่านั้น

“ชาดา...” นั่นเป็นชื่อของเธอ ที่เขาได้รู้ระหว่างการพูดคุยกันสั้นๆ “...เธอจะทำอย่างไรต่อไป”

หญิงสาวมองไปที่ชายป่า

“...ก็มีชีวิตอยู่ต่อไป เหมือนทุกวันที่ผ่านมานั่นแหละ”

“เธอ เธอจะ...จะไปกับฉันไหมล่ะ”

“ไปไหน” เธอถามโดยไม่หันหน้ามา

“ไปที่หมู่บ้านของฉัน พ่อกับแม่คงพอช่วยหาอะไรให้เธอทำที่นั่นได้” เธอนิ่งเงีบบไป

“...ฉัน...ถูกเก็บมาเลี้ยงรู้ไหม ยายไปเจอฉันเข้าโดยบังเอิญ ฉัน ฉันเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ ฉัน ฉัน ไม่อยาก...” เสียงของเธอเบาลงจนขาดหายไป

เธออยู่กับยายเพียงสองคนเรื่อยมา นานๆ ถึงจะเจอกับพราน หรือไม่ก็นักเดินทางที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่พวกเขาเพียงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ที่นี่คือโลกทั้งหมดที่เธอมี ความเปลี่ยนแปลงใดใดคงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้อย่างยากลำบากสำหรับตัวเธอ แต่เมื่อมองไปรอบๆ เมื่อไม่มียายอยู่ด้วยอีกแล้ว มันก็ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป โลกที่เธอคุ้นเคยกำลังเปลี่ยนไป

“เราไปด้วยกันเถอะ” เขาชวนเธออีกครั้ง และครั้งนี้มันฟังดูน่าสนใจกว่าเดิมมาก

“พร้อมแล้วใช่ไหม ลืมอะไรอีกหรือเปล่า” เขาถามหลังจากที่เธอเก็บข้าวของเสร็จแล้ว แต่ยังคงเอาแต่ยืนมองกระท่อมหลังเก่าอยู่อย่างนั้น

“เปล่า...มันแค่ รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย” จริงๆ แล้วคำที่ถูกต้องควรจะเป็น 'กลัว' มากกว่า ซึ่งมันไม่แปลกอะไรเลย นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้สึกเสมอเมื่อเผชิญพบกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ดูเหมือนเขาพอจะเข้าใจในเรื่องนี้ เขาก้าวเข้ามาหา ยื่นของสิ่งหนึ่งให้

“เสื้อคลุมของเธอ สวมมันไว้ เธออาจจะรู้สึกดีขึ้น”

เธอรับมันมาก่อนคลี่กางออก เสื้อคลุมสีแดง สิ่งที่เธอคุ้นเคย 'ใช่' เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไร ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนแปลง เธอก็จะยังเป็นตัวเธออยู่เสมอ เธอสวมมัน ยกหมวกคลุมขึ้น ก่อนเงยหน้า ยิ้มให้กับเขา และมันเป็นภาพที่งดงามที่สุด ซึ่งเขาคิดว่าจะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิต

'ความรัก' มันจะใช่สิ่งนั้นหรือไม่ เขาก็ไม่รู้ 'แต่มัน...น่าจะ' เขาคิด และคิดไปตลอดทาง พราน กับหญิงสาวหมวกแดงที่เดินราวกับเต้นรำอยู่ข้างกาย 'ใช่' มันเหมือนกับในนิทานเลย นิทานที่แม่เคยเล่าให้ฟังตั้งแต่ยังเด็ก นิทานที่เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้

และหากมันเป็นนิทานจริง มันก็คงจบลงด้วยข้อความว่า แล้วทั้งสองก็อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไปตลอดกาล ซึ่งนั่น ก็คงต้องรอดูกันต่อไป

ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆ อำลาจากท้องฟ้า สองหนุ่มสาวจากไปไกล และเนิ่นนาน บางทีพวกเขาอาจกลับถึงหมู่บ้านแล้วก็เป็นได้ ภาพของกระท่อมไม้ร้างโดดเดี่ยวเดียวดายช่างแสนเงียบเหงา แต่ที่ด้านหลังบ้าน ใต้ต้นไม้เก่าแก่ กำลังมีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น

หลุ่มศพตื้นๆ นั้นกำลังมีความเคลื่อนไหว มือเหี่ยวๆ แต่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงคู่หนึ่งค่อยๆ แหวกดินออกมา ก่อนพาร่างเล็กๆ ขึ้นมาจากหลุม ห่างออกไปไม่ไกลนักมีดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจ้องมองจากในความมืด

“...ไม่คิดจะช่วยกันเลยหรือไง”

เสียงจากร่างเปื้อนดินกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ข้าเพียงสงสัย สงสัยว่าแม่เฒ่าที่แกล้งตาย อาจตายไปจริงๆ ก็เป็นได้ สงสัยว่าบางที ข้าอาจจะได้กระดูกกลับไปแทะเล่นในค่ำคืนนี้”

“เชอะ” ในเสียงประชดนั้นกลับมีรอยยิ้มซ่อนอยู่

“หมาป่าอย่างเจ้าคงได้ฟันหักแน่ หากคิดจะแทะกระดูกนางเฒ่าอย่างข้า”

นางเปลี่ยนเป็นคลานสี่ขา รูปเงาในแสงสุดท้ายกลายเป็นสัตว์ขนาดเล็กที่มีหางเป็นพวง ดวงตาเปล่งประกายเป็นดวงไฟสีแดงในความมืดที่กำลังมาเยือน หมาป่าสีเทาตัวใหญ่ค่อยๆ ก้าวออกมายืนเคียงคู่

“ท่านแม่เฒ่า...พวกเราจะไปแล้วใช่ไหม”

“...ใช่ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเดินสองขา ภาระสุดท้ายของข้าหมดลงแล้ว เธอคงจะมีความสุขมากกว่า...ถ้าได้ไปอยู่กับพวกมนุษย์ อยู่กับพวกเดียวกัน แล้วลูกชายของเจ้าล่ะ”

หมาป่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“เขามีสายเลือดที่เข้มข้น เขาได้ยินเสียงเรียก...แต่เขาไม่ได้เป็นสมิงเหมือนอย่างพวกเรา”

“มนุษย์ทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงเรียกทั้งนั้น ถ้าพวกเขาตั้งใจฟัง พวกเราล้วนเหมือนกัน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพียงแต่พวกเขาเลือกที่จะไม่ได้ยินเท่านั้นเอง” เสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเศร้า

มนุษย์กับสมิงนั้นมีความใกล้ชิดกันมาแต่เก่าก่อน ในตอนที่มนุษย์ยังผูกพันกับธรรมชาติ สมิงอาจกลายเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็อาจกลายเป็นสมิงได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มนุษย์กลับเดินห่างออกไปจากธรรมชาติ สายสัมพันธ์ที่เคยมีก็เริ่มแยกห่างจากกัน การเปลี่ยนผ่านที่นานๆ จะเกิดขึ้น จึงอาจกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า

อย่างเช่นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหมาป่าสีเทา หรือก็คือพ่อของศรในตอนที่เขากลายเป็นหมาป่าครั้งแรก เขาฆ่าเพื่อนเพราะยังไม่อาจควบคุมตัวเอง ต้องฆ่าเพื่อนที่พยายามจะฆ่าเขาด้วยความตกใจกลัว เขาวิ่งหนีไป กลัว โทษตัวเอง และไม่อาจกลับเข้าไปในหมู่บ้านได้อีก ถึงแม้ว่าจะสามารถควบคุมตนเอง จนกลายร่างได้ตามต้องการแล้วก็ตาม

เขาได้พบกับเหล่าสมิงที่มีจำนวนเหลืออยู่ไม่มาก และทุกคนต่างเห็นตรงกัน วันเวลาแห่งการอยู่ร่วมกับมนุษย์คงต้องสิ้นสุดลงแล้ว มีเพียงแม่เฒ่าที่เก็บเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาเลี้ยงดูเอาไว้ ที่ยังไม่อาจตัดใจจากไปในทันที ทั้งหมดจึงร่วมกันวางแผน โดยมีหมาป่าสีเทาเป็นต้นคิด

หมาป่าสีเทาเองก็ยังมีเรื่องที่คาใจอยู่อีกอย่างหนึ่งเช่นกัน เขาอยากรู้ว่าลูกชายเพียงคนเดียวนั้น จะเป็นเหมือนกับเขาหรือไม่ เขาไม่อยากให้เรื่องที่เคยเกิดกับตัวเอง ต้องเกิดซ้ำกับผู้เป็นลูกชายอีก และรู้สึกพอใจแล้วที่ได้คำตอบ 'ช่วยดูแลแม่ของลูกให้ดีด้วยล่ะ'

เงาของสัตว์สี่เท้า หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็ก เดินเคียงคู่กันไป ก่อนที่จะมีเงาอื่นๆ ค่อยๆ เข้ามาสมทบ วันนี้พวกเขาทั้งหมดจำเป็นต้องเดินจากมนุษย์ไป เพราะเส้นทางที่เลือกนั้นแตกต่าง แต่ว่าทั้งหมดต่างยังคงมีความหวัง

ความหวังที่ว่าสักวันหนึ่ง ชีวิตทั้งมวล ซึ่งรวมถึงพวกมนุษย์ด้วย จะได้กลับมาเดินร่วมทางกันอีกครั้ง

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 15:12:09




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com