++++ ด้วยความเกลียดชังอย่างสูง ++++ (ตอนที่ 1)
|
 |
จดหมายเหล่านี้ไม่ใช่ของผม
...
ผมเป็นเพียงไปรษณีย์แมนที่ตกกระไดพลอยโจนเท่านั้น
ตอนที่ 1
ผมอยู่กรุงเทพฯ มาราว 14 ปี 3 เดือน 7 วัน 5 ชั่วโมง 45 นาที ส่วนจะกี่วินาที คุณอย่าไปสนใจมันเลย!
14 ปีมานี้เด็กบ้านนอกอย่างผม ใช้ชีวิตไม่ต่างจากชนชั้นกลางกระเดียดล่างที่บ้าละครหลังข่าว ชื่นชอบนักร้องเกาหลีและงมงายโฆษณาประทินผิว
พูดถึงรูปร่างหน้าตา ถ้าเทียบจากมาตรฐานชายไทย ผมจัดเป็นคนสันทัดกระเดียดไปทางเตี้ย ไม่ผอมแต่ก็ไม่ถึงกับลงพุง ถ้าวัดจากมาตรฐานกระจกทรงกลมในห้องสี่เหลี่ยมเท่ารูหนู ผมก็ไม่ต่างจากชายฉกรรจ์สัญชาติไทยกินข้าวแกงข้างถนนนัก
ลำแสงสีส้มนวลยามเย็นจากหน้าต่างลูกกรงห้องเช่า ส่องสะท้อนผิวสีน้ำผึ้งอมดำ คุณอย่าเพิ่งนึกว่าผมเป็นไอ้บ้านนอกชั้นต่ำแบบกรรมกรแบกข้าวสารล่ะ ผมน่ะคนละระดับกับพวกเขานะครับ แม้รายรับแต่ละเดือนจะไม่เอื้ออำนวยกับนิสัยรักสวย รักงามของผม แต่ครีมกระปุกละหลายร้อยอย่างในโฆษณา ผ่านหน้าผมมาแล้วทั้งนั้น อย่าเพิ่งรีบร้อนเปิดข้ามหน้าไปนะครับ ผมแค่จะเกริ่นลอยๆ ให้คุณรู้จักพื้นเพผมสักนิด ก่อนจะทำความรู้จักเรื่องราวของ..ผะ..ไม่ใช่หรอกครับ! ไม่ใช่เรื่องราวของผม! ชีวิตผมไม่ได้น่าสนใจขนาดให้คุณตั้งตารออ่านขนาดนั้น ที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งต่างหาก ผู้หญิงที่ผมบังเอิญเข้าไปมีเหตุเกี่ยวข้องด้วยโดยไม่ตั้งใจ ผู้หญิงที่ทำให้ผมวิ่งวุ่นค้นหาตัวตนและเบื้องลึกเบื้องหลังของเธอจนหัวปั่น เพราะฉะนั้นอดทนรอสักเล็กน้อย ให้ผมแนะนำตัวเองก่อน แล้วผมจะปล่อยให้คุณละเลียดเวลาทำความรู้จักผู้หญิงคนนี้อย่างแน่นอน...
ผมชื่อนาย สมหมาย สุขี แหม! แค่ชื่อก็ประจานความบ้านนอกของผมเสียแก้ตัวไม่ออก ผมไม่ได้เป็นคนตั้งหรอกครับ โน่น! จะโทษความบ้านนอก ต้องโทษแม่ผม เธอเป็นสาวบ้านนอกขนานแท้ ทั้งผิวดำแดง และดั้งที่เหลือน้อย แต่ยังอุตส่าห์มีแก่ใจยกให้ผมเป็นผู้สืบทอดมรดกนี้ ผมไม่รู้ว่าควรขอบคุณความมีน้ำใจของเธอดีรึเปล่า? ถ้าเป็นที่บ้านนอก รูปร่างหน้าตาแบบผมก็ดูกลมกลืนกับคนในหมู่บ้านไม่ยากนัก แต่พอมาอยู่เมืองฟ้าอมรหลังนี้ ผมกลายเป็นส่วนต่างที่หาคนหารชีวิตร่วมน้อยเต็มที
ห้องเช่าของผมอยู่ชั้นสาม ในซอยเล็กหลืบหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่บ้านของแม่กลับตั้งตระหง่าน สูงสองชั้นในหมู่บ้านดีเด่นประจำอำเภอ บ้านของแม่ใหญ่กว่าหลังอื่นในหมู่บ้าน มันไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของผม ลำพังเงินเดือนชักจากหน้ายังแทบจะไม่พ้นหลัง ไม่ต้องนึกหรอกครับว่าจะเหลือพอจุนเจือครอบครัว แม่ผมก็คงพอจะรู้ เธอถึงไม่พูดพร่ำให้มากความ ได้แต่ส่งกะปิ ปลาร้า หมูยอมาบำรุงในช่วงใกล้สิ้นเดือน
กลับมาที่ชื่อของผมกันดีกว่า แม่เล่าว่าเธอตั้งชื่อผมว่า สมหมาย เพราะอยากให้ลูกได้ทุกอย่างสมดั่งใจหมาย แต่แม่คงไม่ทันคาดคิดว่าการตั้งชื่อแบบส่งๆ ของเธอ ทำให้ผมถูกเพื่อนที่โรงเรียนล้อ ทำให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ทุกบริษัทที่ผมไปเยือน มองผมด้วยหางตา และเหยียดยิ้มตีตราความบ้านนอกของไอ้หนุ่มผิวสองสีคนนี้ แต่ข้อสำคัญคือผมไม่เคยได้อะไรดั่งใจหมายเหมือนที่แม่หวังไว้ ไม่เคยได้เป็นเจ้าคนนายคน ไม่เคยได้ซีสูงๆ เหมือนกับคนอื่นเขา และไม่เคยคิดว่าอาชีพส่งจดหมายจะกลายป็นรายรับเดียวที่เลี้ยงดูผมมาตลอด 9 ปี
ถูกแล้วครับ อาชีพผมคือ ไปรษณีย์แมน
เห็นไหม! บอกแล้วว่ามันคนละระดับกับพวกกรรมกรแบกหาม หรือคนงานก่อสร้าง แม้จะขึ้นรถไฟจากชัยภูมิแถบอีสานเหมือนกันก็เถอะ
ผมไม่ได้ตั้งใจทำอาชีพนี้ตั้งแต่หัวรถจักรถึงหัวลำโพงหรอกครับ มีอาชีพหลายแขนงที่ผ่านเข้ามาในเส้นเดินทางของผม ทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจเช็กสต็อกสินค้าในห้าง พนักงานห่อของขวัญ หรือพนักงานกรอกแบบสอบถาม ทั้งหมดนี้เป็นอาชีพที่ต้องใช้ใบปริญญานะครับ ผมไม่ได้กระจอกอย่างที่คุณคิด ผมจบปริญญาตรี จากมหาลัยบ้านนอก วิทยาเขตอีสานบ้านเฮา แต่ไอ้คำว่า ปริญญาตรี จากบ้านนอกยูนิเวอร์ซิตี้ไม่ช่วยให้ผมหลุดพ้นจากคำว่า พนักงาน ไปเป็น ผู้จัดการ เสียที ผมเลยสะบัดก้นหนีจากสถานะ พนักงาน มาลงเอยกับอาชีพ ไปรษณีย์แมน นานกว่า 9 ปี
จะว่าไป อาชีพนี้ก็เหมาะกับผมดี ผมมันพวกรักอิสระ ไม่ชอบหรอกไอ้การนั่งอุดอู้อยู่ในห้องซอมซ่อที่เต็มไปด้วยปึกจดหมายกับกองพัสดุทั้งวัน แต่ผมก็ไม่ได้เป็นพวกเสพย์ติดมลภาวะ หลงรักคาร์บอนไดออกไซค์บนถนนวิภาวดี
เปล่าเลย ผมชอบอาชีพนี้เพราะมันทำให้ผมได้รู้จักคนเยอะ คนที่ผมไม่คิดว่าจะได้ปะกันตัวเป็นๆ จากบนพื้นดิน ไม่ใช่แหงนมองจากบนฟากฟ้า
ลองคิดดูสิว่า คุณจะมีโอกาสเจอนักการเมืองรุ่นเก๋า ระดับโกงชาติพันล้านในชุดเสื้อยืดห่านคู่ ราคาไม่ถึงร้อยกับรองเท้าแตะคีบนันยางยืนรดน้ำต้นไม้รึเปล่า? ถ้าคุณไม่ได้เป็นไปรษณีย์แมน
คุณจะได้พบดาราสาวหุ่นเซ็กซี่สะบึมอารมณ์ในชุดนอนลายหมีพูห์พร้อมแว่นตากรอบคุณย่าในสภาพเพิ่งตื่นนอนหมาดๆ ไหม? ถ้าคุณไม่บังเอิญมีจดหมายของเธออยู่ในมือ
คุณจะได้พบไฮโซเพชรระยับ ฉายา ใจบุญหน้าหนึ่ง กำลังจิกหัวด่าคนใช้ที่มาขอยืมเงินคุณแค่สองพันบาทเหรอ? ถ้าคุณไม่บังเอิญขี่รถเอาพัสดุมาส่งที่คฤหาสน์หลังงามของเธอ
...คุณไม่มีโอกาสได้เจอหรอก ถ้าไม่ได้ทำอาชีพแบบผม! และเพราะอาชีพ ไปรษณีย์แมน นี่แหละ ที่ทำให้ผมได้รู้จักผู้หญิงปริศนาคนนี้ เจ้าของจดหมายสีน้ำตาลปึกหนา อันที่จริงตอนแรกจดหมายของเธอไม่ได้เปรอะสีน้ำตาลแบบนี้ แต่เพราะมันต้องตรากตรำ ผ่านความสมบุกสมบันในการตามหาผู้รับที่แท้จริง ทำให้สภาพยับเยินของมันไม่ต่างอะไรจากใบหน้ากร้านโลกของหญิงชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปี ซองกระดาษที่แห้งกรัง กระด้าง ไม่ลื่นเป็นมัน แต่ละซองมีความหนาไม่มากนัก ทว่าเรื่องราวในจดหมายแต่ละบรรทัดกลับอัดผมเสียจนมุม
จำได้ว่าวันแรกที่ผมได้สัมผัสจดหมายของผู้หญิงคนนี้ เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ใกล้ขึ้นธันวาคมอยู่รอมร่อ......วันนั้นผมมีหน้าที่ไปส่งจดหมายตามปกติหลังผ่านการคัดแยกจากที่ทำการไปรษณีย์ที่ผมสังกัดอยู่
พี่หมาย กองนี้ยกไปได้เลย เสียงใสของหญิงสาวหน้าหมวยขานเรียกผมจากโต๊ะสีขาวแนวยาวที่วางพัสดุและปึกจดหมาย ผมพยักหน้ารับรู้ ทั้งที่สายตายังพุ่งความสนใจไปที่แมตช์การแข่งขันฟุตบอลในทีวี เธอขานเรียกผมอีกหลายรอบ ผมจำใจเบนสายตากลับมามองเธออย่างเสียไม่ได้ และจำใจผละจากนัดฟุตบอลกระชับมิตรที่จอทีวีมาอย่างขุ่นใจเล็กๆ เธอช่างไม่เข้าใจหัวอกคนรักกีฬาอย่างผมเลยสักนิดว่าเวลาแพ้พนันบอล มันน่าเจ็บใจสักเพียงใด ผมเดินกลับไปที่โต๊ะตามเสียงเรียก พลางหิ้วกล่องและปึกจดหมายแยกประเภทแล้ว ขึ้นไว้ในอ้อมแขน เดินไปยังมอเตอร์ไซค์คู่ชีพที่จอดอยู่หลังที่ทำการ พอกลับเข้ามา หมวยกำลังรวบรวมกล่องและซองจดหมายอีกปึกใหญ่ให้ผมอยู่ ผมมองปรอยผมที่ปรกหน้าเธอ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก เธอเงยหน้ามองมาพอดี ยิ้มมุมปาก และถามด้วยน้ำเสียงเขินเล็กน้อย มองอะไร พี่หมาย...ยิ้มอยู่ได้
หมวยแหละ มองอะไร คิดอะไรกับพี่รึเปล่า ผมล้อน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ตามประสาผู้ชายปากเปลาะ เห็นพี่จนๆ แบบนี้ พี่เลือกนะครับ! หมวยหน้ามุ่ย ก่อนปาเทปกาวใส่ผม แต่ผมน่ะมันพวกหลบหลีกเก่ง เทปกาวเลยกระเด็นไปกองกับพื้น
ผมยิ้มขันอย่างผู้มีชัย อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแบบนี้ ไม่มองกันเอง แล้วจะให้ไปมองใครที่ไหน เธอหน้าตาเรียบๆ แต่รอยยิ้มทำให้ใบหน้าเธอดูมีอะไรมากขึ้น ผู้ชายหน้าตาพอใช้กระเดียดไปทางธรรมดาอย่างผมมาเจอผู้หญิงหน้าตาเรียบๆ ดูมีอะไรบ้างเวลายิ้ม จะไม่ให้เกิดความรู้สึกสปาร์คกันเลยก็เกินไปแล้วครับ เพียงแต่ว่าเธอมีแฟนแล้ว คนอายุสามสิบกลางๆ อย่างผมก็เลยไม่อยากปีนต้นงิ้วก่อนวัยอันควร ผมจำต้องเก็บความรู้สึกไว้ในใจ รอวันมอบหัวใจโทรมๆให้สาวที่พร้อมกัดก้อนเกลือ รับหนุ่มบ้านนอก คารมดี เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลังคนนี้ไปครอบครอง
พี่หมาย กองนี้ด้วยนะ เธอปลุกผมจากภวังค์ พลางเลื่อนกองพัสดุบนโต๊ะมาให้ผม ผมพยักหน้า แล้วเดินกลับไปแบกถุงผ้าสีน้ำตาลขึ้นบ่า
พี่หมาย ปีใหม่นี้กลับบ้านรึเปล่า? เท้าที่ออกเดินหยุดกึก ผมเริ่มทำหน้าเมื่อยกับคำถามที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี พลางเหล่มองปฏิทินที่แขวนตรงประตูทางออก ตอนนี้เพิ่งจะปลายเดือนพฤศจิกายนเท่านั้นเอง
ไม่รู้สิ ดูก่อน ผมตัดบท ไม่อยากพูดถึง
อ้าว! ทำไมล่ะพี่? หมวยยังคงเซ้าซี้ต่อ
กลับไปก็เท่านั้นแหละ รถติด คนเยอะ น่าเบื่อ ผมตอบอย่างตัดรำคาญ ทว่าคำถามเหล่านั้นยังคงตามรบกวนจิตใจผมอยู่
จะกลับไปทำไม! วันปีใหม่บ้านผม มันวันรวมญาติ บรรดาพี่น้องท้องเดียวกับผมต่างพาเมียพาลูกกลับไปอวดพ่อแม่ พร้อมแข่งกันเบ่งว่าตอนนี้อยู่ซีเท่าไร เงินเดือนกี่หลัก ผมน่ะมันลูกคนท้ายๆ ปัญญาก็ท้ายๆ ไม่มีอะไรจะไปอวดใครเขาหรอก ถ้าผมไม่กลับไปสักคน บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำล่ะมั้งว่ายังมีผมอยู่ สู้ผมเตร่อยู่กรุงเทพฯให้ช้ำใจเล่น ดีกว่าต้องกลับไปตอบคำถามคนละแวกบ้านว่าทำงานทำการอะไร? เงินเดือนเท่าไหร่? เมื่อไรจะมีครอบครัว?
ให้ตายเถอะ! พวกเขาไม่เบื่อกันบ้างรึไง คำถามประจำเทศกาลแบบนั้น!
ผมเยี่ยมหน้ากลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ยิ้มหวานให้สาวสวยที่สุดในห้อง
พี่รีบไปก่อนนะจ๊ะ แล้วจะซื้อขนมมาฝาก ผมไม่ได้โกหก เพราะในห้องพัสดุ ก็มีหมวยคนเดียวนี่แหละที่เป็นผู้หญิง หมวยส่ายหน้ายิ้มขัน ก้มหน้าก้มตาทำงานของเธอไป
ฝากนิยายด้วยนะคะ เป็นนิยายขนาดกะทัดรัด ไม่กี่ตอนก็จบแล้ว ค่อนข้างดรามาเล็กน้อยค่ะ ยังไงรบกวนพี่ๆ เพื่อนๆ ติชมได้นะคะ จะได้ปรับปรุงค่ะ
จากคุณ |
:
เสี้ยวต้น
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ส.ค. 55 14:49:24
|
|
|
|