Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๕ : สู่ชาายแดนหริภุญไชย (ท่อนเริ่ม) ติดต่อทีมงาน

+++ หมู่นี้เนตรวนๆ แฮะ จากที่บอกว่าจะมาตอบเม้นท์ตอนดึกๆ เลยกลายเป็นว่าต้องมารวบตอบทีเดียวเสียอย่างนั้น เฮ่อ+++


บทที่ ๑๕ : สู่ชายแดนหริภุญไชย (ท่อนเริ่ม)


สายน้ำแม่ระมิงค์ที่กว้างใหญ่เริ่มบีบตัวแคบลงเมื่อไหลผ่านช่องเขายาวสุดสายตา เบื้องบนนอกจากแนวหินผาแล้วก็แลเห็นเพียงยอดไม้กับฟ้าสีครามเท่านั้น อันที่จริงหากภาพที่ปรากฏต่อคลองจักษุมีเพียงเท่านี้ ก็อาจทำให้คนเดินทางพอเพลิดเพลินกับธรรมชาติรอบตัวหาน้อยไม่ แต่เพลานี้นายท้ายและคนถ่อเรือกลับต้องออกแรงมากขึ้นเมื่อท้องเรือและแพเริ่มครูดกับทรายใต้น้ำ จนทหารหลายนายรวมทั้งเจ้าชายรามราชทนอยู่เฉยไม่ได้ ต้องโจนลงมาช่วยเข็นเรือด้วย กว่าจะพ้นผ่านแต่ละแก่งมาได้ต่างก็เหนื่อยล้าไปตามๆ กัน  

ร่างสูงเข้ามาด้านในได้ก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หราขวางกลางตั่ง ไม่สนใจสายตาของผู้ใดสักคนแล้ว กิริยานั้นทำให้คนที่มองอยู่ตั้งแต่ต้นเห็นใจอยู่ไม่น้อย ก่อนจะหันไปสั่งความกับมธุที่เพิ่งเข้าผลัดเวรสองสามคำ นางข้าหลวงแสนสวยก็รับคำแล้วเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วและออมเสียงที่สุด ด้วยเกรงจะเป็นการรบกวนเจ้าชายรามราชที่นอนหลับตานิ่งอยู่

“นอนดีๆ สิเจ้าคะเจ้าพี่”

เสียงหวานใสบอกพร้อมกับฟูกนอนที่ยวบลงตามน้ำหนักของคนนั่ง เจ้าชายรามราชส่งเสียงประหลาดออกมาคำหนึ่งแล้วตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตาว่า

“ขอพี่พักสักประเดี๋ยวใจเถิดคนดี เข็นเรือเข็นแพนี่เหนื่อยไม่น้อยเลยนะ”

“รู้เจ้าค่ะว่าเจ้าพี่เหนื่อยนัก น้องก็ไม่ใคร่อยากรบกวนดอก หากว่าเจ้าพี่จักไม่นอนกางแขนขาเต็มที่นอนเยี่ยงนี้ จักให้น้องนั่งมองเจ้าพี่หลับจนเช้าหรือเจ้าคะ”

ปลายเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ คำ 'พักสักประเดี๋ยว' ของเจ้าชายรามราชเคยวางใจได้เสียเมื่อใด เดี๋ยวเดียวของบดีคือจากเพลานี้จวบถึงอรุณรุ่งวันใหม่นั้นหรอก เจ้าชายรามราชทำเสียงจิ๊กจั๊กเบาๆ พลางลืมตาขึ้นมองชายา

“พี่ไม่ใจร้ายเพียงนั้นหรอก แต่...”

“แต่กระไรเจ้าคะ”

พระนางจามเทวีซักเสียงเริ่มดุ สายตากรุ้มกริ่มมีเลศนัยเช่นนี้ไม่เคยไว้ใจได้สักที จำต้องใช้เสียงกำราบเอาไว้ก่อน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะคนนอนเริ่มยกศีรษะตนขึ้นมาก่ายเกยบนตักชายาแล้ว

“พี่เหนื่อยนักแล้ว ขยับตัวไม่ใคร่ไหว วานเจ้าจามเทวีคนดีช่วยประคองพี่ได้ฤๅไม่”

ปากว่าไม่ไหว แต่กิริยาที่ทำช่างค้านกับวาจาหนักหนา ความสงสารเห็นใจที่เคยมีก่อนหน้าถูกแทนที่ด้วยความหมั่นไส้เหลือประมาณ ที่สุดก็กลายมาเป็นปลายนขาคมกริบที่ฝังลงในเนื้อต้นแขนของบดี เล่นเอาคนเจ้าเล่ห์ร้องลั่น

“โอ๊ย เจ็บนะเจ้าจามเทวี กระไรใจร้ายนัก พี่ขอเพียงเท่านี้ก็ต้องหยิกด้วย ดุขึ้นทุกวันแล้วรู้ตัวบ้างฤๅไม่”

“เจ้าค่ะใจร้าย ยังมีแรงร้องนี่เจ้าคะ เช่นนั้นก็หมายว่ามีแรงพอขยับตัวนอนเองได้สิเจ้าคะ”

พระนางจามเทวีบอกหน้าตาเฉย ทำเอาคนที่นอนลูบแขนตนเองอยู่ข้างๆ ทำหน้ามุ่ย ด้วยทุกอย่างผิดแผนไปหมด คิดจะอ้อนเจ้าดวงใจเสียหน่อยกลับกลายเป็นพระนางเธอไม่เห็นใจสักนิด เจ้าชายรามราชขยับพลิกตัวเปลี่ยนมานอนตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือเจ้าตัวหันหลังขวับให้ชายาเสียดื้อๆ พระนางจามเทวีเห็นแล้วก็หัวเราะคิกกับกิริยานั้น

“ตัวออกโต ไฉนใจน้อยนักเจ้าคะ”

“ชายใดไม่น้อยใจ เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่เมียกลับไม่เห็นใจ”

คนฟังขบริมฝีปากกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ เพราะไม่ใช่แค่ท่าทางเท่านั้น แม้แต่วาจายังตวัดปลายเสียงอย่างสตรีแสนงอนด้วย

“ไม่เห็นใจก็คงไม่นั่งอยู่ตรงนี้ ก็ดี น้องเพิ่งวานมธุให้ไปเอาน้ำมาให้ หมายจักเช็ดเนื้อเช็ดตัวคลายล้าให้ เมื่อเจ้าพี่พูดเยี่ยงนี้เสียแล้ว น้องก็จักไปบอกมธุว่าไม่ต้องเอามาแล้ว”

“ใจร้าย”

บดีอุทธรณ์พลางพลิกตัวหันมามองชายาที่แสร้งวางหน้าเฉย หากในใจพระนางเธอแสนขบขันยิ่ง ดวงหน้าเข้มยามนี้มันน่าวานให้มธุเอาเตารีดเข้ามานักเทียว เผื่อรีดแล้วจะดูดีขึ้นมาได้บ้าง

“ใจร้ายหรือเจ้าคะ เช่นนั้นน้องไปดีกว่า”

“ใจดำ” เจ้าชายรามราชประท้วง

“นั่นก็ใจร้าย นี่ก็ใจดำ ไปดีกว่า ไม่อยากฟังผู้ชายเจ้าแง่แสนงอน”

“อย่าไปนะ” คราวนี้คนแสนงอนรีบคว้าข้อมือชายาไว้ทันใด พระนางจามเทวีส่ายหน้านิดๆ อย่างขบขันแกมอ่อนใจเต็มที

“ปากว่าเหนื่อย แล้วดูเจ้าพี่ทำแต่ละอย่างสิเจ้าคะ เจ้าพี่เหนื่อยเพียงกายแต่น้องสิแสนจักเหนื่อยทั้งใจเหนื่อยทั้งกาย”

ฟังคำพ้อนั้นแล้ว คราวนี้คนงอนพลันหายงอนเป็นปลิดทิ้ง ลืมสิ้นกระทั่งคำว่าเหนื่อย เร่งลุกขึ้นมาโอบกอดนางอันเป็นที่รักจากทางด้านหลัง แล้วเกยคางลงบนไหล่ขาวอย่างออดอ้อนแกมง้องอน

“อย่าเคืองพี่เลยคนดี พี่เพียงอยากอ้อนน้องบ้างเท่านั้น ไม่ดีหรือไร น้องจักได้เตรียมตัวไว้ก่อน”      

“เตรียม...เรื่องกระไรเจ้าคะ”

พระนางจามเทวีถามอย่างงุนงงยิ่ง เจ้าชายรามราชอมยิ้มก่อนลูบครรภ์ของชายาพลางบอก

“เตรียมเผื่อวันหน้าเจ้าตัวน้อยอ้อนแม่เยี่ยงนี้บ้าง จักได้รับมือถูกอย่างไรเล่า”

“เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจกายเป็นตรีคูณกระมังเจ้าคะ หากพ่อลูกพร้อมใจกันทำเยี่ยงนี้”

จอมนางบอกกลั้วหัวเราะ หากเจ้าชายรามราชสะดุดหูกับคำว่า 'ตรีคูณ'

“ไยถึงบอกว่าตรีคูณ”


คำถามนี้ทำให้พระนางเธอเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากไป เหลียวมองหน้าบดีที่จ้องมองมาอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ก็ทอดถอนใจ จำต้องยอมบอกความจริงถึงนิมิตอันปรากฏเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าชายรามราชฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดแสนเมื่อยินคำบอกเล่านั้น วงแขนแกร่งโอบรัดร่างชายาจนคนถูกกอดแทบหายใจไม่ออก

“เจ้าพี่ ปล่อยน้องก่อนเจ้าค่ะ น้องหายใจไม่ออกแล้ว”

“ขอษมาเถิดคนดีของพี่ พี่ดีใจนักแล้ว ได้ลูกชายก็ว่าดีแล้ว นี่ยังได้แฝดเสียอีกเล่า”

“ดีใจได้ แต่อย่าอึงไปนะเจ้าคะ น้องไม่อยากให้พี่ๆ ทั้งหลายรู้ความ ทุกวันนี้น้องเดินไปทางใด พวกพี่ๆ ก็แทบว่าจักอุ้มไม่ยอมให้เท้าแตะพื้นอยู่แล้ว หากรู้ว่าได้หลานแฝด ชะรอยว่าคงขังน้องให้อยู่แต่ในเรือนี่เป็นแน่”

เจ้าชายรามราชยังไม่ทันตอบความว่าอย่างไร มธุก็ยกอ่างน้ำลอยด้วยเครื่องหอมเข้ามาเสียก่อน พระนางจามเทวีรีบดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของบดีทันที ครั้นเห็นสีหน้าของมธุที่ไม่ร่าเริงดุจเมื่อออกไปทำให้ผู้เป็นนายทั้งสองอดแปลกใจไม่ได้

“เป็นกระไรไปพี่มธุ ไยทำหน้าเยี่ยงนั้นเล่า”  

นางข้าหลวงคนสวยฝืนยิ้มทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เสคลานเลี่ยงเข้าไปวางอ่างไว้ที่โต๊ะเตี้ยแทน พระนางจามเทวีมุ่นคิ้วก่อนถามเสียงเข้มขึ้น

“พี่มธุ เราถามไยไม่ตอบ”

“ปละ...เปล่านี่เจ้าคะ”

“อย่ามุสา พี่ก็รู้ว่าเราไม่ชอบ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกันแน่”

มธุอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง นางเหลือบไปทางเจ้าชายรามราชหวังจะขอให้ช่วย ก็เห็นฝ่ายนั้นนั่งนิ่งไม่พูดจาว่าอย่างไร ดุจทอดวางอำนาจตนลงไว้ในอุ้งมือชายาจนสิ้น มธุลอบถอนใจบางๆ นางน่าจะรู้อยู่แล้ว ผู้ใดที่ทรงอำนาจสูงสุด  ถึงเพลานี้นางรู้แล้วว่าเหตุใดเกษวดีจึงเกรงพระแม่เจ้านัก ทั้งที่พระนางเธอไม่เคยดุเกรี้ยวกราดข้าราชบริพารเลยสักนิด แต่เพราะนัยน์ตาคมคู่นั้นต่างหากที่ดูเหมือนจะมองลึกลงไปถึงก้นบึ้งหัวใจคู่สนทนา ซ้ำยังมีอำนาจประหลาดบังคับให้คนที่มองสบตายอมเปิดปากพูดในสิ่งที่เก็บงำอำพรางไว้จนสิ้น    

“เมื่อครู่ข้าไปเอาน้ำตามที่พระแม่เจ้าสั่ง” มธุยอมเปิดปากเล่าในที่สุด “ตอนกลับมาพบพี่ปทุมวดีเข้า จึงได้หยุดถามว่าพี่เกษวดีหายหน้าไปที่ใด เพราะวันนี้ทั้งวันไม่เห็นมาถวายการรับใช้พระแม่เจ้า พี่ปทุมวดีจึงบอกความว่า เป็นด้วยนิศาล้มเจ็บเจ้าค่ะ”

นิศาที่มธุขานนามนั้น คือนางข้าหลวงที่เข้ามาถวายตัวเป็นข้าในพระนางจามเทวีมาแต่แรก ได้อยู่ถวายการรับใช้มานานและเป็นหนึ่งในนางข้าหลวงที่เรียกได้ว่าอยู่ในชั้นคนสนิทคนหนึ่งเช่นกัน และการเดินทางครานี้ก็ขอติดตามผู้เป็นนายมาด้วยใจสมัคร

“นิศารึ”

“เจ้าค่ะ ยินว่าอาการไม่สู้ดีนัก พี่จันทรีจึงมาตามพี่เกษวดีให้ไปช่วยดูแล”

คำว่า 'ดูแล' ของมธุนั้นกินความหมายลึกล้ำ เพราะนางข้าหลวงคนใดก็ตามที่ทำให้เกษวดีซึ่งบรรดานางข้าหลวงที่ติดตามพระนางจามเทวีมาครานี้ต่างยอมรับนับถือให้นางเป็นหัวหน้า ต้องผละจากหน้าที่หลักคือการถวายการดูแลพระนางจามเทวีมาหาได้ ย่อมหมายว่าคนผู้นั้นต้องมีอาการหนักอยู่ไม่น้อย พระนางจามเทวีหน้าขรึมลง การล่องแก่งแม่น้ำระมิงค์คราวนี้หนักหนาสาหัสเอาการ ซ้ำที่ผ่านมายังเจอแก่งร้ายเข้าด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับคนเจ็บเลยสักนิด

“นิศาเจ็บตั้งแต่เมื่อใด ไยไม่มีคนมาบอกเราเลย”

“เอ้อ...”

มธุหน้าเผือดลง ยิ่งเห็นสายตาดุจ้องตรงมาก็กลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ รีบก้มหน้าลงไม่กล้าสู้สายตาด้วยนายสาว จอมนางเห็นท่าทีอึกอักของคนสนิทก็ระบายลมหายใจยาว

“ผิดครานี้เรายกโทษให้ แต่คราหน้าหวังใจว่าจักไม่มีอีก ในเมื่อทุกคนร่วมเดินทางมากับเราด้วยใจสมัคร จักให้เรานิ่งเฉยหรือไม่รับรู้นั้นหาสมควรไม่ แต่นี้ไปพี่จงจำคำเราไว้ ไม่ว่าจักเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเพียงใด หากข้องเกี่ยวด้วยความสวัสดีแก่คนเหล่านั้นแล้ว จงเร่งมาบอกเรา”

มธุรับคำเสียงอ่อนอ่อยเต็มที ใช่ว่าข้าราชบริพารจะไม่รับรู้ถึงความเมตตาปรานีและอาทรของพระแม่เจ้า ที่ผ่านมาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดขึ้นเสมอ เพียงแต่ไม่ได้แจ้งแก่พระนางเธอด้วยตัวคนเจ็บและคนอื่นๆ ต่างเห็นว่าเป็นเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย ไม่พึงที่จะนำมาแจ้งให้เป็นที่ระคายเคืองแต่อย่างใด เรื่องที่นิศาล้มเจ็บครานี้ก็เช่นกัน บรรดานางข้าหลวงต่างรับรู้กันทั่ว กระทั่งเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้ เจ้าตัวเริ่มมีอาการทรุดหนักลง เกษวดีกำลังจะนำความมาแจ้งแล้ว หากเป็นคนเจ็บต่างหากที่ยังพอมีสติหลงเหลือห้ามปรามเอาไว้ คนที่เฝ้าดูแลจึงได้แต่จนใจนัก


เสียงเอะอะของใครบางคนดังมาจากทางด้านท้ายเรือ อันเป็นทิศทางของบรรดาเรือนแพที่ติดตามมา มธุสะดุ้งน้อยๆ มิใช่เพราะเสียงที่ได้ยิน หากเป็นเงารางเลือนของใครคนหนึ่งที่คุ้นตาโผล่ทะลุเข้ามาทางด้านข้างเรือก่อนหายวับไป เท่านั้นเองนางก็ล่วงรู้ สิ่งใดเกิดขึ้นที่เรือนแพอันเป็นต้นเสียงนั้น

“บอกเขาให้หยุดเรือสักชั่วสักยามพี่มธุ ใช้เพลา...ไม่มาก”

มธุหันมาตามเสียงนาย ใช่เพียงวาจา แม้แต่สายตาคู่นั้นที่มองสบมาก็บอกชัด พระนางเธอทราบแล้วเช่นกัน ประโยคสุดท้ายคนฟังต่างรู้ความนัย เหตุใดพระนางจึงกล่าวเช่นนั้น  


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 55 21:31:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com