สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 11
|
 |
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12523050/W12523050.html
บทที่ 11
บนระเบียงโถงงานสง่าด้วยร่างอ้อนแอ้นของแม่นางกณิการ์ ท่วงท่าเท้าสะเอวแยกขาแลองอาจดั่งนักรบแห่งคามดารกะมากกว่ายอดหญิงหน่อเนื้อเจ้าฟ้า
เข็มขัดแส้ยังกำแน่นอยู่ในมือที่ร้อนด้วยไฟแค้น ตาเรียวทรงอำนาจแดงฉานดั่งว่าเลือดคั่ง สายลมดับสูญพัดผ่านมาพลิ้วปลายผมแถวบั้นเอว มันกระดกดั่งคลื่นกระเพื่อมกลางท้องน้ำ วจาถูกจิกผมให้ใบหน้าเปรอะคราบเลือดแหงนเงยขึ้นประสานตาดุร้ายของแม่นางหน่อเนื้อ ฟันในปากร่วงไปตอนไหนก็ไม่รู้ นักโทษชั่วไม่รู้สึกเจ็บมากไปกว่าชาทั่วโพรงช้ำ หรืออาจจะเป็นเพราะถูกความแค้นอาฆาตครอบงำจิตพาล จึงพานไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดนั้น
"จงฟัง นับแต่นี้ วจาจิตชั่วถูกปลดออกจากตำแหน่งเขยเจ้าฟ้าด้วยบัญชาแห่งเรา มันคือนักโทษเลวแห่งคามดารกะ รวมทั้งน้องสาวแม่นางแพร เราขอริบคืนตำแหน่งชายาเจ้าฟ้านับแต่บัดนี้"
"ไม่" แม่นางแพรกรีดร้องไม่ยินยอม นางโดนผลักหยาบล้มกระแทกไหล่พี่ชาย แต่ยังสามหาวบังอาจไม่เลิก "เราไม่รับบัญชา คนที่จะริบคืนตำแหน่งชายาเรามีคนเดียวเท่านั้นก็คือเจ้าพี่"
"เจ้าไม่มีเจ้าพี่ เจ้ามีแต่พี่ชายเลวที่ทะเยอทะยาน แล้วเจ้าเองก็มีจิตใจโสมมไม่คู่ควรกับตำแหน่งชายาแม้แต่น้อย"
"ไม่ เราไม่รับบัญชา"
"เจ้าไม่ต้องรับบัญชา แต่จงไปรับโทษในแดนนรกเถอะ"
"แม่นางน่าชัง"
วจาตะคอกเสียงก้องทั่วลาน กระแสกระด้างนั้นมันประกาศถึงความเกลียดชังและอาฆาตแค้นหมดหัวใจ
ตาถลึงแดงฉานแข่งกับแม่นางผู้ทรงอำนาจ ไม่มีทีท่าว่าจะยอมสยบหรือสำนึกในสิ่งเลวที่ทำ ก็สมควรอยู่ที่จะให้แม่นางกณิการ์เดือดดาลจนต้องตวัดมีดสั้นลงมากำราบ
เสียง 'ฉึก' ดังพร้อมกับแรงสั่นพลิ้วของด้ามมีดทองฝังรัตนชาติ หากแต่ปลายคมจมหายเข้าไปก่อความเจ็บปวดในอกใหญ่ วจาแผดเสียงร้อง ร่างกระตุกสะดุ้งเฮือกแล้วหงายหลังเกลือกกลิ้งทรมาน
แม่นางแพรเบิกตาโพลงจนเห็นเส้นเลือด ร่างบอบช้ำตะเกียกตะกายหมายช่วยพยุงพี่ชายที่เลือดไหลโกรกลงจากอก รู้ว่าพี่ชายเจ็บปวดแต่ก็ใจไม่แกร่งพอจะดึงมีดออก มีดเหล็กกล้าเช่นนั้น คมกริบก็สุดแสนปานนั้น หากผลีผลามไป ก็เท่ากับเร่งปลิดชีวิตพี่ชายเท่านั้นเอง
"จงฟังบัญชา แม่นางแพรใจคดคิดวางยาสังหารเจ้าฟ้าจ่าง โทษแม่นางถึงแก่ความตายสถานเดียว ไม่ต้องตรวนโซ่หรือจับขังทรมานแต่อย่างใด ให้ดับสูญเสียเดี๋ยวนี้"
"ไม่" แม่นางแพรพอได้ยินก็สะท้านเฮือก ลืมความห่วงใยพี่ชาย รีบร้องประท้วงร้อนรนเพื่อเอาตัวรอด "ไม่ได้ แม่นางกณิการ์ แม่นางไม่มีสิทธิ์พิพากษาโทษชายาเจ้าฟ้าอย่างเรา ไม่ยอม เราไม่ยอม เจ้าพี่เจ้าข้า เจ้าพี่ น้องถูกรังแกเจ้าข้า"
"ฝ่ายที่ถูกรังแกคือเราต่างหากแม่นางแพรใจโสมม" แม่นางกณิการ์ตวาดกลับเกรี้ยวกราด "เจ้าเข้ามาเสวยสุขในเขตคาม ครองตำแหน่งชายาเจ้าฟ้า หยิบยื่นบารมีส่งเสริมพี่ชายให้ประพฤติอันธพาล เหยียบย่ำรังแกผู้น้อย ลามปามกระทั่งลบหลู่เกียรติแม่นางจงอรเจ้าพี่แห่งเรา"
"แต่โทษนั้นก็ไม่ถึงดับสูญ อย่างมากก็ปลดพี่ชายเรา อเปหิออกจากเขตคาม"
"ดื้อด้านยิ่ง หัวใจของเจ้าสองพี่น้องคงไม่ได้ก่อด้วยเลือดกับเนื้อละกระมัง จึงไม่เกิดความสำนึกหรือรู้สึกใดๆ ต่อความเจ็บปวดของคนอื่น"
"แม่นาง"
"ตัวเจ้ากับพี่ชายเหิมเกริมคิดครองคามดารกะสืบทอดต่อจากเจ้าฟ้าจ่างเจ้าพ่อแห่งเรา สนองแรงทะเยอทะยานด้วยการวางแผนสังหารท่าน ไม่เพียงเท่านั้น วันนี้ยังย่ำยีหัวใจเราด้วยการปลิดชีพแม่ครูยานีแห่งเรา มีประโยชน์อะไรอีกที่เราจะต้องวางเฉยออมชอมต่อไป"
"เราขอพบเจ้าพี่ก่อน"
"เราแม่นางกณิการ์คือหน่อเนื้อเจ้าฟ้าจ่าง บัญชาเราศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่า เจ้าไม่มีโอกาสใดๆ ทั้งนั้น นักรบจงฟัง ลงดาบแก่นาง ซากศพของนางจงลากไปทิ้งไว้ท้ายทุ่งเกษตร หากแร้งกาไม่กิน ก็ปล่อยให้สังขารเน่าเปื่อยและสลายไปเอง"
พอสิ้นคำ เลือดจากลำคอระหงของแม่นางแพรก็สาดกระจายตามแรงตวัดดาบ วจาแผดร้องคลั่งเมื่อเห็นน้องสาวล้มตึง ร่างสิ้นลมแล้วแต่ยังกระตุกเฮือกๆ ตาเหลือกถลน ปากอ้าค้าง สองมือหงิกงอ น้ำตายังไหลเป็นเส้นบางปนกับเลือด
"แม่นางแพร น้องข้า แม่นางแพร"
ร่างอ่อนล้าตะกายมาเกยซากศพแล้วร้องไห้อย่างเสียใจ ก่อนจะตวัดตาอาฆาตขึ้นสบแสงเย็นชาในตาทรงอำนาจของแม่นางน่าชัง
"ข้าขอสาปแช่งเจ้าแม่นางกณิการ์ ข้าจะไม่ยอมพ่ายแพ้แก่เจ้าเพียงเท่านี้ วันนี้อาจเพลี่ยงพล้ำ แต่วันหน้ามันเป็นฤกษ์รุ่งเรืองของข้า เจ้าจงจำข้าไว้ให้ดี"
"วาจาเลวของคนจิตใจชั่วโดยสันดานอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้เราต้องจดจำ"
"แม่นางชั่วร้าย จงฟังคำอาฆาตของข้า แม้ตายเป็นผี ข้าก็จะตามรังควานไม่ให้เจ้าอยู่อย่างเป็นสุข ตราบจนกว่าคามดารกะจะพานพบกับฤกษ์วิบัติหายนะ ข้าขอสาปแช่งด้วยแรงแค้นแห่งข้า"
"จงพกพาแรงแค้นอัปมงคลของเจ้าลงสู่ขุมนรกและหุบเหวนอกเขตคามดารกะเถอะ"
"เจ้า แม่นางชั่ว"
"นักรบอาชาศึกจงฟัง ลากวจาชั่วช้าไปให้ทั่วคาม ร้องประกาศให้ประชาชนได้ยินกันทั่วว่ามันกับน้องสาวเหิมเกริม คิดล้างบารมีเจ้าฟ้าจ่าง ให้ประชาชนลงทัณฑ์ตามแต่ใจปรารถนาไปจนกว่าจะลุถึงหุบเหวปีศาจ แล้วโยนมันลงไป รีรอจนมองไม่เห็นแม้แต่เงาของมันแล้ว จึงค่อยกลับมา"
"ไม่ ข้าไม่ยอม ข้าไม่รับบัญชา เจ้ามันหน่อเนื้อบ้าอำนาจ เจ้าเองต่างหากที่คิดเหิมเกริม ประกาศบารมีข้ามหน้าข้ามตาเจ้าฟ้าจ่าง ยโสว่าเป็นหน่อเนื้อคนโปรด เหลิงลำพองว่าเจ้าฟ้าชราและป่วยไข้ เจ้าต่างหากที่หวังยึดอำนาจ เป็นเจ้า แม่นางกณิการ์ เป็นเจ้า"
ศมะบดกรามเดือดดาลนัก ใจก็อยากจะปรี่ลงไปตบปากนักโทษชั่วที่บังอาจหยาบหยามดูหมิ่นบารมีหน่อเนื้อเจ้าฟ้า แต่เมื่อลอบมองไปทางแม่นาง ก็เห็นว่าร่างอ้อนแอ้นสงบนิ่งอย่างสง่านัก ในเมื่อแม่นางฟังได้ เขาก็ควรจะควบคุมความพลุ่งพล่านไว้
นับแต่นั้นไป ในเขตคามดารกะก็ย้อนคืนสู่ความสงบ ผู้น้อยไม่ต้องคอยระแวงอกผวาว่าจะโดนวจาเขยอันธพาลมารังแก หรือวันดีคืนดีอาจโดนบารมีแม่นางแพรชายาใจคอกลั่นแกล้งอาละวาด
แม้แต่เจ้าฟ้าจ่างก็ดูว่าจะเบิกบานขึ้นในช่วงสุดท้ายของชีวิต และแม่นางจงอรก็ถูกเชิญให้กลับมาเป็นหน่อเนื้อมิ่งขวัญเยียวยาจิตใจทรุดโทรมของเจ้าฟ้าบิดาให้มีความสุขขึ้นก่อนที่จะละทิ้งวาสนากลับสู่สวรรค์
"เป็นบทสรุปที่สวยงามมากเลย"
โชติชลค่อนขอดหลังจากฟังนิทานปรัมปราจบลง ในแววตามันบอกคนเล่าเลยว่าเชื่อน้อยมาก ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ถือสาหรอก เรื่องราวเหล่านี้มันถูกจารึกไว้ในคัมภีร์โบราณเก่าคร่ำคร่า ไม่มีใครพิสูจน์ได้นี่ว่าจริงหรือเท็จ
แต่ก็อย่างว่าล่ะ ในโลกกลมๆ ใบนี้ มันยังมีเรื่องราวน่าอัศจรรย์อีกมากมายซ่อนอยู่ในที่ที่เร้นหูเร้นตา โดยเฉพาะเรื่องที่เหนือธรรมชาติ และไม่มีหลักฐานมายืนยันให้เชื่อ
อย่างน้อยคำถามที่ว่าผีมีจริงหรือเปล่าก็ยังคงเป็นคำถามยอดนิยมที่มีคำตอบแตกต่างกันไปไม่ใช่หรือ แล้วประสาอะไรกับอดีตที่ย้อนไกลไปเป็นร้อยๆ ปีเล่า
"แต่จะว่าไปแล้ว แม่นางกณิการ์คนนี้ก็ไม่เลวนะครับ เด็ดขาดและดุร้ายเกินหญิงเกินวัย"
"เป็นบารมีของแม่นาง" หมอผาบอกเสียงขรึม "แล้วก็มีบารมีแข็งกล้าของแม่นางอชินีคอยคุ้มครองอีกชั้นด้วย ตอนหลังแม่นางเชี่ยวชาญมนตราหลายแขนงอยู่ แม้แต่มนตราสยบพยัคฆ์ในบ้านเกิดของแม่นางอชินี ทั้งที่ทั้งชีวิตของแม่นางไม่เคยได้ล่าเสือสักตัว"
"ก็ดีแล้วละครับ ผมน่ะสงสารเสือมากกว่าสงสารเธอ" โชติชลรีบแสดงความเห็นกึ่งขำกึ่งสยอง
"ทำไมพูดเหมือนว่าแม่นางเป็นคนโหดเหี้ยมดุร้ายเกินเหตุอย่างนั้น"
"ผมหมายถึงจิตใจของเธอมากกว่า นิสัยเธอน่ะไม่ร้ายหรอก ฟังที่อาเล่าเธอก็เป็นที่รักของประชาชนนี่ อ้อ เธอได้เป็นเจ้าฟ้าครองคามดารกะแทนเจ้าพ่อเธอใช่ไหมครับ"
"อืม" หมอผาพยักหน้า "ในยุคของแม่นางกณิการ์รุ่งเรืองมาก ประชาชนกินดีอยู่ดี ไม่มีโจรปล้นฆ่าออกมาอาละวาด ศึกสงครามแผ่ขยายคามก็น้อยลง เพราะแม่นางไม่ค่อยกระหายนัก แม่นางมีความสุขกับความสุขของประชาชนเสียมากกว่า"
"ก็นั่นน่ะสิ ผมถึงบอกว่านิสัยเธอน่ะดี แต่จิตใจเธอไม่ไหว กร้าวเกินไป แถมยังอยู่ข้างในอีก ใครได้แต่งงานด้วยคงซวยพิลึก แล้วก็อย่าบังอาจไปคิดนอกใจเธอเชียว เพราะเราเดาใจเธอไม่ได้เลย"
หมอผาหัวเราะแผ่วก่อนจะหันไปดื่มน้ำ เล่ามาตั้งยาวคอแห้งเป็นบ้า แต่มันก็ยังไม่จบหรอกนะ เพราะเรื่องราวหลังความตายของวจาใจชั่วยังมีต่อไป
แล้วก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของดาวอาสภที่เปล่งแสงจ้า ดั่งจะเตือนในทีว่าความสุขที่รายล้อมอยู่มันก็แค่ชั่วระยะ และคนที่ตระหนักรู้อย่างหวั่นวิตกก็คือพระครูลาพุชนั่นล่ะ
"อ้อ แล้วพ่อหนุ่มศมะละครับ ตกลงว่ามีเหย้ามีเรือนไปกับผู้หญิงอื่น หรือว่าตกล่องปล่องชิ้นกับแม่นางยอดรัก"
"ทะลึ่ง" หมอผาต้องปรามบ้าง หนุ่มหล่อลามปามของสูงไม่เข้าท่าเลย "คนสมัยก่อนเขาไม่เอาแต่ใจตัวเป็นที่ตั้งหรอก เขาคิดเป็นและให้เหตุผลตัวเองเป็นว่าความถูกความควร ความเหมาะความสม มันเป็นเรื่องที่พึงตรองก่อน"
"แหม ผมก็แค่ถามเฉยๆ "
"นักรบองครักษ์ของคนอื่น อาจจะถูกเปรียบว่าเป็นได้ดั่งแขนขา แต่สำหรับองครักษ์ศมะน่ะ เขาเปรียบได้ดั่งชีวิตทั้งชีวิตของแม่นางกณิการ์เชียว"
"โอ้โฮ"
"ไม่ต้องโอ้โฮ เรื่องมันยังมีอีกยาว ไม่ได้จบลงแค่ความตายของแม่นางแพรกับวจาหรอกนะ"
"แล้วสรุปว่าเขาสองคนไม่ได้แต่งงานกัน"
หมอผาสั่นหน้าแล้วขึงตาเหมือนตำหนิ คนหนุ่มหัวเราะเบาๆ ใจก็นึกเสียดายแทนว่าพ่อศมะนักรบวาสนาน้อยไปหน่อย แทนที่จะเกิดเป็นลูกเจ้าฟ้าต่างคาม กลับไปเกิดเป็นลูกชายโทนของพระครูลาพุชเสียได้ ต่อให้รักหมดใจแค่ไหน มันก็ต้องเจอชวดกับชวดล่ะ
ตอนแรกยังนึกว่าคืนนี้จะโทรเล่าตำนานแม่นางกณิการ์ให้สาวครีเอทีฟในดวงใจฟังทั้งคืน
แต่อะไรได้ เรื่องมันพลิกผันไปแล้ว เมื่อเด็กที่บ้านรายงานว่าเธอเดินทางไปแล้ว ซ้ำยังไปตามลำพังด้วย เพราะแฟนหนุ่มติดภารกิจด่วนกับลูกค้า นัดแนะกันว่าจะตามไปสมทบในวันถัดไป โชติชลทำหน้ายุ่งยากใส่กระจก แล้วรีบโทรบอกหมอผาไม่รอช้าล่ะ
"อะไรนะ ออกเดินทางไปแล้วหรือ เมื่อไหร่กัน"
หมอผาถามด้วยความใจหาย นี่เขาช้ากว่าสาวคนนั้นหรือ จะทำยังไงดี ขัดขวางเธอไม่ทันเสียแล้วกระมัง เธอไม่เชื่อคำเตือนของเขา ในขณะที่เขาเห็นนิมิตว่าร่างของเธอมันแดงฉานด้วยเลือดชโลม
"ออกเดินทางตั้งแต่บ่ายแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเธอเปลี่ยนแผนกะทันหัน แต่จะว่าไปแล้ว นี่มันก็นิสัยของเธอจริงๆ นะ ผมรู้จักเธอมาสักระยะแล้ว ก็พอจะเข้าใจอยู่ อ้อ แล้วทีนี้จะทำยังไงกันดี เธอจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเป็นห่วงเธอจัง"
"ไม่รู้สิ ขอบใจที่โทรมาบอก พรุ่งนี้.. "
"พรุ่งนี้ผมจะมารับอาแต่เช้า แล้วเราก็รีบตามไปสมทบกับเธอดีไหม"
'ก็ต้องดีอยู่แล้ว' หมอผาถอนใจพรู เมื่อตอบเนือยๆ ให้ฝ่ายโน้นกดตัดสายไปก่อน ตาขรึมหลุบมองคัมภีร์ไสยเวทย์โบราณที่ยังกางบนโต๊ะ มือก็เลื่อนลูบตัวอักษรหงิกงออีกหลายแถว ใจก็ลังเลว่าจะเชื่อความคิดตัวเองไปเลยดีไหม
มันก็ไม่แน่นี่ว่าสาวครีเอทีฟคนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกับแม่นางกณิการ์ ไม่อย่างนั้น เขาจะเห็นเงาเลือนรางแทรกซ้อนอยู่ในร่างของเธอได้ยังไง
"แต่ถ้าเกี่ยวข้องกันมันก็ประหลาดไปหน่อย" เขางึมงำ มือที่เลื่อนๆ ก็หยุดอย่างลังเลอีก "เรื่องพวกนี้มันก็จบไปเป็นร้อยๆ ปีแล้วนี่ จะสรุปง่ายๆ ว่าแม่นางกณิการ์มาเกิดใหม่ก็ดูจะบังเอิญเกินไป แต่ทำไมเราเห็นแม่นางในตัวของเธอได้"
เมื่อเห็นว่าจิตไม่นิ่ง หมอผาก็เริ่มควบคุมความคิดทั้งหมด แล้วขยับนั่งในท่วงท่าเคร่งขรึม แทนที่จะมาวิเคราะห์ให้ปวดหัว เขาน่าจะหาคำตอบด้วยการนั่งสมาธิ มันอาจจะเร็วกว่า
แล้วถ้าเจอว่ามันเกี่ยวข้องกับสาวสวยคนนั้นจริง ก็อาจจะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง เขาหัวเราะกับตัวเองขณะย้ำออกมาว่า 'ได้บ้างเท่านั้นน่ะ'
รถคันเก่งแล่นฉิวมาดีๆ แต่พอขึ้นเนินมาได้นิดหน่อย จู่ๆ เครื่องยนต์ก็ส่งเสียงรวนเอาดื้อๆ ทั่วทั้งคันสั่นกระตุกกึกกัก คนขับก็พลอยหัวคลอนตัวโยกตามไปด้วย
อึดใจต่อมา ทุกอย่างก็นิ่ง เสียงเครื่องยนต์ก็เงียบ ฤดีดิษถ์ขมวดคิ้วงงจัง เธอพยายามติดเครื่องใหม่อยู่หลายครั้ง บิดจนกุญแจจะหัก แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองจากคุณรถที่รักเอาเสียเลย
"อะไรกันน่ะ นี่มันจะค่ำแล้วนะ ถึงจะเหนื่อยก็ไม่น่าแกล้งกันแบบนี้นี่"
เธอบ่นหงุดหงิดแล้วลงมาสำรวจทิวทัศน์ไม่คุ้นตาด้วยแววตากังวล ก็แน่ล่ะ เธอไม่ใช่คนแถวนี้นี่ แล้วที่ขับลุยเดี่ยวมาก็อาศัยแผนที่ที่มวลผกาเคยเขียนทิ้งไว้ให้
โทรหาผู้ใหญ่ที่บ้านของหล่อน ก็ไม่มีใครรับสายสักคน ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วป่านนี้มวลผกาก็ยังไม่โทรกลับเลย มันผิดปกติมากจริงๆ
เปิดฝากระโปรงไปก็เท่านั้น เธอเป็นสถาปนิกนะไม่ใช่ช่างซ่อมรถ นอกจากเป่าลมพรูระบายความหงุดหงิดแล้ว ก็ทำได้เก่งที่สุดคือเท้าสะเอว แล้วชะเง้อซ้ายขวามองหาตัวช่วย ถนนเปลี่ยวออกขนาดนี้ สองข้างทางก็เริ่มมืดแล้ว อีกฟากก็ขนาบด้วยเหวอีก เดินพลาดพลั้งไปคงร่วงลงไปคอหัก
"โอ้ แล้วนี่ฉันจะทำยังไง" เธอบ่นอีกขณะโทรหาแฟนหนุ่ม "เป็นยังไงล่ะ" ลายสือเอ็ดด้วยเสียงห่วงๆ "ก็บอกแล้วว่าให้รอหน่อย ดึงดันนัก โทรหาตำรวจสิ ผมจะประสานทางนี้อีกแรงนะ"
"ที่นี่ดูวังเวงมากเลย" เธอบรรยายตามที่เห็นและรู้สึก
"ทำใจดีๆ นะดิษถ์ ปืนในรถหยิบออกมาติดมือไว้เลย ไม่ชอบมาพากลอะไรก็ยิงไว้ก่อน เราป้องกันตัวยังไงก็ไม่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว"
"ใช่ ดิษถ์ก็ตั้งใจทำอย่างนั้น แค่นี้ก่อนนะ ดิษถ์เหมือนว่าจะได้ยินเสียงคนน่ะ อาจจะเป็นชาวบ้านแถวนี้ ดิษถ์จะลองขอความช่วยเหลือดู คืบหน้ายังไงดิษถ์จะโทรบอกนะคะ"
"ดิษถ์ ผมรักดิษถ์นะ"
"จริงหรือ ทำไมดิษถ์ไม่รักคุณเลยล่ะ"
"บ้าน่าดิษถ์ นี่ผมให้กำลังใจคุณอยู่นะ ประสาท"
ฤดีดิษถ์หัวเราะร่วน รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อได้คุยหยอกเย้ากับแฟนหนุ่มไปหลายประโยค เธอเป็นผู้หญิงเก่งก็จริง แต่ในบางสถานการณ์ เธอก็รู้จักประมาณตนอยู่ แล้วรถคันเก่งของเธอนี่นะ ไม่อยากคุยเลยว่าควงไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแล้ว มันไม่เคยขี้เกียจเหมือนครั้งนี้เลย
เปล่าหรอก รถคู่ใจมันก็ขยันของมันตามปกตินั่นล่ะ แต่เหตุมันมาจากแรงอาฆาตที่พลุ่งพล่านอย่างลิงโลดของซาตานวจาในโถงชื้นใต้ดินของวิหารวังร้างต่างหาก
มันหัวเราะครืนๆ แทรกความวังเวงออกมา แม่นางแพรก็เผยตัวเลือนรางบนยอดเนิน ทอดตาทื่อไร้แววลงจับร่างศัตรูในกาลอันไกลโพ้นอย่างเคียดแค้น
นางเปล่งเสียงหัวเราะประสานกับพี่ชายซาตาน เสียงมันต่ำๆ กึ่งยืดยาน กึ่งกู่โหยหวน คลื่นเสียงนั้นค่อยๆ ลอยลงมาแทรกเข้าสู่ริมโสตของสาวครีเอทีฟ
ฤดีดิษถ์เม้มปากกังวลเมื่อฟ้ามืดเร็วเกินเหตุ เธอเหลือบขึ้นมองท้องฟ้า เห็นกลุ่มนกกาบินอยู่ไกลๆ มันส่งเสียงร้องแว่วๆ บางขณะสายตากังวลก็เลื่อนไปกระทบกับยอดไม้ที่ปลายเรียวโอนเอนตามสายลมโพล้เพล้ "บรรยากาศมันแปลกๆ นะ เย็นๆ พิลึก"
เธอบ่นแล้วเดินกลับมาที่รถ เอื้อมหยิบปืนพกขนาดกำลังเหมาะมือมาเตรียมพรักพร้อม แล้วเดินเนิบไปตามเนินเตี้ยสูงสลับกัน ชะเง้อเข้าไปในความมืดมองหาแสงไฟจากหน้ารถสักคัน
ลายสือแนะนำให้โทรหาตำรวจ เธอก็ทำตามนะ แต่ว่าด้วยพลังอำนาจของซาตานวจา เวลานี้คลื่นเสียงแสงใดๆ ก็ไม่กล้าแตกหักด้วยหรอก สงบเสงี่ยมและเงียบกริบต่อไปเถอะ
"เอ๊ะ อย่าบอกว่าโทรศัพท์ก็มาพลอยขี้เกียจด้วยนะ มันจะบังเอิญไปหน่อยแล้ว"
เธอเพ่งตามองหน้าจอที่มืดมัวลง แวบหนึ่งก็คิดว่าแบตเตอรี่อาจจะหมด แต่อีกแวบก็แย้งว่าเป็นไปไม่ได้แน่ เพราะตุนพลังงานมาจนเต็มคราบก่อนออกเดินทาง
ขณะพิงสะโพกกับท้ายรถ เธอไม่ทันได้สังเกตว่าบนยอดเนินพลันปรากฏรัศมีสีทองเปล่งปลั่งวูบๆ วับๆ เหมือนแสงหิ้งห้อยหรือหลอดไฟชำรุดที่ติดๆ ดับๆ และที่ยิ่งไม่รู้ไม่เห็นก็ด้วยร่างของท่านศมะที่ปรากฏเลือนรางอย่างช้าๆ นี่ล่ะ ท่านเผยยิ้มอิ่มเอมว่าได้พานพบแม่นางยอดดวงใจอีกครั้ง หลังจากที่เฝ้ารออย่างภักดีมานานนับร้อยๆ ปี
ตาไร้แววเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำสีเงินยวง มันไหลลงพร่างแก้มเย็นชืด แล้วค่อยเปล่งประกายระยิบระยับคล้ายแสงดวงดาวบนท้องฟ้ามืด
อ้อ แล้วก็เป็นที่แน่นอนอีกว่าฤดีดิษถ์ซึ่งยังยืนกอดอกครุ่นหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ท้ายรถกลางความสลัวย่อมไม่มีวันได้ยินเสียงรำพันลิงโลดของท่านศมะในที่เร้นที่ว่า 'ในที่สุดแม่นางก็ย้อนคืนกลับมาตามคำมั่นใช่ไหมเจ้าข้า'
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ส.ค. 55 07:41:43
|
|
|
|