Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 29 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับ เพื่อนนักอ่านทุกท่าน
ล่องกัลปาลัยดำเนินมาถึงบทที่ 29 แล้วครับ ขอบคุณ กิฟต์จากคุณmimny, คุณปุ้ย npuiy,คุณ เรียวรุ้ง,คุณ Hermosa, คุณ wor_lek,คุณ รพิชา,คุณนุ้ย นารีจำศีล, คุณ เพชรรุ้งพราย, คุณไก่ kdunagin, อาจารย์จี GTW, น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, และคุณโอเขมปัณณ์ ครับ


สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12545684/W12545684.html

เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาต่อกันเลยนะครับ


บทที่ 29


            พิธีอัคนิโหตร!


           กองไฟขนาดมหึมาถูกจุดขึ้น ณ หน้าลานกว้างกลางท้องทุ่งแห่งทิศหรดี แนบริมแม่น้ำยมนาอันเป็นลำธารสายหลักที่ทอดผ่านพระนคร


                 เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นเป็นเฉดสีส้มแดงร้อนระอุ จนเหล่านายทหารผู้ทำหน้าที่จุดสุมฟืน ยังต้องล่าถอยออกมาด้วยความกริ่งเกรง ความร้อนที่แผดเผาซากกิ่งไม้ใบไม้ให้กลายเป็นเถ้าถ่านดำสนิทภายในชั่วพริบตา


             และเป็นความร้อนที่จะใช้บำบวงชีวิตน้อยชีวิตหนึ่ง เพื่อถวายเป็นการบูชาแด่องค์เทพอัคนี!


             เมื่อนั้นองค์ราชันย์พรหมทัตจึ่งเสด็จก้าวขึ้นประทับราชอาสน์ อันยกระดับขึ้นเหนือยอดกำแพงเชิงเทินสูงลิบลิ่ว ขณะที่องค์อัครมเหสี เสด็จก้าวลงสู่ปะรำพิธีด้านล่างด้วยพระพักตร์ชุ่มนองไปด้วยน้ำพระเนตร สองกรโอบอุ้มกุมารีมณีเรขา และพระกุมารธามบดี แนบทรวงด้วยความรักและอาลัยยิ่งนัก

 แสนสงสาร นงพะงา ผกามาศ
ทรงกลั้นหยาด อัสสุชล ท้นทรวงหมอง
ดำรัสสั่ง เสนา มาประคอง
ทารกสอง วางลง ตรงกลางลาน

 แล้วก้มลง อัญชุลี ที่เบื้องหน้า
ท่ามผืนฟ้า ผืนดิ้น สิ้นสถาน
ต้องสังเวย ลูกรัก จักเป็นทาน
เสี่ยงประหาร องค์ใด ได้ชี้นำ



             บัดดลผืนฟ้าที่กระจ่างจ้าแห่งแสงตะวัน กลับมืดคลุ้มราวเกิดสุริยคราสขึ้นในทันที ผืนนภาลัยในยามสนธยากาลมืดทึบลงฉับพลัน พร้อมบังเกิดเสียงกระพือปีกร่อนระรัว ส่งเสียงดังเป็นโกลาเหนือน่านฟ้าแห่งทิศหรดี ท่ามกลางแสนมหาประชาชนที่มาเข้าร่วมชุมนุมในราชพิธีอัคนิโหตร ที่ต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงด้วยความพรั่นพรึงและประหลาดใจโดยพร้อมเพรียง


          นั่น...


           ใครคนหนึ่งอุทานขึ้นด้วยความตื่นตระหนก และทุกคนต่างก็ชี้มือตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อความมืดเคลื่อนตัวเข้าแผ่คลุมผืนนภาดล ค่อยแตกกระจายออกจากกัน แล้วบังเกิดเป็นกลุ่มก้อนของวัตถุหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ทยอยกันเคลื่อนตัวโบยบิน เห็นเพียงก้อนหนาทึบเป็นจำนวนนับแสนโกฏิอสงไขย


          ด้วยสีดำที่เกิดขึ้นจากส่วนแผงปีกของพวกมัน....


          ฝูงค้างคาว!!


        องค์พระมเหสีผกามาศทรงถลันตรงดิ่งไปยังตำแหน่งที่วางพระโอรสและธิดาเอาไว้ หากช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อค้างคาวทั้งฝูงพุ่งดิ่งลงมายังตำแหน่งเบื้องล่างเป็นเป้าหมาย


              “ลูกแม่...”


               เสียงกรีดร้องจ้าของทารกผู้ถูกวางไว้บนเบาะด้านขวาของลานเพลิงดังขึ้น พลันหยาดอัสสุชลที่ไหลรินออกมาจากนัยน์ตาเล็กจิ๋วแห่งทาริกาน้อย ก็กลับกลายเป็นอัญมณีสีเหลือบมุกวาววามเป็นที่มหัศจรรย์แก่ทุกผู้ในที่นั้น


              ในขณะที่ทารกพระกุมารผู้ถูกวางบนเบาะฝั่งซ้ายกลับนิ่งเงียบ ปราศจากเสียงร้องใดๆทั้งสิ้น และเมื่อนั้นเอง ค้างค้าวทั้งฝูงก็ปรี่ลงไปยังเบาะแห่งองค์พระกุมารน้อยธามบดี ที่นิ่งเงียบอยู่เป็นเป้าหมาย!


               คล้ายผืนผ้าสีดำสนิทแห่งรัตติกาลที่โผนทะยานเข้าแผ่คลุมร่างพระกุมารจนมืดมิด ก่อนจะเหินหอบร่างน้อยทั้งร่างให้ยกขึ้นเหนือแท่นลานยัญชพิธี แล้วจึงบ่ายบินดิ่งตรงไปยังมหากองกูณฑ์มหึมาด้วยความร้อนแรงเบื้องหน้า...


            ในชั่วพริบตาตะลึงจ้อง ราชันย์พรหมทัต แทบจะโผนทะยานติดตามลงไปในทันทีโดยมิทันระวังองค์ว่าอยู่เหนือเชิงเทินอันสูงละลิ่วของมหาปะรำพิธี หากมหาดเล็กรักษาพระองค์ ก็ปราดเข้ายุดพระวรกายไว้ได้ทันท่วงที ก่อนองค์ราชาจะหลุดร่วงลงไปสู่พื้นปฐพีด้านล่าง


              พระนางผกามาศหวีดร้องสุดพระสุรเสียง หัตถ์เอื้อมคว้าไปยังตำแหน่งที่เหล่าเสนาวางเบาะฟูกพระโอรสไว้เมื่อครู่ บัดนี้เหลือเพียงแคร่เปล่าและรอยอุ่นบนพื้นยามสัมผัสลงไป พระเนตรช้อนขึ้นก่อนจะเบิกกว้าง


              เมื่อนั้นกองเพลิงเริงโรจน์ราวจะมอดไหม้สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า และฝูงค้างคาวนิลกาฬพวกนั้นต่างก็โผผกร่างของพวกมันบินผ่านทะลุเข้าสู่กองเพลิงอันโชตนาการ รวมถึงองค์ธามบดี พระโอรสของพระองค์เอง!


                 “โอ ธามบดี ลูกแม่... ไม่ม์ม์ม์ม์”


              ความโทมนัสสูงสุดในพระทัยต่อภาพอันเกิดขึ้นเบื้องหน้า แม้จักทรงเตรียมพระทัยในการเสี่ยงสัตยาธิษฐานมาแล้วก็ตาม พระนางผกามาศถึงกับทรงสิ้นพระสติสมประดีลงในบัดดล วรกายสูงระหงของขัตติยนารีแห่งวิเทหะ ทรุดฮวบลงต่อหน้าฐานกองกูณฑ์อันร้อนแรง และซบพักตร์ลงแนบธรณี


                โดยมิทันเห็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่า ในเวลาต่อมา!

 เกิดนิมิต อัศจรรย์ กลางควันหมอก
ลอยระลอก อัคคี ปาฏิหาริย์
ฝูงค้างคาว ด่าวดิ้น ที่สิ้นปราณ
กลับบันดาล คืนชีวา น่าอัศจรรย์

 ถลาลิ่ว พลิ้วผ่าน ม่านเพลิงร้อน
ราวจักร่อน นับแสน สู่แดนสวรรค์
แล้วพวยเพลิง เริงโรจน์ ละลายควัน
เบื้องหน้านั้น ก็ประจักษ์ เทพอัคนี!


             ในขณะที่ฝูงค้างคาวที่พุ่งเข้าเผาไหม้ตัวเองจนมอดไหม้เป็นมหาจุณนับร้อยพันตัว ต่างก็พุ่งโผนทะยานโบยบินออกมาจากกองประลัยเพลิง ประหนึ่งบังเกิดชีวิตใหม่


             วรกายสูงตระหง่าน พระฉวีเป็นสีแดงรูปเพลิงกาฬก็ปรากฏขึ้นกลางกองกูณฑ์ เสียงสำรวลร่ากระหึ่มกึกก้อง ในขณะที่ขอบเวหนอันเป็นสีระเรื่อของวงตะวัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มของแรกรัตติกาลแทนที่ องค์เทพอัคนีผู้ทรงเรืองฤทธาทรงผุดขึ้นกลางเพลิงในอุ้งหัตถ์ กลับปรากฏร่างๆหนึ่งขยับไหว


           มันคือค้างคาวทองคำ!!


          “ดูก่อน พรหมทัตราชา”


            เป็นสุรเสียงกระหึ่มก้องกังวานไปในปริมณฑลทั่วทุกทิศานุทิศ หมู่ปวงอาณาประชาราษฏร์แห่งวิเทหะล้วนกรานก้มแนบใบหน้าลงกับพื้น แสดงการคารวะต่อปวงเทพโดยประจักษ์ใจทั้งสิ้นทั้งมวล


              องค์พรหมทัต บัดนี้ทรงเสด็จลงจากราชอาสน์พระที่นั่ง ลงมาประทับเคียงข้างกับอัครมเหสีที่ทรงสิ้นพระสติสมปฤดีอยู่เบื้องหน้าสุดของพระพักตร์แห่งองค์เทพ


                 “ข้าพึงพอใจต่อยัญชพิธีอาระตีอัคนิโหตรที่เจ้ากระทำให้แก่เราในครานี้ยิ่งนัก ดังนั้นข้าจักประทานพรให้แก่เจ้าเป็นข้อแลกเปลี่ยน”


              หัตถ์สีแดงก่ำราวจำหลักขึ้นจากปัทมราชแบออก บัดนั้นเองค้างคาวสีทองอร่าม ก็ขยับกายาบินบ่ายตรงมาสู่องค์ราชันย์ที่ประทับอยู่เบื้องหน้า แล้วร่วงหล่นลงสู่อุ้งหัตถ์ราชันย์ที่แบรับ เมื่อทรงทอดพระเนตร ก็เห็นว่ารูปทรงคล้ายวัตถุถูกจำหลักปั้นขึ้นเป็นรูปค้างค้างกางปีกอันปราศจากชีวิตเฉกที่ทรงทอดพระเนตรเห็นเมื่อครู่


              “นี่คือสุวรรณชตุกา... ค้างคาวทอง ผู้ถือกำเนิดขึ้นใหม่จากธามบดี ราชโอรสแห่งเจ้า... เพื่อแลกเปลี่ยนกับ มหันตภัยแห่งอัคนี วาตะ และชลธี ที่จักบังเกิดขึ้นในอนาคตกาลแห่งวิเทหนคร”


            “เป็นพระกรุณาอย่างยิ่งแก่ข้าพระองค์ และพสกนิกรวิเทหะทั้งปวงแล้ว”


                 “แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า วิเทหนครจะอยู่รอดปลอดภัย จากภยันตรายอื่นใดอันจะมา กล้ำกรายในภายภาคหน้าดอกหนา พรหมทัตราชา”


                   คำตรัสทิ้งท้ายอันเป็นปริศนาแห่งองค์เทพอัคนี ทำให้ราชันย์ถึงกับเลิกพระขนงด้วยความพิศวง


               “ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว... ที่จักบำบวงแก่ข้า ด้วยพระกุมารธามบดี โดยมิได้เลือกมณีเรขา ฉันใด เมื่อเจ้าได้ปลดเปลื้องภัยหนึ่งทิ้งไป ก็ย่อมหมายความว่า เจ้ายอมรับที่จะเผชิญกับอีกเภทภัยหนึ่งเป็นการทดแทนเฉกเดียวกัน


              ดังนั้น เจ้าจักต้องรักษาองค์สุวรรณชตุกาไว้ให้ดี เขาผู้ถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้งจากการบูชาข้า  จะเป็นผู้เดียวที่จักช่วยให้วิเทหะรอดจากภยันตรายครั้งสำคัญในกาลเบื้องหน้า และได้รับการปลดปล่อยในเบื้องอวสาน”


           “ปลดปล่อย?”


        ค้างคาวทอง ล่องฟ้า มาลงหัตถ์
พรหมทัต โอบป้อง ประคองขวัญ
แม้ลูกรัก จักสลาย กายลงพลัน
พ่อยังมั่น รักลูก ผูกพันใจ

 แสนสงสาร โอรส ด้วยบทสาป
กลายสภาพ อมนุษย์ สุดแก้ไข
จึงทูลถาม เทวา ด้วยอาลัย
ทำไฉน ลูกรัก จักคืนกาย?
 

             “ใช่แล้ว นั่นคือการปลดปล่อยคืนกลับสู่สภาพแห่งเจ้าชายธามเฉกเดิม ซึ่งก็จะบังเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเขาได้พบกับ “ทวารันต์... นางผู้ปลดปล่อย” ของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น”


          “ใครเล่าคือนางผู้ปลดปล่อย ข้าพระองค์จะติดตามหาบุคคลผู้นั้นให้พบ”


         เสียงสำรวลร่าดังขึ้นอีกครั้ง ก้องกังวานประหนึ่งผืนพสุธาจักถล่มทลายลง


            “ไม่มีผู้ใดตอบได้ดอก ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้วจากสรวงสวรรค์ และเมื่อถึงเวลานั้น สุวรรณชตุกา และผู้ปลดปล่อย จะได้พานพบกันเอง ด้วยการกระทำของพวกเขาเอง”

เพียงหนึ่งนาง ทวารันต์ อันกำเนิด
จักเลอเลิศ ด้วยบุญญา มหาศาล
นางผู้ปลด เปลื้องบาป สาปศาปานต์
คืนวิญญาณ ธามบดี ที่เป็นไป


         สุรเสียงสุดท้ายกังวานขึ้นก่อนกองกูณฑ์ที่ลุกโชตนาจะดับวูบลงพร้อมกัน เหลือเพียงพวยควันสีเขียวเรืองรองอย่างน่ามหัศจรรย์


           “จงจำไว้ พรหมทัต เก็บรักษาสุวรรณชตุกาให้ดี ให้เทียบเท่ากับมณีเรขา  อย่าให้ผู้ใดได้มีโอกาสครอบครองสุวรรณชตุกาไป รูปสุวรรณแห่งพญาค้างคาวทองนี้ จักปรากฏรูปองค์ได้เฉพาะมณีเรขาผู้เป็นประหนึ่งสหชาติแห่งกันและกันเท่านั้น หากแม้นมันปรากฏเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ผู้อื่นใดเพียงสามครั้งสามคราล่วงแล้ว นั่นย่อมหมายถึงชะตากรรมที่จะบังเกิดแก่ราชอาณาจักรของเจ้า!”


          องค์ราชันย์ ปราดเข้าประคองพระธิดาองค์น้อยในอ้อมพาหาอีกข้างหนึ่ง ก่อนที่ประกายเพลิงสุดท้ายจะดับวูบลง และความมืดมิดก็ปกคลุมลงมารอบบริเวณแห่งนั้น เหลือเพียงสีทองอร่ามของค้างคาวทองที่แผ่ปีกนิ่งงันอยู่ภายใต้อุ้งหัตถ์ บัดนี้ร่างทั้งร่างปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ เสมือนไร้ซึ่งชีวิต เหลือเพียงเหลือบนัยน์ตาอันวาวไวเท่านั้นที่กลอกประกายแจ่มจรัส


             ชะตากรรมแห่งวิเทหะอยู่ในกำมือของลูกทั้งสองแล้ว


              ราชันย์แห่งวิเทหะ ไม่เคยคาดคิดว่า ชะตากรรมที่องค์เทพอัคนีตรัสออกมา จะมาถึงในเกือบยี่สิบปีต่อมา และมาในรูปกองทัพหุ่นพยนต์ของจอมทัพสิงหเมฆินทร์แห่งโรมพิสัย ที่กรีธาทัพเข้าถล่มวิเทหะจนราบเป็นหน้ากลอง


              และจนต้องยอมให้อีกฝ่าย เคลื่อนพลเข้าสู่วิเทหะโดยดุษณี แม้ว่า สิงหเมฆินทร์จะไม่ได้ยึดราชบัลลังก์หาก ข้อเสนอในการขออภิเษกกับเจ้าหญิงมณีเรขา ก็แทบจะไม่แตกต่างกัน


                หากนั่นคือ มรสุมลูกแรกที่ถูกส่งลงมาท้าทายราชบัลลังก์ และชีวิตของชาวเมืองวิเทหะแล้วก็ตาม มรสุมลูกที่สองที่ตรงเข้ามาในเวลาต่อมานั่นต่างหาก ที่พระองค์กลับไม่ทันได้สังหรณ์พระทัยว่า จะนำสิ่งชั่วร้ายตามมาภายหลังจากนั้น รวมถึงชนวนเลือดที่ยาวนาน แสนนานไกลเกินกว่าที่พระองค์เองจะคาดไปถึง


              นั่นคือการปรากฏกายของมาณพหนุ่มจากแดนไกลผู้หนึ่ง เขาผู้เดินทางเข้ามาในพระนครวิเทหะโดยปราศจากอาวุธใดๆทั้งสิ้น นอกจากเครื่องดนตรีที่เรียกขานว่า “ขลุ่ย” เพียงเลาเดียวในอุ้งมือ ไม่ต่างกับวณิพกเข็ญใจผู้หาเลี้ยงชีวิตด้วยเสียงเพลง


                และด้วยท่วงทำนองอันไพเราะยามขับขานลำนำประหลาดหู หากมีพลังอำนาจราวต้องมนตร์สะกดให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มหลงไหล จนเป็นที่เลื่องลือนั้นเอง ได้ชักนำให้บุรุษหนุ่มจากแดนไกลโพ้นถูกนำตัวเข้ามาแสดงสังคีตของเขาต่อเบื้องพระพักตร์


                บุรุษผู้มีนามว่าเศาร์...


               บุรุษผู้ที่พระองค์ไม่เคยรับรู้ว่า เขาผู้นี้เคยพานพบกับเจ้าหญิงผู้เป็นดั่งดวงหทัยมาก่อนแล้ว ในสถานที่อันรโหฐานแห่งราชฐานของพระองค์เอง


           มาณพหนุ่มผู้ที่กุมดวงหทัยของมณีเรขาไว้แต่เพียงผู้เดียว

                ********************


          “ดอกกุหลาบขาว”


             ชายหนุ่มบรรจงหยิบดอกกุหลาบงามที่ปักอยู่ข้างแท่นบรรทมขึ้นมา จรดปลายจมูกลงคล้ายสูดกำซาบสุคันธรสอย่างถือวิสาสะ ดอกกุหลาบสีขาวที่ทรงโปรดปรานเหนือกว่าทุกมวลมาลี


                “เศาร์?”


               เจ้าหญิงมณีเรขาทอดมองบุรุษผู้ประทับนิ่งด้วยรอยยิ้มประหลาด เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าคมคายสมบุรุษเพศ และมีพลังอำนาจทำให้เจ้าหญิงแห่งวิเทหนคร ถึงกับพักตร์แดงระเรื่อด้วยความอุทัจอย่างมิเคยเป็นมาก่อน


            สายตาของบุรุษแปลกหน้าผู้นี้สะท้อนความรู้สึกของเขาอย่างซื่อตรง ชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยเป็นคำพูดเลยแม้สักคำเดียว!


                “ข้าจำได้แล้วว่าเคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือทหารหุ่นพยนต์ทรยศตนนั้นนั่นเอง!”


              บุรุษห้าวหาญที่ทรงลอบทอดพระเนตรจากห้องหอคอยเหนือลานสนามรบหน้าพระราชวัง ท่ามกลางกลุ่มหมอกควันประหลาด ทรงจดจำบุรุษผู้นี้ได้ไม่เลือนลืม ท่าทีทระนงองอาจที่เขาสามารถแหวกผ่านกองทัพอำมหิตของสิงหเมฆินทร์เข้าไปชิงตัวศลภมาณพออกมาเพียงลำพัง และก่อนการเพลี่ยงพล้ำ ที่ทรงตัดสินพระทัยส่งสุวรรณชตุกาออกไปช่วยเหลือ


            ทั้งที่รู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่อันตรายยิ่งต่อพระองค์เองและวิเทหนคร ค้างคาวทองเป็นความลับที่ล่วงรู้เฉพาะกันเท่านั้น ถ้าหากล่วงรู้ถึงอริราชศัตรูย่อมเป็นอันตรายยิ่งทั้งต่อองค์เอง และราชอนุชาธามบดี แต่มณีเรขา ก็ไม่อาจปล่อยเหตุการณ์ร้ายแรงให้บังเกิดแก่บุรุษหนุ่มผู้นั้นได้


              และบัดนี้ เขากลับมาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าพระองค์เอง เรือนกายสูงใหญ่สมบุรุษเพศ และท่าทีอันองอาจมิเปลี่ยนแปร โดยเฉพาะนัยน์ตาคมกล้าคู่นั้น


              ทรงมิทันได้ตรัสถึง “สุวรรณชตุกา” บุรษผู้คมสันงามสง่าก็ทรุดกายลงในระดับเดียวกับสายพระเนตร แล้วชายหนุ่มปริศนาก็สัมผัสอุ้งหัตถ์เย็นเฉียบของพระองค์เองอย่างนุ่มนวล ท่าทางที่เขาแตะสัมผัสลงบนพระวรกายอย่างทะนุถนอมนั้นมิได้แสดงถึงการล่วงเกินด้วยความกักขฬะหรือเจตนาอันหยามหมิ่นใดๆ หากเป็นความพิศวง ราวกับเขามิเชื่อว่า พระองค์เองจักทรงมีตัวตนอยู่จริงเสียมากกว่า


                “เจ้าหญิงมณีเรขา... ในที่สุดข้าก็สามารถเดินทางมาพบกับพระองค์ได้จริงๆ มิใช่ความฝันอีกต่อไปแล้ว”


              น้ำเสียงทุ้มห้าวเปล่งออกมาด้วยความปลื้มปิติแห่งหัวใจ คำพูดของเขาดูผิดแผกจากผู้คนทั่วไปที่เคยพานพบมาก่อน ทว่านัยน์ตาคมกล้าบาดพระทัยคู่นั้นสิเล่า ในยามเจ้าตัวทอดมองมาจับพระวรกายอย่างชื่นชมโสมนัส และเปี่ยมท้นด้วยความรัก ความเสน่หาเต็มตื้น จนมณีเรขามิอาจขยับกายเคลื่อนไหว ซ้ำต้องเบนสายพระเนตรหรุบลงมิกล้าสบ


                 “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใครกันแน่?”


          ด้วยท่าทางเช่นนั้น ทำให้ทรงกล้าที่จะตรัสถามอีกฝ่ายออกไป


         “ข้า... กระหม่อม เป็นมนุษย์”


           เนตรงามราวมฤคี ที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของเขาเอง เริ่มเบนช้อนขึ้นสบด้วยความขลาดอาย


              “น่าขันนัก ท่านพูดราวกับว่าตัวข้าเองมิใช่มนุษย์?”


               เขามิอาจตอบถ้อยคำนั้นได้ กลีบโอษฐ์แดงระเรื่อขยับตรัสขึ้น สุรเสียงแผ่วเบากังวานหวานราวระฆังแก้ว


              “แล้วท่านมาที่นี่ได้อย่างไรกันเล่า ข้าคิดว่าท่านมิใช่คนวิเทหะเป็นแน่แท้?”


               ชายหนุ่มเบิกรอยยิ้มอย่างเอ็นดูขึ้น ในท่าทีอันช่างซักช่างเจรจา เมื่อเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น ทุกท่วงท่า ทุกอิริยาบถของเจ้าหญิงน้อยมณีเรขา ไม่ต่างกับเด็กหญิงตัวน้อยช่างพูดช่างถามด้วยความสงสัย


               “ข้าคือวณิพกจากแดนไกลโพ้น ดินแดนที่ขอเรียกว่าอิสรภพ แผ่นดินอิสระเสรีเหนือการควบคุมลิขิตของผู้ใด และ ณ ที่นั้นยังมีเรื่องราวอีกมากมายเหลือเกินที่ไม่อาจกราบทูลให้พระองค์รับฟังได้หมดสิ้น”


             คำพูดนั้น ยิ่งกระตุ้นเร้าความสนเท่ห์ในราชหฤทัย จนต้องตรัสถามขึ้นมา


                    “หากเป็นเช่นที่ว่ามาแล้ว ท่านก็จงเล่ามาสิ ข้ายินดีจะรับฟัง แดนดินอิสรภพที่ท่านจากมา เหมือนกับวิเทหนคร หรือไม่?”


             ท่าทีกระตือรือร้น พระเนตรสุกสกาวดุจแสงดาวประกายเจิดจรัส ทำให้เศาร์มิอาจปฏิเสธอีกต่อไป เขาเล่าเรื่องของตัวเองระหว่างที่เจ้าหญิงมณีเรขา ทรงรับฟังด้วยความสนพระทัยยิ่ง เศาร์รับรู้แต่เพียงความรื่นรมย์ชื่นบาน ในช่วงเวลานี้ ไม่อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบสิ้นลง มีเพียงเขาและมณีเรขา นางในความฝันที่กลายเป็นความจริงในปัจจุบันกาล ด้วยฤทธาแห่งกัลปาลัยมหัศจรรย์ที่นำพาเขาให้เดินทางผ่านเข้ามาสู่จินตนาการของตนเอง


              และเสมือนกาลเวลาทุกอย่างถูกกำหนดให้หยุดนิ่ง... ชั่วนิรันดร


             ในโลกที่หยุดนิ่ง ระหว่างคนทั้งสอง มิอาจรับรู้ได้เลยว่า ยังมีบุคคลที่สามซึ่งลอบฟังการสนทนาด้วยหัวใจอันจดจ่อ


                แต่แรกก็เกิดขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวิสัย จากนั้นความฉงนฉงายสงสัยก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป เมื่อสดับเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มผู้นั้น


              ผู้ใดกันหนอที่ลักลอบเข้ามาพบมณีเรขาในยามวิกาล?


                 พยายามหักห้ามใจสุดชีวิต ที่จะมิผลักบานประตูด้านนอกเปิดเข้าไป สู้อดทนเก็บงำความใคร่รู้ที่ล้นปรี่เต็มทรวง ระหว่างค่อยๆแง้มทวารบานใหญ่ให้เลื่อนออกช้าๆ แล้วเมียงใบหน้าผ่านเข้าไป


               เมื่อนั้นเองหัวใจของผู้ลอบฟังก็ตื่นระทึกจนแทบเต้นออกมานอกทรวงอก เมื่อเห็นเรือนกายและใบหน้าของเขาชัดเจน


                   ภาพนั้นจำหลักลงกลายหทัยโดยมิเปลี่ยนแปรอีกต่อไป ซ้ำยังก่อความริษยาให้บังเกิดขึ้นต่อเจ้าหญิงมณีเรขาจนแทบไม่อาจรำงับพระทัยได้


                หัตถ์แห่งเจ้าหญิงหิรัญรัศมีแห่งวิเทหะ จึงเผลอกำแน่นอย่างลืมองค์...

             *********************

ตอบเพื่อนนักอ่านครับ

คุณแก้ว : ช้าหน่อยครับ ช่วงนี้ งานราษฏร์ งานหลวงเพียบบบ เลยครับ

คุณmimny : ชะตากรรมของค้างคาวทอง เพิ่งเริ่มต้นนี่แหละครับ

คุณ scottie : ธามคือเจ้าชายธามบดี ค้างคาวทองครับ หรือองค์สุวรรณชตุกาในนิทานนั่นเอง

คุณnasa nasa : เลือกสิ่งหนึ่ง เพื่อต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งครับ

คุณรักลูกมากมาย  : ฝากติดตามไปด้วยกันนะครับ ครึ่งทางมาเกือบค่อนแล้วครับ

อาจารย์จี : เรื่องนี้บทบาทโหรหลวงสำคัญเลยครับอาจารย์ ทำให้ชะตากรรมของตัวละครต้องเป็นไปในรูปนี้เลยครับ

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 55 16:12:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com