20
นภัสรินทร์ออกจากที่ทำงานหลังจากรังสรรค์เล็กน้อย และขับรถไปที่บ้านกุลโยธา การจราจรหนาแน่นทุกวันแม้จะเป็นวันพฤหัส เธอจึงไปถึงตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง เลยเวลาที่นัดกับพ่อเลี้ยงไว้ กิริยารีบร้อนลงจากรถต้องชะงักเพราะเห็นรถอีกคันที่คุ้นตาจอดอยู่
รถของเอกสิทธิ์
พอจะเข้าใจความหมายของการชวนกินข้าวที่บ้านได้ลาง ๆ แต่สิ่งที่เป็นก้อนถ่วงในท้องและกระตุกใจคือบุคคลที่จะมาพร้อมชายหนุ่ม
นภัสรินทร์ตั้งสติแล้วเดินเข้าบ้าน
ที่ห้องรับแขกมีทั้งหมดสี่คน ชายสามและหญิงอีกหนึ่ง เธอหายใจได้โล่งขึ้นเมื่อไม่เห็นวีรญา มีเพียงเอกสิทธิ์กับยงยุทธพ่อของเขา แต่บางทีเธอผู้นั้นอาจจะอยู่ในมุมที่มองไม่เห็น
“รินมาแล้ว”
“ขอโทษที่มาช้าค่ะ”
นีรนารถเหยียดยิ้มหยามกับคำขออภัยของเธอ นภัสรินทร์มองผ่าน ขอแค่พ่อเลี้ยงพูดว่าไม่เป็นไร ท่าทางตำหนิของสาวน้อยจอมยะโสก็ไม่มีความหมาย
“ไม่เป็นไร พอดีนั่งคุยกันไปเรื่อย ๆ น่ะ วันนี้พ่อเชิญลุงยุทธกับเอกมากินข้าวที่บ้านด้วย รินสะดวกนะ”
มาถึงขั้นนี้จะให้ตอบอย่างไรล่ะ นภัสรินทร์คิด เธอส่งยิ้มหวาน
“แล้ววี...”
“อ๋อ พี่ชวนวีแล้ว แต่ไม่ยอมมาด้วย สงสัยจะเหนื่อย”
คราวนี้นภัสรินทร์หายใจได้คล่อง คงเป็นเพราะวีรญาไม่รู้ว่าเธอก็ถูกชวนมาที่นี่ด้วย คงคิดว่ามื้อเย็นคงเป็นเรื่องธุรกิจระหว่างสองครอบครัวเท่านั้น
“งั้นเดี๋ยวรินขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ ตั้งโต๊ะเลยก็ได้นะคะ แป๊บเดียว”
เธอบอกแล้วก้าวยาว ๆ ขึ้นชั้นสอง รังสรรค์กับยงยุทธมองตามด้วยสีหน้าเป็นมิตรและเอ็นดู
มื้ออาหารมีนีรนารถร่วมโต๊ะ บรรยากาศสบาย ๆ แต่เป็นของผู้ใหญ่เสียมากกว่า แม้ผู้อ่อนวัยจะเข้าสนทนาก็มีแค่เอกสิทธิ์ ส่วนหญิงสาวสองคนไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งนีรนารถแทบจะไม่มีส่วนร่วม เธอปั้นหน้าเรียบตลอดเวลา นานทีจะยิ้มเมื่อตอบผู้ใหญ่ นอกจากนั้นก็นิ่ง แต่รักษามารยาทไว้ไม่ให้ใครสังเกตว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าคนร่วมโต๊ะบางคนถึงเข้าขั้นเกลียด
เมื่อหัวข้อเรื่องเข้ามาสู่การทำงาน
“หนูนารถล่ะ จะมาช่วยพ่อเมื่อไหร่”
“เดือนหน้านี่ล่ะ ตอนแรกเขาขอจะทำตอนปิดปีใหม่ แต่เห็นบอกว่ามีธุระที่มหา’ลัย ทางโน้นนิดหน่อยก็เลยให้เขาจัดการให้เสร็จก่อน” รังสรรค์เป็นฝ่ายตอบก่อน ลูกสาวเห็นว่าบิดากรุยทางไว้ให้จึงเดินต่อ
“จริง ๆ ไม่ใช่ธุระเรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ไปแป๊บเดียวก็กลับ แต่พ่อบอกว่าไม่อยากให้เข้ามาทำงานแล้วต้องลาหยุดไปช่วงโปร มันดูไม่ดี นารถเองก็ไม่อยากให้ใครว่าด้วย”
นภัสรินทร์ฟังอยู่และอดทึ่งไม่ได้ในคำตอบนั่น ความจริงนีรนารถก็ฉลาดไม่เบา โดยเฉพาะถ้ามีพ่อคอยหนุนหลังแบบนี้ดูว่าเธอจะมีความมั่นใจมาก แต่ยามอยู่คนเดียวก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กเอาแต่ใจ เพราะในความเป็นจริงเรื่องการทำงานนั้นตัวนีรนารถเองต่างหากที่เป็นฝ่ายขอเลื่อนการเริ่มต้นออกไป
อิ่มของคาว เจ้าบ้านให้คนรับใช้ยกผลไม้ออกมา นีรนารถขยับเก้าอี้
“พ่อคะ นารถขออนุญาตขึ้นห้องก่อนได้ไหมคะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่กินผลไม้เหรอ”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าค่ะ นารถรู้สึกปวดหัว ขอตัวไปนอนพักแล้วกันนะคะ” เธอหันไปทางผู้มาเยือน “ขอโทษลุงยุทธกับพี่เอกด้วยนะคะที่ไม่ได้อยู่คุยด้วย”
“ไม่เป็น หนูนารถไปพักเถอะ”
ยงยุทธพูดอย่างไม่ติดใจ เอกสิทธิ์ได้แต่ยิ้ม หากในดวงตาของเขาส่องประกายบางอย่าง คล้าย ๆ กับดีใจที่เธอจะไม่อยู่ ชวนให้สงสัย แต่เมื่อเอ่ยปากแล้วประกอบกับไม่อยากเผลอหลุดกิริยารังเกียจนภัสรินทร์ออกไป จึงขอตัวและเดินออกมา
พอมาถึงบันไดก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองและเงี่ยหูฟัง แต่ไม่ได้ยินอะไรชัดเจนนักจึงสะบัดหน้าและไม่สนใจอีก
เหลือเพียงสี่คนก็ไม่ทำให้การพูดคุยสะดุด เพราะประเด็นเรื่องงานทำให้ทั้งหมดคุยกันได้ไหลรื่น จนเวลาผ่านไปสักพัก เอกสิทธิ์เหลือบมองยงยุทธ ผู้เป็นพ่อมียิ้มจางกลับมา
“ชักจะง่วงแล้วสิครับเนี่ย สงสัยอิ่มมากไป” เอกสิทธิ์พูดพลางทำตาปรือ
“น่าเกลียดนะเอก ทำเป็นเด็กกินแล้วนอนไปได้”
“แม่ครัวที่นี่ฝีมือไม่ตกเลยนะครับ แบบนี้เห็นทีเราจะต้องมาฝากท้องกันบ่อย ๆ แล้วมั้งครับพ่อ” ชายหนุ่มชมเจ้าของบ้านและหันไปขอความเห็นจากพ่อ
“แกมาคนเดียวก็แล้วกัน พ่อต้องกลับไปกินกับแม่แก”
รังสรรค์หัวเราะ “ตามสบายเลยเอก จะมากินอีกเมื่อไหร่ก็ได้”
นภัสรินทร์นิ่งฟัง มีความหมายแฝงอยู่ในบทสนทนานั้น และแน่ใจเมื่อยงยุทธพูดประโยคถัดมา
“ถ้างั้น...จะฝากลูกชายไว้ที่บ้านนี้สักคนจะรังเกียจไหมเนี่ย”
นี่เองจุดประสงค์ของการมากินข้าวเย็นในวันนี้ มิน่าเล่าพ่อถึงได้ถามย้ำนักหนาว่าเธอมีธุระที่ไหนหรือไม่ หากตอบว่ามีก็คงเลื่อนการพบปะออกไป
บางทีเธอก็คาดเดาอยู่แล้วว่าคำขอนี้จะเกิดขึ้นสักวัน หากพอได้ยินก็อดจะสั่นไหวไม่ได้ ในช่วงเวลาที่พื้นที่หัวใจเริ่มมีชายผู้ซึ่งเพียรพยายามมาเบียดขอมีส่วนร่วมความรู้สึกที่ด้านหลัง กลับมีชายอีกคนมาส่งดอกไม้ที่หน้าประตูบ้าน
ต่อหน้าผู้มีบุญคุณของเธอ
“ผมน่ะไม่รังเกียจหรอกครับ เราก็คนกันเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่ผมไม่ใช่คนรับฝากโดยตรง ต้องถามเจ้าตัว
จบคำตอบนั้น เอกสิทธิ์มองนภัสรินทร์ หญิงสาวไม่แสดงความรู้สึกหรือพูดอะไร แววตาอาจจะไหวน้อย ๆ เขาอ่านไม่ออก แต่อย่างน้อยไม่มีคำปฏิเสธก็มีชัยไปกว่าครึ่ง
นภัสรินทร์พยายามไม่มีปฏิกิริยา ไม่ยิ้มแต่ก็ไม่บึ้งตึง และเงียบ จนบรรดาคนที่รอรู้ว่าตนจะไม่ได้คำตอบทันที รังสรรค์เป็นฝ่ายตัดบท
“เดี๋ยวคงต้องให้รินกลับไปคิดหรือขยับที่ขยับทางดูก่อนว่าพอจะรับฝากเอกได้หรือเปล่านะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่รีบ” เอกสิทธิ์พูดอย่างเข้าใจแล้วส่งยิ้ม ก่อนที่ทั้งหมดจะพูดเล่นกึ่งแซวกันอีกสักพัก จนเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปมากแล้วก็ขอตัวกลับ
เอกสิทธิ์กับยงยุทธมีรอยยิ้มในสีหน้า แม้ว่าจะยังไม่ได้คำตอบ แต่ดูเหมือนว่าเขาได้ปลดเปลื้องภาระในใจไปแล้ว กลายเป็นว่านภัสรินทร์เองที่ต้องแบกภาระนั้น อย่างน้อยในสายตาของพ่อเลี้ยงก็มีความหวังบางอย่าง
“ค่ำแล้ว รินค้างที่นี่ก็แล้วนะ ดึก ๆ ดื่น ๆ ขับรถอันตราย”
“ค่ะ”
หมายความว่าเธอมีเวลาหนึ่งคืนในการเตรียมคำตอบสินะ หญิงสาวคิดขณะเดินเข้าห้อง ก่อนจะเปิดประตูเธอเหลือบมองไปยังปีกอีกฝั่ง ที่ซึ่งเป็นห้องของนีรนารถ ตอนนี้ประตูปิดอยู่
นภัสรินทร์เกือบ ๆ จะแน่ใจว่า น้องสาวต่างสายเลือดคงมีส่วนในสถานการณ์นี้ของเธอ อย่างน้อยก็มีคำพูดหรือการกระทำใดเป็นการกระแซะความคิดของผู้เป็นพ่อเรื่องปัญวิชช์ พ่อไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอเลย
หญิงสาวเข้ามานั่งในห้องนอน ที่สำคัญกว่าว่าเหตุคือใคร คือเธอต้องเผชิญหน้ากับผลของมันพรุ่งนี้ต่างหาก
รุ่งเช้า นภัสรินทร์ตื่นเร็วเพื่อเตรียมตัวไปทำงานอีกอย่างน้อยครึ่งวันก่อนจะออกเดินทาง และเลี่ยงการพบปะกับนีรนารถซึ่งอาจจะจุดฉนวนลับฝีปากกันอย่างไม่จำเป็นอีก พอเข้าไปในครัวก็เป็นพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ก่อนแล้ว บุญแม่บ้านใหญ่ก็อยู่ด้วย แต่เธอไม่สนใจ ยิ้มให้คนที่ควรจะทักทาย
“วันนี้พ่อตื่นแต่เช้า” เธอกึ่งทักกึ่งถาม รังสรรค์มองตอบอย่างเอ็นดู
“รินรีบหรือเปล่า กินกาแฟกันก่อนสิ”
นภัสรินทร์เห็นว่าพอมีเวลาจึงตกลง รังสรรค์สั่งบุญชงกาแฟให้ อีกฝ่ายหน้าตึงตาวาว นภัสรินทร์ซ่อนยิ้ม เดินไปที่เคาทเตอร์ “เดี๋ยวรินทำเองก็ได้ค่ะ รินจะปิ้งขนมปังด้วย อยากกินขนมปัง”
บุญทำท่าจะละมือทันที แต่รังสรรค์ก็พูดทันควัน
“ให้บุญทำเถอะ เดี๋ยวรินออกไปกับพ่อตรงซุ้มดีกว่า เสร็จแล้วให้บุญยกตามไป ของฉันขอชาอีกแก้วนะ” เขาออกคำสั่งและเดินออกไปโดยไม่รอให้มีการโต้แย้ง
นภัสรินทร์เหลือบมอง ยกไหล่และจุดยิ้มมุมปากนิด ๆ ว่าเธอต้องทำตามคำสั่งของพ่อเลี้ยง และเดินตามผู้อาวุโสออกไปอย่างรื่นรมย์ ทิ้งให้แม่บ้านใหญ่กัดฟันด้วยความโกรธจัด
ทั้งสองมานั่งที่โต๊ะ พูดเรื่องดินฟ้าอากาศกันไม่กี่คำบุญก็ยกกาแฟมาเสิร์ฟ จนแม่บ้านใหญ่ลับตาไปสักพัก รังสรรค์ก็ถามเรื่องที่หญิงสาวจะไปเยี่ยมท่านจรัส
“รินยังไม่ได้จองตั๋วกลับค่ะ แต่คิดว่าคงจะเป็นวันอังคาร”
“อืม เอาตามรินสะดวกเถอะ เดี๋ยวพ่อดูงานให้ รินจะได้พักผ่อนบ้าง ไม่ได้ไปไหนมาตั้งนานแล้วนี่นา”
เธอยิ้มขอบคุณ ต่างฝ่ายต่างเพลินกับเครื่องดื่มกันอีกสักพัก นภัสรินทร์ไม่ต้องการรอและคาดเดา
“พ่อมีอะไรจะคุยกับรินหรือเปล่าคะ”
“ก็คุยกันอยู่นี่ไง”
“หมายถึงเรื่องบางเรื่องที่พิเศษน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นพ่อไม่ตื่นแต่เช้ามานั่งรอรินหรอก ใช่ไหมคะ”
รังสรรค์ยิ้มกว้าง เขาพอใจมากกว่าขัดเคืองที่ถูกลูกเลี้ยงล่วงรู้ความในใจ
“ก็มีอย่างที่รินพูดจริง ๆ นั่นแหล่ะ ถ้ารินจับไต๋พ่อได้แบบนี้ก็คุยกันตรง ๆ เลยแล้วกันนะ” เขาสบตาคู่สนทนา “รินคบกับเอกอยู่หรือเปล่า”
คำถามนั้นเหมือนนักกีฬาที่วิ่งเร็วเพียงเสี้ยววินาทีเข้าถึงสมอง “ทำไมเหรอคะ”
“ก็เรื่องที่เขามากินข้าวเมื่อวานแหล่ะ รินคงรู้ว่าเอกเขาให้พ่อมาทาบทามริน”
มวลอากาศเปลี่ยน หญิงสาวพยายามไม่แสดงอาการ
“เท่าที่ดู พ่อเห็นว่าเอกกับรินก็สนิทกันดี ถ้ารินไม่รังเกียจเอกและรับคำขอแต่งงานกับเขาพ่อว่าดี มันดีกับเราสองครอบครัวด้วย รินเข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม”
“เข้าใจค่ะ”
นภัสรินทร์พยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น หรือเป็นที่ผ่านมาเธอปฏิบัติกับบริษัทกุลโยธาราวกับสินค้าชิ้นหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เป็นสินค้าของพวกเขาด้วยอย่างไม่รู้ตัว พอตบแต่งเพาะบ่มได้ที่ก็ขึ้นราคาขาย มีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ ถึงจะเตรียมตัวมาทั้งคืนแต่ก็ยังรู้สึกหวิวไหว น้อยเนื้อต่ำใจ เธอเกลียดความรู้สึกนี้
พ่อเลี้ยงคงเห็นว่าเธอเงียบและดูเกร็งจึงพูดขึ้น “แต่พ่อไม่ได้บังคับอะไรรินนะ แล้วแต่ริน เพราะนี่เป็นชีวิตของริน พ่อแค่คิดว่าทางเลือกนี้ดี แต่ท้ายสุดก็ต้องแล้วแต่รินนั่นแหละ” นภัสรินทร์ตั้งสติได้แล้ว ผ่อนลมหายใจ อย่างน้อยก็ยังไม่ปิดทางออกเสียทีเดียว ถึงเธอจะไม่รังเกียจเอกสิทธิ์ แต่ความรู้สึกนั้นยังไปไม่ถึงคำว่า ‘รัก’ หรือแม้แต่คำว่าชอบเลย
“รินขอไปทำธุระก่อน เสร็จแล้วจะกลับมาคุยเรื่องนี้กับพ่อจริงจังอีกทีก็แล้วกันค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าคนฟังไม่ผิดหวัง อย่างน้อยเพราะเธอไม่ได้ปฏิเสธ หรือให้คำตอบผ่าเปรี้ยงไปว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วนั่นเอง
คนรัก...พอคิดถึงคำนี้ปุ๊บ ใบหน้าปัญวิชช์ลอยเข้ามาปั๊บ นภัสรินทร์ตัวแข็ง กะพริบตา และหัวใจก็เต้นแรงราวกับรับสัญญาณจากสมองได้ ช่วงเวลาที่เธอรอคอยความคิดเห็นของอีกฝ่ายช่างยาวนานราวกับคำสั่งประหาร
“ก็ดี งั้นรินก็ไปเที่ยวให้สนุกแล้วกัน กลับมาคุยกันคงจะสะดวกกว่า”
รังสรรค์ตอบในที่สุด
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
29 ส.ค. 55 11:05:20
|
|
|
|