ซองจดหมายควรจะเลือกแบบทนๆ อยู่ได้นานๆ ส่งแบบด่วนจะสะดวกกว่า เมื่อจดหมายส่งมาหาตัวเราเอง ก็ไม่ต้องเปิดอ่านปล่อยไว้แบบนั้นเก็บไว้ให้ดี จดหมายจะมีตราประทับวันส่งวันที่รับเพื่อยืนยันว่างานนี้เราเป็นคนเขียน มีหลักฐานการทำงานวันไหนเพื่อยืนยันสิทธิ์ เพราะบางทีอาจมีคนนำผลงานเราไปใช้โดยไม่บอกเรา หากมีการยืนยันลิขสิทธิ์เราจะมีหลักฐานเวลาการทำงานจากจดหมายที่ส่งให้กับตัวเอง
(อันนี้ เพียงเปรียบเทียบเป็นตัวอย่าง ไม่ได้เจาะจงแน่นอน) สมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน สมัยก่อนพิมพ์อย่างน้อยต้อง 2.000 เล่มขึ้นไป (15 x 2.000 = 30.000 ) ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องแพล็ตทำแม่พิมพ์ คิดราคาบวกเพิ่ม 10.000 ตกแล้วรวมประมาณ 40.000 สมัยนี้ มีระบบพิมพ์จำนวนน้อย 100 เล่มก็พิมพ์ได้ น่าจะตกไม่เกิน 4.000 บาท ติดต่อสายส่งหนังสือได้เลย หากขายหมดแบบเทน้ำเทท่าก็สั่งพิมพ์เพิ่มใหม่ได้อีก สำหรับเรื่องราคาก็ลอง บวกลบเองดูว่า ตั้งราคาขายเท่าไรจึงจะคุ้ม ส่วนมากจะตั้งไว้ เท่าตัวจากราคาค่าพิมพ์ 15 บาท ขาย 40 บาท (หรืออาจเพิ่มขึ้นนิดหน่อย) หักค่าสายส่งน่าจะเหลือเล่มล่ะ 30 บาท สำหรับเรื่องผลการค้ากับสายส่งตกลงกันให้เข้าใจอีกทีว่าได้รับค่าขายตอบแทนแบบไหน แต่เห็นบอกว่าจะคิดยอดขายให้หลังจาก 3 เดือนไปแล้ว ปกติเมื่อเขียนหนังสือออกไปแล้ว เมื่อมีเล่มแรก จะมีเล่มสองตามมา ระหว่างที่รอเวลา 3 เดือน ควรจะเขียนเล่มที่สอง ลองเขียนแบบฉีกแนวออกไปแบบเดิมๆสักนิด เมื่อเล่มที่สองเสร็จหากยังไม่ครบ 3 เดือน ก็ลองพิมพ์เล่มที่สองออกไปขาย ช่วงวางขายเล่มที่สอง จะเริ่มเข้าสู่เดือนที่สาม ตอนนั่นเราจะได้เห็นผลงานของเราว่าไปได้แค่ไหน หากขายดีแบบเทน้ำเทท่ามีการสั่งให้พิมพ์เพิ่ม นั่นคือผลงานเราตลาดต้องการแนวนี้ แต่หากเป๊กรอดูยอดขายเล่มสองเพราะเล่มสองเราฉีกแนวการเขียน ช่วงนี้อาจจะรอ หรือว่างมากๆ ก็เขียนเล่มที่สาม เมื่อเสร็จเล่มที่สามจบก็น่าจะครบเวลาของยอดขายเล่มที่สอง ลองนำผลงานทั้งสองเล่มมาเปรียบเทียบกันว่าแนวไหนโดนตลาด ก็จับจุดนั้นไปตกแต่งเพิ่มเติมใหม่ในเล่มสามที่กำลังทำอยู่ (เป็นนักเขียน ต้องแทรกบทใหม่ลงกลางเรื่องได้และย้อนกลับไปแก้ไขส่วนต่างๆที่แทรกลงไปใหม่ให้กลมกลืนลงตัว สรุปง่ายๆคือ เล่มที่สามคือแบบโครงร่างที่สมบูรณ์แล้วแต่ปรับปรุงแก้ไขใหม่เพิ่มเติม) คราวนี้เราจะได้ไอเดียมองแนวตลาดออกว่าควรเดินไปทางไหน ยอดขายบางทีอาจไม่ได้สรุปว่า ยอดขายมากคือคนชอบมาก เพราะบางทีคนที่ชอบแนวเล่มที่ขายได้น้อยอาจไม่รู้จักหนังสือของเรา คงต้องวัดจากงานขายเล่มที่สาม หากเล่มที่สามไปได้สวย เล่มที่หนึ่งกับเล่มที่สองจะถูกถามหาอีกครั้ง
สำหรับการออกแบบปก หากวาดภาพเป็นไม่ใช่ปัญหา หากออกแบบไม่เป็นก็ไปจ้างนักวาด ปกล่ะประมาณ 1.000 - 1.500 บาท หากจะใช้ภาพถ่าย ก็ลองไปดูตามร้านหนังสือเพื่อเป็นไอเดียว่า คนอื่นเขาใช้ภาพแบบไหนกับชื่อของปก แล้วมาทำปกของตัวเอง หากทำไม่เป็นจริงๆก็อาศัยช่างภาพช่างตัดต่อภาพราคาจะถูกกว่าวาด
จากคุณ |
:
นักเขียน ใส้แห้ง
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ส.ค. 55 00:09:12
|
|
|
|