"แล้วคิดอะไรจ๊ะ?"
"ฟ้า...แค่คิดว่าเหมือนเคยเห็นฉากแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเท่านั้นเอง"
หล่อนไม่กล้าบอกว่าคลับคล้ายว่าเคยเห็นภาพนี้มาก่อน หรือจะเป็นในความฝันหล่อนก็ไม่มั่นใจนัก เพียงแต่ภาพติดตาของชายที่นั่งอยู่ข้างวิมุตติเขามักมีรอยยิ้มละมุนให้หล่อน ไม่ใช่คนแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนเจ้าภูวิษะคนนั้น
"ก็ในละครไงล่ะ" มิรันตีตอบขึ้นมาพร้อมเอ่ยชื่อละครพีเรียตที่กำลังฉายอยู่
"เออเนอะ!" ทำเอาหลายเสียงสนับสนุน
"เอ้า!! พอๆ ไปได้แล้ว"
บรรดาสาวจึงส่งเสียงประสานรับคำดัง 'ค่าาา' เป็นเสียงยาวแล้วจึงตั้งท่าจะเดินตามตรีภูมิไปด้วยอาการทอดถอน ชายหนุ่มมองแล้วก็อดหมั่นไส้ไม่ได้จึงแกล้งตะโกนเรียกคนบนเรือนกลางน้ำนั่น
"ไอ้เจ้าเว้ยยยยยย!! แกกับเจ้าภูวิษะน่ะ นุ่งผ้านุ่งผ่อนให้มันมิดชิดหน่อยได้ไหม? มาทำนมหกอยู่ได้สาวๆ เขาจะเป็นตากุ้งยิงอยู่แล้ว!!"
"พี่ตรี!!!?"
เสียงแหลมเล็กของหญิงสาวทั้งกลุ่มร้องห้ามขึ้นพร้อมเพรียงกัน ยิ่งทำให้อึกทึกมากขึ้นจนคนที่ถูกกล่าวถึงหันมามอง รุ่นน้องหญิงจึงพากันดันร่างใหญ่ของตรีภูมิออกจากที่นั่นทันที
"เอะอะอะไรกันน่ะ" เจ้าภูวิษะถามขึ้นมา ในขณะที่วิมุตตินึกขำสาวน้อยเหล่านั้น
"เขาทำกิจกรรมต้อนรับรุ่นน้องกันน่ะ มีการละเล่นกันตามจุดต่างๆ คล้ายๆ การผจญภัย"
"แปลกนะ กาลสมัยเปลี่ยนพิธีการไปได้ถึงเพียงนี้ ในครั้งพวกเรานั้นมีแต่เข้าพิธีกราบอาจารย์ฝากตัวเป็นศิษย์ รุ่นพี่ก็มีแต่ให้ศีลให้พรแนะนำระเบียบต่างๆ ให้ ไม่มีการละเล่นผจญภัยเช่นนี้"
นาคราชจำแลงระลึกถึงเมื่อครั้งยังเยาว์วัย พระองค์ถูกพระบิดาผู้ครองยศพญามหิธราบดี ทรงส่งราชบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งในขณะนั้นภูวิษะเจ้าถูกประชาชนชาวจุมภะปุระทั้งปวง บวงสรวงพระองค์และเรียกขานรวมเป็นพระนามเดียวกันกับพญานาคราชผู้เป็นพระบิดา ให้จำแลงตนเป็นมนุษย์ไปฝากฝังให้เรียนวิชาความรู้ที่สำนักตักศิลาของพราหมณ์จารย์ที่มากด้วยคุโณปการผู้หนึ่ง ก่อนจะกลับมาอภิเษกสมรสกับมหิตาเทวีตามที่ได้ให้สัตย์สาบานไว้
"ใช่" วิทยาธรผู้ร่ำเรียนมาจากสำนักอาจารย์ผู้เดียวกันตอบรับ
"จุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน ผูกพันสามัคคีกันในระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง พูดให้ง่ายเข้าพิธีนี้คือแนะนำให้รุ่นน้องและรุ่นพี่ได้รู้จักมักจี่ซึ่งกันและกัน แต่บางครั้งรุ่นพี่ก็คึกคะนองลำพองในอำนาจที่ตนเองสมมุติขึ้นมามากเกินไป ในตอนที่เราไปเข้าพิธีนี้ก็ถูกกลั่นแกล้งมากนัก"
"อย่างท่านน่ะรึจะยอม?"
คนสนิทสนมแย้มสรวลอย่างรู้ทัน วิมุตติฟังเข้าก็ทำนิ่งเฉยมีเพียงรอยยิ้มอ่อนบางปรากฏที่ใบหน้า ภูวิษะเจ้าทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา
"ดูท่าการเป็นมนุษย์ของท่านจะลำบากอยู่ไม่น้อยสินะ"
"ย่อมต้องมีบ้าง มันเป็นบุพกรรมที่ตามมามิอาจหลีกเลี่ยงได้" ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งชื่อของเคียงฟ้าถูกดึงมาเป็นหัวข้อ
"ประเพณีเป็นของคู่กับมนุษย์ที่บางคราก็ปั้นแต่งให้เรื่องมันยุ่งยากเกินจริง ยิ่งหากมนุษย์ผู้นั้นมียศฐาบรรดาศักดิ์สูงล้ำเพียงใด ความยุ่งยากนี้จะตามมาเป็นขบวน" นาคราชรูปงามตรัสรำพึงออกมาพลางถอนหทัยเบาๆ
"มนุษย์ใดจะมีศักดิ์สูงกว่านาคเจ้าได้ ท่านกล่าวดังเคยพบเจอความยุ่งยากอันใดมา" ผู้ถูกถามพยักพักตร์รับพลางทอดถอนหทัยออกมา
"ก็ครั้งที่ไปรับมหิตามาเป็นเทวีตามสัญญาอย่างไรเล่า ติดข้อปัญหาหลายประการนัก"
"หือ? จุมภะปุระเป็นเมืองนาคมิใช่หรือ? ในเมื่อท่านลั่นวาจาไปแล้ว ก็เท่ากับมหิทธราบดีนาคราชทรงรับรองถ้อยคำนั้นด้วย แล้วเหตุไฉนจึงเกิดความยุ่งยากขึ้น"
"วิมุตติ...มนุษย์นั้นสร้างข้อแม้ขึ้นเพื่อยกตนให้ดูสูงกว่าสรรพสิ่งใดบนพื้นพิภพ คำสัญญาที่เราให้ไว้กับมหิตา เป็นเพียงสัญญาแต่เยาว์วัยเท่านั้นมิได้มีผู้ใดร่วมเป็นสักขีพยานรับรอง และในครั้งนั้นมหิตากลายเป็นพระเทวีผู้ทรงโฉมมิใช่เด็กน้อยวัยไม่ถึงสิบชันษาอีกต่อไป จู่ๆ จะให้เราไปทวงสัญญากับบิดานางคงมิได้ เพราะเป็นการหมิ่นเกียรติแห่งนาง จึงจำต้องยอมทำตามเงื่อนไขที่กษัตริย์แห่งจุมภะปุระกำหนดมา"
แก้ไขเมื่อ 31 ส.ค. 55 16:10:56