21
และแล้วกฤษก็มายืนสงบเสงี่ยมต่อหน้าทรงพลและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่าเจอลูกไม้ของปัญวิชช์เข้าไปอีก ก่อนจะปิดท้ายว่าได้ตามไปที่คอนโดที่ชายหนุ่มเคยไปแล้ว
“พนักงานธุรการบอกว่า นภัสรินทร์ไปต่างจังหวัดตั้งแต่เย็นเมื่อวานแล้วครับ”
ทรงพลเดินงุ่นง่านด้วยความหงุดหงิด ยิ่งพอกฤษชี้แจงว่าเขาได้โทรหาปัญวิชช์ทันที ซึ่งมีแค่สองครั้งแรกที่ไม่รับและในที่สุดก็ติดต่อไม่ได้ ประมุขของบ้านเรียกคนใช้
“โทร.หาเจ้าวิชเรื่อย ๆ และรายงานฉันทุกครึ่งชั่วโมง เข้าใจไหม!”
“ค่ะ” สาวใช้ลนลานออกไป ไม่อยากจะอยู่นานนักในท่ามกลางพายุปั่นป่วน
“กฤษ แกลองไปติดต่อหรือตามดูเพื่อนวิช เผื่อจะรู้ว่ามันไปที่ไหน”
“ครับ” ลูกจ้างหนุ่มรับคำสั่งและรีบออกไป ตั้งแต่หนก่อนที่โดนเจ้านายป่วนจนนายจ้างตำหนิเขาก็หาข้อมูลเรื่องคนใกล้ตัวปัญวิชช์ไว้แล้ว ระหว่างทางก็ได้ติดต่อบ้าง แต่ยังไม่ได้ข้อมูลอะไร
ทรงพลหัวเสีย ถ้าไม่เพราะอุตส่าห์เรียกสื่อให้มาทำข่าว เขาจะไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้ ปัญวิชช์ถือเป็นคนของเขา ต้องจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยที่สุด เขาหยิบโทรศัพท์โทร.หาหัวหน้าพรรค นัดแนะเรื่องการให้ข่าวสำหรับการไม่มีปัญวิชช์ในการไปลงพื้นที่คราวนี้ อีกฝ่ายเข้าใจสถานการณ์ดี เสร็จสรรพเรียบร้อย อดีตหัวหน้าพรรคกำลังคิดจะทำอะไรต่อวิลาสินีก็เดินเข้ามา
“มีอะไรกันเหรอคะคุณพ่อ”
“มาก็ดีเลย นี เจ้าวิชมันคุยอะไรกับเธอหรือเปล่า มันมาพูดหรือบ่นอะไรไหม”
ลูกสะใภ้งง แต่ตอบทันด้วยความเคยชินกับอารมณ์หุนหันของพ่อสามี “เรื่องอะไรคะ ถ้าเรื่องงานก็บ่นอยู่เรื่อย ๆ น่ะค่ะ”
“มันพูดไหมว่าไม่อยากทำ หรืออยากจะไปไหน อะไรทำนองนี้น่ะ”
“เอ...” เธอทำท่าคิด “เมื่อวานกลับจากทำงาน เห็นเขามาคุยกับแป้ง นีได้ยินเขาพูดประชดประชัน แต่ไม่ได้สนใจเพราะเห็นว่าก็ไม่ได้จริงจังอะไร คงบ่นตามประสา มีอะไรคะ วิชทำอะไรอีก”
อีกฝ่ายพ่นลมหายใจ “มันโดดงาน หนีหายไปไหนไม่รู้”
“อะไรนะคะ! หะ...หายไปเลยเหรอคะ” ทรงพลพยักหน้า วิลาสินีกระวนกระวายขึ้นมาทันที “แล้ววิชจะไปไหน”
“ฉันถึงได้มาถามเธอนี่ยังไงล่ะ โทรศัพท์ก็ปิดเครื่อง ติดต่อไม่ได้ มันไปไหนของมัน เธอพอจะรู้ไหม”
คนเป็นแม่ร้อนรน และพยายามคิด “นะ นึกไม่ออกค่ะ เขาไม่ค่อยเล่าอะไร คิดว่าวิชไม่ได้ถูกใครพาไปใช่ไหมคะ”
“เจ้านั่นมันมีศัตรูกับใครเขาที่ไหน แค่สส.ไม่ใช่รัฐมนตรี ฉันจ้างกฤษก็แค่ให้ดูว่ามันไม่เถลไถลเท่านั้นล่ะ” ทรงพลตอบทันควัน
“แล้ว...เป็นไปได้ไหมคะ เรื่องนภัสรินทร์”
ทรงพลชะงัก หันมาจ้องลูกสะใภ้ตาเขม็ง อีกฝ่ายรู้สึกตัว คำนี้เธอไม่ควรพูดออกไป พ่อสามีเกลียดชังหญิงสาวไม่คลาย “ขอโทษค่ะ นีแค่สันนิษฐาน...”
แต่อีกฝ่ายดูเหมือนค้นพบแสงสว่าง เขาปราดออกไป ตะโกนก้อง “กฤษ ยังอยู่ไหม มานี่ก่อน!”
สิ้นเสียงไม่ถึงครึ่งนาที บอดี้การ์ดหนุ่มก็พรวดพราดเข้ามา
“ไปหาดูว่านภัสรินทร์ไปจังหวัดไหน ทำยังไงก็ได้ให้รู้ แล้วรีบมาบอกฉัน เข้าใจไหม”
“ครับ”
สั่งเสร็จทรงพลก็ถึงกับถอนใจ เดินช้า ๆ ไปนั่งที่โซฟา “คอยดูนะเจ้าวิช กลับมาคราวนี้จะต้องพูดกันให้เด็ดขาด”
วิลาสินีอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ใจหนึ่งก็ห่วงลูกชาย แต่อีกใจก็ไม่กล้าจะบอกเพราะปัญวิชช์เองก็ขวางทางเดินของคนเป็นปู่ตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เพราะฝ่ายหนึ่งตั้งป้อมรังเกียจสิ่งที่เขารัก ทำไปทำมาก็ได้แต่นิ่ง
พอเธอทำท่าจะเดินออกไป ทรงพลซึ่งรู้สึกถึงความกระอักกระอ่วนใจนั้นก็พูดขึ้น
“นี เธอคอยดูโทรศัพท์ไว้ ถ้ามันจะติดต่อใครก็คงเป็นเธอนั่นแหล่ะ”
วิลาสินีพยักหน้า และตอบได้เพียงแค่ค่ะ
นภัสรินทร์เดินออกจากห้องทำสปา เธอดูนาฬิกา เกือบบ่ายสองแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เวลามีเหลือเฟือ การได้มาพักผ่อนเหมือนเป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่ทำงานหนักมาตลอด การนวดและทำทรีทเม้นท์ช่วยผ่อนคลายร่างกายที่เหนื่อยล้าได้บ้าง
ณ ตอนนี้เธอได้อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพ ห่างจากความกดดันที่คนรอบข้างคอยต้อนให้เธอเดินไปตามเส้นทางที่พวกเขาต้องการ ทุกคนสร้างความหวังในตัวเธอ ภาวะของเธอเหมือนยืนอยู่บนหน้าผาที่เผชิญกับลมแรง ไม่ว่าคำตอบเรื่องแต่งงานที่เธอจะมีให้พ่อเลี้ยงเป็นแบบใดก็ไม่ต่างกัน คือต้องแบกรับความผิดหวัง ความไม่พอใจและความห่างเหิน ไม่ว่าจะเป็นจากผู้มีพระคุณ จากเอกสิทธิ์ จากนีรนารถ และไหนจะเรื่องของวีรญาอีก ทำให้มุมเล็ก ๆ ในใจไม่อาจปล่อยวางได้
แม้ว่าที่นี่เธอได้อยู่กับตัวเองแล้ว แต่เป็นจุดที่อ่อนแอ เหงา เดียวดาย สิ่งแวดล้อมที่นี่ชวนหวนรำลึกยามเมื่อเป็นเด็กหญิงนภัสรินทร์ เธอคิดถึงแม่ คิดถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของแม่ ตื่นแต่เช้าไปทำงานกับแม่ ค่ำลงก็นอนซุกกายหลับเพื่อฝันอันแสนสุข มีใครสักคนไหมที่เธอจะฝากหัวใจ จะเข้าใจเธออย่างจริงใจ ไม่คาดหวังผลประโยชน์อะไรในตัวเธอ วีรญาก็ไม่อยู่ในจุดนั้นได้อีกแล้วตลอดกาล
คงมีคนเดียวกระมังที่ไม่เคยต้องบอกให้เธอทำอะไรที่ขัดต่อความรู้สึกตนเอง แต่เธอก็ปฏิบัติต่อเขาไม่ดีสักเท่าไหร่ อาจเพราะไม่มีคำขอโทษให้อย่างตรงไปตรงมา เขาจะโกรธเธอมันก็เป็นสิทธิ์ของเขา
หญิงสาวถอนใจยาว กำลังคิดว่าจะไปที่ห้องอาหารเพื่อเลือกจิบชา หรือจะออกไปเดินเล่นชมทิวทิศน์ในละแวกนี้ พนักงานประจำห้องสปาก็แจ้งว่ามีคนมาขอพบและรออยู่ที่ล็อบบี้ หญิงสาวงง
“ใครคะ”
“คุณเขาให้แจ้งว่าเป็นเพื่อนค่ะ”
ระหว่างทางที่เดินกลับมาก็ยังคิดไม่ออกว่าใคร กระทั่งเห็นร่างที่นั่งอยู่ เธอนิ่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะก็ลืมถามกับพนักงานว่าคนที่ต้องการพบเธอนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่เช่นนั้นคงพอจะเดาได้
“สวัสดีตอนบ่าย ๆ ครับคุณนภัสรินทร์”
นภัสรินทร์ไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจมันพองโตขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดว่ามีไอร้อนผะผ่าวแต้มบนแก้มทั้งที่เธอออกจากห้องสปามาแล้ว ไม่คิดว่าในอกจะอบอุ่นได้ขนาดนี้ทั้งที่ลมหนาวพัดกรู
“วิช”
“ใช่ครับ คนเดิม”
พอเห็นว่านภัสรินทร์ยังนิ่งอยู่ ปัญวิชช์จึงเป็นฝ่ายเดินมาหา หญิงสาวไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองต้องหลบตา จึงได้เงยหน้ามองเขา ก็ได้คำตอบว่าเป็นเพราะใบหน้าสดใสที่บอกความในใจท่วมท้นนั่นเอง
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“ก็ขึ้นเครื่องมา เสร็จแล้วก็ต่อรถตู้” เขาตอบแววตากวน ๆ
เธอค้อนกลับ “ไม่ได้บอกให้มานะ แค่ถามว่าอยากได้อะไร” ถึงจะปั้นเสียงเข้มแต่ห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้ผลเท่าไหร่
“ก็ผมอยากมาบอกรินด้วยตัวเองว่าอยากได้อะไร”
นภัสรินทร์ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง เขาทำความไม่คาดคิดให้เกิดขึ้นกับเธอเสมอ ถึงแม้บางครั้งจะไม่ต้องการ แต่ยังยืนยันว่าจะอยู่ใกล้
“ผมพักที่นี่ด้วยนะ มีห้องว่างพอดีเลย แต่น่าเสียดายไม่ได้อยู่ใกล้ห้องริน” เขาพูดเรื่อย ๆ ใบหน้าเกลื่อนยิ้มระบาย การมาของปัญวิชช์ทำให้หัวใจนภัสรินทร์ชุ่มชื่น ล่องลอย แทบจะมากกว่าการทำสปาด้วยซ้ำ
“นี่รินทำสปาเสร็จแล้วเหรอ”
“อื้ม”
“แล้วจะไปไหนต่อ”
นภัสรินทร์ระงับตนเองได้แล้ว ก้าวออกจากล็อบบี้ ทางเดินลาดไปตามไหล่เขาเชื่อมห้องพักและส่วนต่าง ๆ ของรีสอร์ทเข้าด้วยกัน พื้นเป็นปูนดิบสีแดง มีใบไม้ร่วงประปรายในมวลอากาศเย็นของหุบเขา
“ก็กลับห้องไง”
“ต่อจากนั้นล่ะ”
“จะพูดอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า”
ปัญวิชช์ยิ้มกริ่ม ก้าวกระโดดข้ามขั้นบันไดลงไปยืนตรงหน้าเธอ “ผมอยากไปเที่ยว ก่อนอื่นขอไปในเมือง หาของกิน ซื้อของใช้ รินมีธุระที่ไหนหรือเปล่า”
เธอมอง เพิ่งสังเกตว่าปัญวิชช์สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็ค ดูไม่น่าพร้อมสำหรับการมาท่องเที่ยว
“ใครเขาจะไปกับคุณ”
“อะไรกัน ไหนรินบอกว่าจะซื้อของฝากให้ไง นี่ผมอุตส่าห์มาเลือกเองถึงที่เลยนะ”
หญิงสาวค้อนนิด ๆ “ของฝากคือการซื้อให้สำหรับคนที่ไม่ได้มาด้วย ในเมื่อคุณมาถึงที่แล้วอยากได้อะไรก็ไปหาซื้อเองสิ”
“งั้นเปลี่ยนเป็นของขวัญก็ได้”
นภัสรินทร์นิ่ง ถ้าเป็นนักมวย ปัญวิชช์เดินตัดเวทีไล่เธอเข้ามุมจนได้ เธอเลือกไม่ตอบ และเมื่อถึงห้องชายหนุ่มก็มัดมือชกด้วยการพูดว่าเขาจะรอเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกจึงปล่อยให้เขายืนรอ
และก็ไปยิ้มกว้างให้ตนเองในกระจกในที่สุด
นภัสรินทร์เช่ารถยนต์ไว้แล้ว ดังนั้นพอเพิ่มปัญวิชช์มาเป็นผู้โดยสารอีกคนก็ไม่หนักหนาอะไร ระยะทางจากรีสอร์ทมายังห้างใหญ่ในตัวเมืองใช้เวลาเกือบชั่วโมง แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะรื่นรมย์กับเวลาจนออกนอกหน้า และเมื่อนภัสรินทร์เป็นสารถี ผู้โดยสารหนุ่มจึงคุยไม่หยุด
นภัสรินทร์จำต้องเงียบบ้างเพราะคารมของเขามันไม่ไปไกล พาวกเข้าตัวเธอตลอด ยิ่งกว่านั้นการที่เธอไม่รู้สึกรำคาญที่เขาต่อปากต่อคำมันทำให้เธอเก้อเขินแก่หัวใจตนเอง
ห้างสรรพสินค้าคร่ำคร่าไปด้วยผู้คนเนื่องจากเป็นวันเสาร์ สถานบันเทิงแห่งนี้เพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่เนื่องจากเป็นห้างใหญ่ในเมืองใหญ่ ผู้คนจึงเลือกใช้มันในวันหยุดสำหรับครอบครัว เพื่อนฝูง และคู่รัก
นภัสรินทร์เดินคู่ไปกับปัญวิชช์ มีสายตาจากคนเดินผ่านเหลือบมอง เธอไม่แน่ใจว่าเพราะเขาเป็นที่รู้จักหรือเพราะการแต่งกายที่ดูเป็นทางการขัดกับในสถานที่อย่างนี้กันแน่
ปัญวิชช์เริ่มต้นการพบกับเธอด้วยมื้ออาหาร หญิงสาวสั่งแค่น้ำผลไม้ อดขำไม่ได้ ดูเหมือนมันจะกลายเป็นความปกติไปแล้วที่พอเจอกันเขาจะร่ำร้องว่าหิว
“ทีหลังเวลาจะมาหัดหาอะไรกินมาซะก่อนนะ เดี๋ยวมาเป็นลมตายต่อหน้าฉัน ฉันไม่รับผิดชอบนะ” เธอว่า
ชายหนุ่มวางแก้ว มองเธอนิ่ง “ถ้ารินเคยคิดถึงใครจนเหมือนหัวใจมันจะลอยไปหาได้แล้วล่ะก็ รินจะรู้ว่าเรื่องปากท้องมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยล่ะ”
ไอร้อนหยดลงกลางอก และแผ่ซ่านไปทั่วร่าง นภัสรินทร์สบตาเขา แล้วเบือนหน้าหลบ พูดยิ้ม ๆ
“สำนวนนักเขียนเป็นแบบนี้ทุกคนไหม”
“ไม่หรอก ภาษาลิเก ๆ แบบนี้มีแต่ปัญวิชช์เท่านั้นล่ะที่พูดได้” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย “และจะพูดให้คน ๆ เดียวเท่านั้นด้วย”
นภัสรินทร์ชักเริ่มเกลียดตัวเอง เกลียดหัวใจที่ระริกระรี้กับคำพูดนี้ เธอต้องตัดบทด้วยการจบมื้ออาหาร ปัญวิชช์เรียกพนักงานมาเก็บเงิน
ช่วงเวลาที่เธอออกมา หญิงสาวรู้แก่ใจ ‘คนเดียว’ ในความหมายของเขาคือเธอ ในมุมกลับกัน สำหรับเธอ เขาก็คงเป็น ‘คนเดียว’ ที่เห็นคุณค่าในตัวเธออย่างไม่มีอะไรเจือปน ความเป็นตัวเธอที่ไม่เกี่ยวกับรูปโฉม ทรัพย์สิน หรือความสามารถอะไรเลย แต่เธอรู้ว่าเขาจะรอ เขาอยู่ตรงนั้นเสมอ
ทั้งคู่มาถึงที่แผนกเสื้อผ้า ปัญวิชช์เดินไปหยิบดู ความต้องการของเขาก็แค่อยากได้ชุดสำหรับค้างแรม ยังไม่แน่ใจว่าจะพักอยู่กี่คืน แต่คิดว่าพวกเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์และกางเกงสำหรับใส่นอนก็น่าจะพอ ขณะจะตัดสินใจเหลือบมาเห็นนภัสรินทร์ก็ยืนกอดอกนิ่ง ๆ มองไปยังทิศทางอื่น เขาเดินมาหา
“รินเลือกให้หน่อยสิ”
เธอยกคิ้ว “ทำไมต้องเลือกให้ เลือกเองไม่ได้เหรอ โตจนป่านนี้แล้ว”
“น่า เลือกให้หน่อยไม่เสียหายอะไรนี่ ผมรีบจนไม่ได้เอาอะไรมาเลยเนี่ย” เขาพูดเสียงอ้อนพลางยกมือแตะข้อศอก ถ้าเป็นปกติเธอจะเบี่ยงตัวปฏิเสธกิริยานั้นแล้ว แต่คราวนี้ยอมเดินตามเขาไปอย่างง่ายดาย
“รินมาทำอะไรที่นี่เหรอ” ปัญวิชช์ถามพลางรับเสื้อสีครีมที่เธอยื่นให้
“มีธุระเรื่องงานนิดหน่อย”
“เหรอ แล้วอยู่กี่วัน”
นภัสรินทร์ยกเสื้อสีชมพูให้เชิงถาม ชายหนุ่มนิ่วหน้า เธอหัวเราะ แล้วตอบคำถาม “สองสามวัน”
“ทำธุระเสร็จแล้วก็กลับเลยเหรอ...สีน้ำเงินเข้มครับ”
ประโยคท้ายเขาบอกเมื่อเธอหยิบมาสองตัว “โธ่เอ้ย แล้วก็ทำมาบอกให้เลือกให้ แบบนี้เลือกเองก็ได้นี่นา”
“ผมไม่เหมาะกับสีชมพูหรอก สีชมพูคู่กับผู้หญิงสวย ๆ มากกว่า ตกลงว่าเสร็จธุระแล้วจะกลับเลยเหรอ”
“ยังไม่แน่ใจ” เธอตอบแล้วเดินออกไป ปล่อยชายหนุ่มไว้กับพนักงานประจำที่เข้ามาบริการ
ที่แผนกกางเกงยีนส์ ปัญวิชช์ลองแล้วตัดสินใจเลือกทันที เขาเอามาชำระเงินแล้วเดินกลับไปใส่ในห้องลองพร้อมเสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม พอเดินออกมาอีกครั้งเห็นนภัสรินทร์หัวเราะคิก
“ทำไมเหรอ”
“ใจคอจะไม่เอาป้ายราคาออกหน่อยเหรอ”
ปัญวิชช์เพิ่งเห็น เขาทำท่าเขิน ๆ พนักงานที่รับชำระเงินเอากรรไกรมาตัดให้ และพลอยยิ้มสนุกสนาน แม้เดินออกมาแล้วหญิงสาวยังมีแววตาล้อเลียน
“ก็มันลืมดู...” เขาบอกแก้เขิน
“ไม่เห็นต้องรีบใส่ขนาดนั้นเลยนี่นา คุณนี่เหมือนเด็กขี้เห่อจริง ๆ”
“เปล่าสักหน่อย ผมแค่อยากจะแต่งตัวให้เข้ากับรินเท่านั้นเอง ชุดเมื่อกี้มันไม่เหมาะกับมาเที่ยวใช่ไหมล่ะ”
นภัสรินทร์อึ้ง อดไม่ได้จะเหลือบมองตัวเองและมองเขา จริงดังว่า ตอนนี้สไตล์ของพวกเขาดูเข้ากันได้มากกว่าเดิม เธอสวมเสื้อตัวยาวสีเทา ทับเสื้อยืดสีขาว กับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำ มีผ้าพันคอ ส่วนเขาก็เป็นเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์โทนสีกรมท่า พอไล่สายตาเห็นรอยยิ้มกริ่มเธอก็ค้อนวูบ มิน่าล่ะถึงไม่ยอมรับเสื้อสีชมพูตัวนั้น ทั้งที่เธอเห็นว่ามันเป็นสีอ่อน ๆ พิมพ์ลายกราฟฟิคเท่ห์ ๆ น่าจะเหมาะกับผู้ชาย
เพราะเขาคิดแบบนี้ไว้ล่วงหน้าแล้วนั่นเอง
“เสร็จหรือยัง จะไปไหนต่อ”
ปัญวิชช์บอกว่าขอไปดูรองเท้าอีกอย่าง พอเลือกได้ก็เปลี่ยนมาใส่ทันทีอีกเช่นกัน ในที่สุดปัญวิชช์ก็สลัดมาดสส.ออกไปกลายเป็นหนุ่มนักเขียนคนเดิมที่มาท่องเที่ยว
ชายหนุ่มดูเวลาเกือบจะห้าโมงแล้ว “ไปไหนกันต่อดีล่ะ”
“ยังจะไปอีกเหรอ” น้ำเสียงเธอสะบัดนิด ๆ เขาพยักหน้าหนักแน่น
“ไปสิ เพราะผมรู้แล้วว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญ”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ก.ย. 55 19:03:54
|
|
|
|