ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๕ : สู่ดินแดนหริภุญไชย (ท่อนจบ)
|
 |
บทที่ ๑๕ : สู่ดินแดนหริภุญไชย (ท่อนจบ)
แสงตะวันแรงร้อนเริ่มคลายลงบ้างแล้ว การตั้งค่ายพักแรมจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ เหลือก็แต่เพียงการหุงหาอาหารสู่กันกินเท่านั้น ภายในกระโจมกลางอันเป็นที่พักแรมราตรีของพระนางจามเทวีนั้น เจ้าของกระโจมนั่งเอนๆ พิงหมอนใบใหญ่อยู่ โดยมีสองพี่เลี้ยงคอยถวายการดูแลใกล้ชิด ส่วนเจ้าชายรามราชผละไปดูแลความเรียบร้อยด้านนอก ครั้นพระนางจามเทวีเห็นผ้าผืนหนาที่กั้นทางเข้าออกถูกตลบขึ้น ก็เร่งหยัดกายขึ้นนั่งตัวตรงเฉกเช่นกับเกษวดีและปทุมวดีที่ขยับตัวเตรียมพร้อมสำหรับการอารักขานายสาวเต็มที่ เมื่อเห็นชัดว่าเป็นผู้ใดที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนห่างจากแท่นแก้วออกไปราวศอกหนึ่ง สามนางจึงยกมือไหว้พร้อมกัน
“ครูท่าน ไยมิให้ควิยะตามศิษย์ไปพบเจ้าคะ”
พระนางจามเทวีถามอย่างนอบน้อมพลางขยับจะลุกจากที่ แต่สุกกทันตะฤๅษีปรามไว้เสียก่อน ขณะที่ควิยะเลี่ยงออกไปนั่งคุกเข่ารออยู่ใกล้ทางเข้าออกอย่างรู้ถึงความควรไม่ควร
“มิเป็นไรหรอกหนาพระแม่เจ้า เรามาเพียงเพื่อจักบอกว่าเพลานี้ลุถึงชายแดนลัมพุนาแล้ว เรากับควิยะจักขอแยกตัวเข้าเมืองไปก่อน”
ลัมพุนา ชื่อนี้ไม่ใคร่ได้ยินผู้ใดเรียกขานกันสักเท่าใดนัก แม้แต่สุกกทันตะฤๅษีกับควิยะเองก็ยังพูดถึงแทบนับครั้งได้ ลัมพุนา นามแห่งนคราใหม่ ควิยะมิได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ยินมาว่าคราวที่สองมหาฤๅษีท่านขอแผ่นดินเพื่อสร้างเมืองจากปวงรุกขเทวดานั้น มีรุกขเทวดาองค์หนึ่งอนาถนัก ไม่สามารถไปจากสถานที่ที่ตนสถิตอยู่ได้ จึงขอต่อมหาฤๅษีทั้งสองขออยู่ที่เดิมต่อไปจนกว่าจะจุติ และสถานที่ที่รุกขเทวดาองค์นั้นอยู่ก็เป็นเนินดินที่พูนสูงกว่าบริเวณอื่น นคราใหม่นี้จึงได้รับการเรียกขานไปพลางก่อนว่า 'ลัมพุนา'
“ครูท่าน” พระนางจามเทวีเอ่ยท้วง “วันพรุ่งก็จักไปถึงแล้ว ไฉนจึงไม่ไปพร้อมกันล่ะเจ้าคะ”
“เราไปเพื่อจักได้แจ้งวาสุเทพให้รู้ความ และให้ชาวเมืองเตรียมการต้อนรับแม่เมืองคนใหม่”
สุกกทันตะฤๅษีบอกด้วยรอยยิ้มละไม ทว่าจอมนางกลับส่ายหน้าช้าๆ อย่างไม่เห็นพ้องด้วย
“ข้อที่ว่าครูท่านประสงค์จักแจ้งมหาฤๅษีวาสุเทพนั้น ศิษย์ย่อมแจ้งใจดี หากข้อที่ว่าจักให้ชาวเมืองต้องเดือดร้อนในการต้อนรับศิษย์นั้น ศิษย์ไม่เห็นพ้องด้วยเลยเจ้าค่ะ”
มหาฤๅษียิ้ม ทอดสายตามองศิษย์เอกอย่างเอ็นดูนัก ใช่ว่าท่านจะไม่ประจักษ์น้ำใจของพระนางเธอ แต่ท่านก็ยังลองใจสืบต่อไป
“เป็นธรรมเนียมของการขึ้นบ้านผ่านเมืองมิใช่ฤๅไรพระแม่เจ้า ที่ราษฎรพึงต้องต้อนรับและเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ดั่งนั้น”
“แต่ครูท่าน ราษฎรของศิษย์นี้ หมู่เขาเป็นชนพื้นเมือง ไม่คุ้นเคยต่อธรรมเนียมดังว่า ซ้ำตลอดรายทางที่ล่องพิงคนทีขึ้นมานั้น ศิษย์รู้เห็นสิ้นทั้งปวงว่าพวกเขามีวิถีเช่นไร ศิษย์ไม่ประสงค์จักให้เขาเหล่านั้นต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ว่าจักด้วยเหตุใดทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
“ไม่สมเกียรติพระแม่เจ้านะ” สุกกทันตะฤๅษีแสร้งย้ำความ
“เกียรตินั้นคือสิ่งใดฤๅครูท่าน คือสิ่งที่เขาสมมติขึ้นมาฤๅมิใช่ ค่าของคนนั้นหาได้วัดด้วยสิ่งนั้นไม่ หากวัดกันด้วยคุณความดีโดยแท้ เช่นนี้แล้วในบรรดาชาวเขาเหล่านั้น บางคนอาจมีเกียรติเหนือกว่าศิษย์ก็เป็นได้”
พระนางเธอเอ่ยค้านด้วยน้ำเสียงนอบน้อมยิ่ง มหาฤๅษีหัวเราะน้อยๆ อย่างพอใจ
“เป็นเช่นนั้นพระแม่เจ้า วางใจเถิด เราจักไปแจ้งวาสุเทพและเขาเหล่านั้นเพียงว่าพระแม่เจ้ามาถึงแล้วเท่านั้น ส่วนที่เขาจักต้อนรับเช่นไรนั้น เราจักไม่ก้าวก่ายเขา เว้นเพียงการนั่งเมือง ที่เราและวาสุเทพจักต้องกระทำครบสิ้นตามราชประเพณี”
กล่าวจบดังนั้นแล้วสุกกทันตะฤๅษีก็มิได้รอคำตอบว่าอย่างไรอีก ท่านเพียงหมุนกายเดินกลับออกไปอย่างแช่มช้าและพยักหน้าให้ควิยะตามกลับออกไปเท่านั้น ควิยะคนซื่อไหว้ลาพระนางจามเทวีแล้วก็รีบลุกขึ้นตามผู้เป็นคุรุอย่างรวดเร็ว
ฟากฟ้าพร่างพราวด้วยดวงตาสวรรค์นับร้อยนับพันดวงที่กะพริบพราวดุจจะหยอกล้อกับสายลมและเดือนเสี้ยวที่เกี่ยวดวงแขวนกิ่งฟ้า ธารสวรรค์พาดผ่านกลางฟ้าเห็นชัดเจนกว่าราตรีที่ผ่านมา เสียงดนตรีหวานล้ำจึงดังผะแผ่วมาจากมุมหนึ่งของกองไฟที่เหล่าทหารต่างนั่งล้อมวงสนทนากันอยู่ มิทันถึงอึดใจเสียงเจ้าของเครื่องดนตรีชิ้นนั้นจึงดังแทรกขึ้นมา เสียงออดฉะอ้อนอ่อนหวานขับลำนำที่ทำให้คนได้ยินได้ฟังต่างปล่อยดวงใจให้ล่องลอยไปตามเสียงคีตะนั้น กระทั่งน้ำค้างเริ่มลงหนัก คีตะนั้นจึงได้แผ่วราลงและเงียบไปในที่สุด
เสียงทอดถอนใจในความมืดนั้นแม้เจ้าตัวจะพยายามให้เบาแสนเบาเพียงใดก็ตาม แต่คนนอนแนบข้างก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ดี มือนุ่มเลื่อนมากุมมืออีกฝ่ายก่อนถามเสียงเบาพอได้ยินกันสองคน
“ถอนใจเยี่ยงนี้ กังวลสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
ร่างสูงขยับพลิกกายหันมามองคนข้างตัว แสงสลัวของดวงจันทร์ข้างขึ้นส่องลอดผ้าที่ดาดไว้ด้านบนกระโจม พอให้เห็นลูกแก้วสีนิลคู่นั้นสะท้อนเป็นประกายวับแวมดุจแสงดาว
“คืนนี้ไม่มีเต่าและปลามากวนแล้ว ไฉนไม่หลับให้สบายเจ้าคะ”
พระนางจามเทวีเอ่ยเย้าบดี เจ้าชายรามราชหัวเราะนิดๆ กับคำเย้านั้น ยังจดจำได้ดีถึงเมื่อหลายคืนก่อนที่พักค้างแรมริมฝั่งแม่ระมิงค์แล้วถูกกองทัพเต่ากับปลามารบกวนอยู่เกือบค่อนคืน กว่าจะคืนความสงบได้ก็เหนื่อยและเพลียไปตามๆ กัน
“จักให้ข่มตาลงหรือไร เจ้าดอกจำปาเอ๋ย ในเมื่อเต่าปลาเหล่านั้นยังอยู่ในใจพี่”
“หามีสิ่งเหล่านั้นไม่ เจ้าพี่สร้างมันขึ้นมาเองเสียมากกว่า”
“แท้ดั่งน้องว่านั่นแล้ว ว่าแต่น้องเถิด พี่คิดว่าน้องหลับแล้วเสียอีก”
“บดีถอนใจอยู่ข้างๆ ชายาที่ใดจักข่มตาหลับลงเจ้าคะ เจ้าพี่กังวลสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“วันพรุ่งแล้วที่จักถึงนครนั้น ตามกำหนดเดิมเราจักยั้งหยุดแรมคืนนอกเมืองเสียก่อน ยังมิเข้าไปทันทีใช่ฤๅไม่”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ เพราะกว่าจักไปถึงก็คงค่ำเต็มทีแล้ว”
“ใช่ ค่ำเต็มที สัตว์ร้ายที่ออกหากินกลางคืนก็มีถม”
เท่านั้นเอง พระนางจามเทวีก็แจ้งใจว่าเจ้าชายรามราชหมายถึงสิ่งใด ความข้อนี้เห็นทีว่าเจ้าชายรามราชคงวิตกกังวลมาหลายวันแล้ว เพียงแต่เจ้าตัวเก็บงำความไว้มิดชิด มิให้ผู้ใดรู้เท่านั้น คืนนี้ก็เช่นกัน หากพระนางไม่ตื่นขึ้นกลางดึกก็คงไม่รู้ความ นี่เองกระมังที่เกษวดีกับปทุมวดีลอบไปพบกับอศิระและสิงห์บ่อยขึ้นกว่าเดิม ข้างมธุกับจันทรีเองก็ดูจะวางอาคมป้องกันไว้รอบที่พักแน่นหนาขึ้น ส่วนกฤษณาแทบว่าจะไม่หลับไม่นอนเอาเสียเลย ในเพลากลางวันนางข้าหลวงรูปขี้ริ้วจึงหลับนกอยู่บ่อยครั้ง
“เจ้าพี่วางคนอารักขาไว้แน่นหนาเพียงนี้ แม้แต่มดก็ยังบุกเข้ามาไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” จอมนางเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ยังหัวเราะได้อยู่ฤๅจามเทวี ควิยะเคยเล่าให้พี่ฟังว่าชนพื้นเมืองนั้นออกจักดุดันอยู่ใช่น้อย ซ้ำดินแดนหนต้นน้ำยังมีผู้ปกครองอยู่อีก เขาเหล่านั้นจักยอมรับนายใหม่จากแผ่นดินอื่นได้ฤๅ พี่เกรงว่าคนเหล่านั้นจัก...เอ้อ”
“ลอบสังหารหรือเจ้าคะ ไม่หรอกเจ้าค่ะ เท่าที่น้องได้สังเกตผู้คนที่พบตามรายทางนั้น เขาดูเหมือนป่าเถื่อนในสายตาพวกเราก็จริง แต่เจ้าพี่เจ้าขา คนเหล่านั้นก็มีจารีตของเขาเช่นกัน จารีตนี้แหละที่จักคุมเขาเหล่านั้นมิให้ทำผิดทำนองคลองธรรมทั้งปวง เพลานี้ใช่แต่เขาที่ต้องปรับกายปรับใจ แม้แต่ฝ่ายเราเองก็ต้องเรียนรู้พวกเขาด้วยเช่นกัน”
“น้องก็เป็นเสียอย่างนี้ มองทุกสิ่งรอบกายดีงามไปเสียหมด”
“หากมองเลวร้ายไปทุกสิ่งแล้ว เราจักหาความงามได้จากที่ใดเจ้าคะ” พระนางจามเทวีย้อนทันควัน
“ก็ต้องคิดไว้บ้าง ดูอย่างเรื่องกฤตมุขกับน้าปริชมันเป็นไร สายเลือดเดียวกันยังมีน้ำใจคดได้ สาอันใดกับคนนอกสายเลือดเล่า”
โพล่งออกไปแล้ว เจ้าชายรามราชก็แทบกัดลิ้นตัวเองที่พูดไปเช่นนั้น หากทำได้ก็ใคร่จะเอาคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมานัก แต่มารู้สำนึกเอาเพลานี้จะมีประโยชน์อะไรเล่า ยิ่งมิได้ยินเสียงชายาตอบความกลับมา เจ้าชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกผิดโกรธตนเองหนักหนา
“เจ้าจามเทวี พี่ขอษมา”
“คำษมามิใช่คำที่จักพูดพร่ำเพรื่อได้ น้องขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่จักยินเจ้าพี่เอ่ยษมาเพราะการพูดโดยเอาอารมณ์เป็นใหญ่เช่นนี้”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังถึงกับหน้าร้อนผ่าว แม้ว่าพระนางเธอจะมิได้แสดงความโกรธขึ้งในน้ำเสียงก็ตาม แต่นั่นกลับทำให้คนฟังรู้สึกราวกับถูกเข็มนับร้อยนับพันเล่มแทงทั่วทุกอณูในกาย ร่างสูงขยับเข้าโอบชายาด้วยกิริยาวอนง้อ ทว่าก็ต้องใจแป้วเมื่อยินชายาบอกอย่างเหินห่างเต็มที
“นอนเถิดเจ้าค่ะ วันพรุ่งยังต้องเดินทางต่ออีก”
“โกรธเกลียดพี่แล้วฤๅไร”
“หามิได้เจ้าค่ะ หากเป็นเช่นเจ้าพี่ว่า น้องคงไม่ปล่อยให้เจ้าพี่ทำเช่นนี้ได้ อีกประการนั้นเล่า แม้เจ้าพี่จักพูดด้วยแรงอารมณ์ แต่เจ้าพี่ก็มิได้พูดผิดความจริงแม้สักสิ่ง แต่เจ้าพี่เจ้าขา แม้นคนเราคิดระแวงในน้ำใจของคนรอบข้างเสียแล้ว เราจักหาได้ความไว้ใจเชื่อใจจากเขาเหล่านั้นคืนกลับมาฤๅไม่เจ้าคะ”
เจ้าชายรามราชนิ่งงันไปกับวาจานั้น พระนางจามเทวีก็มิได้สืบความต่อไปอีก คงปล่อยให้บดีได้ครุ่นคิดอยู่เพียงลำพัง นานเท่านานกว่าที่เจ้าชายรามราชจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“หลับแล้วหรือยังดวงใจของพี่”
“ยังเจ้าค่ะ”
“ขอพี่ถามเจ้าสักข้อหนึ่ง ในนคราใหม่นั้นย่อมมิได้มีเพียงคนของเราเท่านั้นที่จักเป็นราชภัฏ แต่ยังมีชนพื้นเมืองร่วมอยู่ด้วย น้องคิดเห็นเป็นประการใด”
“หมายถึงเรื่องใดเจ้าคะ คำตอบของปุจฉานี้ใช่มีเพียงหนึ่งเดียว”
“น้องจักทำประการใดให้คนเหล่านั้นยอมรับนายเหนือเกล้าที่เป็นหญิง ฝ่ายลวปุระนั้นพี่ประจักษ์แล้วว่าทุกคนยอมพลีแม้ชีวิตตนให้น้องได้ การเดินทางอันยาวนานนี้เป็นข้อพิสูจน์น้ำใจได้เป็นอย่างดี ว่าพวกเขามิได้ติดตามน้องมาเพราะถูกบังคับ หากเป็นด้วยใจสมัครจริงแท้”
เจ้าชายรามราชตัดสินใจถามตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมต่อไปอีก ก่อนขึ้นเป็นพ่อเมืองรามนครนั้นก็เคยคุมกองเกวียนไปค้าขายยังเมืองต่างๆ มาก็มาก ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าแว่นแคว้นที่มีสตรีปกครองมักนำพาความยุ่งยากใจให้กับคนเป็นแม่เมืองเสมอ วิสัยบุรุษมีหรือจะยอมตนอยู่ใต้อำนาจสตรีได้โดยง่าย แต่อุปสรรคที่พระนางจามเทวีต้องพบพานต่อไปในกาลเบื้องหน้า ย่อมหนักกว่านางกษัตริย์เหล่านั้นเป็นเท่าทวี
“ผู้ใดจักยอมรับคนต่างบ้านต่างเมืองมาเป็นนายได้เจ้าคะ ทว่ามันไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเช่นกันที่จักทำ อำนาจเท่านั้นเจ้าค่ะที่จักเป็นคำตอบ”
พระนางจามเทวีตอบ นิลมณีคู่นั้นเป็นประกายกล้าขึ้นแวบหนึ่งแล้วเลือนหายก่อนที่เจ้าชายรามราชจะทันเห็นเพียงชั่ววิบตาเดียว ขณะที่คนฟังขมวดคิ้วราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนได้ฟังนั้นจะผิดเพี้ยนไปเองหรือเปล่า อำนาจกระนั้นหรือ เจ้าจามเทวีคิดใช้อำนาจข่มคนเหล่านั้นหรือไร ครั้นจะถามให้รู้ความก็ปรากฏว่าร่างในอ้อมกอดทอดลมหายใจสม่ำเสมออย่างคนหลับสนิทไปเสียแล้ว จึงได้แต่เก็บความข้องใจไว้เท่านั้น
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ก.ย. 55 17:35:06
|
|
|
|