22
นภัสรินทร์อยากหยุดเวลาไม่ใช่เพราะความโรแมนติก แต่เป็นความรู้สึกสบาย ๆ ปราศจากการแข่งขัน มันปลอดโปร่ง โล่งใจ และผ่อนคลาย เธอเคยมีปรเมศ และวีรญาก็เคยทำให้ แต่วันเวลาแบบนั้นหายไปและหวนกลับมาอีกครั้งเพราะปัญวิชช์
ความใกล้ชิดกระมัง ทำให้เป็นบ่อเกิดของความรู้สึกคิดถึง เธอรำคาญการตอแยและตามตื้อแต่ก็ไม่ยอมไล่เขาไปให้เด็ดขาด นี่เป็นความเคยชินประสาผู้หญิงหรือเป็นความรู้สึกลึกซึ้งที่เธอปฏิเสธมาตลอดกันแน่
เขามักจะพูดกับเธอแบบอ้อน ๆ เธอเองก็พูดกับเขาเยอะกว่าที่เป็น ความจริงใจของเขาเปิดลอกเปลือกที่หุ้มอยู่แทบจะหายไปหมด เธอจึงปล่อยให้ฝ่ามือนั้นอยู่ในการเกาะกุมของเขาไปตลอดทาง
กลับมาถึงรีสอร์ทก็สามทุ่มกว่าแล้ว ปัญวิชช์กับนภัสรินทร์เดินตามทางที่ไต่ระดับเขา ความมืดโรยตัวแต่มีแสงไฟพร้อมเสียงจิ้งหรีดเรไรระงม จนทั้งคู่มาถึงห้องพัก เขาหยุดยืนและไม่ทำท่าว่าจะเดินกลับไปเธอจึงมองกลับ
“ผมอยากดื่มไวน์จัง” เขาพูดพลางยกขวดไวน์ที่เพิ่งซื้อมา ผลคือนภัสรินทร์กะพริบตา “กินไวน์กันไหม อากาศหนาว ๆ แบบนี้ “
หญิงสาวมองหน้าเขาเหมือนจะถามย้ำว่าแน่ใจหรือ “ไม่ดึกหรอกน่า ผมรู้ว่ารินต้องไปทำงานพรุ่งนี้”
เป็นอีกครั้งที่คำของเขาตัดมุมบนเวที นภัสรินทร์รู้ดี การชวนดื่มคือความต้องการที่เขาอยากจะยืดเวลาการอยู่ร่วมกับเธอให้ยาวนานออกไป
“ได้ไหม”
ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่อยากจบ เธอเองก็อยากจะให้บทตอนแห่งความสุขนี้ยาวนานออกไปเช่นกัน นานมากแล้วที่ไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจุดที่อารมณ์เหนือเหตุผล แค่วันเดียวคงไม่เสียหายอะไร ในที่สุดก็เปิดประตูให้เขาแทนคำตอบ ปัญวิชช์ก้าวตามด้วยใจที่ชื่นฉ่ำ
เป็นเพราะแสงไฟในคืนนี้มันสวยงาม เย้ายวนเกินกว่าจะอยู่คนเดียว หากมีใครสักคนมานั่งมองด้วยกันคงจะบรรเทาความอ้างว้างเพื่อเติมพลังให้หัวใจได้ดำเนินชีวิตต่อในวันข้างหน้าซึ่งอีกยาวไกล
ห้องพักตกแต่งสไตล์ธรรมชาติ ผนังฉาบปูนเปลือยโทนสีแดงอมส้ม ห้องพักของนภัสรินทร์กว้างขวาง เตียงนอนสี่เสาทำจากไผ่มีมุ้งสีขาวมัดรวบปล่อยชายดูโรแมนติก ห้องอาบน้ำมีอ่างอยู่ด้านนอกแยกส่วนกับเครื่องสุขภัณฑ์ วัสดุทุกอย่างใช้ของพื้นเมืองจัดวางอย่างละเมียดละไม แสงไฟสีส้มจากโคมไฟทำให้ห้องดูอบอุ่นจากลมหนาวและนวลตา ปัญวิชช์มองเห็นระเบียงและมีโต๊ะไม้ไผ่วางอยู่เป็นมุมสำหรับพักผ่อนกับทิวทัศน์
“นั่งตรงระเบียงได้ไหม ดูวิวไปด้วย”
เขาถามเมื่อนภัสรินทร์เตรียมหยิบแก้วออกมาวาง เธอพยักหน้า เขาจึงยกขวดไวน์เดินออกไป หญิงสาวถือของกินเล่นเดินตาม
ท้องฟ้าราตรีเป็นสีน้ำเงินเข้ม เห็นดวงดาวส่องประกายระยับและอยู่ใกล้จนเกือบจะเอื้อมมือถึง เทือกเขาทอดตัวอยู่ไกล ๆ เหลื่อมระดับไปตามความสูงที่ต่างกัน เบื้องล่างเป็นป่า มองเห็นหลังคาห้องพักและบ้านเรือนแทรกตัวและเปิดไปสว่างวอมแวมดั่งหิ่งห้อย ไอเย็นยะเยือกของขุนเขาทำให้ปัญวิชช์ห่อไหล่ ขยับผ้าพันคอที่นภัสรินทร์ซื้อให้
“เอาผ้ามาห่มอีกผืนไหม”
“ไม่ต้องหรอก”
“ไม่เป็นไร ฉันว่าจะไปเปลี่ยนเสื้อเหมือนกัน” เธอพูดแล้วเดินออกไปไม่ให้เขาปฏิเสธ ปัญวิชช์จึงเปิดไวน์ ครู่เดียวหญิงสาวก็กลับมาพร้อมผ้าคลุมไหล่ผืนหนา ตัวเธอเองเปลี่ยนจากเสื้อตัวยาวเป็นเสื้อไหมพรม
เขารินไวน์ส่งให้ เครื่องดื่มสีม่วงเข้มแวววาว ปัญวิชช์ถือแก้วค้างไว้ในอากาศ
“ไม่ล่ะ”
“นิดนึงน่า เป็นโอกาสดี ๆ อืม...เอาเป็นว่าผมขออวยพรให้รินทำงานพรุ่งนี้ให้สำเร็จ”
นภัสรินทร์หัวเราะแผ่ว พรุ่งนี้เธอตั้งใจจะแค่ไปเยี่ยมท่านจรัสและขอบคุณ ไม่จำเป็นต้องขอโชคลาง แต่พอได้ยินคำซึ่งออกมาจากสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังดีก็อดยิ้มไม่ได้ ในที่สุดก็ยกแก้วไปชน เสียงกระทบกันดังกริ๊ก
ทั้งคู่เปลี่ยนมานั่งอีกฝั่งซึ่งติดผนังห้องเพราะหลบน้ำค้าง และลากโต๊ะไม้ไผ่มาใกล้เพื่อวางเครื่องดื่ม ที่นั่งรองด้วยเบาะและหมอนอิง นภัสรินทร์นั่งขันเข่ากอดขาตัวเอง ส่วนปัญวิชช์เอนกายพาดขาบนเก้าอี้มีหมอนกอดอย่างสบายอารมณ์ บทสนทนาไหลเรื่อย ๆ เหมือนน้ำในลำธาร ขอเหลวสีเข้มก็พร่องลงเรื่อย ๆ แต่เวลาเดินไม่หยุดเมื่อนาฬิกาที่ข้อมือนภัสรินทร์บอกเวลาเกือบห้าทุ่ม
“ดึกแล้ว น่าจะกลับได้แล้วมั้ง”
ปัญวิชช์คลึงแก้วในมือราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้น ริมฝีปากเปื้อนยิ้ม จับจ้องดวงหน้าสวยที่แก้มระเรื่อ ในอกเขาอุ่น แต่ไม่ใช่เพราะเครื่องดื่มอย่างเดียว
“รินจำวันแรกที่เราเจอกันได้ไหม สายตารินน่ะบอกชัดเลยนะว่าไม่ค่อยชอบผม”
หญิงสาวนึกตาม ช่วงเวลานั้นผ่านไปมากกว่าสิบปีแล้ว แต่ภาพชายหนุ่มยังเป็นวัยรุ่นฉายชัดขึ้นมา เธอยิ้มบาง “เกเรแบบนั้นใครจะไปชอบ”
“เกเรอะไร ผมอุตส่าห์ไปนั่งเฝ้าเจตน์ไม่ให้มันเถลไถลนะ”
“ไม่เกี่ยวเลย ไม่มีคุณเจตน์ก็ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว”
สีหน้าชายหนุ่มรื่นรมย์ “จะว่าไป...รูปคราวนั้นผมยังเก็บไว้อยู่เลยนะ”
“รูปไหน”
“ที่ผมวาดริน”
“เก็บไว้ทำไม”
“ก็ต้องเก็บสิ จะได้รู้ว่าจากวันแรกถึงวันนี้รินต่างกันยังไง”
แววตาเธอจริงจังแสดงให้เห็นว่าสนใจกับเรื่องที่เขาพูด “แล้วต่างกันไหมล่ะ”
“ต่าง”
“ตรงไหน”
“ก็ตรงที่...” เขาทำท่าเหมือนคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่บอกดีกว่า”
คนฟังหน้าตึง เหมือนโดนหลอกล่อแล้วก็ปล่อยเธอไว้ให้ติดกับ เธอสะบัดหน้า “ไม่บอกงั้นก็กลับไปได้แล้ว ไม่อยากรู้แล้ว” เธอจะดึงหมอนออกจากตักของเขา แต่ชายหนุ่มรั้งไว้ สบตา
“ไม่อยากรู้เหรอว่าตอนผมไปฝรั่งเศส ผมทำอะไรบ้าง”
“ไม่”
“อยากรู้หน่อยเถอะน่า ผมไม่ได้แค่ส่งเมล์หารินทุกวันนะ ผมรู้เรื่องรินหมดทุกเรื่อง”
นภัสรินทร์ชะงัก
“จริง ๆ นะ บอกได้เลยว่า รินได้งานอะไรบ้าง ได้โปรโมทเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดเมื่อไหร่”
คนฟังหรี่ตาทำนองไม่เชื่อ
“หลังจากที่ผมไปเรียนต่อได้สองปี รินได้งานก่อสร้างคอนโดของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ทำให้บริษัทกุลโยธาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือการเข้าตลาดหุ้น” เขาเล่ายิ้ม ๆ นัยน์ตาเชื่อมฉ่ำ
“พอหลังจากนั้น รู้สึกจะเป็นตอนเดือนมีนาปีที่แล้ว...รินก็เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด แล้วก็ได้งานตัดถนน...”
“พอแล้ว เรื่องตัวเองฉันรู้น่า ไม่อยากให้คนอื่นมาบอก กลับไปนอนได้แล้ว” คราวนี้เธอดึงหมอนออกจากเขาได้สำเร็จ ท่ามกลางจังหวะหัวใจที่เต้นตุ่ม ๆ เขามีแต่เธอ เรื่องของเธออยู่ในความสนใจของเขาตลอดเวลา เขารู้ทุกอย่าง จะมีผู้ชายสักกี่คนใส่ใจเรื่องของหญิงสาวได้ละเอียดขนาดนี้หากไม่ใช่คนที่อยู่ในหัวใจ นภัสรินทร์ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไปถึงเรื่องที่เธอออกเดทกับลูกชายกรรมการของบริษัทนั้นอยู่เกือบครึ่งปีหรือเปล่ากว่าจะได้งาน วูบนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
“อีกแป๊บนึงไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”
ปัญวิชช์ทำหน้าแบบเด็กที่ถูกขัดใจ เขาสูดลมหายใจลึกขณะที่ยันกายลุกขึ้น ย่างก้าวไม่ปัดป่ายเหมือนคนเมา แต่เชื่องช้าและอ้อยอิ่งกว่าจะเดินกลับเข้ามาในห้องเพื่อไปออกทางประตูหน้า พอถึงก็ยังยืนนิ่งเหมือนต่อต้าน นภัสรินทร์กรอกตา
“เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ฉันมีโปรแกรมไปไหว้พระ เดี๋ยวไปด้วยกัน”
ชายหนุ่มยิ้มแป้น
“เข้าใจแล้วก็กลับไปซะที” เธอรุนหลังเขาให้เดินพ้นบานประตู แล้วหมุนกายจะกลับเข้าไปในห้อง
“เดี๋ยวก่อน” ปัญวิชช์เอื้อมมือมาจับมือเธอ สายตาที่ส่งมาบอกความนัยลึกซึ้ง นภัสรินทร์นิ่งงัน
“จูบทีได้ไหม”
ใบหน้าหญิงสาวร้อนผ่าวเลือดลมแล่นพล่าน ๆ ไปทั้งร่าง เขาไม่เพียงแค่จับมือ แต่เหมือนหัวใจกำลังถูกล้อม ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือก ลมพัดวืดวือ
“ริน...”
“เอ่อ...” หญิงสาวก้มหน้าหงุดหลบสายตาอ้อนวอน แล้วก็หลบแววตาที่อาจบอกความต้องการของตนเองด้วย ว่าพึงใจกับการอยู่ใกล้ชิดเช่นนี้
“แบบ แค่ กู้ดไนท์คิส น่ะ ได้ไหม”
เขาทำท่าทำเสียงเหมือนเด็ก ๆ อารมณ์เธออ่อนลง ปัญวิชช์มีบุคลิกที่ทำให้เธอหวนรำลึกถึงใครหลายคน บางครั้งก็รู้สึกเหมือนมีน้องชายช่างอ้อน บางครั้งก็รู้สึกว่าความอบอุ่นของเขาเหมือนของแม่ ห่วงใย ใส่ใจ ช่วงเวลาที่ไม่มีใคร ก็จะมีเขาอยู่เสมอ ไม่ได้มุ่งหวังผลประโยชน์แฝงเหมือนเอกสิทธิ์ ไม่คิดก้าวรุกล้ำเป็นเจ้าของเกินกว่าเพื่อนเหมือนวีรญา
แต่เป็นปัญวิชช์ที่จริงใจ มันคง เสมอต้นเสมอปลาย
“กู้ดไนท์คิสเอง นะ”
หญิงสาวช้อนสายตา ถ้ายังไม่ตอบก็คงไม่จบ อาจจะเพราะน้ำเสียง หรือความตั้งใจอย่างน้อยเขาขออนุญาตก่อน เพราะความรู้สึกในส่วนลึก หรือเพราะบรรยากาศมันพาไปก็ได้ทำให้เธอแสดงกริยาว่าตกลง
“หลับตาก่อนสิ”
เธอขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ท่ามากอีกนะ เธอคิด แต่ก็ยอมทำตาม ชายหนุ่มยิ้มกว้าง
ปัญวิชช์เพ่งพิศใบหน้านภัสรินทร์ จริงอยู่หญิงสาวเป็นคนสวยจัดชนิดมองแล้วเหลียวหลัง แต่เขาไม่ได้รักเธอเพราะรูปโฉม ไม่ได้รักเพราะเก่ง ไม่ได้รักเพราะมีผลประโยชน์ให้ เหตุผลเดียวและเป็นคำเดียวคือรักเพราะรัก เท่านั้น
เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับใครเลย นับตั้งแต่เห็นนภัสรินทร์ในบ้านเจตน์แว่บแรก เธอก็กลายเป็นเป็นหนึ่งเดียวในใจนับแต่นั้น บางครั้งด้านมืดในตัวก็ไม่ได้เสียใจกับการตายของอามากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะส่วนที่เหลือเป็นความคาดหวังที่จะได้ผู้หญิงคนนี้ ได้โอกาสที่จะสานต่อความสัมพันธ์ที่จบไปแล้วให้เริ่มต้นใหม่
นภัสรินทร์รู้สึกว่ามันนาน ไม่ใช่ว่ารอ แต่แค่บอกราตรีสวัสดิ์ไม่เห็นต้องพิธีรีตองหรือเตรียมอะไรมากมาย เธอย่นคิ้ว ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างอดไม่ได้ เห็นภาพปัญวิชช์มองมานิ่ง ๆ ลาง ๆ
“นี่...”
ไม่ทันจบประโยคเขาก็ประกบริมฝีปากลงมาทันที ไม่ใช่กู้ดไนท์คิสตามที่ตกลง แต่เป็นรูปแบบที่เต็มความรู้สึกของการจูบ
เพียงวินาทีแรกเท่านั้นที่งุนงง และแม้จะตกใจที่ชายหนุ่มช่วงชิงอารมณ์เกินกว่าที่ขอ แต่เธอกลับนิ่งให้เขาลิ้มรสและถ่ายทอดสัมผัสอ่อนหวานนั้นโดยไม่ต่อต้านอีกหลายวินาที
ก่อนจะรู้สึกตัวว่าร่างนั้นเบียดมาใกล้ จึงรีบยกมือแล้วดันตนเองออกมา
“พอแล้ว”
เธอพูดแล้วถอยหลัง อย่างน้อยให้มีระยะห่างระหว่างกัน เพียงพอที่เธอจะไม่เผลอไผล ปัญวิชช์กึ่งยิ้มกึ่งเสียดาย หากพอเห็นสายตาแกมดุก็พยักหน้าช้า ๆ ทำทีจะเดินออก
นภัสรินทร์ดันบานประตูเพื่อให้ปิด แต่ปัญวิชช์เอามือดันไว้
“ผมรักรินนะ”
หญิงสาวชะงัก “รักตั้งแต่วันแรกที่เห็น จนถึงวันนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลย”
หัวใจของเธออ่อนยวบ ดูเหมือนนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสารภาพ เป็นหนแรกที่เธอได้ยินชัด อาจจะกึ่มเพราะแอลกอฮอล์แต่สติยังไม่บกพร่อง มันอ่อนหวาน และซาบซึ้งจนอยากจะปลดเปลื้องตัวเองจากภาระที่แบกรับทั้งหมด ลืมเรื่องทุกอย่าง ทิ้งภาระหน้าที่ ลืมเรื่องวีรญา ลืมคำถามที่พ่อถามไว้
ความรักของปัญวิชช์ไม่ใช่ความรักที่หวนกลับมา ไม่ใช่ความรักครั้งเก่า แต่เป็นความรักที่ยังคงเดิม เป็นรักที่ไม่เคยจางไป เธอรู้ว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้ เพราะเขาพิสูจน์ให้เห็นตลอดมา
หัวใจเธอจะหลุดออกจากอกอยู่แล้ว ขอบตาร้อนกรุ่น เธอตอบไปเบา ๆ
“ขอบคุณนะ”
“ให้ผมอยู่ต่อไม่ได้เหรอ”
นภัสรินทร์ชักคิ้ว ลูกตื้อ ลูกอ้อน กำลังจะทำให้เธอใจอ่อน ต้องรีบปฏิเสธ ใจหนึ่งเปิดรับ เนื่องจากโอกาสที่จะใกล้ชิดเช่นนี้ไม่มีอีก หากอีกมุมหนึ่งที่ยังมีสำนึกด้านดีก็พยายามระงับอาการไม่ให้แสดงออก
“ไม่เอาน่า ก็บอกแล้วว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้ว กลับเถอะนะ”
“แต่...”
“กลับ!” เธอย้ำเสียงแข็งแล้วออกแรงดันประตูให้ปิด ปัญวิชช์ผงะ
“โอ้ย!”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ก.ย. 55 10:31:35
|
|
|
|