Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 30 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่านทุกท่าน ตอนนี้อาจจะมาช้าไปนิดนะครับ ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ

       ขอขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนๆทุกท่าน คุณนุ้ยนารีจำศีล, คุณมานีโอลา,น้อง ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,คุณ เพชรรุ้งพราย, คุณปุ้ยnpuiy, อาจารย์จี GTW, คุณรพิชา, คุณmimny, คุณไก่kdunagin, คุณwor_lek, คุณนวลน้ำผึ้ง,คุณ Hermosa คุณมน Setakan และทุกท่านด้วยครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมาครับผม
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12576192/W12576192.html


และตอนล่าสุดขอรับ

บทที่ 30


           “หิรัญรัศมี จงเจียมตัวเจียมใจ จดจำไว้เสมอว่า ทรงเป็นเพียงเจ้าหญิงพระญาติวงศ์เท่านั้น เจ้าเองก็หาใช่ เจ้าหญิงรัชทายาท เหมือนกับองค์มณีเรขาไม่ ข้าขอแนะนำว่าถ้าต้องการอาศัยอยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสบายแล้วล่ะก็ จงสงบเสงี่ยมเข้าไว้ อย่าได้คิดเทียบตนเองกับองค์มณีเรขาเด็ดขาด”



            ผู้พูดแม้จะทรงฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่า หากคำว่า “หาใช่เจ้าหญิงรัชทายาท” และ “ผู้อาศัย” กก็ทำให้ต้องทรงขบพระทนต์ข่มกลั้นโทสะอย่างยากเย็น กี่ครั้งกี่หนแล้วหนอที่จะได้รับฟัง การเปรียบเทียบแกมเหยียดหยันเช่นนั้นจากผู้คนรอบข้าง ไม่ว่าพวกเขาจะเทินทูนยกย่องพระองค์มากเพียงใด หากทันทีเมื่อมณีเรขาเสด็จออกสู่มหาสมาคม เหล่าผู้คนห้อมล้อมพระองค์ ก็จะเปลี่ยนไปนบนอบบูชาและเอาอกเอาใจเจ้าหญิงมณีเรขาแทน แล้วปล่อยให้หิรัญรัศมีประทับอยู่เพียงโดดเดี่ยวเอกา...


        “มาเล่นด้วยกันสิ หิรัญรัศมี”


        “ไม่เพคะ”


          ทันทีเมื่อทรงตอบออกไป พระพี่เลี้ยงก็จะแอบเหน็บปลายเล็บลงกดต้นพาหา เพื่อเป็นการ “กำหราบ”อยู่ในที จนต้องยอมตรัสตอบรับอีกฝ่ายออกไปอย่างยอมจำนน


          จำนนด้วยร่างกาย หากหัวใจของหิรัญรัศมีไม่เคยยอมรับ!!


          เป็นเฉกเช่นนี้มากี่ครั้งแล้วหนอ หากก็ต้องข่มฝืนกลืนกล้ำความชอกช้ำเอาไว้ ทรงเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า ไม่มีประโยชน์อันใดจะเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยวิธีการต่อต้านแสดงความเป็นปรปักษ์ ในเมื่อพระองค์เองเป็นเพียงแค่พระธิดาแห่งพระญาติวงศ์เล็กๆที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย นอกจากที่องค์เสด็จน้าผกามาศ พระราชินีแห่งวิเทหะทรงชุบเลี้ยงด้วยเมตตาเท่านั้น


            และสำหรับไว้คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลมณีเรขาผู้เลอโฉมนั่นด้วย!!


             สำหรับหิรัญรัศมีแล้ว นั่นเป็นเพียงการรอคอยจังหวะเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น และจังหวะเวลาก็มาถึงโดยไม่คาดคิด เมื่อทรงรับรู้ถึงการยกทัพจากโรมพิสัยเข้าตีเมืองวิเทหะ โดยกองทัพขององค์ราชันย์สิงหเมฆินทร์อันเกรียงไกร


            ทรงตั้งพระทัยจะว่าจะเข้าสวามิภักดิ์อีกฝ่ายทันทีเมื่อ กำแพงนคราถูกทำลายลง และเมื่อกองทัพหุ่นพยนต์ของสิงหเมฆินทร์เข้าบดขยี้พระชนม์ชีพ พระเจ้าอาพรหมทัต และเจ้าน้าผกามาศ รวมถึงศัตรูคนสำคัญ


            มณีเรขา!


           หากการณ์กลับตรงกันข้าม...


          หิรัญรัศมีต้องข่มกลั้นความผิดหวัง โทมนัสเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีของสิงหเมฆินทร์ที่กลับเป็นฝ่ายลุ่มหลงในความรูปลักษณ์ของมณีเรขา จนถึงกับยอมศิโรราบให้กับวิเทหะโดยดุษณี ทั้งที่เป็นฝ่ายเหนือกว่าในทุกๆสิ่ง ก็ยิ่งทำให้พระทัยเดือดพล่าน


               ซ้ำร้าย จอมทัพสิงหเมฆินทร์ผู้ยิ่งยง ไม่แม้แต่จะเหลือบแลมายังหิรัญรัศมี ผู้ประทับเคียงกันกับเจ้าหญิงมณีเรขา ราวกับเห็นนางเป็นเพียงดาวด้อยแสงดวงหนึ่งที่มาเทียบเคียงกับแสงพระจันทรา!

  เสมือนดวง ดาริกา แจ่มฟ้าแจ้ง
ก็เพียงแสง น้อยนิด พิสมัย
ฤาจะเทียม จันทรา อ่าอำไพ
หนึ่งแสงใส ดับหมื่นแสง แห่งดารา

   โฉมหิรัญ รัศมี นารีนาฏ
นางมิอาจ ห้ามจิต ริษยา
ฉาบรอยยิ้ม พริ้มเพรา ใต้เงาตา
รอเวลา อาฆาต หมายมาดร้าย...


        และจังหวะเวลานั้นก็มาถึง เมื่อได้เห็นว่ามณีเรขาผู้เลอโฉมและจริยวัตรอันงดงาม ลักลอบคบหากับบุรุษนิรนาม ในห้องบรรทมส่วนพระองค์เอง!


           นางค่อยๆหับบานพระทวารกลับเข้าไปอย่างแผ่วเบาที่สุด แล้วตรงรี่ไปยังพระตำหนักของอันเป็นสถานที่พำนักของ จอมทัพสิงหเมฆินทร์ ในทันที


         หมายมาดว่าการณ์นี้ จักต้องทำให้อีกฝ่ายโกรธกริ้วโกรธาจนพิธีอภิเษกที่กำลังจะมาถึงต้องกลายเป็นโมฆะในมิช้า...


                  ************************


           ทุกอย่างเป็นจริงดังคาดหมาย เมื่อหิรัญรัศมีเสด็จผ่านเข้าสู่ตำหนักที่พำนักของสิงหเมฆินทร์ ว่าที่กษัตริยาธิราชแห่งวิเทหะในอนาคต กองทัพหุ่นพยนต์ที่ทำหน้าที่เฝ้าอารักขา มิยอมให้นางผ่านเข้าไปโดยง่าย จนกระทั่งเสียงเอะอะโวยวายของนางนั่นเองที่จงใจให้ดังลั่นผ่านเข้าไปสู่ห้องด้านในนั่นแหละ จอมทัพผู้มีวรกายสูงตระหง่านจึงก้าวตรงออกมาด้วยพระอารมณ์อันขุ่นมัว


       “เจ้าหญิงหิรัญรัศมี?”


          สีพระพักตร์กรี้ยวกราดนั้นคลายลงเพียงนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนในยามวิกาลเป็นใคร หิรัญรัศมีพยายามแย้มสรวล แม้จะฝืนข่มกลั้นอาการหวั่นไหวในอุระเอาไว้สุดระงับ ตระหนักถึงพลังอันกล้าแข็งอำมหิตของอีกฝ่าย ที่จักสามารถบดขยี้นางให้มอดม้วยไม่ต่างกับการบี้มดปลวกให้แหลกสลายเป็นภัสม์ธุลีในพริบตาที่นาง “พลาด”


           “ทรงเสด็จมาทำไม?”


            “หม่อมฉันมีเรื่องต้องกราบทูล ท่านสิงหเมฆินทร์”


             เจ้าหญิงทรงตรัสออกไปอย่างอ่อนหวานนอบน้อม และยกย่อง นางรับรู้ว่าอีกฝ่ายเห่อเหิมในอำนาจและมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด


               ทรงรู้ดีว่าเมื่อต้องเผชิญกับคนที่กล้าแข็งเช่นนี้ การโอนอ่อนคือทางรอดที่เหมาะสมยิ่งกว่า นางไม่เคยนำวิธีอันกร้าวกระด้างออกมาใช้กับผู้ที่รู้ว่าอยู่เหนือกว่าในทุกขุม บทบาทเจ้าโทสะจะถูกใช้สำหรับนางพระกำนัลที่ต้องเป็นฝ่ายรองรับอารมณ์อันวิปริตแปรปรวนเท่านั้น


             ไม่มีใครอื่นที่จะได้เห็นภาพลักษณ์ในด้านนั้นจากหิรัญรัศมีเด็ดขาด!


             ท่าทีของอีกฝ่ายจึงเริ่มเยือกเย็นลง สิงหเมฆินทร์ทอดพระเนตรหรี่มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ประสบการณ์ในการรบสู้กับศัตรูอาจจะเชี่ยวชำนาญ เหนือกว่านักรบขุนพลอื่นทั่วไป แต่สำหรับเล่ห์มารยาแห่งอิสตรีแล้ว นับว่ามันยังอ่อนด้อยประสบการณ์ยิ่งนัก


             “เจ้ามีอะไรก็ว่ามา หิรัญรัศมี”


               ยิ่งเมื่อเห็นท่าทีอ่อนน้อมนบนอบของอีกฝ่าย ก็ยิ่งทำให้ความเป็นบุรุษถูกกระตุ้นให้ฮึกเหิม อหังการมากยิ่งขึ้น จะว่าไปเจ้าหญิงพระองค์นี้แม้จะไม่อาจงามพิลาสเทียบเท่ามณีเรขา หากก็มีความโสภาน่าพิศไปไม่น้อย


                “หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูล เกี่ยวกับเจ้าหญิงมณีเรขาเพคะ ตอนนี้ หม่อมฉันเห็นว่านางกำลังลักลอบคบหาสนิทสนมกับบุรุษแปลกหน้าอยู่ในพระตำหนัก”


           “ลักลอบ? เจ้าหมายความอย่างไร”


              เท่านี้ทุกอย่างก็ลงตัว ตามแผนการที่นางวางเอาไว้ นั่นก็คือการสร้างความหวั่นระแวงแคลงใจแก่ราชันย์ผู้มีพระทัยมุทะลุ


           “มันเป็นมาณพหนุ่มผู้หนึ่งเพคะ กำลังลักลอบเข้ามาอยู่ในพระตำหนักของเจ้าหญิงมณีเรขา และพร่ำพรอดรักกันอย่างน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก หม่อมฉันไม่อาจทนเห็นฝ่าบาทถูกหยามพระเกียรติยศนั้นได้ จำต้องกราบทูลให้ทรงทราบ...”


              คำตรัสของอีกฝ่าย ทำให้อารมณ์ที่เยือกเย็นลงแล้วกลับพลุ่งโพลงขึ้นมาอีกครั้ง สิงหเมฆินทร์ที่มีอารมณ์รุนแรงร้อนรนเป็นเจ้าเรือนอยู่แล้ว จึงบังเกิดโทสะมิอาจระงับได้ในทันที


               และไม่ทันฟังคำตรัสของหิรัญรัศมีต่อไป มันสืบเท้าตรงลิ่วไปยังตำแหน่งของพระตำหนักเจ้าหญิงมณีเรขาในทันที...


                 เพื่อให้เห็นทุกอย่างกับสายตาตนเอง!

            *************************


               เสียงสัญญาณจากภายในจิตใจเริ่มก้องกังวานขึ้นเอง มันปลุกภวังค์อันวาบหวานที่กรุ่นอายระหว่างสองหนุ่มสาวในสถานที่แห่งนั้นในทันที เสาร์ขยับกายเล็กน้อย มือยังกุมหัตถ์นุ่มนิ่มที่สัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อและชีวิตของอีกฝ่าย มิใช่ตัวตนในจินตนาการของตนเองอีกต่อไป


              “กระหม่อมต้องขออำลาก่อน ณ บัดนี้ได้เวลาเดินทางกลับแล้ว”


               เวลาที่เขากำหนดไว้จากอิสรภพ มันชี้บ่งว่าห้วงเวลาผันผ่านเข้าใกล้เพลารุ่งสางเข้ามาทุกขณะแล้ว เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดจากโลกภายนอกล่วงรู้การจรดลในครั้งนี้


                 เศาร์แนบกุหลาบขาวดอกน้อยไว้กับตัวเองอย่างแหนหวง มณีเรขาทรงเล่าให้ฟังถึงบุปผาที่ทรงโปรดปรานยิ่ง และในโอกาสนั้นเอง ที่เขาได้กราบทูลขอกุหลาบขาวหอมกรุ่นดอกนั้นเพื่อนำติดตัวไปด้วย


             เนตรสุกสกาว เบิกกว้างขึ้นคล้ายมิคาดคิด เขามองเห็นแววแห่งความเสียดาย ตัดพ้อ รวมอยู่ภายในประกายเนตรวับวาวคู่นั้น


         เกินห้ามใจอีกต่อไป ชายหนุ่มจากต่างภพ ต่างมิติแห่งกาลเวลา ก้มกายลงสูดสัมผัสกลิ่นสุคนธรสอันหอมหวานจนเต็มตื้นไปทั้งผืนทรวง บัดนี้เขาเข้าใจท่วงทำนองเพลงไทยเดิม ที่ตนเองเคยบรรเลงขลุ่ยเล่นในยามอารมณ์ปลอดโปร่งนั้นแล้ว ท่วงทำนองเศร้ากำสรดแห่งการอำลาหวนหา ด้วยความรู้สึกมิแผกผิดกัน


           “กระหม่อมสัญญา ว่าจะกลับมาหาฝ่าบาทอีก...”


          “สัญญา”


          หัตถ์เรียวยาวตกลงแนบเพลาในขณะที่เขาฝืนกายลุกขึ้นแล้วจรดขลุ่ยแนบริมฝีปากตนเอง พลางทอดสายตามององค์มณีเรขาด้วยความอาลัย ท่วงทำนองเพลงอ่อนหวานละโหยหาแว่วหวานขึ้น ทั้งไพเราะและโศกสลด อย่างที่เจ้าหญิงมณีเรขามิเคยสดับมาก่อน

   โอ้ละหนอดวงเดือนเอย
พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง
โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง
อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย
 ขอลาแล้วเจ้าแก้วโกสุม
พี่นี้รักเจ้าหนอขวัญตาเรียม
จะหาไหนมาเทียมโอ้เจ้าดวงเดือนเอย ...



           จากนั้น คลื่นแห่งจังหวะ “ปัจฉิมมนตรา” ก็กังวานขึ้น ชายหนุ่มมองเห็นด้วยสายตาตนเอง ว่าพื้นเบื้องหลัง คล้ายแยกออกเป็นสองส่วนเหลื่อมซ้อนกัน ใต้เงาสลัวแห่งราตรีกาลคือ “อุโมงค์แห่งกาล”ที่นำพาเขาล่องผ่านกัลปาลัยเข้ามา คุณหลวงหนุ่มก้าวผ่านเข้าไปยังด้านหลังแท่นบรรทมโดยที่มณีเรขา มิทันได้สังเกตเห็น ลับม่านแห่งสายวิสูตรทั่งเป็นปราการลับแล ร่างของชายหนุ่มก็กลืนหายเข้าไปสู่ขอบเขตของโลกปัจจุบันในบัดดล


       การจรดลสำเร็จโดยสมบูรณ์!


        พร้อมกับบานทวาราด้านหน้าก็ถูกผลักให้เปิดกว้างออกจากกันในทันทีด้วยวิสาสะของคนที่อยู่ด้านนอก


              จากนั้น จึงปรากฏเรือนร่างสูงตระหง่านของสิงหเมฆินทร์ ยืนผงาดเงื้อมอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์!


          **********************


             แผนการทุกอย่างผิดพลาด!


         บุรุษลึกลับผู้นั้นเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับไร้ร่องรอยราวกับสามารถล่องหนได้ แน่นอน หิรัญรัศมีแม้จะไม่ถูกลงโทษทัณฑ์ฐานกล่าวความเท็จ หากสายพระเนตรคมกล้าของสิงหเมฆินทร์ที่ทอดมองมาอย่างหยามหมิ่นดูถูก ก็ทำให้ทรงรู้สึกร้อนวาบที่วงพักตร์ด้วยความอดสู


              บุรุษผู้งามสง่าคนนั้นหายไปไหน? นางพยายามลอบมองตามช่องประตูและรอบห้องบรรทมของมณีเรขา บนยอดหอคอยป้อมคูสำหรับการถวายการอารักขา หรือในความเป็นจริงคือสถานที่ “กักขัง” เจ้าหญิงผู้โสภา ก็หามีผู้ใดสามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามาได้ ยกเว้นว่ามันจะมีปีกบินได้!


           ความสงกานั้นได้รับคำตอบในเวลาอันไม่นาน ในเมื่อทรงจดจำชายหนุ่มนิรนามผู้นั้นได้เป็นอย่างดี


               หิรัญรัศมีจึงได้เผชิญหน้ากับบุรุษผู้มาพร้อมกับเสียงบรรเลงดนตรีจากขลุ่ยไม้อันหวานแว่วนั้นอีกครั้งในกาลต่อมา


               เมื่อเขาถูกเหล่าเสนามาตย์นำตัวเข้ามา ถวายการแสดงมหรสพคีตศิลป์ต่อเบื้องพระพักตร์ของเสด็จอา พระเจ้าพรหมทัต ณ ท้องพระโรงแห่งวิเทหนคร โดยไม่มีผู้ใดแม้แต่ สิงหเมฆินทร์ที่จะจดจำได้


         แต่หิรัญรัศมีทรงจำได้!


         บุรุษผู้นั้นมีนามว่าเศาร์...


              *********************


                ผอบแก้วนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงนอนอันหรูหรา สมศักดิ์ศรีภริยาของคุณหลวงอนุรักษ์วนาดร ผู้เป็นถึงหัวหน้าหน่วยงานทั้งหมดในเขตพื้นที่ป่าไม้ในแถบนี้ ลมเย็นยะเยียบยามดึกพัดผ่านเข้ามาพร้อมเสียงขลุ่ยบรรเลงอย่างไพเราะ


            เพลงลาวดวงเดือน?


            แน่นอนเป็นเสียงขับขานลำนำขลุ่ยของคุณหลวงที่อ่อนหวานนัก ราวกับเขากำลังหวนหาสตรีนางหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกลสุดขอบฟ้า ผอบแก้วรับรู้จากกระแสท่วงทำนองนั้นด้วยความอึดอัดคับข้อง


            เพราะมันมิได้หมายถึงตัวหล่อนเลย...


                เขาคงบรรเลงเพลงขลุ่ยอยู่ที่ห้องทำงานส่วนตัวบนยอดหอคอยนั่นเอง โดยมิได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอฉันสามีภรรยา ปล่อยให้ผอบแก้วต้องนอนข่มตาให้หลับอย่างยากเย็นอยู่เพียงลำพังภายในห้องหับอันรโหฐานแห่งนี้


             ไม่ต่างกับตัวเองเป็นเพียงญาติสนิทหรือมิตรสหายของคุณหลวงที่แวะเวียนเดินทางมาพักผ่อนยังปางงิ้วดำเท่านั้น


              หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธว่ารู้สึกพอใจ เมื่อได้เห็นสภาพของ “ทับสนธยา”ที่ถูกสร้างขึ้นและตกแต่งเป็นอย่างดี ในสภาพที่หรูหรา ในแบบอย่างที่เธอเขียนจดหมายแสดงความจำนงมา เขาตามใจและดลบันดาลให้เธอได้ทุกอย่างจริงๆ


                แม้แต่คฤหาสน์หลังงามตามรูปแบบที่เธอต้องการ โดยมีเพียงข้อแม้ข้อเดียวที่หล่อนไม่เห็นว่ามันสลักสำคัญอะไรนัก


                  ข้อตกลงที่ว่า ให้เขามีเวลาทำงานส่วนตัวอยู่ในห้องทำงานบนยอดหอคอยสูงลิ่ว อันถือเป็นเขตหวงห้ามของเขาเพียงเท่านั้น


             บริเวณที่หล่อนไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น


                 ผอบแก้วตอบตกลงอย่างง่ายดาย ยิ่งเมื่อเห็นแต่แรกว่ามันเป็นหอคอยขนาดใหญ่ที่มีบันไดเวียนอันแคบชัน ขดเป็นวงก้นหอยขึ้นไปสู่ห้องแคบๆเล็กๆด้านบน


                ลักษณะแบบนั้น ไม่มีทางที่เศาร์จะนำผู้หญิงคนไหน เล็ดลอดสายตาหล่อนขึ้นไปเก็บซ่อนไว้สำหรับเสวยสุขอยู่บนนั้นได้เด็ดขาด แต่กระนั้น ผอบแก้วเองก็ยังยอกแสยงใจอยู่ลึกๆ ทุกครั้งในยามที่ตื่นขึ้นมาอยู่เพียงเดียวดาย และมองเห็นแสงไฟส่องวอมแวมมาจากทิศทางด้านบนของห้องบนยอดหอคอยนั้นจนถึงรุ่งเช้า


                  ไม่เคยมีสิ่งใดที่ผอบแก้วพูดออกมาแล้ว เศาร์จะปฏิเสธ เขาเสาะสรรหามันมาให้หล่อนได้ทุกอย่าง ยกเว้นอยู่สิ่งเดียวเท่านั้น


              นั่นก็คือหัวใจของเขาเอง!!


             ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่ใกล้กันมากขึ้น กลับยิ่งมีช่องว่างที่ห่างไกลกันยิ่งกว่าเดิม ช่องว่างที่หล่อนไม่อาจมองเห็นว่ามีใครกั้นอยู่ระหว่างหล่อนกับเขา รู้แต่เพียงว่า เศาร์มีโลกส่วนตัวที่ไม่มีผู้ใดก้าวล่วงเข้าไปได้เลยสักคนเดียว


                  และเขาก็ปล่อยให้หล่อนนอนโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง บนที่นอนอันหรูหรานุ่มสบาย โดยปราศจากอ้อมกอดอันอบอุ่นของผู้เป็นสามี แต่ตอนนี้ผอบแก้วก็ไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อความรักหรือแท้จริงอาจจะเป็นความลุ่มหลงก็เริ่มคลายตัวลงไปเรื่อยๆ เหลือเพียงสภาวการณ์ที่ต้องพึ่งพาจากเขา เพื่อให้หล่อนเชิดหน้าอยู่ในสังคมได้เท่านั้น


           เพราะถึงไม่รัก แต่หล่อนก็จะไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นหยามให้เสียหน้า และเสียเกียรติยศเด็ดขาด!


          หญิงสาวชาวพระนคร พยายามขับความคิดหวั่นระแวงนั้นออกไป ในเมื่อหล่อนก็ไม่เห็นว่าที่ปางงิ้วดำอันกันดารเถื่อนเช่นนี้ จะมีหญิงสาวผู้ใดซุกซ่อนอยู่ตามที่ขุนพิพิธมากรอกหูให้ฟังก่อนหน้า นอกจาก นายอาตม์ คนรับใช้ประจำตัวที่ท่าทางไม่ถูกชะตากับหล่อนเอาเสียเลย และนอกจากนั้นแล้ว ก็มีแค่คนงานพื้นเมืองและนางแปง หญิงสูงวัยที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลความเรียบร้อยให้เท่านั้น


           ความสุขสบายและตื่นตาตื่นใจในวันสองวันแรก เริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ ในเมื่อความหรูหราสะดวกสบายเหล่านั้น ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความรื่นเริง สนุกสนานของแสงไฟพร่างพราวกลางราตรีแห่งพระนคร ที่นี่ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีเครื่องบันเทิงเริงใจใดๆ นอกจากชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามี หากเขาก็มุกับงานของตนเองเสียจนไม่มีเวลาจะสนใจผู้เป็นภรรยา


          ความว้าเหว่ เปลี่ยวเหงา ครอบงำเสียจนนึกเสียดายที่ตัดสินใจเดินทางมาอยู่ที่นี่ และเป็นการอยู่ร่วมกันกับคุณหลวงอนุรักษ์ ราวกับมิใช่สามีภรรยากัน หากเป็นเพียงเพื่อนร่วมเคหสถานกันเท่านั้น


            รอยร้าวที่เคยคิดว่ากาลเวลาจะเชื่อมสมานให้คืนกลับเป็นรอยรูปเดิม บัดนี้ยิ่งห่างออกจากกันเรื่อยๆ และผอบแก้วก็ไม่ยี่หระอีกต่อไป ในเมื่อเย็นวันนี้เอง หล่อนมีเพื่อนใหม่เข้ามาทำความรู้จัก และอาสาพาเที่ยวอย่างเต็มอกเต็มใจ


           เพื่อนคนที่หล่อนเคยรู้สึกไม่ถูกชะตามาก่อน


             คุณชำนาญ หรือขุนพิพิธอารัญ นั่นเอง


              รถคันโก้หรูที่เขาขับเข้ามาถึงปางงิ้วดำ ทำให้หล่อนถึงกับทึ่งแกมพิศวง ภายในเวลาไม่กี่ปีที่ชายหนุ่มผู้นั้น มาทำงานที่นี่ ดูเหมือนเขาจะ “อู๋” ขึ้นมากกว่าอยู่ในพระนครเสียอีก


            “ผมหย่ากับภรรยาแล้วครับคุณอบ เราสองคนไม่อาจปรับตัวเข้ากันได้”


              เขาตอบสั้นๆ ด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คล้ายไม่เคยมีความวิตกทุกข์ร้อนใดๆ ลักษณะแบบนี้นั่นแหละที่ผอบแก้วชื่นชอบ ไม่ใช่คุณหลวงที่เอาจริงเอาจังจนเรียกได้ว่าบ้างาน วันๆเอาแต่ปั้นหน้าเคร่งขรึม และเมื่อกลับมาบ้าน ก็ยังหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน จนนายอาตม์ต้องเป็นผู้นำถาดอาหารเข้าไปวางไว้ให้


           หล่อนเคยปลื้มกับลักษณะแบบนี้มาแล้ว แต่ตอนนี้ ผอบแก้วคิดว่าตัวเองตาสว่างขึ้นมาก ผู้ชายแบบนี้ ไม่ทำให้จิตใจของหล่อนสดชื่นเบิกบาน แน่นอนเขาทำหน้าที่สามีที่ดูแลภรรยาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ไม่อาจทำให้หัวใจที่แห้งแล้งเต็มตื้นด้วยความเบิกบานชุ่มชื่น เหมือนกับชายหนุ่มอีกคนเบื้องหน้านี้ได้


                “ผมกำลังจะได้เป็นหลวงพิพิธแล้วนะครับคุณอบ โอกาสนี้ก็เลยอยากจะชวนคุณอบไปฉลองด้วยกัน เราไปปิกนิกแถวนี้ก็ได้นะครับ ที่นี่มีน้ำตกสวยๆ และสวนดอกไม้ที่คุณอบต้องชอบ”


                และผอบแก้วก็ไม่อาจปฏิเสธ ดูเหมือนเขาจะรู้ใจ และรู้วิธีเอาอกเอาใจ โดยไม่ได้สนใจท่าทีปึ่งชาแต่แรก และเมื่อปราการที่หล่อนสร้างไว้ทลายลง ผอบแก้วกลับรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้พูดคุย หัวเราะกับชายหนุ่มผู้นี้ตลอดการสนทนา จนเขาลากลับไปเมื่อตะวันเริ่มลับขอบฟ้า และคำสัญญานัดพบกันในวันพรุ่ง


               “หรือจะชวนคุณหลวงไปด้วยกัน ก็ได้นะครับ”


          ผอบแก้วมองหน้าเขา แล้วก็รู้ชัดเจนว่าเป็นการพูด “เผื่อ” เอาไว้เท่านั้นเอง


           “คงไม่ต้องหรอกค่ะ คุณหลวงคงไม่ว่างหรอก ยุ่งกับงานทั้งวันทั้งคืน”


         “จริงหรือครับ ผมนึกว่า...”


          ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายประหลาด แต่ก็เปลี่ยนเรื่องไปเสียก่อนจนผอบแก้วไม่ทันได้เอะใจ


            “แล้วพบกันนะครับคุณอบ ผมจะมารอที่ทับสนธยาแต่เช้า...”


                    ผอบแก้วนึกถึงใบหน้าคมคาย นัยน์ตาขี้เล่นกรุ้มกริ่มอย่างหนุ่มเจ้าสำราญอย่างขุนพิพิธแล้ว ก็อดเปรียบเทียบกับเจ้าของเสียงขลุ่ยแว่วหวานด้านนอกนั่นไม่ได้ สามีของหล่อนช่างเป็นคนเก็บงำความรู้สึก ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากบอกรัก รับรู้แต่ความเยือกเย็นอ่อนโยน จนเหมือนกับเขาเป็นพี่ชาย มากกว่าคนรัก ไม่มีความเร่าร้อน ระทึกใจ เหมือนกับ ขุนพิพิธผู้นั้นเอาเสียเลย


               วูบนั้นที่ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจโดยปราศจากอารมณ์แห่งความคิดถึงผิดชอบชั่วดี อันเป็นห้วงอารมณ์เบื้องสูงของมนุษย์


               นั่นคือความเสียดาย


                เสียดายที่ตัวเอง ตัดสินใจเลือก หลวงอนุรักษ์วนาดร มาเป็นคู่ชีวิต แทนที่จะเลือกชายหนุ่มคนอื่น ที่ดูจะมุ่งหน้าหาความก้าวหน้า และ”หนทางลัด”สู่ความร่ำรวย อันเป็น “คุณสมบัติสำคัญยิ่ง”ในความหมายของผอบแก้ว หล่อนถอนหายใจกับตัวเอง เมื่อเสียงเพลงหวานซึ้งนั่นแผ่วจางลง


                 ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด...

               **********************

จบตอนที่ 30

เดี๋ยวพรุ่งนี้ขอเข้ามาตอบความเห็น จากตอนที่ผ่านมาอีกครั้งนะครับ
ขอบคุณมากครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 55 21:23:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com