Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Mission Failed ตอนที่ 9 อมนุษย์ และ เจ้าหญิงนิทรา (ตอนจบ) ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 ฟาเบียน ฮาร์เดนเบิร์ก
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12293747/W12293747.html#1

ตอนที่ 2  การเริ่มต้นของภารกิจลับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12334368/W12334368.html

ตอนที่ 3  ไม่ใช่ฉันที่กำลังฝัน
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12357497/W12357497.html

ตอนที่ 4 ผู้ทรยศ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12396990/W12396990.html#1

ตอนที่ 5 อัลฟ่าใหม่
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12441157/W12441157.html

ตอนที่ 6 คุณหญิงโซเฟีย คไลน์เฟลด์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12478708/W12478708.html#1

ตอนที่ 7 ซินเดอเรลล่า
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12530486/W12530486.html#1

ตอนที่ 8 Mission Failed
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12566111/W12566111.html




ตอนที่ 9 อมนุษย์ และ เจ้าหญิงนิทรา



ฉันตื่นลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง...

ความรู้สึกหิวกระหายแผดเผาอยู่ที่ลำคอเหมือนถูกไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา ร่างกายของฉันเต็มไปด้วยแผล เลือด และหนองผุพอง ฉันกวาดสายตามองดูรอบๆบริเวณที่ฉันนอนอยู่ ฉันถูกมัดขึงไว้แน่นกับเตียง และรอบๆเตียงเต็มไปด้วยมนุษย์แปลกหน้าหลายคนที่จับจ้องมองมาที่ฉันอย่างใจจดใจจ่อ...

พวกมันจะต้องตกเป็นอาหารของฉัน! ฉันกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ สูดดมกลิ่นเลือดและเนื้ออุ่นๆของพวกมันที่ลอยคลุ้งอยู่เต็มทั่วห้อง

“แอนแอน” เสียงของมนุษย์ที่มีหน้ากากสีขาวปิดหน้าดังขึ้น มันพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้มนุษย์ตัวเล็กๆเดินเข้ามาหาฉัน

ฉันมองดูร่างเล็กๆที่ค่อยๆเขยิบก้าวเดินเข้ามาใกล้เตียงที่ฉันนอนอยู่ กลิ่นเลือดและเนื้ออุ่นๆของเธอแตะจมูกของฉันแรงขึ้น มันทำให้ลำคอของฉันยิ่งร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความหิวกระหาย... ฉันพยายามดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการที่กักขังฉันเอาไว้... แม้จะไม่สำเร็จ แต่นั่นก็ทำให้ฉันรู้ว่า... มันไม่แข็งแรงพอที่จะกักขังฉันไว้ได้ตลอดไป

“พี่สาวคะ... พี่สาวจำหนูได้ไหมคะ? หนู แอนแอน ไงคะ” เสียงของมนุษย์ตัวเล็กดังขึ้น

ฉันมองดูมนุษย์ตัวเล็กที่จ้องมองมาที่ฉันอย่าวแน่วแน่ สายตาของมันไม่แสดงวี่แววความกลัวแม้แต่น้อย

“หัวหน้าคะ จากการวัดโดยเครื่อง EEG แสดงให้เห็นว่าคลื่นสมองของแอนนามาเรียกำลังอยู่ในภาวะธีต้า เธอกำลังควบคุมร่างกายของอมนุษย์ตัวนี้อยู่ในความฝันของเธอค่ะ”
เสียงของมนุษย์ผู้หญิงหน้านิ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆตู้กระจกสีฟ้าดังขึ้น ฉันเพ่งสายตามองไปภายในตู้กระจกสีฟ้าใบนั้น มันบรรจุร่างของมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ มนุษย์ผู้หญิงที่ฉัน... ไม่รู้จัก... แต่ทว่า... ฉันกลับมีความรู้สึกต่อเธอแตกต่างไปจากมนุษย์คนอื่นๆในห้อง

“อลิเซีย ผมเกรงว่า แอนนามาเรียจะทำหน้าที่ของเธอไม่สำเร็จอย่างที่พวกเราได้หวังไว้ ผมต้องการให้เธอเข้าไปควบคุมร่างกายของอมนุษย์ที่แข็งแกร่งตัวนี้ให้อยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเรา แต่ดูเหมือนว่า... เธอจะจำอะไรไม่ได้ เธอจำไม่ได้แม้แต่พวกเราด้วยซ้ำ...” มนุษย์ที่มีหน้ากากสีขาวปิดหน้ากล่าวตอบมนุษย์ผู้หญิงเมื่อสักครู่นี้

“หัวหน้าคะ!” เสียงของมนุษย์ผู้หญิงที่ยืนอยู่ใกล้ตู้กระจกสีฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อสักครู่นี้ ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างขัดข้องที่เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุม และตอนนี้ มันปิดการทำงานของตัวเองไปอย่างไม่ทราบสาเหตุค่ะ”

ทันทีที่จบประโยค ฉันสังเกตเห็นทุกสายตาจับจ้องมาที่ฉัน สายตาของพวกมันเต็มไปด้วยความตระหนกตกตื่น

ฉันเห็นมนุษย์ผู้ชายในชุดสีดำชี้นิ้วตรงมาที่ฉัน มันร้องขึ้นด้วยความตกใจ
“แต่ว่า... ทำไม... ทำไม อมนุษย์ตัวนี้ยังมีสติอยู่หล่ะครับหัวหน้า!? มันน่าจะหมดสติไปเมื่อเครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมหยุดทำงานไม่ใช่เหรอครับ!?”

“แอนนามาเรียไม่ได้กลับเข้าร่างของเธอเหรออลิเซีย? คลื่นสมองของเธอที่แสดงบนเครื่อง EEG เป็นยังไง?” เสียงของชายที่มีหน้ากากสีขาวปิดหน้าดังขึ้นอีกครั้ง

“ยังอยู่ในช่วงธีต้าเหมือนเดิมค่ะหัวหน้า เธอไม่ตื่น และเธอไม่ถูกดึงกลับเข้ามายังร่างของเธอ แอนนามาเรียยังคงควบคุมร่างของอมนุษย์ตัวนั้นในความฝันของเธอโดยไม่ผ่านเครื่องอิมเปร์-เชเรบรุม ค่ะหัวหน้า” เสียงของมนุษย์ผู้หญิงดังขึ้น แม้ภายนอกเธอจะดูเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ฉันกลับเห็นได้ถึงความกระวนกระวายที่ซ่อนแฝงอยู่ภายใต้น้ำเสียงของเธอ  

อีกเพียงนิดเดียว ฉันก็จะหลุดจากพันธนาการนี้ได้แล้ว...

มนุษย์ตัวเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ฉันมากที่สุด ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่อยู่ใกล้ตัว เธอค่อยๆถอยห่างออกจากฉัน ฉันเห็นเธอหยุดยืนปะปนอยู่กับคนอื่นๆในห้องสักพัก แล้วก็แอบเดินหนีออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

“ดูเหมือนผมคงต้องยอมสูญเสียผู้ควบคุมความฝันที่มีความสามารถอย่างแอนนามาเรียไป แต่ผมไม่สามารถเสี่ยงปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ ไบรอัน รีบจัดการเธอซะ”

ทันทีที่จบประโยค มนุษย์ผู้ชายที่เคยจับจ้องมองดูฉันอย่างเงียบๆอยู่ตลอดเวลา เดินมุ่งตรงไปที่ตู้กระจกสีฟ้าที่บรรจุร่างมนุษย์ผู้หญิงที่นอนหลับคนนั้นเอาไว้ เขาหยิบปืนพกขึ้นมาเตรียมพร้อมสำหรับการสังหาร ในขณะเดียวกัน ฉันปลดตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการ และรีบกระโดดเข้าใส่มนุษย์ผู้ชายคนนั้นทันที ปืนของมันหลุดกระเด็นไปอีกทางหนึ่ง แต่มันยังคงพยายามต่อสู้ขัดขืนไม่ยอมให้ฉันปักเขี้ยวแหลมคมเข้าที่คอของมัน สักครู่เล็กๆต่อมา ฉันได้ยินเสียงร้องของชายที่มีหน้ากากสีขาวปิดหน้าตะโกนดังขึ้นอีกครั้ง

“มัวรออะไรอยู่ ยิงมันเร็วเข้า”

“แต่ว่า หัวหน้าครับ กระสุนอาจโดนไบรอัน!”

“ยิง ไม่งั้นอาจจะมีพวกเราที่ต้องตายมากกว่าหนึ่งคน!”

ทันทีที่จบประโยค ฉันได้ยินเสียงกระสุนลั่นกราดเข้าใส่ฉันและมนุษย์ผู้ชายคนนั้น เมื่อกระสุนกระทบที่ผิวหนังของฉัน ฉันรู้สึกแค่เพียงระคายเคือง ในขณะมนุษย์ผู้ชายที่พยายามต่อสู้อยู่กับฉันล้มหมอบลงที่พื้นและร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด เลือดของมันไหลพุ่งออกจากร่างกายตามจุดต่างๆที่ถูกต้องกับกระสุนปืน มันดูอ่อนแรงลงและนอนร่อแร่รอความตาย ฉันจึงรีบฉวยโอกาสกัดเข้าที่คอของมันเพื่อดื่มเลือดบรรเทาความร้อนเป็นไฟที่แผดเผาอยู่ที่ลำคอ ฉันทิ้งร่างของมันให้นอนรอการกลายสภาพเป็นอมนุษย์เหมือนอย่างฉัน แล้วเตรียมตัวพร้อมที่จะล่าเหยื่อรายต่อไป

เพียงครู่เล็กๆต่อมา มนุษย์ผู้ชายคนนั้นที่ถูกฉันกัดเริ่มกลายสภาพเป็นอมนุษย์เหมือนฉัน หลังจากที่มันฟื้นตัวขึ้นมา มันพุ่งกระโดดกัดเข้าที่ลำคอของมนุษย์คนอื่นๆอย่างหิวกระหาย และผลของมันทำให้จำนวนอมนุษย์อย่างพวกเราเพิ่มจำนานมากขึ้นในพริบตา จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก พวกเราเพิ่มทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนภายในห้องแทบจะถูกเติมเต็มด้วยปิศาจอย่างเรา ฉันเหลือบเห็นมนุษย์ที่มีหน้ากากสีขาวปิดหน้าวิ่งหลบหนีออกจากห้องไปได้อย่างหวุดหวิด แต่อย่างไรก็ตาม อมนุษย์สองตัววิ่งไล่ตามมันไปอย่างกระชั้นชิด หนึ่งในนั้นคืออมนุษย์ที่กลายร่างมาจากหญิงสาวที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก

ฉันมองดูความป่าเถื่อนและการล่าอย่างไม่คิดของอมนุษย์ตัวอื่นๆ พวกมันล่าตามสัญชาตญาณ พวกมันล่าอย่างไร้สติ พวกมันล่าตามกลิ่นเลือด และพวกมันไม่รู้จักควบคุมตัวเอง ฉันรู้ดีว่าฉันแตกต่างจากพวกมันออกไป เพราะฉันสามารถคิด เข้าใจ และควบคุมตัวเองได้  แต่ว่า อะไรกันที่ทำให้ฉันแตกต่างจากอมนุษย์ตัวอื่นๆ?

มนุษย์หญิงสาวที่อยู่ในตู้กระจกดึงดูดความสนใจของฉัน เธอนอนหลับ... เธอนอนหลับอยู่ในนั้น... ฉันจ้องมองสำรวจดูเธอ อะไรบางอย่างในตัวเธอมีอิทธิพลต่อฉัน... แต่ฉันไม่สามารถจำอะไรเกี่ยวกับเธอได้... ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ได้?

เสียงลั่นไกปืนในห้องที่ฉันอยู่ดูเหมือนจะดังถี่ขึ้น ฉันเห็นมนุษย์ติดอาวุธกลุ่มหนึ่งถูกส่งมากำจัดเหล่าปิศาจที่เพิ่มทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในห้องโถงนี้ กระสุนปืนหลายนัดพุ่งตรงมาที่ฉัน ฉันกระโดดหลบและพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด แต่ท้ายที่สุดฉันกลับต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับห่ากระสุนกว่าหนึ่งร้อยนัดที่พุ่งตรงรี่เข้ามาหาฉันในคราวเดียว หนึ่งหรือสองในกระสุนที่พุ่งตรงมานั้น เจาะเข้าที่ตรงกลางหัวใจของฉัน ร่างของฉันตกลงบนพื้น และท่ามกลางเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตนั่นเอง ฉันจำตัวเองได้อีกครั้ง...

ฉัน คือ แอนนามาเรีย...

ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายด้วยความรวดเร็ว อีกครั้งแล้วสินะ... ที่ฉันได้ลิ้มรสกับความตาย...

และฉันได้แต่หวังว่า... ครั้งนี้ฉันจะได้ตายจริงๆ...



*******************************************



เสียงปืน เสียงกรีดร้อง และความวุ่นวายดังกระหึ่มทั่วบริเวณ ผมยังคงปล้ำสู้กับโซ่เหล็กที่ตรึงผมไว้แน่นในห้องโลหะเล็กๆแห่งนี้ แม้ผมจะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก แต่การพยายามก็คงดีกว่าการนั่งอยู่เฉยๆ

เสียงฝีเท้าเล็กๆของใครสักคนวิ่งตรงมาหาผมด้วยความเร่งรีบ ร่างของเด็กหญิงผมบลอนด์ปรากฏขึ้นอีกครั้งทันทีที่ประตูห้องเปิดออก เธอรีบวิ่งตรงรี่เข้ามาหาผม ใบหน้าของเธออาบเปื้อนไปด้วยรอยน้ำตา เธอหยิบกุญแจที่แอบซ่อนเอาไว้ในกระเป๋ากระโปรงออกมาแล้วไขปลดกุญแจข้อมือของผม

“พี่สาวขอร้องหนูเอาไว้ว่า ถ้าหากพี่สาวทำ Mission Failed ละก็ หนูจะต้องให้โอกาสพี่ฟาเบียนได้หนีสักครั้ง” เด็กหญิงกล่าวขึ้น

“แอนแอน พวกเขาทำอะไรกับแอนนามาเรีย?” ผมกล่าวถามเด็กหญิงด้วยความสงสัยและความเป็นห่วง

“พี่ฟาเบียนจำอมนุษย์ที่บาร์ได้ไหมคะ? เธอยังไม่ตาย หัวใจของเธอเพียงแค่หยุดเต้นชั่วคราวเท่านั้น อัลฟ่าได้นำตัวเธอมาเพื่อทำการทดลอง พวกเขาให้พี่สาวเข้าไปควบคุมสมองของอมนุษย์ตัวนี้ โดยหวังว่าพี่สาวจะอยู่เหนือสัญชาตญาณและความกระหายของปิศาจ และจะเป็นประโยชน์ต่ออัลฟ่าเป็นในอนาคต แต่ทว่า... พี่แอนนามาเรียกลับ... ไม่สามารถจำอะไรได้ และที่แย่ไปกว่านั้น เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมหยุดทำงานโดยกระทันหัน พี่สาวก็เลยติดอยู่ในนั้น...” เด็กหญิงกล่าวอย่างเร่งรีบ หลังจากที่เธอปลดโซ่ออกจากข้อมือและข้อเท้าของผมเรียบร้อยแล้ว เธอยื่นปืนสั้นกระบอกหนึ่งให้กับผม

“พี่ฟาเบียนรีบหนีไปเถอะค่ะ เพราะหลังจากที่หนูเคลียร์ความวุ่นวายที่นี่เสร็จแล้ว หนูจะตามฆ่าพี่ เพราะมันเป็นภารกิจของหนู” เด็กหญิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง ผมสังเกตเห็นหยดน้ำตาใสๆไหลซึมจากดวงตาคู่สีฟ้าของเธอ ก่อนที่เธอจะวิ่งออกจากห้องไป

ผมหยิบปืนสั้นกำแน่นไว้ในมือ ในใจรู้สึกขอบคุณแอนแอนที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเหลือผม แม้ผมจะรู้ดีว่าเธอจะไม่ได้ทำเพื่อผมก็ตาม

ผมเดินออกจากห้องขังที่ถูกปิดด้วยผนังโลหะทั้งสี่ด้าน ภายในตัวอาคารดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายอลหม่าน เสียงร้องคำรามของอมนุษย์ค่อยๆดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ผมต้องระวังตัว พวกมันมีจำนวนมากกว่าที่ผมคิด ผมต้องตามหาที่ที่เก็บร่างของแอนนามาเรียให้พบ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผมจะต้องพาเธอหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้

ผมค่อยๆเดินเลียบตัวไปกับกำแพงอย่างระมัดระวัง ตรงไปยังที่ที่ผมได้ยินเสียงปะทะกันระหว่างปืนและอมนุษย์ที่ดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสกว่าที่อื่นๆ ที่นั่นอาจเป็นที่ที่มีอมนุษย์อยู่จำนวนมากที่สุด และที่นั่นอาจเป็นที่ที่แอนนามาเรียอยู่ ที่ที่เป็นจุดกำเนิดของความวุ่นวายทั้งหมดในอาคารอัลฟ่าแห่งนี้

ผมเดินอย่างระมัดระวังมาจนเกือบสุดระเบียงทางเดินที่เชื่อมต่อระหว่างห้องขังกับห้องปฏิบัติการหลายๆห้องของอัลฟ่า เสียงฝีเท้าหนักๆของอมนุษย์ตนหนึ่งค่อยๆเดินมาปรากฏตัวตรงที่สุดทางเดินของระเบียง มันยิ้มแสยะเมื่อเห็นผมและกระโดดพุ่งเข้ามาหาผมอย่างไม่ลังเล ผมโน้มตัวหลบไปข้างๆ แล้วใช้มือเหวี่ยงร่างของมันให้เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปปะทะกับกำแพง อมนุษย์ตนนั้นล้มลงอยู่กับพื้นแต่ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดใดๆ และก่อนที่มันจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบสับไกปืนลั่นกระสุนเข้าเจาะตรงกลางหัวใจของมัน มันตายคาที่

ไม่เกินเสี้ยววินาทีหลังจากที่ผมจัดการกับอมนุษย์ตัวแรกได้สำเร็จ อมนุษย์ตัวที่สองๆค่อยๆเดินยิ้มแสยะตรงเข้ามาหาผม อะไรบางอย่างในอมนุษย์ตัวหลังนี้สะกิดเข้าที่ใจของผม ใบหน้าของมันแม้ถูกปกปิดเต็มไปด้วยแผลหนองเน่า แต่ผมกลับยังคงพอจำเค้าหน้าที่แสนคุ้นเคยนี้ได้ นี่คือไบรอัน อมนุษย์ตัวนี้คือน้องชายของผม!

ผมกระชับปืนในมือแน่น แต่ไม่ได้ยกมันขึ้นเล็งไปที่อมนุษย์ที่ยังคงเดินยิ้มแสยะตรงเข้ามาหาผมอย่างไม่เร่งรีบ เมื่อปิศาจเดินเข้ามาใกล้ ผมปล่อยให้มันสำรวจมองดูร่างของผมที่มันแสนกระหายเลือดอุ่นๆที่วิ่งพล่านอยู่ภายใน มันแยกเขี้ยวแหลมอย่างบรรจงหวังจะดื่มด่ำกับอาหารที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า และในจังหวะนั้นเอง ผมยกปืนขึ้นจ่อที่บริเวณหัวใจของมัน... อมนุษย์... น้องชายของผม...

ผมสับไกปืน ร่างของไบรอันร่วงลงนอนตายแน่นิ่งที่พื้นแทบเท้าของผม

ผมเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไร้ความรู้สึก แน่นอนผมรู้สึกเสียใจต่อการสูญเสียน้องชายของผม แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่เขาเลือกให้กับตัวเอง และเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไป... ผมพยายามห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลซึมออกมา นี่ไม่ใช่เวลาที่ผมจะแสดงความอ่อนแอ

สักครู่เล็กๆต่อมา ผมได้ยินเสียงปืนที่ยิงปะทะกับอมนุษย์อย่างอลหม่านในห้องโถงที่เป็นจุดหมายปลายทางของผมเงียบลง และนั่นไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับผมเท่าไหร่นัก เพราะนั่นหมายความว่า ผมคือมนุษย์คนเดียวที่เหลืออยู่ท่ามกลางอมนุษย์เหล่านั้น ผมรีบวิ่งเข้าไปหลบในห้องเล็กๆระหว่างทางเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของฝูงเหล่าอมนุษย์เดินตรงออกมาจากห้องโถง ผมได้แต่หวังว่า กลิ่นเลือดที่สาดกระจายปนอยู่กับอากาศจะช่วยปิดบังกลิ่นเลือดที่วิ่งพล่านอยู่ในร่างกายของผม

ในห้องเล็กๆแห่งนี้ ผมเห็นร่างของมนุษย์สองสามคนที่นอนจมกองเลือดอยู่กำลังค่อยๆกลายร่างเป็นอมนุษย์ ผมรีบเดินเอาตัวเข้าไปหลบหลังตู้เก็บเอกสาร อย่างน้อยผมก็จำเป็นต้องซ่อนตัวและรอจนกว่าฝูงปิศาจกลุ่มใหญ่จะเดินผ่านจากจุดที่ผมหลบอยู่ไปพ้นเสียก่อน เพราะการจัดการกับอมนุษย์เพียงสองสามตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม

เสียงฝีเท้าของฝูงปิศาจค่อยๆเดินผ่านห้องที่ผมแอบซ่อนตัวอยู่ ในขณะที่อมนุษย์ตัวใหม่สามตัวค่อยๆเดินตามกลิ่นเลือดของผมมายังจุดที่ผมแอบซ่อนตัวอยู่ แต่ผมยังจัดการกับพวกมันไม่ได้ เพราะเสียงลั่นไกปืนอาจทำให้ฝูงอมนุษย์กลุ่มใหญ่เดินกลับมาหาผม ผมได้แต่กระชับปืนในมือให้แน่นยิ่งขึ้น เมื่อเสียงฝีเท้าทั้งสามคู่ของอมนุษย์หน้าใหม่เดินตรงเข้ามาจุดที่ผมแอบซ่อนตัวอยู่ มันยิ้มแสยะเมื่อมองเห็นผม ผมหลอกโยนกระบอกปืนในมือขึ้นบนฟ้า เมื่อมันหลงกลมองตามวัตถุขึ้นไปข้างบน ผมจงฉวยโอกาสกระโดดถีบร่างของมันให้กระเด็นออกพ้นทาง ผมรีบวิ่งออกจากห้องเล็กๆดังกล่าว ในขณะที่อมนุษย์หน้าใหม่ทั้งสามตัวไล่ตามผมมาอย่างกระชั้นชิด ผมพุ่งม้วนตัวไปข้างหน้าเพื่อหยิบปืนกลของใครสักคนที่ตกหล่นอยู่บนพื้น เมื่อมั่นใจว่า ฝูงปิศาจกลุ่มใหญ่อยู่ห่างพอที่จะไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงจุดที่ผมอยู่แล้ว ผมกราดยิงกระหน่ำด้วยปืนกลเข้าใส่อมนุษย์ทั้งสามตัว จนพวกมันล้มลงนอนนิ่งอยู่บนพื้น ผมรีบหันหลังกลับทันที แล้ววิ่งตรงไปยังห้องโถงที่ผมคาดว่าเป็นที่ที่แอนนามาเรียอยู่

เมื่อเข้ามาในห้องโถง ผมสังเกตเห็นร่างของทั้งอมนุษย์และมนุษย์ล้มลงกองกระจายเต็มบริเวณห้อง หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อมองเห็นหญิงสาวในตู้แคปซูลสีฟ้า ที่บริเวณศีรษะของเธอถูกเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องที่ถูกเรียกว่าอิมเปร์-เชเรบรุม ที่ไม่แสดงสัญญาณไฟทำงาน ผมรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเธอ และพยายามหาทางเปิดตู้กระจกที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ปุ่มกดต่างๆดูเหมือนจะไม่ทำงาน และตู้กระจกบานนี้ดูเหมือนจะแข็งแรงเกินกว่าที่ผมจะพังมันได้ง่ายๆ ผมเดินสำรวจดูรอบๆตู้กระจกจนไปสะดุดเข้ากับร่างของอมนุษย์หญิงที่ล้มลงอยู่ใกล้ๆบริเวณตู้แคบซูล ผมจำเธอได้ เธอคือซินเดอเรลล่า เธอคือร่างของอมนุษย์ที่แอนแอนบอกว่าแอนนามาเรียเข้าไปควบคุม! และเธอถูกยิง!

ผมรีบชะเง้อมองไปยังร่างจริงของแอนนามาเรียที่อยู่ในตู้กระจก ผมไม่มั่นใจว่าเธอยังหายใจอยู่หรือไม่... ภาพของเธอที่ผมมองผ่านตู้กระจกหนามันช่างเบลอมากกว่าที่ผมจะมองเห็นได้ชัด...

หรือไม่ผมก็พยายามหลอกตัวเอง... เพราะผมไม่อยากเชื่อสิ่งที่ผมมองเห็น... ร่างอันแน่นิ่งของเธอ ร่างที่ไม่หายใจ...

ที่ด้านหลัง ผมได้ยินเสียงของอมนุษย์ที่เมื่อสักครู่ยังคงเป็นเพียงมนุษย์ที่นอนล้มอยู่บนพื้น... เสียงฝีเท้าของพวกมันค่อยๆเดินตรงมาที่ผม เสียงฝีเท้าของพวกมันกว่ายี่สิบตัว... ผมค่อยๆเรียกสติของตัวเองกลับเข้ามาอีกครั้ง หัวใจของผมถูกปกคลุมไปด้วยความเย็นชา... ผมรู้สึกโกรธ เสียใจ และเคียดแค้น ผมยกปืนกลที่ถืออยู่ในมือสาดยิงเข้าใส่ฝูงอมนุษย์ที่ตรงเข้ามาหาผมอย่างหิวกระหายจนปืนหมดกระสุน เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพวกมันล้มลงตายบนพื้น ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งพุ่งกระโดดกระโจนเข้าหาผม ผมหมดทางสู้ และผมไม่อยากสู้อีกต่อไป...

ผมไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปได้เมื่อไม่มีเธอ... เธอผู้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ของผม...

ผมมองดูร่างของอมนุษย์กว่าสิบตัวที่ลอยอยู่เหนืออากาศพุ่งตัวมุ่งมายังผม แต่ดูเหมือนว่าใครสักคนยังอยากให้ผมมีชีวิตอยู่... ใครสักคนกราดยิงปืนเข้าใส่กลางหัวใจของฝูงอมนุษย์ตกร่วงลงบนพื้นตามๆกัน... ใครสักคน... ในชุดนักปฏิบัติการของอัลฟ่าเก่าที่ผมรู้จัก...

ผมมองดูร่างของชายหนุ่มทั้งสามที่ยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมไม่คิดว่าผมเคยเห็นพวกเขามาก่อน แต่ชุดที่พวกเขาสวมใส่ มีสัญลักษณ์ของอัลฟ่าเก่า อัลฟ่าที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี... และในทันใดนั้นเอง... ร่างเล็กๆของชายเสียงแหบปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางชายหนุ่มทั้งสาม... เขายิ้มและเดินตรงมายังผม...

เขาที่ผมไม่คาดฝันว่าจะยังมีชีวิตอยู่...

ดอกเตอร์อิริค ชิลเลอร์...

“รีบไปกันเร็วเข้า ฟาเบียน พวกเราจำเป็นต้องเผาสถานที่แห่งนี้ ก่อนที่พวกอมนุษย์จะฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง” ชายเจ้าของเสียงแหบแห้งกล่าวขึ้น

“อิริค... คุณยังไม่ได้ตาย...?” ผมกล่าวขึ้นท่ามกลามความรู้สึกเหลือเชื่อ

“ฟาเบียน ถ้าผมตายไปแล้ว ผมคงไม่มายืนอยู่ต่อหน้าคุณตรงนี้...” ดอกเตอร์อิริคกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้กับผม
“คุณอยากจะให้ผมเล่าเหตุการณ์ให้ฟังตอนนี้ หรืออยากให้ผมช่วยพาแอนนามาเรียและพวกเราทุกคนออกไปจากที่นี่เสียก่อน?”

ผมยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเขา ก่อนที่จะเปิดทางให้อิริคจัดการกับเครื่องมือที่เขาคิดสร้างขึ้นมา... ผมเห็นเขาจัดการเชื่อมต่อหน่วยประมวลผลของเครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมให้ทำงานอีกครั้ง จากนั้นก็กดปุ่มคำสั่งให้ตู้แคปซูลสีฟ้าเปิดออก ผมรีบวิ่งเข้าไปอุ้มร่างของแอนนามาเรียออกมาจากในนั้นทันที... และหัวใจของผมเต้นแรงด้วยความยินดีเมื่อพบว่าเธอยังหายใจอยู่... อิริคฉีดสารเคมีบางอย่างเข้าที่เส้นเลือดของเธอ จากนั้นเขาพยักหน้าบอกให้ผมเดินตามเขาออกไป

เมื่อออกมานอกห้อง ผมสังเกตเห็นชายในชุดนักปฏิบัติการอัลฟ่าเก่าอีกหลายคนยืนเรียงรายติดอาวุธปืนพร้อมรอคำสั่งจากดอกเตอร์อิริค เสียงการต่อสู้ดูเหมือนจะค่อยๆสงบลงเรื่อยๆ และผมรู้ว่าฝ่ายมนุษย์โดยการนำของดอกเตอร์อิริคเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ เสียงนักปฏิบัติการคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ในมือของเขาจูงมือเด็กหญิงผมบลอนด์ตรงมายังดอกเตอร์อิริค

“ดอกเตอร์ครับ ผมเห็นเด็กหญิงคนนี้นั่งร้องไห้อยู่ในห้องที่มีอมนุษย์นอนตายเรียงรายอยู่เต็ม ผมถามเธอว่า เธอเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ และใครช่วยเธอจากพวกอมนุษย์เอาไว้ แต่เธอกลับไม่ตอบอะไรผมสักคำครับ...”

อิริคค่อยๆเดินตรงไปยังเด็กหญิงผมบลอนด์ที่ผมรู้จัก ผมรีบห้ามเขาไว้ทันทีก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้เธอ

“เดี๋ยวก่อน อิริค เด็กผู้หญิงคนนี้ ผมรู้จักเธอ... เธอชื่อแอนแอน เป็นหนึ่งในมือสังหารของอัลฟ่าใหม่... และเธอ ช่วยผมให้หนีออกจากห้องขัง”

เด็กหญิงหยุดร้องไห้ทันทีและมองดูผมที่อุ้มร่างของแอนนามาเรียเอาไว้ เธอกล่าวเรียกชื่อผมด้วยเสียงแกมสะอื้น

“พี่ฟาเบียน...”

ผมสบตาเด็กหญิงแอนแอน แม้ผมจะรู้ว่า เธอถูกฝึกให้ฆ่า หลอกลวง และทรยศ แต่อย่างน้อย... เธอก็ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับแอนนามาเรีย ผมอยากให้โอกาสเธอ แม้ว่านี่อาจจะเป็นแผนลวงเพื่อสังหารผมตามที่เธอได้รับมอบหมายก็ตาม แน่นอน สำหรับผม เธอยังคงเป็นตัวอันตราย การที่เธอยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ท่ามกลางฝูงปิศาจมากมายแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเธอที่ผมไม่ควรประมาท แต่ผมต้องให้โอกาสกับเธอ เหมือนที่เธอได้ให้โอกาสกับผม

“อิริค โปรดให้เด็กผู้หญิงคนนี้จะอยู่ในความดูแลของผม...”

ดอกเตอร์พยักหน้านิ่งๆให้ผมหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะหันไปออกคำสั่งต่อผู้ปฏิบัติการคนอื่นๆให้จัดการเผาร่างของเหล่าอมนุษย์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นรอการฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง ผมสบตาเด็กหญิงที่จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ ผมส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเธอ ความรู้สึกลึกๆในใจของผมบอกกับผมว่า... แอนแอนยังคงลังเลที่จะฆ่าผม แต่อย่างน้อย... เธอก็ „ลังเล“

และนั่นก็ดีเกินพอสำหรับผมที่จะหวังได้จากมือสังหารอย่างแอนแอน



*******************************************



ผมนั่งอยู่ในห้องทดลองของอัลฟ่าที่ถูกซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง มองดูแอนแอนช่วยเหลือเรนาเต้อย่างขมีขมันในการตรวจและจดบันทึกสภาพทางร่างกายของแอนนามาเรียที่ยังคงอยู่ในภวังค์หลับไหลบนเตียงเล็กๆ เด็กหญิงและเรนาเต้ดูเหมือนจะทำงานร่วมกันได้ดี เมื่อเรนาเต้บอกให้แอนแอนทำอะไร เธอก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดด้วยความสมัครใจ ผมแอบได้ยินแอนแอนพูดกับเรนาเต้ว่า เธอยินดีทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้แอนนามาเรียฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

สักครู่ต่อมา ประตูโลหะของห้องทดลองเปิดออก ดอกเตอร์อิริคเดินเข้ามาหาผม เขานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วจ้องมองดูผมด้วยดวงตาสองสีที่แน่นิ่ง เขายิ้มทักทายผมอย่างเป็นมิตร

“เราไม่ได้คุยกันนานเลยนะ ฟาเบียน” ดอกเตอร์อิริคกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งของเขา

“อิริค คุณรอดชีวิตมาได้ยังไงกัน? ผมนึกไม่ถึงเลยจริงๆว่าคุณจะยังมีชีวิตอยู่” ผมกล่าวถามขึ้น

“ผมโชคดี ฟาเบียน พระเจ้าคงยังไม่อยากให้ผมตาย... ในวันที่เกิดเหตุ ผมบาดเจ็บสาหัสและถูกรายล้อมไปด้วยศัตรู ผมคิดว่าผมจะไม่รอดเสียแล้ว แต่ทว่า หลังจากที่แอนนามาเรียกดปุ่มฉุกเฉินในตู้แคปซูล ทำให้ห้องทดลองสั่นสะเทือนไปด้วยแรงระเบิดของตัวอาคารที่ค่อยๆถล่มลงมา ทุกๆคนวิ่งหนีออกจากห้องทดลองไปได้อย่างหวุดหวิด เหลือเพียงผมที่ที่ถูกทิ้งให้นอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ในนั้น แต่ไม่มีใครคิดเอะใจที่จะยิงผมให้ตายเพื่อความแน่ใจฟาเบียน ผมจึงค่อยๆคลานตัวด้วยพละกำลังเฮือกสุดท้ายหนีตามแอนนามาเรียเข้าไปในตู้แคปซูลที่เชื่อมต่อกับทางลับฉุกเฉิน แต่ผมไม่พบแอนนามาเรียอยู่ที่นั่น เธอได้หนีออกจากอาคารไปเรียบร้อยแล้ว ผมหมดแรงและนอนหมดสติอยู่ในห้องลับนั่นจนกระทั่งเรนาเต้ได้หวนกลับมาตรวจดูซากปรักหักพังและพบผมเข้าโดยความบังเอิญ เธอจึงช่วยชีวิตผมเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนั้น ผมและเธอได้เข้าไปยื่นคำร้องต่อบอร์ดหรือคณะผู้ปกครองที่เป็นผู้สนับสนุนอัลฟ่าอยู่เบื้องหลัง ผมเตือนให้พวกเขาระลึกถึงกฎหนึ่งข้อที่ผู้ท้าชิงจะต้องทำให้สำเร็จเมื่อจะขึ้นมาเป็นอัลฟ่าใหม่ „อัลฟ่าใหม่จะต้องไม่ปล่อยให้สมาชิกของอัลฟ่าเก่ามีชีวิตอยู่เกินกว่าห้าคนเป็นเวลานานเกินกว่าสิบสี่วัน“ กฎนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องการกลับขึ้นมาของอัลฟ่าที่ถูกโค่นไป แต่พวกเขาไม่รู้ ฟาเบียน ชายหน้ากากสีขาวไม่รู้ว่าผมและเรนาเต้ยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเข้าใจว่าสมาชิกของอัลฟ่าเก่าเหลือเพียงแค่ ไบรอัน แอนนามาเรีย และคุณเท่านั้น พวกเขาถึงไม่รีบที่จะฆ่าคุณ... และนั่นทำให้ผมชนะความ บอร์ดอนุญาตให้ผมตั้งกองกำลังเพื่อปราบผู้ท้าชิงที่ขึ้นมาอย่างไม่สำเร็จสมบูรณ์... และอนุญาตให้ผมทำหน้าที่เป็นอัลฟ่าต่อไป ส่วนชายหน้ากากสีขาว เขาถูกส่งตัวไปเพื่อรับการตัดสินคดีความ และเท่าที่ผมทราบมาจากคณะผู้ปกครอง ดูเหมือนมีแนวโน้มว่า เขาอาจจะถูกลบความจำและส่งตัวไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เอเชีย... เหมือนคนธรรมดาทั่วไป...”

เสียงแหบแห้งของเดอกเตอร์อิริคเงียบลง ผมสังเกตเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเขา ใบหน้าที่ผ่านเหตุการณ์ทั้งดีและร้ายมามากมาย

“ผมดีใจที่คุณยังมีชีวิตอยู่อิริค...” ผมยิ้มให้เขาด้วยมิตรภาพที่ผูกพันอย่างแท้จริง เขาเป็นมากกว่าเพื่อนของผม และผมจะไม่มีวันทรยศเขาเด็ดขาด

“ผมก็ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง ฟาเบียน และผมเสียใจเกี่ยวกับไบรอัน...” เสียงแหบแห้งของเขาที่เปล่งออกมาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดลึกๆที่ถูกเก็บเอาไว้ ผมรู้ ว่าเขาเองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าผม...

ผมไม่ได้ตอบอะไรเขา ได้แต่สบตาคู่สองสีคู่นั้นอย่างแน่นิ่ง สักครู่เล็กๆต่อมา แอนแอนและเรนาเต้เข้ามาร่วมวงสนทนากับพวกเรา

“สภาพร่างกายของแอนนามาเรียปลอดภัยดีค่ะดอกเตอร์ แต่เธอไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง... เหมือน... ร่างกายของฟาเบียนเมื่อห้าปีก่อน” เรนาเต้กล่าวขึ้น

ดอกเตอร์อิริคพยักหน้านิ่งๆให้กับพวกเรา แล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งของเขา
“ผมฉีดยาตัวเดียวกันกับที่ชายหน้ากากสีขาวเคยฉีดให้กับฟาเบียน ร่างกายของแอนนามาเรียจะสามารถรักษาสภาพตัวเองเอาไว้ได้แม้ไร้คำสั่งจากสมอง... แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมกังวล...”

ผมมองดูดอกเตอร์อิริค พร้อมที่จะฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อไปด้วยความตั้งใจ

“ผมเกรงว่า หนทางเดียวที่จะทำให้แอนนามาเรียฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้ง คือการตามหาผู้ควบคุมความฝันคนใหม่ ที่สามารถสั่งการผ่านเครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมเข้าไปกระตุ้นสมองของแอนนามาเรียให้กลับเข้ามาควบคุมร่างกายของเธอตามเดิมอีกครั้ง... แต่ทว่า การตามหาผู้ควบคุมความฝัน อาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายนัก... เนื่องจากมีเพียงไม่กี่คน ที่มีความเชี่ยวชาญเหมือนแอนนามาเรีย”

“ทำไมเราถึงไม่ให้ใครสักคนลองใช้เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมนี้ดูหล่ะอิริค? ไม่แน่ เราอาจจะไม่ต้องเสียเวลาตามหาผู้ควบคุมความฝันคนใหม่ก็ได้” ผมรีบกล่าวข้อเสนอแนะทันที เด็กหญิงแอนแอนที่นั่งข้างๆพยักหน้าเบาๆแสดงตัวว่าเห็นด้วยกับผม

คิ้วทั้งสองข้างของดอกเตอร์อิริคขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแสดงท่าทางครุ่นคิด สักครู่เล็กๆต่อมา เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งของเขา
“ไม่ได้หรอก ฟาเบียน แอนแอน มันอันตรายเกินไป ใครสักคนที่ไม่สามารถควบคุมความฝันได้อย่างเชี่ยวชาญ อาจจะหลงทางอยู่ในนั้น และเราคงไม่สามารถปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาได้อีกครั้ง จนกว่าเราจะพบผู้ควบคุมความฝันที่สามารถใช้เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมได้อย่างแท้จริง...”

ชายเสียงแหบแห้งเว้นจังหวะเล็กน้อย แล้วจึงกล่าวต่อ

“เชื่อผมเถอะ ถ้าพวกเรามีหนทางที่ดีกว่านี้ ผมจะไม่ปิดบังไว้จากพวกคุณแน่นอน”

ผมมองดูดอกเตอร์อิริคด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความวางใจ ในขณะที่แอนแอนไม่กล่าวตอบอะไรแต่ก้มหน้ามองดูที่โต๊ะด้วยท่าทางรู้สึกผิดหวัง ผมรู้ว่าเด็กหญิงอยากให้แอนนามาเรียฟื้นขึ้นมาอีกครั้งมากพอๆกับผม

“ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าใครคือผู้ที่สามารถใช้เครื่องอิมเปร์-เชเรบรุมได้?” ผมกล่าวถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ผมไม่สามารถจำกัดคุณสมบัติได้อย่างตายตัว ฟาเบียน แต่ที่แน่ๆ ผมอยากให้คุณตามหาใครสักคนที่มีความสามารถในการทำ Lucid Dreaming ได้อย่างเชี่ยวชาญ ใครสักคนที่มักจะจมติดอยู่กับโลกของความคิด... ผมเพียงแค่ต้องการให้คุณนำเขามาหาผม เพราะผมคงต้องทดสอบเขาด้วยตัวเองอีกที"

ผมพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับดอกเตอร์อิริค

ชายร่างเล็กมองดูผมด้วยความพอใจ ผมเห็นรอยยิ้มจางๆฉายบนในหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งอีกครั้ง

“ฟาเบียน ผมขอมอบหมายให้คุณรับหน้าที่นี้ ส่วนผมและคนอื่นๆคงต้องรีบดำเนินการจัดการกับบริษัทคไลน์เฟลด์ เมดิซีน ให้เรียบร้อย ก่อนที่พวกเขาจะดำเนินแผนการปล่อยก๊าซพิษออกสู่ภายนอกได้สำเร็จ”
ดอกเตอร์อิริค ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมๆกับเรนาเต้ที่ส่งยิ้มให้ผมกับแอนแอนอย่างเป็นมิตร ผมดีใจที่เธอดูเหมือนจะสามารถตัดใจจากผมได้ในที่สุด ผมยิ้มตอบกลับเธอ

เด็กหญิงแอนแอนยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาของเธอยังคงปักหลักแน่วแน่อยู่บนโต๊ะ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า เธอพยายามหลบสายตาผม

“มีอะไรหรือเปล่า แอนแอน” ผมกล่าวถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วง

เด็กหญิงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองผม สายตาของเธอบ่งบอกถึงความจริงจัง ผมเห็นเธอกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบากหนึ่งครั้ง ก่อนที่จะกล่าวขึ้น

“พี่ฟาเบียนคะ... หนู... จริงๆแล้วโดยปกติหนูต้องกินยาเม็ดสีชมพูที่พี่อลิเซียให้กินเป็นประจำ... ไม่งั้น... หนูจะไม่มีเรี่ยวแรง...”

ผมค่อยๆโน้มตัวเข้าไปใกล้เด็กหญิง ผมสบตาคู่สีฟ้าใสที่แสดงถึงความจริงใจ แล้วเอามือลูบที่ศีรษะของเธอเบาๆด้วยความเอ็นดู

“อย่ากังวลไปเลยน่า แอนแอน พี่เรนาเต้จะช่วยให้ร่างกายของหนูกลับมาทำงานได้ตามปกติโดยไม่ต้องพึ่งยาเม็ดสีชมพู แต่หนูต้องสัญญา ว่าหนูจะปฏิบัติตามคำแนะนำของพี่เรนาเต้อย่างเคร่งครัด”

เด็กหญิงส่งยิ้มหวานให้กับผม แก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพูเรื่อสดใส... เธอพยักหน้าเป็นการรับปาก ผมจึงแกล้งยีผมของเด็กหญิงให้ยุ่งเหยิงเล่นเพียงเพื่อที่จะเห็นเด็กหญิงจอมแก่นส่งเสียงร้องโวยวายด้วยความไม่พอใจ

“หยุดนะพี่ฟาเบียน หยุดนะ!” แอนแอนร้องขึ้น แล้วเอามือจัดทรงผมของเธอให้เข้าที่ เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่แสดงไม่พอใจ

ผมหัวเราะ ทำให้เด็กหญิงยิ่งดูหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่เกินสิบวินาที ดูเหมือนว่าเธอจะหลุดหัวเราะออกมาเช่นกัน

ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ พยักหน้าและส่งยิ้มให้แอนแอนอย่างเป็นมิตร เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าผมกำลังจะเดินออกจากห้องทดลอง เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้และวิ่งตามผมมาทันที

“พี่ฟาเบียน ให้หนูไปด้วยคนนะคะ หนูอยากช่วยให้พี่แอนนามาเรียฟื้นขึ้นอีกครั้ง”

ผมมองดูเด็กหญิงที่แสดงสีหน้าจริงจัง

“ฟาเบียน...” เสียงแหบแห้งของดอกเตอร์อิริคดังขึ้นมาจากทางอีกฟากหนึ่งของห้อง

“บางที... การเริ่มต้นที่โรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิตอาจจะไม่ใช่ความคิดที่แย่นักก็ได้นะ...” เขากล่าวพร้อมกระพริบตาหนึ่งข้างเป็นเชิงหยอกล้อทีเล่นทีจริง

ผมพยักหน้าเบาๆให้ดอกเตอร์อิริค แล้วจูงมือแอนแอน เราสองคนเดินออกจากห้องทดลองไปด้วยกัน

จุดจบของเรื่องราวความวุ่นวายดูเหมือนจะกลับมาเริ่มต้นที่เดิมอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าตำแหน่งของผมและแอนนามาเรียจะสลับที่กัน ในขณะที่เธอหลับ ผมตื่น และเมื่อเธอเคยปลุกผมให้ฟื้นขึ้นมาได้สำเร็จ ผมก็จะเป็นผู้ปลุกเธอให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งได้เช่นกัน...


ได้โปรดเข้มแข็งและอดทนอีกสักนิด แอนนามาเรีย เจ้าหญิงนิทราของผม

ผมจะไม่ละความพยายาม จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง...




แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 55 04:11:59

จากคุณ : myladyannbook
เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 03:43:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com