สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 12
|
|
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12564830/W12564830.html
บทที่ 12
แม่นางแพรพลิ้วร่างผีมาลอยกลางอากาศ แสยะยิ้มสมเพชองครักษ์หน้าโง่ที่แม้เวลาจะผ่านไปเป็นร้อยๆ ปี แต่ก็ยังตั้งมั่นภักดีต่อแม่นางยอดดวงใจ
"อันว่าจิตใจที่เห่อเหิมทะเยอทะยานโดยไม่สำรวจวาสนาตนนี่มันช่างชะล้างยากยิ่ง" แม่นางถากถางแล้วหัวเราะ
"เราไม่เคยเห่อเหิมทะเยอทะยาน เราสำรวจวาสนาตนตลอดเวลา สำนึกและเจียมตัวว่าต่ำต้อย แต่ความรักคือความงดงาม คือความรู้สึกที่จรรโลงความสงบ"
"มีแต่คนโง่ที่คิดเพ้อฝันอย่างนั้น ความรักคือความงดงามหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมแม่นางกณิการ์จึงมองข้ามความดีในตัวท่านไปแต่งงานกับเจ้าฟ้าหน่อเนื้อต่างคามได้เล่า ตื่นจากฝันเสียทีเถอะท่านศมะ"
"ท่านกับซาตานวจาเหมาะแล้วที่จะเกิดมาเป็นพี่น้องกัน เพราะจิตใจดำมืดและรักใครไม่เป็น หลงใหลในวาสนาคนอื่น ปรารถนาแย่งชิงอย่างหน้าไม่อาย ท่านสองต่างหากที่ไม่เคยก้มลงสำรวจวาสนาตน"
"ท่านศมะ"
"ท่านสองไม่เคยสำนึกและเจียมตัวว่าต่ำต้อย แต่กลับทะเยอทะยานอยากครอบครองวาสนาอันสูงเกินเอื้อม เป็นคนก็น่าสมเพช เป็นผี เป็นซาตาน ก็ยิ่งน่าสังเวช"
"สามหาวนัก รอให้ข้าหลุดพ้นจากบ่วงกักขังก่อนเถอะ ดวงวิญญาณของเจ้าจะต้องถูกสังเวยด้วยมือข้าเป็นดวงแรกไอ้องครักษ์ชั้นปลายแถว"
พอสิ้นคำเดือดดาลระคนชิงชังที่ซาตานวจาคำรามออกมาจากที่คุมขัง แสงไฟลำหนึ่งก็พลันสาดยาวมาในความมืด มันส่องมาจากรถตำรวจทางหลวงที่บังเอิญผ่านมา
แม่นางกณิการ์ผู้เกรียงไกรในกาลอดีตรีบปรี่ไปขอความช่วยเหลือ ชี้มือชี้ไม้คล้ายบอกจุดหมายปลายทางที่ตนปรารถนาจะไป และเมื่อแม่นางไปถึง โศกอันใหญ่หลวงก็จะเกิดแก่แม่นาง
ท่านศมะถอนใจยาว น้ำตาสีเงินยวงแห้งเหือดลงจากเบ้าตาลึก ใบหน้าเคร่งขรึมหากแต่เปี่ยมด้วยความภักดีเลื่อนตามร่างปราดเปรียวขึ้นรถตำรวจไปอย่างโหยหาลึกซึ้ง จะกี่ร้อยปีผ่านไปก็ช่าง ความรักในหัวใจที่มีต่อแม่นางหน่อเนื้อจะไม่มีวันเสื่อมคลาย
"เราให้คำมั่นต่อท่าน เราจะกลับมาเพื่อกำจัดชีวิตอมตะของซาตานวจาด้วยมือเรา"
"แม่นาง ให้เราไปด้วยเถอะเจ้าข้า เรา.. "
"ท่านองครักษ์แห่งข้า หน่อเนื้อมัลลิกาแห่งเราต้องมีคนดูแล เราไว้ใจเพียงท่าน เรายกหน่อเนื้อเราให้อยู่อย่างปลอดภัยบนอุ้งมืออบอุ่นของท่าน จงทะนุถนอมแม่นางมัลลิกาแห่งเราเสมือนว่าจงรักภักดีต่อเราเถอะ"
น้ำตาสีเงินยวงไหลรินอย่างขมขื่น ตระหนักว่าเพราะภาระหน้าที่ในการปกป้องหน่อเนื้อแม่นางเจ้าฟ้า ทำให้ตนไม่อาจติดตามไปพลีชีพร่วมแม่นางยอดดวงใจ ไม่เห็นว่าแม่นางดับสูญด้วยวิธีใด
ใช่ นับแต่แม่นางออกจากคามดารกะสู่ป่าลี้ลับ สู่หุบเหวปีศาจ นับแต่นั้นก็ไม่มีใครได้เห็นแม่นางอีกเลย
"ท่านศมะ เราได้เวลาเดินทางแล้ว แต่เรายังไม่ได้ยินคำมั่นจากท่าน"
"เจ้าข้าแม่นาง" ท่านในกาลนั้นได้แต่คุกเข่าลงพร้อมกับประกาศบ่วงรัดร้อยตนด้วยเสียงเข้มหนักและมั่นคงยิ่ง "เราองครักษ์นักรบศมะมอบสัตย์ภักดีต่อแม่นาง จะเฝ้ารอจนกว่าแม่นางจะย้อนคืนเจ้าข้า"
"เราขอบใจ เราจะไม่ลืมท่าน ไม่ว่าเวลาจะผ่านผันไปนานแค่ไหน เราให้คำมั่นว่าเราจะกลับมา และจดจำท่านได้ในทันทีโดยไม่ต้องถามว่าท่านเป็นใคร ไม่ต้องรอให้ท่านกล่าวแนะนำตน เพราะท่านเปรียบได้ดั่งชีวิตของเรา"
"แม่นาง"
"ลาก่อนท่านศมะ ฝากอนาคตในกาลหน้าไว้บนอุ้งมืออบอุ่นของท่าน ลาก่อน"
สายลมพลัดพรากพัดมาอีกครั้งแล้ว มันต้องเรือนร่างโปร่งใสในชุดเทายาวของท่านศมะอย่างอ้อยอิ่ง ปัดเป่าความหลังอันระทมให้สูญสิ้นไปจากห้วงคะนึง
น้ำตาสีเงินยวงปลิวคว้างแล้วแตกกระจายกลายเป็นเกร็ดระยิบระยับกลางความมืด ใครผ่านมาเวลานี้ ก็อาจจะนึกว่ามันเป็นเพียงสะเก็ดดาวที่ตกจากฟากฟ้าเพียงวูบ แม่นางแพรพลิ้วร่างผีย้อนกลับไปปักหลักบนยอดเนิน ยังได้ยินเสียงพี่ชายคำรามลิงโลดไม่สร่าง นางก็เข้าใจอยู่ ศัตรูตัวฉกาจย้อนคืนมาให้ชำระแค้นแล้วนี่ พี่ชายก็เฝ้ารอเวลานี้อยู่ ต่อจากนี้ไป ก็ต้องเป็นหน้าที่ของนางแล้วล่ะ ทำยังไงก็ได้ที่จะล่อหลอกให้แม่นางกณิการ์ในกาลนี้ล่วงล้ำเข้าสู่วิหารวังร้าง
ขอเพียงกำจัดให้ดับสูญ มันก็ไม่แน่ว่าคำสาปศักดิ์สิทธิ์อาจจะเสื่อมความขลังตามหลังดวงวิญญาณในกาลนี้ไปก็ได้ แล้วเมื่อถึงตอนนั้น ซาตานวจาก็จะคืนอิสรภาพ ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ ฟื้นความรุ่งเรืองให้ชีวิตซาตานอีกครั้ง
ลานกว้างหน้าเรือนไทยหลังใหญ่วังเวงและไร้ผู้คนจนฤดีดิษถ์ใจหายทันที เธอกล่าวขอบคุณตำรวจทางหลวง แล้วรีบสาวเท้าเข้าข้างใน
ไม่มีใครเลยนอกจากเสียงงึมงำที่ดังแถวหลังบ้าน ตอนหันกลับไปดูริ้วผ้าหลากสี น้ำตาก็อดรื้นไม่ได้ มันเอ่อขึ้นมาเองอย่างแปลกๆ กระแสลมที่พัดผ่านแผ่นหลังก็คมกริบประหลาด เธอรู้สึกราวกับว่าเนื้อมัน 'ขาด'
"ใครน่ะ"
ความมืดมันเคลื่อนไหวได้ด้วยหรือ มันเป็นข้อสงสัยที่เธอไม่รู้ว่าจะไปเค้นคำตอบจากใคร เธอแค่รู้สึกได้ว่าในความมืดมีบางอย่างซ่อนเร้น แต่เมื่อหมุนกลับหลังขวับแล้วตวาดถามออกไป ทุกอย่างกลับเงียบกริบจนลมหายใจหนักๆ ของตัวเองก็ได้ยินชัดถนัดถนี่ "ฉันถามว่าใคร"
อีกครั้งที่มีบางอย่างไหววูบผ่านแผ่นหลัง มันเย็นก่อนแล้วค่อยร้อนขึ้น ฤดีดิษถ์ไม่คิดว่าจะมีใครเล่นตลกตอนกลางคืน
แล้วโถงที่เธอเข้ามาหยุดยืนมันไม่ใช่แค่กว้างโล่ง แต่มันยังมืดเพราะไม่มีใครเปิดไฟ เจ้าของบ้านคงไม่ต้อนรับแขกพิเรนทร์แบบนี้ เพราะถ้าเธอเป็นคนขวัญอ่อน เธออาจช็อกหรือประสาทเสียไปแล้ว
"อ้าว นั่นใครมายืนมืดๆ "
'ลุงโภชน์' พาร่างสูงท้วมในชุดสีน้ำเงินทะลุความมืดออกมาร้องทักถาม แกอายุหกสิบเศษแล้ว แต่เพราะการหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่อยรอยของมวลผกา ทำให้แกกลัดกลุ้มระคนหวาดกลัวจนดูว่าชราลงไปอีกหลายสิบปีเชียว
ตะเกียงที่แกหิ้วมาด้วยมันลอยสูงเสมอหน้าแกพอดี แล้วฤดีดิษถ์ซึ่งไม่รู้จักกับแกมาก่อนก็หรี่ตาจ้องอย่างไม่ไว้ใจกึ่งลังเล
แต่เท่าที่ดู หน้าตาแกก็ไม่ได้ดุร้ายหรือไม่น่าไว้วางใจตรงไหน โดยเฉพาะแววตาคู่นั้น แม้จะเรียวเล็กแต่ประกายก็ดูเจิดจ้าแหลมคมแข่งกับแสงตะเกียงทีเดียว
"ลุงคือ.. "
"แม่หนูคงจะเป็นแม่หนูฤดีดิษถ์หรือเปล่า เอ.. แต่ไอ้ผกามันบอกว่าแม่หนูจะมาพรุ่งนี้นี่"
"ลุงคือลุงโภชน์ พ่อของผกาหรือคะ"
ลุงโภชน์ร้อง 'อืม' แล้วเดินมาใกล้ให้สาวครีเอทีฟเห็นหน้าชัดๆ อีกนิด แกชี้ไปที่ชุดรับแขกไม้ตรงมุมซ้าย แล้วเดินนำหน้าชูตะเกียงไปก่อน
"เฮ้อ เกิดเรื่องแล้วล่ะ ไม่สู้ดีเสียด้วยแม่หนูเอ๊ย"
คนแก่วางตะเกียงลงบนโต๊ะแล้วเปรยเสียงเครือๆ ยกชายผ้าขาวม้าที่คาดพุงขึ้นมาซับทั้งเหงื่อบนหน้าผาก แถมน้ำตาที่รื้นๆ อีกนิดหน่อย
"เรื่องอะไรคะ"
"เอ้อ แต่แม่หนูเพิ่งจะมาถึง ลุงว่า.. "
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูเองก็ร้อนใจ หนูติดต่อทางนี้ไม่ได้เลย ผกาก็ไม่โทรกลับหาหนูอีกเลยหลังจากคืนนั้น"
เธอจบประโยคด้วยการกลืนน้ำลาย สันหลังมันเย็นๆ เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีที่ทำให้ขนทุกเส้นในตัวมันชูชันและฟูแปลกๆ ก็ไม่เข้าใจว่าลุงโภชน์สะอื้นเบาๆ ทำไม
"เกิดอะไรขึ้นคะ แล้วนี่ทำไมทั้งบ้านมันมืดอย่างนี้ แล้ว.. "
"ยังไม่มีใครมาหรอกแม่หนู หลังบ้านก็มีแต่ลุงกับพวกป้าๆ แม่ครัวแล้วก็เด็กๆ เรากำลัง.. "
'กำลังอะไร ทำไมต้องน้ำตาไหลอีก' ฤดีดิษถ์อึดอัดมาก เธอไม่รู้สึกเลยว่าเวลาที่เธอหงุดหงิดกับแรงกดดันแบบนี้ แสงตาเธอมันวาวดุและคมกล้าไม่ผิดเพี้ยนกับแสงตาแสนยานุภาพของแม่นางกณิการ์ทีเดียว แล้วลุงโภชน์ก็เห็นอย่างตกใจแถมลอบครั่นคร้ามจนเผลอมือสั่นไปเองด้วยซ้ำ
"อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งเลยค่ะ หนูร้อนใจ ขับรถมาไกลอย่างไม่สบายใจสักนาทีเดียว แล้วนี่รถหนูก็แล่นมาดีๆ จู่ๆ ก็มาดับเสียเฉยๆ หนูก็ยังหงุดหงิดไม่หายอยู่เลยค่ะ"
เจ้าของบ้านพอฟังก็ชะงักอาการตะครั่นตะครอพลางเลิกคิ้ว แกกำลังนึกถึงทิศที่ตั้งวิหารวังร้าง เพราะแถวนั้นมักจะเกิดอุบัติเหตุอย่างไม่คาดฝันขึ้นบ่อยๆ ดูอย่างมวลผกาสิ รถก็ดิ่งลงเหวใกล้ๆ แถวนั้นเหมือนกัน
"เอ้อ รถแม่หนูไปเสียอยู่แถวไหนหรือ"
"ไม่รู้สิคะ แต่ก็ไม่ไกลจากที่นี่นัก หนูอาศัยรถตำรวจทางหลวงที่บังเอิญผ่านมาพอดีค่ะ"
"มีอะไรเป็นที่สังเกตแถวนั้นไหม"
ฤดีดิษถ์สั่นหน้า ไม่ใช่ไม่มี แต่เธอไม่ทราบ ตอนนั้นฟ้ามืดแล้ว เธอก็มัวแต่ร้อนใจว่ารถเสีย จึงไม่ทันได้สังเกตว่ามีอะไรเป็นจุดเด่นพอให้ระบุได้บ้าง แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องของเธอมันไม่มีปัญหาแล้วนี่ ตำรวจทางหลวงรับปากว่าช่วยจัดการเรื่องรถให้เอง
พรุ่งนี้เธออาจจะขอยืมรถที่นี่สักคันขับไปดูอาการที่อู่ในเมืองตามที่คุณตำรวจบอกทางไว้ หรือไม่ก็โทรไปถามตามเบอร์ที่เขาทิ้งไว้ให้ วกกลับมาเรื่องเพื่อนรักดีกว่า เธออยากรู้รายละเอียด
แต่เสียงเอะอะหน้าบ้านก็มาขัดจังหวะ ทำให้ลุงโภชน์ไม่ทันได้เล่าเพิ่มเติม แกรีบลุกไปสมทบแล้วตะโกนถามอะไรกันก็ไม่ทราบ
ฤดีดิษถ์เกือบจะลุกตามไปแล้วล่ะ แต่จู่ๆ ในตะเกียงก็คล้ายจะปรากฏภาพบางอย่างวาบวับออกมา แล้วมันก็เต็มไปด้วยพลังดึงดูดมหาศาล ตรึงทั้งร่างทั้งตาของเธอให้จดจ้องเขม็ง
"อะไรน่ะ"
เธอครางกับตัวเอง กะพริบตาสลับกับขยี้สองสามครั้ง อยากให้แน่ใจว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในแสงตะเกียงจริงๆ เธอไม่ได้ตาฝาดไปเอง
แล้วเธอก็เห็นผู้หญิงผมยาวสวมชุดแปลกๆ แต่ดูมีสง่าราศี เฉพาะเครื่องประดับก็ดูอลังการงานสร้าง มันเปล่งแสงพร่างพราวและวูบวาบขึ้นไปบดบังใบหน้าซึ่งเธอเห็นแค่ว่ามันขาวจ้ากลืนกันไปหมด ร่างนั้นนั่งหลังตรงราวกับเป็นผู้ทรงอำนาจ ขัดสมาธิสำรวมคล้ายกำลังทำพิธีหรือเข้าร่วมพิธีกรรมบางอย่าง น่าเสียดายจัง เพ่งยังไงก็ไม่เห็นหน้าเลย
แหม อยากให้บรรดาเครื่องประดับสุดสวยทั้งหลายหยุดอวดประชันแสงจ้านั่นลงเสียที ไม่แน่หรอก ถ้าไม่มีแสงพร่างพราวพวกนั้น เธอก็จะได้เห็นว่าหน้าตาของร่างนั้น 'เป็นยังไง'
ลุงโภชน์ทรุดนั่งลงตรงประตูนั่นเอง สีหน้าดูจะหวั่นวิตกกับคำบอกเล่าของกลุ่มชาวบ้านที่เพิ่งกลับมาพร้อมกับสภาพเหน็ดเหนื่อยอิดโรย
"หมายถึงอะไรหรือคะป่าอัญมณีที่ว่าน่ะค่ะ"
ฤดีดิษถ์ถามในสิ่งที่สงสัย ชายร่างสูงสวมชุดชาวบ้านทั่วไปสีมะกอกเข้มเป็นคนเล่า เขาบอกว่ามีชาวบ้านพบเห็นร่องรอยของชายสติวิปลาสในนั้น จากการบรรยายลักษณะรูปร่างและเสื้อผ้า เขามั่นใจว่าน่าจะเป็นเขยขวัญของบ้านนี้
"มันเป็นป่าประหลาดนะครับคุณ เอ้อ คุณคือ.. "
"แม่หนูฤดีดิษถ์ เพื่อนไอ้ผกามัน" ลุงโภชน์บอกเนือยๆ แล้วแนะนำสองฝ่ายให้รู้จักกัน "แม่หนู นี่นายยม เป็นหลานชายผู้ใหญ่บ้าน รู้จักกันไว้เสียนะ เฮ้อ"
แกถอนใจเฮือก ไม่ใช่เฮือกเดียวด้วยนะ ฤดีดิษถ์ปรายตามองความอ่อนล้าของแกอย่างสงสาร เธอเป็นแค่เพื่อนก็ยังรุ่มร้อนขนาดนี้ แล้วประสาอะไรกับคนเป็นพ่อเป็นแม่เล่า ยังมีธิสัยอีกนะ เป็นไปได้หรือว่าจะกลายเป็นชายสติวิปลาสในป่าอัญมณีที่ว่านั่น "เอ้อ แล้วป่าอัญมณีที่ว่านี่อยู่ไกลจากที่นี่ไหมคะ มันเป็นป่าอะไร เมื่อกี้นี้คุณยมบอกว่าเป็นป่าประหลาด ยังไงหรือคะ"
"มันเป็นป่าประหลาดที่อยู่คู่กับภูดารกะของเรามานานแล้ว แต่นานแค่ไหนเราก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าเกิดมาจำความได้ป่ามันก็มีอยู่แล้ว"
"ค่ะ แล้วประหลาดยังไงคะ ทำไมไปเรียกมันอย่างนั้น"
วันดีคืนดี ทั่วทั้งป่าจะพร่างพราวไปด้วยเกร็ดแสงระยิบระยับหลากสีคล้ายดั่งมวลอัญมณีล้ำค่ามหาศาลขับแข่งกันเปล่งประกาย
ชาวบ้านที่หาของป่าหากเข้าไปในช่วงเวลานั้น ก็จะโชคดี ได้หมู่รัตนชาติออกมาเป็นกอบเป็นกำ เรียกว่าย่ามตุงแน่นแบกกันหลังแอ่นทีเดียว แต่หมู่รัตนชาติเหล่านั้นก็ไม่มีทีท่าว่าพร่องลงหรือหมดไป
นี่คือการขยายความของป่าประหลาด หรือที่คนที่นี่เรียกมันว่า 'ป่าอัญมณี' ดูเหมือนว่าความพิสดารของมันจะคล้ายกับวิหารวังร้างนะ แต่มวลผกาไม่เคยเล่าเรื่องป่าผืนนี้ให้ฟัง หรือว่าหล่อนไม่รู้จัก ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้
"แม่หนูทำหน้าเหมือนไม่เชื่อนะ" ลุงโภชน์เปรยเบาๆ หลังจากที่แอบสังเกตสีหน้าอยู่นาน
"แล้วมันน่าเชื่อหรือคะ ผกาเคยเล่าคล้ายๆ อย่างนี้ แต่ว่ามันไมใช่ที่ป่านั่น ดูเหมือน.. "
"แถววิหารวังร้างใช่ไหม" แกแย่งบอกตามประสารู้อยู่ก่อน "มันก็ที่เดียวกัน ป่าผืนนั้นอยู่ข้างหลัง แผ่กว้างไปบนยอดเนินสูง ชาวบ้านที่นี่รู้จักดีนั่นแหละ ไอ้ผกามันก็รู้จัก ตอนเด็กๆ ยังเคยตามลุงป้าขึ้นไปเก็บของป่า แค่ว่ามันไม่เคยเจอเหตุมหัศจรรย์กับตาสักทีเท่านั้นล่ะ"
"แล้วคุณธิจะไปปรากฏตัวที่นั่นได้ยังไง เขาไม่รู้จักวิหารวังร้าง ไม่เคยไป แล้วตอนมาถึงที่นี่มันก็ดึกมากแล้ว ต่อให้ผกาอยากอวดที่อวดทาง ก็ไม่น่าจะใจร้อนขนาดนั้น เขาสองคนมาที่นี่เพื่อแต่งงานนะคะ มีเวลาออกถมเถที่จะเดินท่องเที่ยวชมบรรยากาศบ้านเกิด"
ฤดีดิษถ์เสียงเครียดขึ้น ตาก็ดุวาวขึ้น เธอมองชาวบ้านที่เมียงมองเธอด้วยท่าทีกลัวแปลกๆ ก่อนจะหันสบตากันเอง หรือบางกลุ่มก็ซุบซิบกันเบาๆ แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือก็แต่นายยมที่ยังนั่งดื่มน้ำแก้กระหาย "นอกจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแล้ว ร่องรอยอื่นไม่พบเลยหรือคะ" เธอถามเขา
"ยังไม่เจอ อาจจะมืดแล้ว พรุ่งนี้จะลองเข้าไปใหม่ ถ้าเป็นเขาจริง หรือต่อให้ไม่ใช่ แต่ถ้าเขาเข้าไปในป่าจริง มันก็ต้องทิ้งร่องรอยไว้บ้าง อย่างรอยเท้า หรือข้าวของอะไรในตัว"
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ"
หญิงสาวปรารภหงุดหงิดแกมรุ่มร้อน เธอหันกลับมามองโถงมืด เอ๊ะ สีหน้าเครียดค่อยคลายลงไปเองเมื่อพบว่าทั่วโถงมันมืดไปหมดแล้ว ตะเกียงดับตั้งแต่เมื่อไหร่ ลมก็ไม่มีพัดเข้ามาสักระลอกนี่นา
"ตะเกียงดับหรือ" ลุงโภชน์พึมพำแล้วลุกไปจุดใหม่อีกครั้ง พลางหันมาบอกแขกสาวว่า "ไปเถอะแม่หนู ลุงจะพาไปห้องพัก เฮ้อ"
แกถอนใจกลุ้มปนระทมปิดประโยค ร่างชราเดินนำไปช้าๆ ฤดีดิษถ์ขมวดคิ้วเครียดขณะเดินตามช้าๆ เช่นกัน
และเกือบจะถึงห้องพักแล้วล่ะ จู่ๆ สายลมประหลาดก็พัดผ่านแผ่นหลังวูบ มันแผ่ไอเย็นยะเยือกแล้วโรยความอุ่นลงซ้ำ แขนเสื้อยังพลิ้วเป็นพยานให้เชื่อว่ามีลมพัดผ่านมาจริง
เธอเหลียวกลับหลังจ้องมองความมืดนิ่ง มันเป็นทางเดินแคบทอดไปชนกับโถงด้านหน้า สองข้างแยกยื่นเป็นปีกโถง แต่รายละเอียดบนปีกนั้นเธอมองไม่เห็นหรอก ต้องรอพรุ่งนี้เสียก่อน
อ้อ นี่ก็อีกเรื่องนะ ไม่อยากเชื่อว่าที่นี่จะประหยัดพลังงานไฟฟ้ากันแบบสุดฤทธิ์ มันอยู่บนยอดเขาก็จริง แต่ไฟฟ้าก็เข้าถึงนี่ แล้วทำไมถึงอัตคัดแสงสว่างกันจัง
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก" ลุงโภชน์แย้งกลั้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเธอเปรยข้อสงสัยตอนมาหยุดหน้าห้อง "วันนี้ทางการก็มาประกาศแล้วว่าจะปรับปรุงอะไรก็ไม่รู้ งดจ่ายไฟเสียหนึ่งวัน พรุ่งนี้หรือไม่ก็ตอนใกล้รุ่งก็คงปล่อยตามปกติ"
แกเปิดประตูไม้แล้วเบี่ยงตัวให้ฤดีดิษถ์เดินเข้าไปก่อน แสงตะเกียงส่องให้เห็นเตียงไม้กลางห้อง มีโต๊ะหนังสือทำด้วยไม้รูปทรงก็เทอะทะไปสักนิด แต่สีน้ำตาลแก่จัดก็บอกถึงอายุของมันได้ไม่น้อย
"นี่ห้องใครหรือคะ" เธอถามเมื่อลุงโภชน์วางตะเกียงไว้บนโต๊ะตัวนั้น
"เคยเป็นห้องนอนของไอ้ผกาตอนเด็กๆ แต่มันชอบฝันร้าย พ่อหมอประจำหมู่บ้านแนะนำให้มันย้ายห้อง ลุงก็เลยต่อเติมห้องใหม่ให้มัน แล้วห้องนี้ก็ปิดไว้เฉยๆ ตั้งใจเก็บไว้เป็นห้องพักแขก นานทีก็เข้ามาทำความสะอาด แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกนะที่เปิดต้อนรับแขกอย่างแม่หนู"
"หมายความว่าตั้งแต่ผกาย้ายไปนอนห้องใหม่ ห้องนี้ก็ปิดตายไปเลย แล้วหนูก็เป็นคนแรกที่ได้ใช้มันหรือคะ"
"อืม กลัวหรือเปล่าล่ะ แต่ลุงว่ามันคงไม่มีอะไรหรอก ไอ้ผกามันก็เพ้อเจ้อไปตามประสาเด็ก"
แกหัวเราะเนือยๆ ก่อนจะตัดบทบอกว่ายกตะเกียงให้เลย แล้วก็กลับออกไป ทิ้งให้แขกสาวกวาดสำรวจไปทั่วห้องพักกลางแสงหลัวไปตามอัธยาศัย
อากาศก็หนาวมากอยู่แล้ว ตอนมาถึงฤดีดิษถ์ยังเหนียวตัวกับเหงื่อร้อน แต่ตอนนี้ตัวแห้งเชียว คิดว่าไม่ต้องอาบน้ำแล้วล่ะ ยกยอดไปพรุ่งนี้เถอะ เธอตบหมอนในปลอกสีเทาสองสามแปะแล้วล้มตัวนอนเลย ยกมือก่ายหน้าผากมองเงาเต้นระบำบนเพดาน อยากรู้จังว่าเพื่อนรักฝันร้ายอะไรนักหนา จนถึงกับต้องย้ายห้องใหม่ตามคำแนะนำของพ่อหมอประจำหมู่บ้าน
แหม พอได้ยินคำนี้ สาวครีเอทีฟก็อดนึกแวบไปถึงหมอผาไม่ได้ รายนั้นก็เข้าข่ายพ่อหมอเหมือนกันนะ เสียแต่ปากไม่ดี ทำนายส่งเดชให้เธอหงุดหงิด
เป็นต้นว่าเธอกับลายสือจะไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นหรอก แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เธอก็หมดความศรัทธาและแทบไม่อยากหยิบยื่นมิตรภาพแล้ว
'หวังว่าเราจะไม่ฝันร้ายจนต้องเผ่นย้ายห้องเหมือนไอ้ผกาหรอกนะ' สาวครีเอทีฟหัวเราะขำๆ กับความคิดตลกๆ ก่อนจะอ้าปากหาว รู้สึกง่วง ตาปรือ เปลือกตาหนัก แล้วไม่ถึงอึดใจเธอก็ 'หลับ'
มันก็แน่นอนอยู่แล้วละว่าฤดีดิษถ์จะไม่มีวันฝันร้ายบนผืนแผ่นดินที่ตนเคยปกครองด้วยอำนาจอันเกรียงไกร เพราะในกาลอดีต ห้องนอนห้องนี้ก็คือกระท่อมบำเพ็ญเพียรของแม่นางจงอรนั่นเอง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากวิหารวังร้างมากนัก
ในกาลอันไกลโพ้นโน้น ตรงนี้เรียกว่าท้ายทุ่งเกษตร และวิหารวังร้างก็เป็นเขตชั้นในของคามดารกะ ส่วนตัวเธอก็คือแม่นางหน่อเนื้อเจ้าฟ้าจ่างผู้เกรียงไกร และประชาชนในกาลนั้นก็เรียกขานเธออย่างนอบน้อมยำเกรงว่า 'แม่นางกณิการ์'
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ก.ย. 55 21:55:15
|
|
|
|