23
ที่บ้านชัยเตชินญ์ ดูไม่เงียบสงบให้สมกับเป็นเช้าวันอาทิตย์ เพราะประมุขของบ้านเดินวนไปวนมา ใกล้กันมีลูกจ้างกำลังนั่งค้นหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ มีเสียงพูดคุยโทรศัพท์เป็นระยะ ทุกครั้งที่มีเสียงเรียกเข้า ทรงพลก็จะเงี่ยหูฟัง ดูปฏิกิริยาการพูดคุยก็พอเดาได้ว่าได้ข้อมูลที่ต้องการหรือไม่
เวลาผ่านไป ชายชราทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน จิบชาซึ่งเย็นชืดจนต้องบอกให้คนรับใช้เปลี่ยนมาใหม่ จนเริ่มไม่กระตือรือล้นกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาอีก
“ครับ ขอบคุณครับ”
กฤษเสียอีกที่เป็นฝ่ายกระชุ่มกระชวยขึ้นมาจากการพูดคุยหนนี้ เขาหันไปทางนายจ้าง
“ท่านครับ สายของท่านแจ้งมาว่า มีคนเห็นคุณวิชไปที่เซ็นทรัลเชียงราย เมื่อวานตอนบ่าย ๆ ครับ”
ทรงพลทะลึ่งกายพรวดขึ้นมาทันที ตาโตเห็นได้ชัดว่านี่คือสิ่งที่เขารอคอย
“แล้วไงอีก มันพักที่ไหน”
“เรื่องที่พัก จากที่ผมตรวจเช็คดู ไม่มีการสัมนาหรือประชุมอะไรที่นภัสรินทร์น่าจะไป ผมคาดว่าเธอน่าจะมาพักผ่อนส่วนตัว ตอนนี้ตัดรายชื่อรีสอร์ทออกไปได้บ้างแล้ว คงต้องเช็คอีกสักพัก”
ทรงพลถอนใจเฮือก สีหน้ายังไม่คลายความหงุดหงิด ตราบใดที่ยังติดต่อกับเจ้าตัวไม่ได้โดยตรงก็ยังไม่อาจชี้แน่ชัดว่าหลายชายพักอยู่ที่ไหน และไม่อาจออกคำสั่งให้เขากลับมาได้ดังใจ
“เอ่อ...จากที่เห็นคุณวิชเมื่อวาน” กฤษพูดอย่างลังเล “คุณวิชไปกับนภัสรินทร์ครับ”
“มันแน่อยู่แล้วล่ะ หลานฉันมันวิ่งตามยายนั่นไป ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้!” นายจ้างกระแทกเสียง ลูกจ้างจึงเงียบและหันไปทำงานของตนต่อ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นวิลาสินีเดินมาถึงจึงบอกข้อมูลที่เพิ่งบอกกับทรงพลให้เธอรู้
สะใภ้คนโตพยักหน้า ดวงตาไม่คลายกังวล กฤษพอเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ แต่เมื่อครั้นทรงพลถามเรื่องการติดต่อกับลูกชายเธอก็ส่ายหน้า และพาให้อารมณ์ประมุขของบ้านยังตึงเครียดเช่นเดิม
บนเตียงสี่เสามีสองร่างที่ยังซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม นภัสรินทร์ลืมตาขึ้นมามองเห็นแดดที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง แล้วหันไปมองคนข้างกาย ก็เห็นดวงตาและรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยรักละมุน
“มองอะไร”
“มองคนสวย”
เธอค้อน ได้กลิ่นอายความหลงใหลที่ยังห่อหุ้มอยู่ ถึงแม้จะตื่นเต็มตาแต่ยังรู้สึกเหมือนละเมอจากไอรัก เธออยู่กับเขาเพียงคืนเดียวหากแต่มันมากกว่าวันเวลาที่เคยพบปะพูดคุยกันตลอดสิบปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
ปัญวิชช์ยังไม่ละสายตาฉ่ำหวาน เธอเลือกจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนอิริยาบทเอง พอขยับตัวจะลุกแต่ถูกกอดไว้
“ปล่อยเถอะวิช”
“อีกแป๊บนึง” เขาอ้อน
“พอเถอะ...กอดมาทั้งคืนแล้ว”
พูดแล้วรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน แก้มร้อนวูบเมื่อชายหนุ่มซุกหน้าที่หัวไหล่เธอ คลอเคลียเหมือนแมว จนนภัสรินทร์เรียกลมหายใจลึกเพื่อไม่ให้เคลิ้มไปอีกหน
“จะดีแค่ไหนนะริน ถ้าวิชตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นรินทุกเช้า” เขาไม่คลายวงแขน และตอบไม่ตรงคำถาม น้ำเสียงรำพึงรำพันมากกว่าต้องการคำตอบจริงจัง
“ไม่ดี เพราะอีกหน่อยฉันก็แก่ ไม่สวย มองไปแล้วก็เบื่อ”
“ไม่มีทาง” เขาส่ายหน้า “ถ้างั้น...ก็เพิ่มเสียงเด็กร้องอีกนิดหน่อย จะได้ไม่เบื่อ”
เธอหันไปจ้องหน้าเขา “เด็กที่ไหน”
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง “ก็ลูกของเราไง”
ปัญวิชช์หอมแก้มเธอซึ่งกำลังอึ้งกับคำว่า ‘ลูก’ “แต่งงานกันนะ กลับไปผมจะบอกแม่ว่าจะแต่งงานกับริน”
นภัสรินทร์นิ่งเหมือนโดนสะกด คำขอแต่งงานของเขาช่างเรียบง่าย ไม่มีเซอร์ไพร้ส์ ไม่มีพิธีการ ในหัวใจเธอเต้นผิดจังหวะและหายใจขัด แค่คำพูดประโยคเดียว แต่หยั่งลึกลงในความรู้สึก เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหนักแน่นจริงจัง
“ริน...”
ด้วยความคาดไม่ฝัน หญิงสาวถึงกับต้องคิดเพื่อเรียบเรียงคำพูด “คือ...ฉันยังไม่พร้อม ยังมีงานต้องทำอีกเยอะเลย”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ แต่งแล้วรินก็ทำงานไปเหมือนเดิม หรือรินอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่รินเลย”
ขอบตาเธอร้อน สับสนแต่ซาบซึ้งระคนกัน คำพูดของเขาเป็นคำตอบที่กำลังอยากได้ เธอไม่ควรให้ใครมาชักจูงอีกแล้ว ชีวิตของเธอ เธอต้องเลือกและจัดการเอง เป็นเขาคนนี้...คนเดียวที่ไม่เคยบังคับกะเกณฑ์กดดันให้ทำอะไรในแบบที่ต้องการ ตรงกันข้าม ไม่ว่าเธอจะทำหรือไม่ทำอะไร หรือลากเขามาปั่นป่วนในเกมส์ เขาก็ไม่เคยเรียกร้อง ขอเพียงได้อยู่เคียงข้าง ได้ร่วมทางนั่นก็พอใจแล้ว
จุดหมายที่เธอต้องการ อาจจะไม่ต้องเหนื่อยวิ่งตาม แค่ยืนอยู่เฉย ๆ และยอมรับ ทุกอย่างจะมาถึงเอง
“เรื่องปู่ รินไม่ต้องห่วงนะ ผมจะพูดให้ปู่เข้าใจ อีกอย่าง...ปู่ฟังผมอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ เชื่อมั่นว่าตนเองเป็นหลานคนโปรดมาแต่ไหนแต่ไร รวมทั้งเรื่องข้อต่อรองที่เคยตกลงกันไว้ หากปู่ของเขาผิดสัญญาจะมีคำตำหนิและลดความน่าเชื่อถือในฐานะประมุขของบ้านไปโข
“ตกลงนะครับ”
นภัสรินทร์พลิกกายมาเผชิญหน้ากัน สบตาปัญวิชช์จริงจัง ถ้าจะพูดว่าชายคนนี้มีความสามารถอะไรอาจจะตอบไม่ได้เยอะ แต่ถ้าถามว่าเขาเป็นคนที่ทำอะไรได้บ้างคงจะเล่าไม่หมด โดยเฉพาะหากทำเพื่อผู้หญิงที่ตนรัก
“แน่ใจแล้วเหรอ”
“แน่ใจที่สุด”
นานแค่ไหนแล้วที่นภัสรินทร์ไม่เคยปลาบปลื้มจนหัวใจพองคับอก แม้แต่ตอนที่ได้รถเบ๊นซ์คันนั้นก็ยังไม่ดีใจเท่านี้เธอยกเสียงสูง ถามยิ้ม ๆ “แน่ใจว่าจะมีรินแค่คนเดียว”
แค่เพียงได้ยินเธอเรียกชื่อตนเองแทนคำว่าฉัน เท่านั้นปัญวิชช์ก็ตื้นตัน เขาเข้าใจแล้วว่าเธอหมายถึงอะไร เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของอารมณ์หมางเมิน เขาคิดขอบคุณที่วีรญาพูดเรื่องการไปดูหนังกับนีรนารถขึ้นมาจนนำพาให้เรื่องมันมาถึงจุดนี้ แต่คงไม่ทุกครั้งที่ตอนจบตัวเอกจะโชคดี เขาจะไม่เสี่ยงให้มันเกิดขึ้นอีก
“แน่ใจสิ วิชจะเคลียร์ตัวเอง ไม่ให้รินต้องกังวลเรื่องนี้อีก”
นภัสรินทร์ไม่เคยอบอุ่นแบบนี้มาก่อน เธอแน่ใจแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะเลือกทางเดินชีวิตด้วยมือตนเอง ปัญวิชช์ยืนยันคำพูดด้วยจุมพิต ณ ตอนนี้จะให้เขาทำอะไรก็ได้ ไม่เพียงตอบปฏิเสธผู้หญิงคนอื่น เขาอยากจะกู่ก้องร้องบอกโลกให้รู้เลยว่า นภัสรินทร์เป็นผู้หญิงของเขา เป็นเมีย เป็นคนเดียวที่เขาจะร่วมชีวิตไปจนวันตาย
สองหนุ่มสาวโอบกอดกันอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นแล้วเธอจะเป็นฝ่ายตัดบท
“ไปอาบน้ำเถอะ หิวแล้ว”
เขายังไม่วายขอหอมที่แก้มนวลก่อนยอมให้นภัสรินทร์ดึงตัวเองออก เธอเดินมาหยิบโทรศัพท์ที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อดูเวลา เก้าโมงครึ่งแล้ว กำลังจะวางก็คิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาได้
“วิช”
“คร้าบ ลุกเดี๋ยวนี้แล้ว”
เขารีบผุดลุก นภัสรินทร์อดขำไม่ได้ กลั้นยิ้มแล้วปั้นหน้านิ่ง “ถ้าวิชมานี่ที่แล้วการ์ดล่ะ ไม่มีใครโทรตามเลยเหรอ”
ปัญวิชช์คลี่ยิ้ม แตะปลายลิ้นที่ริมฝีปาก เท่านั้นหญิงสาวก็เข้าใจทันที
“อย่าบอกนะว่าปิดเครื่อง เปิดเดี๋ยวนี้เลยนะ ป่านนี้ที่บ้านเป็นห่วงแล้ว”
เธอพูดอย่างจริงจัง แต่ชายหนุ่มหรี่ตาข้างหนึ่ง พึมพำว่าโทรศัพท์อยู่ที่ไหน เขามองบนโต๊ะหัวเตียง ไม่มี ลองควานมือหา ในที่สุดก็เจอที่ใต้หมอน ปัญวิชช์หยิบมาแล้วยกคิ้ว
“อ้าว นี่ผมลืมเปิดเครื่องเหรอ”
คนฟังกระตุกริมฝีปาก ยังไงเขาก็ยังเป็นจอมเจ้าเล่ห์คนเดิม “คิดอยู่แล้วว่าทำไมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย หนีมาใช่ไหมเนี่ย”
“ผมไม่ได้หนีนะ แค่หยุดงาน”
“หยุด...ในวันที่ต้องไปลงพื้นที่เนี่ยนะ”
“รู้ด้วยเหรอ” เขาทำหน้าทะเล้น พอเห็นสายตาแกมดุก็หยุด “วิชรักรินตรงที่รินรู้ทันแบบนี้แหล่ะ”
“โทร.บอกที่บ้านซะ รินไม่อยากโดนข้อหาลักพาตัวสส.”
“ลักพาทั้งตัวและหัวใจเลย”
“หยุดพูดเล่นแล้วก็โทร.เดี๋ยวนี้”
ปัญวิชช์ยิ้มเผล่ ยอมเปิดเครื่องมือสื่อสาร เสียงเตือนทั้งมิสคอลและข้อความที่ถูกฝากดังต่อเนื่องจนเจ้าของเบ้ปาก พอเห็นอีกฝ่ายจ้องด้วยสีหน้าตำหนิก็ทำตาใส
ปัญวิชช์เลือกโทรหาแม่ บุพการีรับสายด้วยน้ำเสียงสั่นระริกเพราะตื่นเต้น
“วิช!”
“ครับ ผมเอง”
“วิช วิชอยู่ไหนลูก รู้ไหมแม่เป็นห่วง แล้วนี่อยู่ที่...”
“แม่ใจเย็น ๆ ไม่ต้องเสียงดัง เท่านี้ปู่ก็ได้ยินแล้วครับ” เขาพูดยิ้ม ๆ คาดเดาว่าป่านนี้แม่ของเขาคงโดนปู่ยืนจ้องตาไม่กะพริบแน่นอน “ผมอยู่เชียงราย มาเที่ยวนิดหน่อย”
“แม่เป็นห่วง...วิชไปกับใคร”
ปัญวิชช์กรอกตา “เอาเป็นว่าผมสบายดีแม่ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสองสามวันก็กลับ” เขาบอก
“แต่...”
“อ้อ บอกปู่ด้วยไม่ต้องตาม ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวกลับเอง เท่านี้นะครับ”
แล้วชายหนุ่มก็วางสาย แล้วปิดเครื่องกลับเหมือนเดิมก่อนที่จะถูกซักไซร้ไปมากกว่านี้ พอเงยหน้าขึ้นมาเจอนภัสรินทร์ซึ่งชายตามองก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยรอยยิ้มสมใจนิด ๆ
วิลาสินีวางสายแล้วถ่ายทอดคำนั้นให้ทรงพลฟัง ลูกสะใภ้กดโทรศัพท์ออกให้อีกครั้งอย่างรู้ใจ พอได้ฟังข้อความบอกว่าไม่มีสัญญาญติดต่อก็เหวี่ยงมือฉุนเฉียว แล้วก็เดินปึงปังออกไป แล้วไปเร่งให้กฤษติดต่อเพื่อหาที่อยู่ของปัญวิชช์ให้ได้เช่นเดิม วิลาสินีส่ายหน้าอย่างจนใจจะห้าม แต่เธอก็โล่งอกที่ได้ยินเสียงลูกชาย
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ก.ย. 55 14:24:32
|
|
|
|