ตอนก่อนหน้า (บทที่ 10 : นักโทษ)
...
...
...
ภาคิมเคยปวดหัวหนักๆ ตอนที่อายุ 4 ขวบ เสียงบีบแตรดังลั่นหน้าประตูบ้านกลางดึกปลุกแม่และเขาให้ตื่นมาพบกับพ่อในชุดปฏิบัติหน้าที่ที่เปรอะเปื้อนเลือดและเขม่าควัน มารดาของเขาวิ่งลงบันไดไปเปิดประตูรับพ่อแล้วถกเถียงกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เด็กน้อยแง้มประตูห้องออกมาดูพ่อกำหมัดแน่นและแม่เริ่มปิดหน้าร้องไห้ เด็กชายตัวน้อยร้องไห้ออกมาเสียงดังจนแม่ต้องเข้ามากอดไว้
คิว ไม่เป็นไรนะลูก ไม่มีอะไร
แม่...หนูปวดหัว ฮือ...
คุณ พาลูกไปโรงพยาบาลกันเถอะ
แม่มาจับศีรษะแล้วรู้สึกว่าตัวเขาร้อนผ่าว ผู้เป็นมารดาละล่ำละลักบอกบิดาที่ตามขึ้นมาดูอาการ
ออกไปตอนนี้ไม่ได้ รัฐบาลยังไม่ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว
แต่คุณเป็นทหาร ใส่ชุดทหาร คุณพาพวกเราออกไปได้นี่นา
ไม่ได้ ผมออกไปไหนตอนนี้ไม่ได้
ปะปนไปกับเสียงร้องไห้ของตนเอง ภาคิมได้ยินเสียงแม่คาดคั้นเอากับพ่อว่าหายไปไหนมาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน และสุดท้ายได้คำตอบที่หลุดมาจากปากพ่อ
ผมเพิ่งยิงคนตายมา ยิงทะลุหัว กระเด็นลงไปกองบนถนนเลย
ระหว่างที่พ่อพูดมาไม่กี่คำและลุกเดินจากไปเหมือนคนเสียสติ แม่เอามือมาปิดหูของเขาไว้ ภาคิมแผดร้องเสียงดังลั่นและเริ่มชัก แม่พยายามดึงตัวเขานอนลงกับพื้น โดยที่ไม่รู้วิธีการช่วยเหลือและกลัวลูกจะกัดลิ้นตัวเอง มารดาของเขาเอามือของตัวเองกั้นระหว่างฟันบนกับฟันล่างของภาคิมเอาไว้ เด็กน้อยที่ชักกระตุกอยู่ดิ้นพรวดพราดและกัดมือมารดาจนเป็นแผล สักพักก็นิ่งสงบลง แม่จึงอุ้มเขาออกไปหาคนข้างบ้านและพาไปโรงพยาบาล เด็กน้อยได้รับยาลดไข้และกันชัก จากนั้นก็พักฟื้นตัวอยู่ในโรงพยาบาลอยู่หลายวัน ช่วงนั้นสภาพภายในโรงพยาบาลค่อนข้างโกลาหล เขาจำได้ว่าพอเริ่มอาการดีขึ้น เขาเกาะขอบหน้าต่างมองดูตึกที่มีการลำเลียงผู้ป่วยเข้าไปด้านใน เต็มไปด้วยคนที่บาดเจ็บ มีเลือด มีผ้าพันแผล พยาบาลที่ปลีกตัวมาดูอาการของเขาก็มาด้วยสภาพอิดโรย และหันไปพูดคุยกัน
คนเจ็บขนมาหมดหรือยัง
ขนมาเท่าที่ได้ เพราะแม้แต่รถพยาบาล ตำรวจทหารก็กันไม่ให้เข้า
พวกเธอพูดถึงพ่อของเขา...
ปีนั้นเป็นปี 2535
โภคิน เดชาพิชิต
ชายสูงวัยลักษณะภูมิฐาน แต่งกายด้วยชุดลำลองนั่งอยู่บนโซฟา เขากำลังเปิดอัลบั้มเก่าๆ ออกมาดู ขณะที่ศรีสุดาผู้เป็นภรรยาเดินไปชงกาแฟมาให้ สตรีผมสีดอกเลาคนกาแฟพลางหันไปมองสามีที่ครองชีวิตผ่านเหตุการณ์ดีร้ายมาด้วยกันนานกว่ายี่สิบปี แม้บัดนี้เขาจะไต่เต้ามาเป็นข้าราชการทหารชั้นผู้ใหญ่ มียศถาบรรดาศักดิ์ซึ่งเป็นไปตามอายุงาน แต่มิใช่ตำแหน่งใหญ่โตที่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ ด้วยโภคินถอนตัวออกมาจากเรื่องการเมืองการปกครองมาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน นับจากเหตุการณ์นั้น...
ภาพของคณะบุคคลยืนเรียงกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ด้านหน้าสุดประกอบไปด้วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และอธิบดีกรมตำรวจ ด้านหลังประกอบไปด้วยรองผู้บัญชาการทหารบก พลเอก พลเรือเอก พลอากาศเอก อีกร่วมยี่สิบนาย ด้านหลังประดับฉากไปด้วยข้าราชการทหารและพลเรือนอีกเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นกวักมือเรียกพันตรีคนหนึ่งที่กำลังตั้งขากล้องอยู่ให้เข้าไปอยู่ในกรอบรูปด้วย
เข้ามาสิโภคิน
โภคินซึ่งในเวลานั้นคือพันตรีโภคินได้แต่ทำวันทยหัตถ์แล้วยืนนึ่ง เสียงของคนที่มีอำนาจสูงกว่าที่อยู่แถวหน้าเพียงเปรยเบาๆ ว่า
ให้เขาตั้งใจกดชัดเตอร์เถอะ เขาอาสามาทำเท่านี้
โภคินตะเบ๊ะแล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อ เมื่อกดชัดเตอร์แล้ว สิ่งที่ปรากฏออกมา จึงเป็นประมวลภาพของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จำนวนหลายสิบคนโดยไม่มีตนเองรวมอยู่ด้วย โภคินให้เหตุผลง่ายๆ กับ เจ้านาย ว่าตนยินดีรับใช้ใกล้ชิด และปกป้องคุ้มกันผู้บังคับบัญชาตามประสานายทหารชั้นกลางพึงกระทำ แต่ด้วยภาระที่มีภรรยาและต้องดูแลลูกชายที่เพิ่งอายุได้เพียงสี่ขวบ จึงขอสงวนชื่อไว้ไม่เข้าร่วม แม้จะถูกหมางเมินจากผู้บังคับบัญชาอยู่บ้างในระยะแรก แต่ด้วยความเป็นคนเรียกง่ายใช้คล่อง ก็ทำให้ได้รับการยอมรับ และต่อมาเป็นคนที่ถูกลืมไปในยามที่เหตุการณ์สงบ
แต่ก็ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่โภคินไม่อาจลืม...
เขาถูกส่งตัวไปยังถนนราชดำเนินในวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 เป็นวันที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและให้ทหารทำหน้าที่รักษาความสงบ ระหว่างนั้นเขาได้รับอนุญาตให้พกปืนเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่เริ่มล่อแหลม กระบวนการสื่อสารและถ่ายทอดคำสั่งค่อนข้างติดขัดและจำเป็นต้องส่งต่อกันมาเป็นทอดๆ เสียงปืนนัดแรกเริ่มดังขึ้นจากทิศทางไหนสักทางและผู้คนเริ่มแตกฮือ เสียงออกคำสั่งในวิทยุสื่อสารดังก้องให้ยิงกราดออกไป ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังเปรี้ยงปร้างอยู่รอบตัวโดยที่อาวุธในมือของโภคินยังไม่ถูกใช้งานเลยสักนัด ผู้ชุมนุมเริ่มกรูมาทางเขา โภคินตัดสินใจยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อทำการขู่ให้ผู้ชุมนุมถอยไป แต่โดยไม่คาดฝัน กระสุนนัดนั้นเจาะทะลุศีรษะชายหนุ่มคนหนึ่งที่ขึ้นไปยืนบนหลังคารถเมล์ให้ร่วงผล็อยลงมาราวกับนกปีกหัก จากนั้นเสียงปืนและเสียงโห่ร้องคำรามก็ดังกึกก้องสับสนปนเปกันไปทั่วบริเวณ โภคินไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เขาตัดสินใจวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุ พอวิ่งไปถึงรถ ก็ขับรถบึ่งหนีกลับมาที่บ้านอย่างคนเสียสติ โภคินเคยผ่านการฝึกมาอย่างหนัก รู้วินัยของทหารเป็นอย่างดี แต่ปณิธานที่จะปกป้องประเทศชาติได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับกับมือของตนเอง เขาฆ่าประชาชนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ แล้วยังจะมีหน้าบอกว่าตนเองเป็นทหารของพระราชาและประชาชนอย่างไรได้
แล้วยิ่งเมื่อกลับถึงบ้านก็พบกับลูกชายเป็นไข้ตัวร้อนโดยที่เขาไร้สติปัญญาจะปกป้อง
ชายชรานั่งมองภาพนั้นอย่างซึมเซา ความรู้สึกร้าวรานปรากฏอยู่ตามรอยยับย่นบนหางตาและดวงตาเศร้าหมอง
เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว คุณยังเก็บอัลบั้มนี้กลับมาดูอีกหรือคะ
ศรีสุดาที่อยู่ในวัยห้าสิบกว่าปีนำกาแฟมาวางบนโต๊ะและทรุดนั่งลงบนโซฟาข้างๆ สามี โภคินละสายตาจากภาพเก่าๆ หันมามองศรีภรรยาที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก และหลายครั้งหลายครา เธอเป็นฝ่ายเข้มแข็งกว่าเขาหลายเท่า สตรีที่อยู่ข้างกายเขาคนนี้เอง ที่เป็นคนเหนี่ยวรั้งไม่ให้เขาเข้าร่วมปฏิบัติการอันน่าอดสู แต่เขาก็ยังดื้อดึงออกไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา
ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เธอเป็นผู้แก้ไขปัญหาทุกอย่างตั้งแต่พาลูกชายเข้าโรงพยาบาล กลับมาปลอบใจ สั่งให้เขาอาบน้ำอาบท่า กบดานอยู่กับบ้าน เมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ค่อยกลับไปรายงานตัวในกรมตามปรกติ
จนกระทั่ง เวลาค่ำของวันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ประธานองคมนตรี และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี นำพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี และพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำการประท้วงรัฐบาล เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท จากนั้นทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาต่อบ้านเมืองอย่างหาที่สุดมิได้ โภคินหลับตานึกถึงพระราชดำรัสของพระองค์ในวันนั้น เนื้อความส่วนหนึ่งยังตราตรึงลึกซึ้งอยู่ในดวงจิต
เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร
แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ
ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้
ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ
ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชนเฉพาะในกรุงเทพมหานคร
ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด
แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง
(ตอนหนึ่งของพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕)
ด้วยพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ที่ทรงเตือนสติผู้เกี่ยวข้อง หลังจากนั้นไม่นานนัก ทุกอย่างก็คลี่คลายลงไปราวกับปาฏิหาริย์ หลังเหตุการณ์ที่ถูกเรียกชื่อว่า พฤษภาทมิฬ คณะรสช. ถูกยกเลิก ผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ต่างกระเซ็นกระสายไปคนละทิศทาง และมีผลต่อการปรับย้ายตำแหน่งในแวดวงข้าราชการไปอีกหลายทอด โภคินเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นแทนที่คนที่เคยปฏิบัติงานเดิมแต่อยู่ในรายชื่อของรสช.
โภคินหวาดหวั่นในการก้าวไปข้างหน้า แต่ก็ได้ศรีสุดาเป็นผู้ให้กำลังใจ ให้เขากลับมารับราชการด้วยความมุมานะในงานโดยไม่ข้องแวะกับการเมืองการปกครองใดๆ ทั้งสิ้น และโภคินก็ปฏิบัติตามอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนเมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานไป สิบปี ยี่สิบปี เวลาค่อยๆ เปลี่ยนและลบเลือนทุกสิ่ง โภคินก้าวเข้าสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง สูงส่ง ทั้งยังได้รับความเคารพและสรรเสริญจากคนทั่วไปว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งยังผู้หลักผู้ใหญ่ที่น่านับถือ คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกระทั่งครอบครัวของเพื่อนของลูกชายที่ตกทุกข์ได้ยาก นับว่าเป็นปูชนียบุคคลที่หาได้ยากและเป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง
ความภาคภูมิใจเหล่านั้นที่แท้มาจากศรีภรรยาของเขาทั้งหมด...
นั่น ถามแล้วก็ไม่พูด คิดอะไรอยู่หรือคะ
ศรีสุดาทำท่ากระเง้ากระงอด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เธอก็ยังสะสวย เปี่ยมด้วยสเน่ห์ที่ทำให้เขาหลงใหลและชื่นชมเสมอมา
คิดว่าโชคดีเท่าไรแล้ว ที่มีเธอและลูก
ถ้าคิดว่าโชคดีเท่าไรแล้ว ก็ต้องรักษาพวกเราไว้ให้ดีๆ สินะคะ
ศรีสุดาไม่วายควบคุมกำกับ หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายนั้นมา สองสามีภรรยาเฝ้าเลี้ยงดูภาคิมมาอย่างประคบประหงมและตามใจทุกอย่าง เพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวในวันนั้นจะทำร้ายและฝังใจลูกชายของตนมากแค่ไหน พวกเขาจึงทุ่มเททั้งความรักและความเอาใจใส่ทั้งหมดที่มีให้กับลูกชายเพื่อทดแทนความทรงจำร้ายๆ ไปให้หมด
อืม พูดถึงลูกของเรา ฉันก็ยังรู้สึกผิดไม่หายเลยแม่
โภคินพูดตามที่รู้สึกจริงๆ ยิ่งมานั่งรำลึกถึงต้นเหตุยิ่งรู้สึกผิดท่วมทับทวีคูณ ภาคิมกลายเป็นเด็กสองบุคลิกที่ยามอารมณ์ดีก็ดีใจหาย แต่เมื่อโกรธหรือโมโหขึ้นมาก็อารมณ์ร้ายอย่างบ้าคลั่ง ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเด็กน้อยได้ยินพยาบาลพูดว่าทหารกราดยิงประชาชนอย่างไร้สำนึก เขาร้องคำรามและตรงเข้าไปทุบตีพยาบาลพลางร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล ในเวลานั้น ผู้ใหญ่ทั้งหลายไม่ถือสาการกระทำของเด็กตัวเล็กๆ ศรีสุดาเฝ้าสังเกตความประพฤติของลูกชายเรื่อยมาจนเขาเติบใหญ่ เริ่มเชื่อ จนเชื่อสนิทใจว่า ภาคิมควบคุมตัวเองได้
เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว อย่าไปนึกถึงมันเลยคุย อยู่กับปัจจุบันดีกว่า ช่วงนี้ลูกเราก็พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอย่างไรก็ไม่รู้
เออ นั่นสิ ว่าแต่ ป่านนี้คิวเขายังไม่กลับบ้านอีกหรือ
อืม เห็นว่าช่วงนี้ไปพักที่คอนโดน่ะค่ะ คงจะทยอยเก็บของด้วย เดี๋ยวก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว คุณอยากคุยกับลูกหรือคะ เดี๋ยวฉันต่อโทรศัพท์ให้
จ้ะ เรียกเขากลับมาบ้านหน่อยก็ดี อีกไม่กี่วันก็วันเกิดเขาแล้ว เผื่อจะหาอะไรที่เขาชอบมอบให้เขาก่อนไปนะ
ได้ค่ะคุณ
ศรีสุดาหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาลูกชาย สัญญาณตอบรับว่าสายว่างแต่เนิ่นนานยังไม่มีคนรับสาย คนเป็นแม่เริ่มสังหรณ์ใจประหลาด
มีสัญชาติญาณบางอย่างบอกว่า มีอะไรไม่สู้ดีนักกำลังเกิดขึ้นกับลูก
* ..,..,.. * * ..,..,.. * * ..,..,.. ** ..,..,.. *