Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จอมเวทไร้พลัง บทนำ ติดต่อทีมงาน

คุยกันก่อน

วันนี้ก็มีนิยายดองเน่าเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง ชื่อก็บอกแล้วเป็นเรื่องของจอมเวท(เทพ)ที่ไม่มีวี่แววของพลังใดๆเลย แถมยังต้องปะฉะดะกับผู้กล้าซึนๆ(จะพยายามให้ซึนให้ได้) คาดว่าพล๊อตแบบนี้คงยังไม่มีใครทำ ถ้ากลับไปอ่านเรื่องนักรบจันทราจะพบว่าชื่อคนและอาวุธในเรื่องนั้นปรากฏในเรื่องนี้ด้วย ซึ่งเป็นนิสัยของผมที่หมกมุ่นในจักรวาลของตัวเอง อีกสักพักความเกี่ยวพันจะเข้มข้นขึ้น ขอฝากตัวเอกกากๆเอาไว้ด้วยครับ



คำเตือน นิยายเรื่องนี้ดองเน่าเพราะผู้เขียนเขียนแล้วลงตอนต่อตอน(จากเว็บอื่นอีกที) ไม่ได้ลงหลังจากเขียนจบแล้วอย่างนักรบจันทรา  เรทอยู่ที่ประมาณสองสามเดือน/ตอน หรืออาจมากกว่า ถ้าอดใจรอไม่ได้ก็อย่าเพิ่งอ่าน รอให้ลงเยอะๆก่อนค่อยอ่านทีเดียวจะดีกว่า ถ้าต้องการติชมเชิญได้ทั้งหน้าไมค์หลังไมค์ครับ อยากเร่งก็ได้หลังไมค์มาเลย สาบานได้ว่าไม่กัด by ผู้เขียน

ปล. ถ้าไม่มีเมนท์มาเรื่อยๆเค้าจะงอนให้ดู แล้วจะรู้ว่านิยายเรื่องหนึ่งจะดองได้นานแค่ไหน นานกว่าโคนันซะอีก

*************************************************

บทนำ

     เช้าวันธรรมดาของเมืองที่ไม่ธรรมดา มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังทอดถอนหายใจอย่างเกียจคร้านกลางทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงงดงามไกลสุดลูกหูลูกตา การดำรงอยู่ของเขาเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ในทางกลับกัน สิ่งธรรมดาของคนปกติกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดในเมืองที่เขาอาศัยอยู่ เมืองโมติเวท

     ตามตำนานเล่าขาน เมืองนี้ถูกสร้างโดยองค์จอมเทพสูงสุดเอริส มีครอบแก้วมนตราคอยปกปักษ์เมืองนี้จากสิ่งชั่วร้ายต่างๆนานา พร้อมกันนั้นยังสร้างภาพลวงตาทำให้มองจากภายนอกแล้วจะพบแต่เมืองร้างเท่านั้น ในเมืองไม่มีผู้ปกครองอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กลับแบ่งออกเป็นตระกูลใหญ่สามตระกูล ตระกูลผู้ใช้เวท ตระกูลผู้ใช้อาวุธมนตรา และตระกูลผู้เรียกสัตว์ปิศาจ โดยแต่ละตระกูลจะมีผู้นำสูงสุดเรียกว่าหัวหน้าตระกูล

     ผู้คนที่เกิดในเมืองนี้จะได้รับพรอย่างถ้วนทั่วให้สืบทอดความสามารถของบิดาหรือมารดา ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนจากตระกูลใด ผู้ใช้เวท ผู้ใช้อาวุธมนตรา หรือผู้เรียกสัตว์ปิศาจ สายเลือดคนเมืองนี้แทบทุกชนชั้นล้วนได้รับความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง หากมีเพียงผู้เดียวที่ได้รับพลังที่จะเรียนรู้ศาสตร์ทั้งสามได้อย่างเท่าเทียม นามของเขาผู้นั้นคือ เวเบอร์ เฟียร์เลส น้องบุญธรรมของผู้กล้าพัวร์รีนในตำนาน

     ปัญหาของเขาคงไม่เรื้อรังหากเขาไม่ใช่ผู้สืบทอดเชื้อสายของทั้งสองท่านนั้นมา ชายหนุ่มคิด

     “อิง!...” เสียงเรียกชื่อเล่นของเขาทำให้ตื่นจากภวังค์ แม้จะรู้ตัวหากดวงตาสีฟ้าใสยังจับจ้องก้อนเมฆปุยขาวบริสุทธิ์ กลิ่นลาเวนเดอร์ทำให้รู้สึกปลอดโปร่งจนบอกไม่ถูก “อิกริด เฟียร์เลส แอบมานอนตรงนี้อีกแล้ว!” เป็นเสียงของแอนนานี่เอง เป็นเพื่อนที่จุ้นจ้านไม่เคยเปลี่ยน นี่คงได้รับคำสั่งจากพ่อของเขาให้ช่วยตามตัวกลับกระมัง

     “วันนี้ตระกูลผู้ใช้เวทมีงานฉลองคืนพระจันทร์เต็มดวงด้วย อีกสักชั่วโมงพระอาทิตย์ก็ตกแล้ว ท่านเอ็ดมันด์ให้มาตาม”

     เอ็ดมันด์คือชื่อของพ่อของเขาเอง เอ็ดมันด์ เฟียร์เลส หัวหน้าตระกูลผู้ใช้เวท

     “ท่านพ่อไม่ต้องการให้ลูกนอกคอกอย่างข้าไปหรอกแอน” อิกริดพูดพลางคิดถึงปมด้อยของตนแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าๆ

     “เจ้ามีพลังเวทมนตร์เหมือนพวกตระกูลผู้ใช้เวทคนอื่นๆอิง” แอนนาเป็นฝ่ายถอนหายใจ “แค่ใช้พลังไม่ได้ไม่ไช่พิการหรือเป็นโรคอะไรสักหน่อย เราไปเที่ยวงานด้วยกันดีกว่า ประเดี๋ยวข้าเลี้ยงขนมเอง”

     ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่ง มือเด็ดก้านลาเวนเดอร์มาหมุนเล่น ถูกแล้ว สิ่งที่แยกเขาออกจากกลุ่มคนทั้งหลายคือ เขาไม่เคยแสดงวี่แววว่ามีพลังเวทเลยสักครั้ง ทั้งที่บิดาเป็นถึงผู้นำตระกูล มีทวดกับตาทวดให้ภูมิใจถึงสองคน ปัญหานี้เรื้อรังยาวนานตั้งแต่เขาเข้าพิธีปาวารนาตนกับจอมเทพเอริสแล้ว ผู้คนที่เคยหวังว่าเขาจะเป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์กลับผิดหวังจนยากบรรยาย มีคนหนุ่มสาวไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเป็นเพื่อนกับเขา

     เรื่องที่ทำให้อิกริดกลุ้มใจที่สุดคือเรื่องตำนานเทพองค์ที่สองที่กำลังจะเกิดขึ้นในเขตมนุษย์ น่าเสียดายที่เขาเป็นผู้ถูกเลือกโดยไม่มีใครรู้เหตุผล มันต้องมีอะไรผิดพลาดอยู่แล้ว คนไม่เอาถ่านอย่างเขาจะเป็นว่าทีเทพเจ้าได้อย่างไรกัน บางทีมันอาจเป็นลางบอกเหตุร้ายในแดนมนุษย์ที่เทพซึ่งถือกำเนิดขึ้นเกิดไม่มีพลังเวทอยู่เลย

     หรือเขาอาจมีพี่หรือน้องชายฝาแฝดซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ความคิดนี้ถูกลบล้าง เพราะพ่อของเขาย้ำแล้วย้ำอีกว่ามีลูกแค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือเขาคนนี้ละ

     “เอาสิ ไปก็ได้” อิกริดขว้างก้านลาเวนเดอร์ทิ้ง “เดือนหน้าวันเกิดข้า ถือว่าเป็นงานฉลองวันเกิดที่ไม่ได้จัดมานานก็แล้วกัน”

     “เดือนหน้าเจ้าก็ครบ 20 แล้วสินะอิง”

     “สิบห้าปีที่ทรมานกับการอยู่ทิ้งท้ายในการเรียนเวทย์มนตร์ ข้าคิดอยู่ว่าจะเดินทางออกจากเมืองนี้ดีหรือไม่ อย่างไรเมืองนี้ก็ไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์อยู่แล้ว”

     “ถ้าไปจริงๆบอกข้าด้วยนะอิง เราสองคนไม่ทิ้งกันไม่ใช่หรือ” แอนนายื่นมือมาทางเพื่อนชาย อิกริดจับมือที่ยื่นมาหาแล้วลุกขึ้นยืน แล้วทั้งคู่ก็พากันเดินตัดทุ่งดอกไม้กลับตัวหมู่บ้านในพื้นที่ของตระกูลผู้ใช้เวทมนตร์...


     เมื่อพระจันทร์ขึ้นงานเฉลิมฉลองประจำเดือนก็มาถึง แม้จะเรียกว่างานฉลองแต่ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากดนตรีกับการพูดคุยน่าเบื่อใต้แสงจันทร์ ไม่นับรวมพิธีบรรลุนิติภาวะซึ่งจะจัดแค่ปีละครั้งซึ่งบังเอิญมาตรงกับวันนี้ ปีหน้าเขาก็ต้องเข้าร่วมพิธีด้วย แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้วว่าเขาไม่มีวันผ่านการทดสอบเพื่อเป็นผู้ใหญ่ได้


     งานฉลองในคืนนี้ก็เหมือนกับที่จัดอยู่ทุกเดือน มีคณะละครเร่เข้ามาเปิดการแสดงดนตรีและละครเพลงในเวลากลางวัน ชาวบ้านหนุ่มสาวออกมาเต้นรำ ส่วนเด็กๆต่างวิ่งไล่กันไปมารอบๆลานเมืองของตระกูลผู้ใช้เวท คนแก่คนเฒ่าต่างจับกลุ่มคุยกันออกรส ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติจนกระทั่ง

     ห่างจากลานเมืองเล็กน้อยมีนกยักษ์บินเข้ามาในสภาพรุ่งริ่ง มันปล่อยชายคนหนึ่งลงกับพื้นแล้วหายไปด้วยผู้เรียกใช้หมดแรงคงสภาพ แทบทุกคนในตระกูลผู้ใช้เวทต่างมุงดูด้วยความอยากรู้ มีคนจากสถานพยาบาลเข้าไปจะช่วยรักษาให้

     “ขอบคุณ” ชายเสื้อผ้ารุ่งริ่งกล่าว อิกริดแทรกกลุ่มคนขึ้นไปอยู่แถวหน้า แอนนากอดแขนซ้ายของเขาด้วยความหวาดเสียว แสงจากมนตร์รักษาฉายสีหน้าวิตกกังวลของบุรุษปริศนาออกมา “ข้าขอคุยกับผู้นำตระกูลก่อน”

     ชายหน้าเสี้ยมผมยาวประบ่าเดินออกไปพูดคุยด้วย เขาคือพ่อของอิกริดนั่นเอง ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญมากจึงเรียกหาผู้นำตระกูลแบบนี้ เมื่อพูดคุยจบพลันเกิดแสงเรืองขึ้นเป็นรูปนกบนฝ่ามือของหัวหน้าตระกูล นกอาคมคู่นั้นโผบินไปอีกฟากของเมืองทันที

     “อิกริดมาทางนี้” เอ็ดมันด์จับแขนลูกชายลากมากลางวงล้อม

     “ต้องขอให้ท่านพักฟื้นอยู่ในเขตผู้ใช้เวทเสียก่อน” หัวหน้าตระกูลเวทกล่าว “มีเรื่องด่วนจากทางเหนือ จอมมารในยุคสมัยนี้เกิดขึ้นแล้ว ทางเราจะจัดการเรื่องนี้เอง ขอทุกท่านอย่าห่วง แล้วเชิญร่วมงานฉลองต่อได้”

     เพื่อตัดบท อิกริดถูกผู้เป็นพ่อลากออกไปจากฝูงชน เมื่อแน่ใจว่าอยู่ตามลำพังแล้วจึงเริ่มพูดกับลูกชาย

     “เวลาสำคัญของลูกมาถึงแล้วอิกริด” แววตาสีพระจันทร์แดงของผู้เป็นพ่อจ้องลูกชายเขม็ง “เวลาที่ลูกจะพิสูจน์ตัวตนของลูกเอง”

     “หมายความว่าอย่างไรท่านพ่อ”

     “ลูกต้องออกเดินทาง มันคือชะตากรรมของลูก ลูกคือคนที่ตำนานกล่าวถึง”

     น่าประชดเสียนี่กระไร อิกริดคิดอย่างเผ็ดร้อน ตอนปกติดุด่าสารพัดกับเรื่องที่เขาไม่มีพลังเหมือนคนอื่นๆ พอมาตอนนี่กลับพูดดีว่ามันคือชะตากรรมของเขา อย่างน้อยเขาก็จะได้ออกจากเมืองนี้สักที แต่จะให้เขาออกไปทำอะไรละ หรือว่าจะให้คนไร้ความสามารถอย่างเขาไปกำจัดจอมมารที่กำลังอาละวาดอยู่บนทวีปทางเหนือ

     “แล้วจะให้ข้าไปเมื่อไรขอรับ ท่านพ่อ” แค่คิดว่าจะได้ออกจากเมืองนี้อิกริดก็ดีใจจนตัวสั่น

     “เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ตอนนี้เจ้าไปพักเถอะ งานเลี้ยงคงจบลงแค่นี้ละ”

     ผู้เป็นบิดาหันไปมองผู้คนที่กำลังเดินทางกลับบ้านโดยม้าหรือเวทมนตร์เคลื่อนย้าย งานเลี้ยงครั้งที่เป็นงานเลี้ยงที่จัดสั้นที่สุดเท่าทีอิกริดเคยเห็นมา ก็มีข่าวด่วนมาแทรกแบบนี้ เป็นใครคงไม่มีอารมณ์เลี้ยงฉลองต่อหรอก

     แสงสีเหลืองทองส่องสว่างจากร่างเอ็ดมันด์ แล้วตัวเขาก็กลายเป็นลำแสงพุ่งไปบนฟากฟ้าด้วยมนตร์เคลื่อนย้าย อิกริดคิดว่าพ่อตนคงรีบไปคุยกับหัวหน้าตระกูลอีกสองคนจึงรีบรุดไปอย่างนี้

     “เกิดอะไรขึ้นอิง” แอนนาดเดินมาหาพร้อมสีหน้ากังวลใจ “เห็นพ่อของท่านบอกว่าจอมมารกำเนิดแล้ว”

     “ท่านบอกว่าถึงเวลาของข้าแล้ว ข้าจะต้องออกเดินทาง” อิกริดตอบอย่างมั่นใจ “ไม่รู้ว่าท่านพ่อคาดหวังอะไรกับตัวข้า ข้ารู้เพียงอย่างเดียวคือ ได้เวลาออกจากเมืองแล้วแอนนา เจ้าจะไปกับข้าด้วยไหม” อิกริดยิ้มละไมยื่นมือไปทางเพื่อนหญิง...


     อิกริดและแอนนาใช้เวลาวันเดียวจัดเก็บเสื้อผ้า แม่ของเขาเสียไปนานแล้วจึงไม่มีใครสามารถหยุดการเดินทางของเขาได้อีก แอนนาใช้เวลาช่วงเช้าเกือบทั้งหมดเกลี้ยกล่อมพ่อกับแม่ให้ปล่อยนางออกเดินทางพร้อมกับเขา

     “ข้าจะออกเดินทางแล้วขอรับ ท่านทวดทั้งสอง” เสร็จจากบอกลาท่านพ่อ อิกริดก็ไปบอกลารูปของเวเบอร์ เฟียร์เลสกับพัวร์รีน แฟรงค์ ซึ่งเป็นอดีตญาติผู้ใหญ่ที่เขาชื่นชม “ข้าไปล่ะขอรับท่านพ่อ” อิกริดลาพ่อของเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากบ้าน แอนนามารอเขาอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาจะขึ้นรถม้าออกไปทางประตูเมืองที่ใกล้ที่สุดแล้วเริ่มเดินทางไปทางเหนือตามข่าวสารที่ได้รับ...


     เมืองเคียร่าตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองที่อิกริดอยู่ นั่นคือจุดหมายแรกของพวกเขา อิกริดออกความเห็นว่าควรออกท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆระหว่างที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรดี ซึ่งแอนนาก็เห็นด้วย นางสามารถใช้มนตราเปลี่ยนภาษาพวกเขาได้ทั้งการพูดและการฟัง การไปต่างเมืองจึงไม่เป็นปัญหาใดๆสำหรับคนทั้งคู่ เสียอย่างเดียวคือเมืองนี้เป็นเมืองแห่งการค้าอัญมณี ค่าใช้จ่ายจึงสูงมากขึ้นไปด้วย

     รถม้าวิ่งแน่วไปทางเหมือนแร่พลอย พวกเขาคิดว่าจะไปหางานทำเพื่อเก็บเงินเป็นทุนเดินทาง เหมืองแร่ของที่นี่พัฒนาไปถึงขั้นใช้เวทมนตร์เพื่อสกัดสินแร่ออกจากหินภูเขา รถม้าชะงักกึกเพราะมีเหตุด่วน คนงานเหมือนวิ่งพรูออกมาจากปากทาง เสียงระโกนฟังไม่ได้ศัพท์ อิกริดและแอนนามองหน้ากันแล้วรีบกระโดดลงจากรถม้า

     “นกยักษ์ ข้างในนั้น” อิกริดคว้าตัวคนงานได้หนึ่งคนจึงมีโอกาสถามว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคนนั้นรีบวิ่งต่อไปทันที

     “ไปดูกันเถอะ เผื่อเราจะช่วยได้” แอนนาฉุดกึ่งลากตัวเพื่อนชายเข้าไปในเหมืองแร่ ในขณะที่ผู้ถูกลากเลือกไม่ถูกว่าจะตามเข้าไปดูดีหรือไม่ “เดี๋ยวสิ ขอตั้งหลักก่อน” อิกริดร้องวิงวอนในขณะที่เพื่อนสาวออกแรงเต็มที่เพื่อให้เขามีส่วนร่วม

     สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทั้งคู่คือนกสีดำตัวใหญ่ยักษ์ กำลังสยายปีกกระทืบเท้าอาละอาละวาดอยู่ที่ประตูเข้าเหมือง เป็นนกวิเศษตัวใหญ่ยักษ์ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและทำไม หากตอนนี้มันกางปีกสยายเล็บอยู่หน้าเหมืองด้วยท่าทีลำพอง เสียงร้องแหลมสูงของมันเสียดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เจ้าตัวนี้หรือที่ไล่คนงานเหมืองออกไป

     “คุยกันดีๆก่อนสิ” แอนนาขยับนิ้วอย่างคล่องแคล่ว โซ่ดินเส้นมหึมาพุ่งจากผืนดินขึ้นไปรัดตรึงนกตัวนั้นเอาไว้ เสียงนกยักษ์กระแทกพื้นดังโครมเหมือนภูผาทลาย จะงอยปากเหลืองสดปักลงพื้นดินอย่างยอมจำนน

     ระหว่างที่เพื่อนสาวกำลังยุ่งกับการใช้เวทมนตร์สยบนกยักษ์อิกริดก็ลังเลอีกครั้ง เขาควรจะออกหน้าปกป้องนางจึงจะถูก แต่จะให้เขาทำอย่างไรเล่า อิกริดมองเพื่อนสลับกับนกยักษ์อย่างกระตือรือร้น

     “ท่านคือผู้ถูกเลือกหรือ” เสียงสูงแสบหูแว่วขึ้นจากปากนกตัวนั้น “ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับผู้ถูกเลือก”

     “ผู้ถูกเลือก ข้าหรือ” อิกริดชี้มาที่ตัวเองแล้วส่ายหน้า คนไม่มีพลังอย่างเขาไม่มีทางเป็นผู้ถูกเลือกแน่

     “ถึงเวลาของข้าแล้ว” นกยักษ์กล่าว น้ำเสียงอิดโรยมากเท่าที่เสียงสูงๆจะเปล่งออกมาได้ “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ถูกเลือกหรือไม่ก็ใช้ให้ดีก็แล้วกัน ใช้ข้าในฐานะอาวุธคู่มือ นามของข้าคือ ดาบปีกวิหค”

     “ดาบปีกวิหคในตำนานที่เวเบอร์เป็นผู้ใช้หรือ ทำไม...” อิกริดพูดขึ้นลอยๆ มีบันทึกอยู่ว่าดาบปีกวิหคเล่มนั้นเคยเป็นของ เวเบอร์ เฟียร์เลสทวดของเขา

     “ข้า...ดาบเล่มนี้จะเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าของในขณะนั้นเท่านั้น”

     สิ้นเสียงของเจ้านก พลันเกิดพายุใหญ่ขึ้น ร่างสูงปานภูเขาค่อยๆเล็กลงๆ และกลายสภาพเป็นดาบเล่มหนึ่ง มีเพียงที่กันมือรูปปีกนกเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่ามันเคยเป็นอะไร ดาบวิเศษเสียบตัวเองลงบนพื้นดิน อิกริดรู้สึกอยากครอบครองขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น คงเป็นเพราะมันเคยเป็นดาบของคนที่เขาเคยชื่นชมมาก่อน

     ไม่ทันรู้ตัว มือของเขาก็ล่องลอยไปสัมผัสด้ามของดาบเล่มนั้น ทว่า

     “หยุดตรงนั้นล่ะ!” เสียงสตรีปลุกอิกริดให้ตื่นจากภวังค์

     ผู้คำรามหยุดการกระทำของอิกริดเป็นหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา นางมีดวงตาสีน้ำตาลผมสีดำสนิทราวเส้นไหม คงสมเป็นกุลสตรีมากกว่านี้หากไม่ได้สวมเกราะบ่ากับคาดดาบเอาไว้ที่เอวอย่างนั้น นางชี้มาทางอิกริดพลางบอกให้ถอยออกไปจากดาบ

     “ข้าคือผู้ถูกเลือก ดังนั้นดาบเล่มนั้นเป็นของข้า” ภาษาโมติเวียเปล่งออกมาอย่างห้าวหาญราวกับเป็นชายหนุ่ม

     “เจ้าคือใคร” อิกริดร้องถาม ใช้แขนปาดตัวแอนนาให้หลบอยู่ข้างหลัง ทั้งที่นางเก่งกว่าเขาหลายเท่าตัว

     “ลาเวนเดอร์ ซีค” หญิงผมดำตอบ “ผู้กล้าลาเวนเดอร์” นางทำให้อิกริดผงะ ไม่คิดว่าจะได้เจอผู้กล้าได้เร็วอย่างนี้ แถมนางยังมีประกายของพวกชอบข่มขู่เสียด้วย อย่างนี้คงญาติดีด้วยไม่ได้ง่ายๆแน่...

จากคุณ : Lazy return
เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 21:31:28




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com