Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 31 ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่าน ล่องกัลปาลัยดำเนินมา 31 บทแล้วครับ เริ่มเฉลยปมทีละปมไปเรื่อยๆนะครับ

 วันก่อน ผมมีโอกาสกลับบ้านไปค้นตู้หนังสือเก่าๆ บังเอิญเหลือเกิน เจอต้นฉบับเรื่องสั้นลายมือตัวเอง "ตักกสิลาแห่งอุษาคเนย์" ที่เคยเล่าไว้ในปัจฉิมลิขิตของกีฏมนตราโดยไม่คาดฝันครับ นึกว่าถูกพี่ปลวกรับประทานไปหมดแล้ว โชคดียังเหลือสำเนาลายมือตัวเองไว้ให้หนึ่งฉบับ แต่แรกตั้งใจจะส่งพิมพ์รวมเล่มไว้ท้ายเรื่อง "โกกิลาเยี่ยมรุ่ง" ที่เป็นแนวคล้ายกัน แต่คงไม่ทันแล้ว ไว้มีโอกาสพิมพ์เสร็จเมื่อไร จะนำมาลงในกลุ่มเรื่องสั้นแล้วกันนะครับ


       ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านด้วยครับ คุณ mementototem, คุณmimny, คุณปุ้ย npuiy, อาจารย์จี Psycho man, คุณมน Setakan, คุณ wor_lek, คุณไก่ kdunagin, คุณแก้วกังไส, คุณกาแฟเย็นเพิ่มช็อต,คุณ เพชรรุ้งพราย, คุณ Hermosa, น้อง ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค, คุณนุ้ย นารีจำศีล และคุณ เรียวรุ้งครับ

สำหรับตอนที่ผ่านมาครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12618854/W12618854.html


     

บทที่ 31


       อาตม์ค่อยๆเคาะประตูเพียงแผ่วเบา เมื่อได้ยินเสียงอนุญาต จึงผลักบานประตูห้องทำงานของคุณหลวงผู้เป็นนายเข้าไปด้านใน พร้อมกับถาดเงินใส่นมและขนมปัง แสงโคมไฟเหนือโต๊ะทำงานไม้สัก ส่องสะท้อนใบหน้าคร้ามคมของอีกฝ่ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับเอกสารสำคัญของทางราชการ คิ้วเข้มจัดขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิดตลอดเวลา อันเป็นลักษณะประจำตัวของคุณหลวงผู้มุ่งมั่นและเด็ดขาด


“วางไว้ที่โต๊ะนั่นแหละอาตม์ ขอบใจมาก”


     คนรับใช้ชราแห่งทับสนธยา มองเห็นประกายตาเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อยในดวงตาคมกล้าของชายหนุ่ม ผู้ต้องมาแบกรับภารกิจมากมาย ทั้งปัญหาเรื่องงาน และเรื่องต่างๆในชีวิต เห็นจะมีเพียงกัลปาลัยเล่มนั้นกระมัง ที่เป็นเสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ในยามที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ไม่ต่างกับโลกอีกโลกหนึ่งที่นำพาความฝันอันสวยงามมาปลอบประโลมใจอันแห้งแล้งของคุณหลวงอนุรักษ์


     บรรจงวางถาดเงินลงกับพื้นโต๊ะแล้วเดินเลี่ยงออกมา เมื่อเห็นคุณหลวงกำลังง่วนกับกองเอกสารเต็มพื้นโต๊ะทำงานไปหมด


“อาตม์”


    จู่ๆเสียงของผู้เป็นนายก็ดังขึ้น


“ขอรับ คุณหลวง”


      ชายชราหันกลับมา แสงโคมไฟสีเหลืองนวลไม่อาจสะท้อนให้เห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน แต่เสียงทุ้มห้าวกังวานขึ้นอย่างคนที่มั่นใจตัวเองเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งชีวิต


“เจ้ายังคิดอยากจะกลับไปยังวิเทหนครบ้างหรือเปล่า?”


“นายท่าน บ่าว...”


   เขาก้มกายลง ตัวสั่นสะท้าน เมื่อนึกถึง สถานที่ ซึ่งตนเองจากมา ในสภาพแห่งหุ่นพยนต์ ที่ถูกตามล่าจากสิงหเมฆินทร์ ความทรงจำที่ถูกถ่ายทอดกลับคืนมาอีกครั้ง แม้จะไม่อาจนึกใบหน้าของ สิงหเมฆินทร์ ผู้โหดเหี้ยมได้ แต่อาตม์ก็ยังรับรู้ถึงความอำมหิตของอีกฝ่าย


  “เราอยากรู้ ว่าเจ้ามีความสุขดีหรือไม่ เมื่อต้องอยู่ในสภาพอันผิดปกติเกินกว่าวัยจะพึงเป็นเช่นนี้ มิได้นึกเลยว่าการช่วยเหลือให้เจ้ารอดพ้นจากการลงทัณฑ์ของสิงหเมฆินทร์ จะเป็นการนำพาเจ้ามาถึงที่แห่งนี้”


   “แต่บัดนี้ บ่าวก็มีความสุข ที่ได้อยู่ในโลกใบนี้ ในสภาพเช่นนี้ และได้อยู่รับใช้นายท่าน ในเมื่อชีวิตของบ่าวเองก็ถือกำเนิดขึ้นจากนายท่านเป็นผู้เสกสร้างขึ้นมามิใช่หรือขอรับ...”


“เสกสร้างหรือ?”


       เมื่อนั้นเอง หุ่นพยนต์ในร่างมนุษย์ ก็ได้ยินเสียงรำพึงแผ่วเบาของอีกฝ่าย


        “จริงอยู่อาตม์เอ๋ย... ในตอนแรกเริ่ม มันอาจจะเป็นการเสกสร้างทุกสิ่งขึ้นจากจินตนาการของเรา แล้วประจุลงสู่กัลปาลัยเล่มนั้น แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตามมาภายหลังจากนั้นเล่า? บัดนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ได้มาจากการลิขิตขีดเขียนของเราอีกต่อไป ตัวละครทุกตัว รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายในกัลปาลัย ล้วนดำเนินไปตามบทบาทของแต่ละผู้ ด้วยตัวของเขาเอง และเราก็กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งภายในนั้นไปแล้วเช่นกัน”


“นายท่าน!”


เศาร์โบกมือ ใบหน้าเคร่งคมคายอ่อนโยนลงภายใต้นวลแสงตะเกียง


    “บางทีนะอาตม์... บางที... เราเคยรู้สึกเหมือนกันว่า ถ้าต้องอยู่ในโลกแห่งความฝันอันสวยงามนั้นตลอดไป กับการที่ต้องอยู่ในโลกแห่งความจริง เช่นนี้ เราควรจะเลือกสิ่งใด เราเคยถามกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งนัก”


 “นายท่านคงไม่ได้หมายความว่า...”


  ชายชราผู้เป็นอดีตแห่งศลภมาณพเผลออุทานออกมา


  “น่าขันนัก ในขณะที่ตัวเจ้าเอง ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ในโลกที่ตื่นอยู่แห่งอิสรภพนี้ แต่เรากลับอยากจะย้อนกลับไปอยู่ในโลกที่เราฝันขึ้นเองในจินตภพแห่งนั้น และตราบเช่นนั้น... ชั่วกัลปาวสาน!”

หากต้องตื่น เดียวดาย ในโลกนี้
แม้นมั่งมี มั่นคง อสงขัย
เรืองฤทธา มหาศาล สักปานใด
ฤาเกรียงไกร ฉกาจแกร่ง แรงพลัง

จักขอแลก ทุกสรรพสิ่ง อันยิ่งใหญ่
เหลือเพียงใจ ดวงนี้ ที่มุ่งหวัง
ต่อให้เมฆ หมดฟ้า เลื่อนมาบัง
ไม่หยุดยั้ง จรดล ดั้นด้นมา

ด้วยชีวิต วางลง ณ ตรงนี้
ขอยอมพลี เลือดเนื้อ เพื่อค้นหา
เพียงหนึ่งนาง กลางฝัน กัลปา
แม้นนิทรา ณ ฝั่งฝัน นิรันดร


        คล้ายนายท่านจะรำลึกถึง “ใครอีกคน” หนึ่งในโลกแห่งความฝันนั้น ด้วยความสะทกสะท้อนใจ และย้อนกลับคืนสู่โลกแห่งปัจจุบัน คงมีเขาเท่านั้นกระมังที่เป็นเสมือนตัวแทนจากโลกใบนั้น ที่หลวงอนุรักษ์พอจะพูดคุยและเอ่ยถึง


เพราะสิ่งที่บังเกิดขึ้น เป็นความมหัศจรรย์เกินกว่าผู้ใดจะตรึกคิด!


แต่ทั้งอาตม์และผู้เป็นนาย ก็หาล่วงรู้ไม่ว่า เรื่องราวที่ตนเองคาดคิดว่าจะเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดเชื่อ จะไม่กลายเป็นความลับอีกต่อไป ในเวลาต่อมา...


           **************************


“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้!”


       ขุนพิพิธอารัญมองหน้าหญิงสาวโสภาที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นด้วยความขบขันเล็กน้อย แผนการต่างๆที่วางเอาไว้เริ่มเข้ารูปเข้ารอยเข้ามาทีละนิด ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน และ เรื่องของหัวใจ!


      เขาลอบมองใบหน้าสะสวยที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามของผอบแก้ว แลระเรื่อยลงมายังผิวกายผ่องผุดผาด อบร่ำด้วยน้ำหอมราคาแพงอย่างดี เฉกเช่นสุภาพสตรีชาวพระนครใช้กัน มากกว่าจะเป็นน้ำปรุงราคาถูกๆที่สาวชาวบ้านย่านนี้ใช้กันจนเกร่อ ไม่ปฏิเสธว่า เขาเองก็มีความสัมพันธ์กับสาวๆพวกนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน สำหรับไว้ คลายเบื่อหน่ายแก้เหงา ในยามปราศจากดอกไม้สวยงามมาเด็ดแซม ก็ฉวยคว้าดอกหญ้าริมทางที่ขึ้นเกลื่อนกลาดเอามาชื่นชูใจเพียงชั่วขณะ


         และบัดนี้ “กระดังงา”ดอกงาม ก็กำลังลอยเลื่อนฟ้าลงมาหา อยู่ใกล้ชั่วมือเอื้อมคว้า เหลือเพียงแค่ปลายนิ้วก็สามารถเด็ดมาดอมดมหรือลนไฟให้ทวีกลิ่นหอมกรุ่น ให้เขาได้สูดกำซาบอย่างเต็มปอดแล้ว!


          “จริงครับ คุณอบ ผมเห็นมากับตาตัวเอง! แต่ถ้าคุณอบไม่เชื่อ จะลองพิสูจน์ด้วยตัวเองก็ได้นี่ครับ เพราะคุณเองก็อยู่ที่ทับสนธยาตลอดเวลาอยู่แล้ว”


“คุณชำนาญ”


        หล่อนเรียกชื่อเขาตามเดิม สายตาแข็งกระด้างเย็นชาแต่เดิมแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว นอกจากความว้าวุ่นหวั่นไหว ผอบแก้วก็ไม่ต่างกับสตรีทั่วไป สร้างเปลือกนอกห่อหุ้มตัวตนที่อ่อนไหวเอาไว้ เพียงแต่ว่าจะมีใคร ที่จะสามารถเจาะทะลุผ่านเปลือกหนาที่หล่อนสร้างขึ้นเข้าไปได้เท่านั้น และเขาก็ทำสำเร็จ


   ในขณะที่ฝ่ายพ่ายแพ้ก็คือคุณหลวงอนุรักษ์!!


  “แล้วดิฉันจะต้องทำอย่างไร เท่าที่คุณเล่ามานั้น มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเหลือเกิน”


    ตอนนี้ผอบแก้วต้องการความมั่นใจ ไม่ต่างกับอยู่เพียงลำพังในท่ามกลางพายุอันหนาวเหน็บ ขุนพิพิธรู้ดีว่า ขณะนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะช่วยยึดเหนี่ยวหล่อนเอาไว้


   ชายหนุ่มแสร้งแตะมือตนเองลงบนหลังมือนุ่มนวลของหล่อนเหมือนปลอบโยน สัมผัสความเย็นเฉียบที่เริ่มอุ่นระอุขึ้นทีละน้อย ก่อนจะกระซิบบอกแผนการที่ตนเองวางเอาไว้อย่างแผ่วเบาที่ริมหู


แผนการที่ไม่คาดคิด ว่ามันจะนำสิ่งเลวร้ายรุนแรงเกินควบคุมให้บังเกิดขึ้นในเวลาต่อมา...

         ********************


         ราตรีนี้ควรจะเป็นเวลาที่อาตม์ได้คอยเฝ้าระมัดระวังความปลอดภัยให้กับนายท่าน บัดนี้ชายสูงวัยรับรู้แล้ว ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของคุณหลวง คือการเดินทางผ่านเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ท่านปรารถนา


หน้าที่ของเขาคือการเฝ้าระแวดระวังความปลอดภัย ระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อทับสนธยาไม่ได้มีเพียงเขาและคุณหลวงอาศัยอยู่เพียงสองคนอีกต่อไป


“ไม่ต้องกังวลเรื่องผอบแก้วหรอก”


คุณหลวงเปรยขึ้น เมื่อเขาออกปากทักท้วงขึ้น คุณหลวงมีท่าทางอารมณ์ดีมากขึ้นในระยะหลังนี้ เขามองเห็นสีหน้าที่เคยเคร่งเครียด เปลี่ยนเป็นประกายแจ่มใส เจิดจ้า ไม่ต่างกับเด็กหนุ่มที่โชนประกายไฟแห่งความหวังเรืองรองอยู่ภายใน


       นั่นคือความรัก!


       แม้จะไม่รู้จักสิ่งที่ว่านั้นเลย เพราะเขามิใช่มนุษย์ แต่อาตม์ก็มองเห็นคุณค่าและความงดงามของมันในบัดนี้ เมื่อสิ่งนั้นสามารถเปลี่ยนตัวตนของนายท่านให้กลายเป็นคุณหลวงคนใหม่ ที่มีความสุขสดชื่นขึ้นมาได้


“นายอาตม์ ขึ้นมาหาฉันหน่อยสิ...”


            แล้วเสียงเข้มจัดของคุณอบก็ดังขึ้นจากระเบียงด้านในอันเป็นส่วนปีกตึกทิศเหนือที่แยกต่างหากจากห้องทำงานส่วนตัวของคุณหลวงที่อยู่ในส่วนของหอคอยฝั่งใต้ คนรับใช้ชราเดินอย่างสำรวมขึ้นไปรอรับคำสั่ง ไม่ต่างกับหล่อนคือนายอีกคนหนึ่งของบ้าน


  ผอบแก้วยืนกอดอกรอคอยอยู่แล้ว ด้วยมาดที่ไม่ต่างกับนางพญา ใบหน้าเรียบเฉยเมยที่ทำให้คนรับใช้หลายคนหวั่นกลัว และบ่นให้ฟังบ่อยครั้งปรากฏขึ้น


“คุณอบ เธอดูหน้าบึ้งจนดุเลยนะ ลุง ไม่เคยเห็นเธอยิ้มแย้มกับเขาเลยสักครั้ง”


  นางแปง ที่เป็นแม่บ้านประจำทับสนธยาเปรยให้ฟังอย่างอดไม่ได้ ทั้งที่ปกติแล้วหญิงแม่บ้านก็ไม่ค่อยได้พูดจาสุงสิงกับเขาอยู่แล้ว


“แต่เรียกว่าดุคนละอย่างกับคุณหลวงนะ อย่างคุณหลวงน่ะ ถึงท่านจะไม่พูดอะไรแล้วหน้าตาก็ขรึมๆอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังรู้ว่าท่านใจดีมีเมตตาอยู่ไม่น้อย เพียงแต่สีหน้าไม่ยิ้มแย้มเท่านั้นเอง แต่อย่างคุณอบนี่น่ะสิ น่ากลัวยังไงก็ไม่รู้...”


       และดูเหมือนว่าผอบแก้วก็ไม่ได้สนใจท่าทีของข้าทาสบริวารใดๆทั้งสิ้น หล่อนเพียงแต่ปรายสายตาคมกริบมองอย่างเหยียดหยามตามลักษณะนิสัย รวมถึงตัวของเขาด้วยเช่นกัน


“ฉันต้องการจะหยิบหนังสือเล่มนั้นน่ะ แต่หยิบไม่ถึง นายอาตม์ตัวสูงอยู่แล้ว ช่วยจัดการให้ด้วย”


       หล่อนชี้ปลายนิ้วเรียวยาวตรงดิ่งไปยังชั้นหนังสือที่วางเรียงรายอยู่ในห้องถัดไป ประตูเปิดแง้มและแสงโคมในห้องนั้นก็สว่างเรืองรองออกมา อาตม์ผลักประตูเปิดกว้างออก ก่อนจะก้าวเข้าไปช้าๆ


“เล่มไหนหรือขอรับ?”


    ยังไม่ทันจะทำอะไร เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นเบาๆ ชายชรารีบหันขวับกลับมาตามต้นเสียงจากผอบแก้ว หากยังไม่ทันทำอะไร หางตาก็มองเห็นเงาดำมืดแฉลบวูบผ่านลงมาเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันเบนหลบ


        โพละ!


   จากนั้นทุกอย่างก็ดำมืดลงในฉับพลัน โดยไม่ทันได้รู้สึกอะไรอีกต่อไป...


    หลังบานประตู ร่างของขุนพิพิธอารัญก้าวออกมา พร้อมดิ้วไม้ในกำมือที่เงื้อค้างเอาไว้ ในขณะที่นอกกรอบประตู ผอบแก้วยืนตัวสั่นเทาต่อภาพที่เห็นเบื้องหน้า หญิงสาวยกมืออุดริมฝีปาก พยายามกลั้นเสียงหวีดร้องเอาไว้สุดชีวิต


       ขุนพิพิธรีบก้าวผ่านประตูตรงไปที่ร่างผอบแก้ว ฉวยมือหญิงสาวไว้อย่างถือวิสาสะ เมื่อเห็นร่างคนรับใช้ของทับสนธยาล้มคว่ำลงไปเบื้องหน้า


“เขาจะตายไหมคะ คุณชำนาญ”


     ขุนพิพิธยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม


“ก็ช่างมันปะไร ผมบอกแล้วว่ามันไม่ใช่คน! เราจะต้องมัวไปสนใจมันทำไมกัน แล้วก็ไม่มีทางที่ใครจะรู้เรื่องนี้อีกเด็ดขาด สิ่งสำคัญก็คือตอนนี้เรารีบไปที่ห้องคุณหลวงกันได้แล้วล่ะครับคุณอบ ก่อนที่จะช้าเกินไป”


        ผอบแก้วได้แต่พยักหน้า หล่อนไม่เคยเห็นภาพรุนแรงอย่างเบื้องหน้านี้มาก่อน และไม่มีกระจิตกระใจจะคิดอะไรด้วยตัวเองอีก ได้แต่ทำตามคำพูดของชายหนุ่มที่ตอนนี้มีแต้มต่อเหนือกว่าทุกอย่าง


        คนทั้งคู่รีบพากันเดินลิ่วเพื่อตรงไปยังตำแหน่งของห้องทำงานคุณหลวงอนุรักษ์ยังอีกฝั่งของปีกตึก โดยไม่สนใจร่างคนรับใช้ชราที่นอนคว่ำอยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่น้อย


       ร่างที่ทรุดลงไปกองกับพื้นนั้น หาได้มีเลือดไหลออกมาจากร่างไม่ แม้ว่าส่วนของศีรษะที่ถูกฟาดอย่างแรงจะปริแยกออกเป็นรอยแผลกว้าง นอกจากกลุ่มเส้นผมสีดอกเลาปนขาวหงอกนั้น กลับมีส่วนของเส้นโลหะบางชิ้นโผล่ผ่านออกมาจากรอยปริของแผลที่แตกออกนั้นด้วย...


          ******************


      เขาเกลียดมัน!


     เพียงแค่เห็นร่างสูงสง่า แม้จะอยู่ในคราบอาภรณ์ซอมซ่อ ของวณิพก ที่มาปรากฏต่อเบื้องพระพักตร์องค์ท้าวพรหมทัต แต่อะไรบางอย่างในตัวชายคนนี้ ทำให้สิงหเมฆินทร์รู้สึกไม่ถูกชะตาขึ้นมาในทันที


       แต่ราชันย์หนุ่มผู้โหดเหี้ยมแห่งโรมพิสัยก็ได้แต่เก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ เมื่อเห็นท่าทีพอพระทัยของ “ว่าที่พระสัสสุระ”ในอนาคตกาล มิใช่ด้วยความกริ่งเกรงอีกฝ่าย หากสิงหเมฆินทร์สังหรณ์ว่าบุรุษผู้นี้น่าจะมีอะไรบางอย่าง ที่มากยิ่งไปกว่าที่มันแสดงออกมาต่อหน้าพระพักตร์ ท่าทางเช่นนั้น กิริยาอาการเช่นนั้น ย่อมมิควรจะเป็นเพียงยาจกเข็ญใจที่หาเลี้ยงชีพด้วยเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียวเป็นแน่


         แม้จะอยากเค้นคอ ลงโทษทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม เพื่อบีบให้มันคายความจริงออกมาให้หมดก็ตาม แต่ก็สัญชาตญาณส่วนหนึ่งก็บอกให้สู้อดทนอดกลั้น ลอบสังเกตพฤติการณ์ของมันในเวลาต่อมาจะดีกว่า...

        โดยเฉพาะเมื่อองค์ท้าวพรหมทัต โปรดให้มันเข้ามารับใช้ใกล้เบื้องยุคลบาท ด้วยเสียงเพลงไพเราะที่มันขับขานออกมานั่นเอง


        สิงหเมฆินทร์ยอมรับว่า เสียงดนตรีที่มันประเลงผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าขลุ่ยเลานั้น ช่างไพเราะแว่วหวาน อย่างที่มันเองก็ไม่เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน


         นับประสาอะไร กับบรรดามนุษย์ใจอ่อนพวกนั้น ที่จะไม่ติดใจ เคลิบเคลิ้มไปกับท่วงทำนองแห่งคีตาที่วณิพก ท่าทางอหังการคนนั้นนำมาแสดงถวาย?


      สิงหเมฆินทร์ไม่ทันสังเกตว่าในขณะที่มันกำลังจับตามองชายหนุ่มไม่คลาดสายตานั้นเอง สายพระเนตรของเจ้าหญิงหิรัญรัศมีก็ฉายแววตระหนกไม่แผกกัน


          รูปร่างหน้าตาคมสันเข้าทีเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพสกปรกมอซอ สักเพียงใด นางก็สามารถจดจำไม่เปลี่ยนแปลง


   นี่คือบุรุษผู้ลักลอบผ่านเข้าไปยังที่ประทับส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงมณีเรขาในราตรีก่อนนั้น นั่นเอง!


        หากในสถานการณ์เช่นนี้ นางกลับไม่อาจเอ่ยโอษฐ์แย้งออกมาในท่ามมหาสมาคมนั้นได้ ด้วยความคิดอีกประการหนึ่งแล่นปราดขึ้นมาในบัดดล


            ไฉนจะต้องรีบโพนทะนา ให้ทุกคนสงสัยและคอยจับตามองจนทำให้พวกมันรู้ตัวเสียก่อนเล่า? สู้ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น แค่เห็นสายพระเนตรของมณีเรขาและมาณพรูปงามผู้นั้น ลอบมองระหว่างกันและกันแล้ว นางรู้ดีว่า โอกาสที่จะ จัดการคนทั้งคู่ให้ถูกลงโทษทัณฑ์และจำนนด้วยหลักฐานยังรออยู่เบื้องหน้าไม่ไกลเกินฝัน...
     และเมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างจะยิ่งชัดเจนลงตัว และนางจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากยิ่งกว่า “การกล่าวหา”โดยปราศจากมูลความจริง เช่นในเวลานี้มากนัก


          คิดได้ดังนั้น เจ้าหญิงหิรัญรัศมี จึงทรงแสดงอาการนิ่งเงียบและทอดพระเนตรการบรรเลง คีตาเหมือนสนพระทัยยวดยิ่ง ตราบจน วณิพกหนุ่มผู้นั้น ถวายการคำนับแล้วกลับออกไป พร้อมกับรับรู้ถึงโอกาสอันดีของมัน


         โอกาสอันดี? อันที่จริงแล้ว มันคือโอกาสสำคัญของหิรัญรัศมีต่างหาก ที่จะใช้สำหรับการกำจัดมณีเรขาออกไปจากพระชนม์ชีพ


ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม!

          **********************
ขอบคุณอีกครั้งครับ เดี๋ยวเข้ามาตอบคอมเมนต์ครั้งก่อนนะครับ

หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 11:58:15




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com