Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลวะรัตน์เทวี บทที่ ๑๖ : ปิ่นธานีหริภุญไชย ติดต่อทีมงาน

+++ ขออนุญาตแจ้งข่าวค่ะ บทนี้อินจะขอลงที่พันทิปเป็นบทสุดท้ายแล้วนะคะ ที่เหลืออินจะลงไว้ที่บลอคกับที่เด็กดีค่ะ เนื่องจากอินเหนื่อยๆ ก็เลยขอแค่สองที่นี้พอก่อน คงไม่ว่ากันนะคะ ^^" +++



บทที่  ๑๖ : ปิ่นธานีหริภุญไชย



ราชมรรคาอันทอดตรงเข้าสู่ภายในพระนครนั้น แม้จะแลเห็นได้แต่ไกลว่าคลาคล่ำด้วยผู้คนทั้งสองฟากฝั่ง แต่เมื่อขบวนอัญเชิญเครื่องบูชาเคลื่อนผ่านประตูเมืองเข้ามา เสียงเซ็งแซ่ทั้งหลายอันเคยมีมาก่อนหน้ากลับเงียบลงพร้อมกันดั่งต้องมนต์ ตราบกระทั่งสีวิกากาญจน์กั้นวิสูตรขาวโปร่งปรากฏแก่สายตา ใครคนหนึ่งร้องสาธุการพระนางเธอขึ้นเป็นคนแรก ต่อจากนั้นคนทั้งหลายจึงกล่าวถ้อยอันเป็นมงคลดุจเดียวกันนั้นราวได้รับการซักซ้อมมาแล้วเป็นอย่างดี ใช่ ในความรู้สึกของชาวลวปุระที่ติดตามพระนางจามเทวีมาอาจเห็นเป็นเช่นนั้น หากมิใช่พระนางจามเทวี แรกที่ยินเสียงนั้นจอมนางค่อยแหวกวิสูตรออกมองไปในหมู่ชน สายตาหลายคู่ที่จับนิ่งมาทางสีวิกากาญจน์นั้นบอกชัดถึงความจงรักและภักดีโดยมิได้เสแสร้ง พระนางเธอเอนกายพิงหมอนใบใหญ่ วูบหนึ่งที่อดคิดไม่ได้ว่าราษฎรที่มารอรับอยู่สองฟากถนนหลวงนี้ เขามาด้วยความจงรักภักดีนับแต่แรกพบพานนั้นเพราะเหตุใด เพราะตัวพระนางเอง หรือเป็นเพราะพระนางคือผู้ที่วาสุเทพฤๅษีและสุกกทันตะฤๅษีท่านเลือกกันแน่

“ไยคิดว่าเพราะเราเป็นผู้เลือก”

เสียงเจือแววเมตตาอันคุ้นเคยดีแว่วเข้ามาในโสต คนได้ยินถึงกับสะดุ้งนิดๆ เพราะเจ้าของเสียงยังเดินนำหน้าขบวนอยู่ไกลๆ สุกกทันตะฤๅษีหัวเราะนิดๆ แล้วเอ่ยความสืบต่อไปว่า

“เด็กเอ๋ย” สุกกทันตะฤๅษีเรียกขานพระนางเธอดุจครั้งที่เป็นเพียงเจ้าหญิงพระองค์น้อย “เจ้าคิดว่าสิ่งที่เห็นเพลานี้เป็นเพราะเรานั้นผิดแล้ว ความรู้สึกคนเรานั้นมิใช่จักบังคับกันได้ เขารักเจ้า ภักดีต่อเจ้านั้นดีแล้วมิใช่ฤๅ จงรักษาสิ่งนั้นเอาไว้ด้วยอำนาจของเจ้านั้นเถิด เจ้าปรีชาชาญกว่าศิษย์คนใดของเรา เจ้าย่อมแจ้งแก่ใจในสิ่งที่เราพูดมานี้”  

พระนางจามเทวียกมือไหว้ไปทางผู้เป็นคุรุแล้วหันไปมองราษฎรของตนเอง นานครั้งหรอกที่สุกกทันตะฤๅษีจะยอมเสียมารยาทใช้ข่ายญาณของท่านเช่นนี้ จอมนางอดยิ้มขันกับความคิดของตนเองเมื่อครู่ก่อนไม่ได้ แต่พอเห็นเกษวดีที่เดินอยู่ข้างๆ มองขึ้นมาก็รีบทำเสมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเสีย ทว่าพอเหลือบไปทางคนที่ชักม้าเหยาะย่างอยู่ใกล้ๆ ปะปนกับเหล่าทหารองครักษ์ก็หน้าขรึมลงอีกคำรบหนึ่ง  



เมื่อล่วงเข้าสู่เขตราชฐาน จอมนางถวายคารวะแก่วาสุเทพฤๅษีที่มารอรับอยู่ก่อนแล้ว  มหาฤๅษียิ้มรับแทนคำตอบรับแล้วออกเดินนำไปทางด้านพลับพลาที่สร้างไว้เป็นที่พักชั่วคราวก่อนการทำพิธีเถลิงราชย์ ฝ่ายข้าราชบริพารลวปุระที่รู้หน้าที่ของตนดีก็แยกย้ายกันไปตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายมาแต่วานนี้ เจ้าชายรามราชยืนนิ่งมองนางข้าหลวงคนสนิททั้งห้าที่แยกตัวออกไปทางหนึ่งอยู่สักครู่ ก็หันหลังจะเดินตามกลุ่มคนที่จะเข้าไปร่วมเป็นสักขีพยานในพิธี ทว่าออกเดินไปได้เพียงก้าวเดียวก็ชะงัก เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นทางเบื้องหลัง

“จักไปที่ใด เจ้าชายรามราช ที่ของท่านอยู่ที่พลับพลาโน่น สรงน้ำมูรธาแล้วท่านต้องเข้าสู่ท้องพระโรงชัยพร้อมด้วยพระแม่เจ้า ลืมแล้วฤๅ”

ร่างสูงคล้ายทอดถอนใจนิดหนึ่งก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับคู่สนทนา ไหล่ทั้งสองค้อมลงนิดๆ แสดงอาการคารวะ

“ข้าหาได้ลืมไม่ มหาฤๅษี” นัยน์ตาสีเข้มที่เคยฉายแววกล้าอ่อนลงนิดหนึ่งยามเจ้าตัวมองแลเลยไปทางชายา “แต่ข้าคิดว่ามันไม่ควร ข้าติดตามพระแม่เจ้ามาในฐานะข้าแผ่นดิน มิใช่ฐานะอื่น”

คำเรียกขานนั้นแสดงความคารวะสูงสุดเท่าที่ข้าแผ่นดินคนหนึ่งพึงมีต่อนายเหนือเกล้า สุกกทันตะฤๅษียิ้มอ่อน นึกรู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้ยินคำตอบนี้จากอีกฝ่าย ท่านเบี่ยงตัวหลบออกทางด้านข้าง เผยให้เห็นอีกคนหนึ่งที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง คนผู้นั้นทำให้เจ้าชายรามราชนิ่งงันไปชั่วขณะจิต ก่อนยกมือขึ้นไหว้  

“คนเรานั้นมีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวฤๅไร เรารู้ความทั้งสิ้นแล้วเจ้าชายรามราช”

วาสุเทพฤๅษีบอกเสียงขรึม นัยน์ตาทรงตบะเดชะกล้าที่มองตรงมาทำให้เจ้าชายรามราชต้องหลุบสายตาลงต่ำ หากวาจากลับย้อนยอกนัก

“แม้นท่านมหาฤๅษีทราบความชัดแจ้งดั่งนั้นแล้ว ก็ไม่ควรหักความตั้งใจของข้ามิใช่ฤๅ”    

สองมหาฤๅษีหัวเราะเสียงแผ่วต่ำ มิได้ถือสากับวาจานั้นสักนิด สุกกทันตะฤๅษีเพียงแต่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้สหายผู้อาวุโสกว่าอยู่สนทนาด้วยเจ้าชายรามราช ส่วนท่านขอแยกตัวไปดูแลความเรียบร้อยของพิธีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถึงกำหนดฤกษ์ วาสุเทพฤๅษีรอจนสหายผละไปแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามเราเลยเจ้าชายรามราช เราถามว่าคนเรานั้นมีหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวฤๅ”

“มิได้ อันคนเราเกิดมาย่อมมีหน้าที่พึงกระทำหลายสิ่ง สุดแท้แต่ว่าในเพลานั้นเราอยู่ในฐานะเช่นไร”

“เจ้าก็รู้แจ้งดีอยู่ เช่นนั้นก็พึงรู้เฉกเดียวกันฤๅมิใช่ เพลานี้ควรวางตนไว้ในฐานะใด หากยังยืนยันคำเดิม จักไปรอรับนางในฐานข้าราชบริพาร เราก็จักไม่ทัดทานอีก แต่เจ้าย่อมแจ้งแก่ใจ ในฐานะนั้น บัญชาแห่งเจ้าแผ่นดินจักขัดมิได้”

คิ้วเข้มขมวดมุ่นกับวาจาตอนท้าย บัญชาเจ้าแผ่นดินขัดไม่ได้อย่างนั้นหรือ พอจะถามวาสุเทพฤๅษีกลับตัดบทด้วยการเดินกลับไปทางพลับพลาเสีย เจ้าชายรามราชมองตามไปก็ต้องสะดุดกับสายตาของพระนางจามเทวีที่มองสบมาอยู่ก่อนแล้ว ลูกแก้วสีนิลคู่นั้นประสานมาเพียงชั่วอึดใจก็ละไปทางอื่นเสีย เจ้าชายรามราชขบริมฝีปากอย่างครุ่นคิด พระนางเธอจะทำการใดกันแน่    



การสรงน้ำมูรธาภิเษกกระทำที่ลานกว้างในเขตราชฐานนั่นเอง บรรดาข้าราชบริพารทั้งปวงได้นั่งอยู่ในที่ของตนเรียบร้อยแล้ว โดยไม่แยกว่าเป็นชาวลวปุระหรือชนพื้นเมืองเดิม ท่าทีสงบเรียบร้อยของฝ่ายข้าราชบริพารพื้นเมืองนั้น สำแดงชัดว่าเป็นผู้ที่มหาฤๅษีทั้งสองได้คัดเลือกไว้ดีแล้ว เบื้องหน้าของคนเหล่านั้นคือสุวรรณอาสน์สุกอร่ามตั้งเด่นอยู่กลางลาน มี บันไดสามขั้นเตี้ยๆ ทอดขึ้นสู่ราชอาสน์ปูลาดด้วยพรมแดง สองข้างของราชอาสน์ประดับพร้อมด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ครบสิ้นตามประเพณีอันเคยมีมาแต่ก่อน ล้อมด้วยเศวตวิสูตรพร้อมสรรพ เพราะความที่ผู้ปกครองเป็นสตรี การสรงน้ำในลักษณะเปิดเผย เมื่อผ้าเปียกจะทำให้ผ้านั้นแนบเนื้อมิใช่สิ่งสมควร คนที่จะเข้าไปอยู่ด้านในได้มีเพียงนางข้าหลวงคนสนิทที่จะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนภูษาถวายเท่านั้น

เมื่อได้เพลาอันเป็นมงคลประกอบด้วยราชาแห่งฤกษ์ เสียงเป่ามหาสังข์จึงดังยาวขึ้นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นแห่งพิธี ข้าราชบริพารทั้งปวงหมอบกราบลงกับพื้น พระเถระเจ้าเริ่มต้นสวดชัยมงคลคาถาประสานไปกับเสียงสังวัธยายมนตราจากพราหมณ์นักบวชทั้งปวง กระบวนเชิญเครื่องสูงประกอบยศเข้ามาเป็นกระบวนแรก ถัดมาจึงเป็นสองมหาฤๅษีและพระนางจามเทวีในเครื่องทรงขาวล้วน ลำดับสุดท้ายจึงเป็นกระบวนเชิญพานพุ่มและดอกไม้เงินดอกไม้ทองคราบถ้วนตามประเพณี

เพียงพระนางเธอเหยียบย่างก้าวแรกลงบนลาดพระบาท กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นเกสรบัวหลวงก็กรุ่นกำจายไปทั้งบริเวณแทบว่าจะกลบกลิ่นสุคันธานั้น ยังให้คนทั้งหลายลืมตัวเงยหน้าหันมาทางประตูที่เปิดกว้างพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ความสนใจทั้งหมดมุ่งอยู่ที่สิริลักษณ์สมขัตติยนารีที่ก้าวตามวาสุเทพฤๅษีนั่นเอง ทว่ามีคนเดียวเท่านั้นที่มิได้เงยหน้าขึ้นมอง ด้วยทั้งกลิ่น ทั้งท่วงท่ากิริยาเหล่านั้นได้จารจำหลักอยู่ในหัวใจ ต่อให้อยู่ ณ ที่ใด ไม่ว่ายามหลับยามตื่นย่อมจดจำได้ทั้งสิ้น แต่ในที่สุดคนที่ก้มหน้านิ่งอยู่ก็อดทนต่อไปไม่ไหว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองพระนางจามเทวีแล้วก็มีอันต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า      



ดวงหน้างามละมุนสงบนิ่ง เนตรคมคู่งามเป็นประกายกล้าแห่งตบะและเดชะชัดเจน เครื่องทรงขาวล้วนเมื่อต้องแสงแดดก็ดูราวกับว่ารัศมีสูรนั้นจะประมวลมาที่พระนางจามเทวีเพียงแห่งเดียว ก่อเกิดเป็นรัศมีแห่งจอมนางให้ปรากฏแก่สายตาคนทุกผู้ ส่งให้เป็นความงามที่แฝงความน่าเกรงขามไปในคราวเดียวกัน  เพียงเสี้ยวเพลาที่จอมนางเดินผ่านบดี พระนางเธอเหลือบมามอง ตาต่อตาสานประสบ รอยยิ้มอ่อนจางปรากฏบนดวงหน้าของคนทั้งสอง ยิ้มที่มีเพียงคนทั้งคู่เท่านั้นที่รู้ความหมายของมัน    

พระนางจามเทวีเดินมาจนถึงหน้าสุวรรณอาสน์แล้วหยุดยั้งอยู่ วาสุเทพฤๅษีกับสุกกทันตะฤๅษีเดินแยกไปยืนอยู่สองข้างของแท่นอาสน์นั้น ก่อนที่วาสุเทพฤๅษีจะเชิญให้จอมนางขึ้นประทับเหนือสุวรรณอาสน์นั้น เจ้าพนักงานให้สัญญาณรูดวิสูตรเพื่อจะได้สรงน้ำมูรธาต่อไป

จอมนางนั่งพนมมือหลับตานิ่ง รู้สึกถึงสายน้ำเย็นรื่นที่ไหลตกต้องร่าง ทันทีที่สิ้นสุดพิธีทั้งหลายนี้ สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าคือภาระหน้าที่อันมีต่อแผ่นดินและราษฎร รวมทั้งปณิธานอันแน่วแน่นับแต่ออกจากลวปุระ นั่นคือการทำให้พระศาสนาหยั่งรากลึกบนแผ่นดินแห่งนี้ จากนี้ไปไม่มีแล้วเจ้าหญิงจามเทวีที่เคยเล่นซุกซน บัดนี้มีเพียงพระแม่เจ้าจามเทวีเท่านั้น ข้าขอให้สัจจาแก่พระเสื้อเมืองพระทรงเมือง นับจากกษณะนี้ไป ลมหายใจนั้นข้านี้ขอมีไว้เพื่อแผ่นดินและพระศาสนาเท่านั้น  



เมื่อเสร็จสิ้นพิธีถวายน้ำมูรธาภิเษก ข้าราชบริพารทั้งหมดจึงทยอยเข้าไปรอในท้องพระโรงชัย เพื่อให้ผู้เป็นนายได้ผลัดเปลี่ยนภูษา และเข้าไปทำพิธีราชาภิเษกในท้องพระโรงชัย ชั่วอึดใจใหญ่ พระนางจามเทวีจึงทรงเครื่องเต็มพระยศจอมนางดุจเมื่อครั้งออกมาจากลวปุระ เดินเข้าสู่ท้องพระโรงชัยด้วยลักษณาการดุจนางสิงห์โดยแท้ วาสุเทพฤๅษีเชิญให้พระนางเธอประทับเหนือแท่นอาสน์ ซึ่งบัดนี้ได้จัดวางเครื่องราชกกุธภัณฑ์ไว้ครบสิ้นแล้ว เจ้าพนักงานประโคมดนตรีขึ้นเป็นการสมโภชและเฉลิมพระขวัญ ลำดับถัดไปราชครูพราหมณ์ที่ได้รับมอบหน้าที่จึงอ่านโองการพระนาม และอ่านคำจารึกในสุพรรณบัฏ ๓ จบ พร้อมถวายพรพระแม่เจ้าจามเทวี

“ในทิวาและดิถีกาลแห่งราชาฤกษ์ อันอุดมด้วยสรรพมงคลทั้งปวง วิศเวเทวาจุ่งประสาทพระพรชัยแด่พระนางจามเทวีบรมราชนารี ศรีสุริยวงศ์ องค์บดินทร์ปิ่นธานีหริภุญไชย จุ่งมีชนมายุยิ่งยืนนาน มีฑีฆายุนับแสนขวบเข้า จุ่งมีสวัสดีทุกเพลา สรรพโพยภัย สรพพอริราชจงปราชัยปลาตไป สรรพโรคาพยาธิใดอย่ากรายใกล้ ตบะเดชะฤทธีลือเลื่องทุกทิศา พระบารมีปรากฏกระเดื่องทั่วนานารัฐราช เกียรติยศลือชาปรากฏไกลทั้งเมื่อนี้และเมื่อหน้า ตราบจนอนันตกาลอย่ารู้สูญ ขอพระแม่เจ้าผ่านเมืองเป็นที่พึ่งแห่งทวยข้าเหล่านี้ ผ่านภพนคราหริภุญไชยให้วัฒนาสถาพรตราบไปเทอญ”  

สิ้นเสียงถวายพระพร เสียงประโคมดุริยดนตรีก็ประโคมรับขึ้นอีกคำรบ เสียงดนตรียังไม่ทันขาดหาย ท้องพระโรงนั้นก็กระหึ่มด้วยเสียงถวายพระพรขึ้นแทนที่ พระนางจามเทวีกวาดสายตาไปโดยรอบด้วยความปีตินัก เจ้าชายรามราชนั่งอยู่หน้าสุดมองมิ่งชายาด้วยความปีติยิ่งกว่า เจ้าจามเทวีของพี่ บัดนี้น้องอยู่ในที่สูงสุดแล้ว สัตย์สัญญาใดที่พี่เคยให้ไว้ต่อหน้าน้องและท่านสุกกทันตะฤๅษีในวันนั้น พี่จะทำจนเต็มกำลังความสามารถ แววตาคมกล้าหม่นแสงลงนิดหนึ่งเมื่อคิดถึงสัตย์อีกข้อที่ตั้งมั่นไว้ ณ ผาอาบนาง สัตย์ข้อนั้นพี่จักทำต่อเมื่อเห็นว่าน้องและลูกมีความปลอดภัยมั่นคงดีแล้ว พระนางจามเทวีหันมาทางบดีพอดี รอยปีติและตื้นตันทั้งปวงเริ่มจางหาย กลายเป็นแววของความตั้งใจมั่น ถึงเพลาแล้วที่พระนางจะต้องกระทำหน้าที่ของแม่เมือง และหน้าที่แรกนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในอีกชั่วอึดใจนี้แล้ว      



*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 16:03:14




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com