Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 13 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12631006/W12631006.html

บทที่ 13

ม่านหมอกข้างนอกก่อตัวเป็นผืนหนา สายลมรัตติกาลพัดพาร่างรางเลือนของพระครูลาพุชแทรกผ่านฝาเรือนเข้ามาลอยอ้อยอิ่งกลางอากาศ อึดใจก็ค่อยหย่อนลงยืนสำรวม แววตานอบน้อมทอดไปจับร่างใต้ผ้าห่มของแม่นางกณิการ์ด้วยความลิงโลดกึ่งปลาบปลื้ม

"ในที่สุด ก็ถึงกาลที่แม่นางย้อนคืนมาแล้ว ช่างยาวนานยิ่งแม่นางเจ้าข้า แม่นางคงลำบากไม่น้อยกับการเดินทางวนเวียนข้ามภพข้ามชาติกระทั่งมาบรรจบกับภาระหน้าที่ที่ต้องสะสางให้สำเร็จ"

"ข้ามภพข้ามชาติคงไม่ลำบากนักหรอกท่านพ่อ ที่ลำบากจริงๆ ก็น่าจะภพชาตินี้ล่ะ ลูกยังนึกไม่ออกเลยว่าแม่นางยอดดวงใจของลูกจะหาทางดับชีวิตอมตะของซาตานวจาให้สิ้นสูญด้วยวิธีไหน"

โอ้ ไม่ใช่เพียงพระครูผู้ภักดีเท่านั้นที่ปรากฏตัว ท่านศมะก็มาด้วย ทั้งสองคือพ่อลูกที่ต่างก็แบกภาระหน้าที่เฝ้ารอการย้อนคืนของแม่นางผู้เกรียงไกร นาทีที่ซาตานวจาดับสูญ ดวงวิญญาณทั้งสองก็จะโบยบินไปสู่ภพชาติใหม่อย่างสิ้นห่วง

"ปากเจ้าหรือท่านศมะผู้ยิ่งใหญ่ ช่างสิ้นสำรวมนัก ไปเรียกขานแม่นางยอดดวงใจอะไรได้ วาสนาเจ้าสูงส่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ อาจเอื้อมนัก"

"แหม ท่านพ่อ แม่นางรับรู้หรือ กาลนี้ไม่ใช่สมัยอันรุ่งเรืองของคามดารกะ แม่นางบนเตียงก็ไม่รู้จักเราสอง ต่อให้ปรากฏกายให้เห็น แม่นางก็จำไม่ได้หรอก"

พระครูลาพุชถอนใจยาว เคลื่อนร่างรางเลือนขาวขุ่นคล้ายม่านหมอกข้างนอกเข้าไปใกล้อีกนิด ตื้นตันว่าแม่นางยังงดงามด้วยรูปโฉมที่ไม่ได้ต่างจากกาลอดีต

"แม่นางช่างห้าวหาญ แววตาเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดเช่นเดิม"

ท่านเปรยด้วยรอยยิ้ม ยังไม่ลืมภาพที่แม่นางหมุนขวับๆ ร้องถามว่า 'ใครน่ะ' ในความหลัวเกือบมืดตรงนั้น มันยิ่งเน้นประกายวาวเข้มแกมเฉียบขาดของแม่นางให้โดดเด่น

และอีกครั้งเมื่อแม่นางกระชากเสียงถามซ้ำอย่างไม่พอใจว่า 'ฉันถามว่าใคร' กิริยานั้นก็ช่างดุดันคลับคล้ายตอนแม่นางบัญชาลงโทษเหล่าองครักษ์นักรบหรือหมู่สาวใช้ตามเรือนโรงต่างๆ

"แม่นางเห็นท่านพ่อหรือ" ท่านศมะถามอย่างประหลาดใจ

"ไม่รู้สิ อาจจะรู้สึกตามประสาจิตที่แข็งแกร่งกระมัง แม่นางเป็นเช่นนั้นนี่ใช่ไหมท่านองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่"

"แหม จะเย้าลูกไปถึงเมื่อไหร่ ยิ่งใหญ่อะไรกัน ลูกล้มเหลวทุกการงานที่แม่นางฝากฝัง ปกป้องหน่อเนื้อก็ไม่ได้ ต้องมาป่วยไข้หมดบุญเสียแต่ยังเยาว์"

"ดาวสิ้นแสงไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอกท่านศมะ"

"ลูกรู้ แม้แต่ฤดูกาลที่โดนอำนาจชั่วของซาตานวจาเปลี่ยนผันจากร้อนเป็นหนาวจากหนาวเป็นฝน จากฝนเป็นแห้งแล้งดั่งทะเลทราย ประชาชนต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปตายดาบหน้า ทิ้งคามให้ร้างวังเวง ก็ไม่ใช่ความผิดของลูก"

"ฟ้ากำหนดทุกอย่างแล้วท่านศมะ อย่าได้หม่นหมองกล่าวติเตียนตัวเองไปเลย ดูแต่พ่อของเจ้าสิ จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังขบปริศนาดาวอาสภไม่แตกฉาน ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมมันจึงยังตรึงค้างเหนือทิศประจิม ทั้งที่มันดับแสงแล้ว"

ใช่ มันเป็นปริศนาที่เวลาเป็นร้อยๆ ปีก็ยังไม่ปรากฏคำตอบให้ชื่นใจ พระครูคร่ำเคร่งค้นหามันอย่างไม่แยแสสังขารที่ชราลงปีแล้วปีเล่า ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังเห็นดาวประหลาดโคจรรอบดาวดับสูญดั่งบริวารภักดี

แต่วิถีออกจะพิสดารไปบ้าง เพราะบางปีก็ถอยห่าง บางปีก็พุ่งเข้าชิด ยามใดที่ถอยห่าง ดาวอาสภก็จะดำมืดเช่นดาวดับทั่วไป หากยามใดที่พุ่งเข้าชิด ประกายลี้ลับก็จะเปล่งจ้าดั่งว่าพลังแสงขุมใหม่อุบัติขึ้น

"หนุ่มคนนั้นเล่า"

พระครูลาพุชปล่อยวางปริศนาลง แล้วถามถึงธิสัยที่ยังวนเวียนอยู่ในทุ่งรัตนชาติ มันเป็นชื่อที่เรียกในกาลโน้น และมันก็เป็นทุ่งอันแผ่กว้างดั่งท้องนาไพศาล เพียงแต่ใต้ผืนดินแห่งความไพศาลนั้น กลับเป็นแหล่งคับคั่งของมวลรัตนชาติอันล้ำค่า

ครั้นยุคสมัยเคลื่อนย้ายมาสู่กาลนี้ มันก็แปรผันทุ่งอันแผ่กว้างกลายเป็นป่าใหญ่เขียวชอุ่ม และคนในยุคนี้ก็เรียกมันว่าป่าอัญมณี ซึ่งก็คงจะเรียกตามปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดนั่นเอง

"เขาจะหลุดพ้นวังวนในคืนเดือนเพ็ญที่จะถึง"

"เวทนาชะตาของเขา" ท่านเปรยด้วยน้ำเสียงอารี

"เวทนาเจ้าหน่อเนื้อฝ่ายเราด้วยเช่นกัน ชะตาช่างสั้นนัก"

ท่านศมะเอ่ยบ้าง ซึ่งก็หมายถึงมวลผกาบุตรสาวจอมห้าวของลุงโภชน์นั่นล่ะ หรือจะเท้าความก็ต้องว่าลุงโภชน์เองก็เป็นลูกหลานที่สืบว่านสืบเครือมาจากต้นสายพระครูลาพุชนั่นเอง

"แม่นางแพรช่างถลำลึกยิ่ง หยาบกร้านอยู่ในดงบาปจนไม่อาจหลุดพ้นโบยบินสู่ชาติภพใหม่ รอวันที่แม่นางกณิการ์ประกาศศักดากำราบชะตาซาตานวจาได้สำเร็จเมื่อไหร่ ดวงวิญญาณของแม่นางก็จะแตกดับตลอดกาล"

"เสียงไก่ขันแล้วท่านพ่อ เราจากไปเสียทีเถอะ ไม่แน่ว่าแม่นางตื่นขึ้นแล้วอาจเจอเรากำลังคุยกันแบบนี้ เดี๋ยวจะตกใจพานนึกไปว่าตนฝันร้ายเช่นเจ้าหน่อเนื้อของเราในวัยเด็กอีก"

สองพ่อลูกหัวเราะขบขันกันเบาๆ พระครูลาพุชนั้นเอ็นดูมวลผกาในฐานะหน่อเนื้อสืบทอด จึงมักจะมาปรากฏกายเฝ้ามองเงียบๆ ในยามหลับ

แต่แม่นางมักจะตื่นมาเห็นแล้วร้องไห้จ้า ทุกคำบอกเล่าถูกผู้ใหญ่ฟังเป็นว่าฝันร้าย ทั้งที่ความจริงแล้วแม่นางเห็นท่านเต็มสองตาแตกตื่นทีเดียวล่ะ

แต่แล้ว สองร่างยังไม่ทันเลือนหาย ฤดีดิษถ์ก็ขยับเหมือนตื่น เธอลืมตามองความมืดบนเพดานในแวบแรกก่อน แล้วค่อยกลอกไปรอบๆ เพื่อให้คุ้นเคยกับแสงหลัวของตะเกียง

พระครูลาพุชเลิกคิ้วพร้อมกับบุตรชายองครักษ์นักรบ ลังเลว่าควรยืนต่อไปหรือรีบพัดพาร่างหนีห่างกิริยาเพ่งเขม็งของแม่นาง แต่ฉับพลันนั้นล่ะ แม่นางก็โพล่งถามขึ้น

"ใครน่ะ" ร่างใต้ผ้าห่มรีบดีดลุกปราดเปรียวไม่ผิดเพี้ยนจากแม่นางผู้ห้าวหาญในกาลก่อน "ฉันถามว่าใคร"

"ลุงเอง"

ลุงโภชน์ตอบมาจากข้างนอก แกเดินผ่านมาพอดี ตอนได้ยินสาวครีเอทีฟร้องถาม ยังนึกทึ่งว่าทำไมประสาทหูเธอไวจัง เพราะแกก็มั่นใจว่าตัวเองเดินเบากริบแล้วนะ

พระครูผู้รอบรู้เห็นว่าจังหวะที่แม่นางผู้มากวาสนาเหลียวไปจับบานประตูในเงาสลัวนั่นล่ะ เหมาะแล้วที่จะรีบจากไป จึงพยักพเยิดชวนบุตรชายเร้นกายสู่ม่านหมอกและไอหนาวเหน็บยามรุ่งสาง

เมื่อฤดีดิษถ์ดึงตากลับมาอีกครั้ง เธอจึงต้องเลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อพบว่าตรงนั้นมันว่างเปล่า ทั้งที่เมื่อครู่นี้ก็เห็นอยู่ชัดๆ นะว่า 'มีคนมายืนตั้งสองคน'




ป่าอัญมณีแผ่ไพศาลและโอบล้อมด้วยมวลสีเขียวเข้มแก่อ่อนสลับกัน มันเป็นป่าแปลกที่แอบแฝงความพิสดาร และไม่มีใครค้นหาคำตอบของความพิสดารนั้นได้

แต่ทุกคนที่นี่ก็พอใจว่ายามที่ปรากฏการณ์อัศจรรย์อุบัติ ทุกคนก็จะได้กอบโกยสมบัติล้ำค่าที่ผุดเกลื่อนขึ้นมาจากใต้พื้นผิวขรุขระของดินแข็ง ใช่ มันไม่ต้องขุดหรือควานหาให้เสียเวลาเลย แค่ออกแรงหยิบตักโกย หรือจะวิธีอื่นที่จะทำให้หอบมันกลับไปแปรสภาพเป็นเงิน

"ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ"

ฤดีดิษถ์ฟังลุงโภชน์เล่าจบก็ปรารภด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือนัก เธอย่ำไปบนพื้นผิวขรุขระ แต่บางช่วงก็อ่อนนุ่มด้วยพงหญ้าเขียวสด

ตาคมหรี่ขึ้นจับยอดสูงของต้นไม้ลำใหญ่ๆ ที่ทะยานเบียดเสียดแทบจะชนแผ่นฟ้า อากาศบนนี้ดีมาก แดดน้อยหมอกเยอะ บางขณะก็ให้ความรู้สึกคล้ายหลงเข้ามาในดินแดนของนิทานโบราณ

"ก็บอกอยู่นี่ยังไงว่ามันอัศจรรย์ ไม่มีใครกำหนดได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ มีหลายคนเฝ้ารอเป็นปีๆ ก็ผิดหวังไป แต่บทจะมามันก็มาให้คนหาของป่าเจอเอาดื้อๆ บางรายก็เจอตอนดึก บ้างก็ค่อนรุ่ง บ้างก็ตอนเที่ยงกลางวันแสกๆ นี่ล่ะ"

"ลุงโภชน์เคยสำรวจไหมคะว่ามันกว้างแค่ไหน"

"ก็น่าจะกินเนื้อที่ภูดารกะกว่าครึ่งล่ะ แล้วที่เรามายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่นับเป็นเสี้ยวเสียด้วยซ้ำ"

"แล้วถ้าเป็นแบบนี้ หากคุณธิหลงเข้ามาจริงๆ แล้วเขาจะกลับออกไปได้หรือคะ ไม่หลงวนเวียนขาดน้ำขาดอาหารตายหรอกหรือ"

พอขาดเสียงปรารภกังวล เสียงน้ำไหลก็วาบแว่วเข้าโสต ฤดีดิษถ์เลิกคิ้วหันไปทำตาโตกับลุงโภชน์ แกยิ้มเหมือนรู้ แต่เธอก็ไม่ได้ถามนอกจากรีบซอยเท้าเร็วขึ้น แล้วอ้าปากค้างอัศจรรย์ใจกับแม่น้ำสายใหญ่ตรงหน้า

"โอ้โฮ นี่มันอะไรกันคะ มีแม่น้ำสายใหญ่เกือบจะเท่าแม่น้ำเจ้าพระยาเชียว สีเขียวๆ แบบนั้นก็ดูน่ากลัวนะคะ"

"ใช่ ลึกมากด้วย แล้วก็อย่างที่บอกนะ วันดีคืนดี.. "

"อีกแล้วหรือคะ"

ครีเอทีฟสาวทำหน้าเบื่อหน่าย เสียงขัดก็เอียมระอาเต็มที เธอจะบอกยังไงดีไม่ให้เจ้าถิ่นเสียน้ำใจว่าเธอไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลย ไม่เชื่อตั้งแต่ฟังมวลผกาโอ้อวดภูมิใจสมัยยังเรียนอยู่ด้วยกันนั่นแหละ

"มันก็ลำบากอยู่ที่จะให้แม่หนูเชื่อในสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงบนภูดารกะของเรา มันก็เป็นตำนานเมืองลับแลนั่นแหละ มีจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ เคยมีคนหลงเข้าไปแล้วกลับออกมาเล่าเป็นตุเป็นตะ แล้วเราก็พิสูจน์ไม่ได้อีกว่าเขาพูดจริงหรือปั้นน้ำเป็นตัว ดังนั้น เมืองลับแลจึงยังเป็นความลับสมชื่ออยู่"

ฤดีดิษถ์ส่ายหน้า ใจระอากับวาจาโต้แย้งเนิบของคนแก่ เธอไม่ได้เข้าป่าอัญมณีเพื่อมาถกเถียงกันว่าเหตุอัศจรรย์มันมีจริงหรือไม่จริง

เธอต้องการเจอชายสติวิปลาสคนนั้น อยากให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ใช่ธิสัย ว่าที่เจ้าบ่าวของมวลผกา หรือถ้าเป็นเขา เธอก็มีความหวังว่าจะเจอเพื่อนรักปลอดภัยดี

"มาทางนี้เถอะ"

ลุงโภชน์พยักพเยิดไปทางโพรงป่า ลักษณะมันเหมือนอุโมงค์ แต่ความจริงมันเกิดจากยอดปลายของต้นไม้ดกโน้มตัวไปกอดกันจนเกิดหลังคาโค้ง และอนุญาตให้แสงตะวันส่องลอดลงมาพอวับแวมเท่านั้น

"แต่ที่นี่สวยนะคะ ดูเป็นป่าธรรมชาติที่สดจริงๆ เหมือนว่ายังไม่มีใครเข้ามาสำรวจ"

"เคยมี" ลุงโภชน์เล่ายิ้มๆ "เป็นพวกนายทุนตั้งใจจะสร้างรีสอร์ตอะไรก็ไม่รู้ แต่จู่ๆ ก็เจอดีเข้าเสียก่อน"

"เจอดี"

สิ้นเสียงทวน ฤดีดิษถ์ก็พลันเย็นวาบขึ้นทั่วแผ่นหลัง รู้สึกเหมือนว่ามีใครเดินผ่านไปวูบหนึ่ง เธอหมุนขวับว่องไว ปลายเท้าพลันไถลลื่นไปชนแง่งหิน

ลุงโภชน์ร้อง 'โอ๊ะ' อย่างตกใจ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ทัน เพราะสาวอุตรดิษถ์แต่กำเนิดร่วงตุบบั้นท้ายกระแทกพงหญ้าหนา คิดว่าไม่น่าจะเจ็บ แต่สีหน้าเธอดูแปลกๆ

"คุณธิ นั่น คุณธิ"

สาวครีเอทีฟขนลุกซู่ เธอร้องเอะอะยันกายลุกว่องไวตามนิสัย ลุงโภชน์เงอะงะเกะกะเธอก็ผลักอย่างร้อนใจ พาตัวปลิวย้อนกลับไปที่แม่น้ำ เธอเห็นธิสัยจริงๆ เขาเดินโซเซ ป้องปากเหมือนกู่ร้องหรือเรียกหาอะไรสักอย่าง แต่แปลกจัง ทำไมไม่ได้ยินเสียงเขาเลย

"แม่หนูหยุดก่อน แม่หนู อย่าตามไป มันอาจจะเป็นแค่ภาพหลอน คนแถวนี้เจอกันมานักต่อนักแล้ว แม่หนูเอ๊ย"

เจ้าถิ่นใจคอไม่ดี แกยังไม่เคยโดนดีหรอก แต่ชาวบ้านที่เคยโดนแล้วกลับออกไปเล่าให้ฟังมันก็พิลึกพิลั่นอยู่ บางคนก็เล่าไปกลัวไปและตื่นเต้นไป ทำนองว่า

"โอ๊ย ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเห็นอะไรแบบนั้น กองทัพม้านะเยอะแยะยิ่งใหญ่เหมือนที่เคยเห็นในหนังเลย แล้วคนพวกนั้นก็แต่งตัวแปลกๆ เหมือนพวกคนโบราณ นั่งบนหลังม้าแกว่งดาบแกว่งทวน โอ๊ย อัศจรรย์หลายล่ะ"

"ใช่ๆ ฉันเห็นวิหารวังร้างด้วยนะ แต่ตอนนั้นน่ะ มันสวยอร่ามเหมือนทำจากทองคำทั้งหลังเลย"

"เออๆ ฉันก็เห็นนะ แล้วฉันก็เห็นระเบียงสูงด้วย มันเป็นวงโค้งคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แต่มันสวยมาก ประดับประดาด้วยอัญมณีแพรวพราวหลายสี ฉันรับรองเลยว่าของแท้แน่นอน"

"พวกแกน่ะโชคดีไม่ซวยเหมือนฉัน โดนไล่ตะเพิดน่ากลัว แถมยังจ่อดาบยาวขาววับมาชี้หน้าด้วย นี่ลุงโภชน์ ผู้ชายคนนั้นนะพูดกับฉันด้วย แต่ฉันฟังไม่ค่อยเข้าใจหรอก ภาษามันแปลกๆ "

มันยังมีอีกเยอะกับคำบอกเล่าที่มีแต่คนฟังอย่างสนใจแต่จะเชื่อสนิทหรือเปล่า ก็คงต้องรอให้เจอเองบ้าง ซึ่งหลายคนที่เจอเองก็มักจะจับกลุ่มรวมตัวกันวิพากษ์วิจารณ์อย่างเมามัน

การพูดคุยและพาดพิงถึงเหตุการณ์ผู้คนตลอดจนสภาพทิวทัศน์บรรยากาศที่พ้องตรงกันนี่แหละ กลายเป็นเครื่องยืนยันไปเสียฉิบว่าสิ่งที่เห็นมันเกิดขึ้นจริงในป่าแปลก




ม่านป่าสีเขียวที่รายล้อมดูคล้ายกับค่ายกลประหลาดที่เคลื่อนขยับได้ ฤดีดิษถ์กำลังนึกว่าตนถูกกักขัง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นตัวเองตามลำพัง ลุงโภชน์อาจจะวิ่งตามมาไม่ทัน หรือไม่ก็เป็นเธอเองที่วิ่งเร็วเกินไปจนพลัดหลงกับแก ทีนี้ ก็กลายเป็นหลงป่าด้วย

"คุณธิ" เธอตะโกนหาคนที่ต้องการเจอตัว "ได้ยินฉันไหมคะ ฉันฤดีดิษถ์นะ ถ้าคุณอยู่แถวนี้ก็ออกมาเถอะ ไม่ต้องกลัว คุณธิ ได้ยินฉันไหมคะ คุณธิ"

เสียงตะโกนทอดยาวเข้าไปในโพรงทางเดิน ในนั้นน่าจะขวางกั้นด้วยกำแพงทึบสักผืนกระมัง เสียงมันจึงย้อนกลับมาก้องสะท้อนเป็นห้วงๆ รายรอบตัวเธอ

แล้วพอสิ้นเสียง แผ่นหลังก็เย็นวาบขึ้น มันดึงให้ร่างกระฉับกระเฉงหมุนขวับ แล้วให้แผ่นหลังเผชิญกับกระแสอุ่นจัดประหลาดอีกยก เธอก็หมุนขวับอีก

"ใครน่ะ"

เธอตะโกนถามอีกครั้ง ตาคมก็เริ่มกลอกสำรวจอย่างระมัดระวังขึ้น ไม่รู้สึกตัวสักนิดว่ากำลังกำหมัดด้วยท่วงท่าพรักพร้อม หรือแม้แต่จังหวะแยกเท้าสืบเนิบไปตามพื้นดินชื้นก็ดูสุขุมแกมองอาจไม่ผิดเพี้ยนจากแม่นางกณิการ์ในกาลโน้น

"ท่านพ่อจะทำอะไร ทำไมต้องกลั่นแกล้งแม่นางให้เสียขวัญ" ท่านศมะในที่เร้นกล่าวติงขึ้น

"ท่านศมะไม่อยากรู้หรอกหรือว่าแม่นางย้อนคืนมาด้วยร่างใหม่ แล้วฝีไม้ลายมืออันห้าวหาญของแม่นางเล่า ย้อนคืนมาด้วยกันหรือเปล่า" พระครูลาพุชย้อนถามมาขำๆ

"ยุติธรรมต่อแม่นางหรือ อย่าลืมสิ แม่นางเป็นคนนะ และไม่ใช่คนในกาลเดียวกับเรา"

"และเราก็หลุดพ้นสภาพความเป็นคนไปหลายร้อยปีแล้ว"

ท่านศมะปรายตาขุ่น ไม่เข้าใจว่าบิดาจะอารมณ์ดีไปถึงไหน ตอนท้ายยังมีแก่ใจมายอกย้อนสัพยอกท่านอีก หรือมองไม่ออกว่าท่านร้อนใจและไม่เห็นด้วยที่ไปกลั่นแกล้งแม่นางยอดดวงใจ

ใช่ ฤดีดิษถ์กำลังโดนทดสอบผ่านพลังงานลี้ลับ กระแสประหลาดเดี๋ยวเย็นยะเยือกเดี๋ยวอุ่นจัดจงใจหมุนวนเป็นเกลียวรอบตัวเธอ มันหดแคบลงดั่งจะรัดร้อยให้หมดอิสรภาพ

แต่กาลโน้น แม่นางกณิการ์ก็ชิงชังนักหนากับความไม่ยุติธรรม มาถึงกาลนี้ โดนรังแกทดสอบเอาแต่ใจฝ่ายเดียว โดยที่แม่นางไม่อาจตอบโต้ได้ ก็ยิ่งพลุ่งพล่านยิ่งชิงชัง และปรารถนากำราบให้รู้จักที่ต่ำที่สูง แรงโทสะจึงบันดาลให้ฤทธาของแม่นาง ณ กาลโน้นสำแดงเดช

ฤดีดิษถ์จึงต้องเผชิญกับปฏิกิริยาอัศจรรย์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยในชีวิต จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีสองร่างซ้อนกันอยู่ และอีกร่างนั้นก็กำลังพยายามจะแยกตัวออกไป บางครั้งมันดีดออกไปแล้ว แต่เมื่อเธอหายใจแรงหนัก มันก็ถูกดูดดึงย้อนกลับเข้ามาอีก

ร่างแปลกปลอมนั้นพลุ่งพล่านไม่พอใจที่เธอวางอำนาจกักขังมันไว้ มันจึงดึงดันอย่างเกรี้ยวกราด ยิ่งดึงดันเท่าไหร่ ตาดุร้ายก็ยิ่งแดงก่ำและเนืองไปด้วยหยาดน้ำโทสะ ยามเอ่อไหลอาบแก้ม ก็คายไอร้อนจัดลงแผดเผาบังคับให้เธอต้องสลัดหน้าแรงๆ อย่างทรมานจนแลคล้ายไปว่าเธอกำลังคลุ้มคลั่ง
 
แล้วอย่างฉับพลัน ลำคอก็แน่นคับขึ้นด้วยแรงตะปบแล้วบีบเคล้นจงใจของพระครูลาพุช ท่านเปล่งหัวเราะยืดยานต่ำลึก มันเสียดเข้าโสตร้อนของฤดีดิษถ์ที่ใกล้จะควบคุมปฏิกิริยาอัศจรรย์นั้นไว้ไม่ไหว

เส้นขนในกายลุกซู่ มันพองฟูอย่างมีชีวิตชีวา ใต้ผิวหนังเกิดอาการเห่อร้อนวูบวาบ กล้ามเนื้อเคลื่อนขยับดั่งริ้วคลื่นกลางท้องน้ำพุ่งเข้าถาโถม

"บังอาจ"

แล้วสุ้มเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น ร่างสั่นเทิ้มดิ้นขลุกขลักก่อนจะล้มหงายตึงลงบนพื้นหญ้า สองมือก็พยายามปลดปล่อยแรงแน่นคับทั่วลำคอ จังหวะหายใจแลถี่หนักและรัวด้วยเสียงหอบสั่น

"ปล่อยเราเดี๋ยวนี้ เจ้าเป็นใคร ปีศาจชั้นต่ำจากไหนถึงได้กล้าลามปามเราแม่นางกณิการ์ บัดซบยิ่ง ปล่อยเรา ได้ยินไหม เราบอกว่าปล่อยเรา"

พอสิ้นเสียงตะคอกก้องดุดัน พระครูลาพุชก็พลันเลิกคิ้ว ท่านศมะก็ตกใจ เหตุแปรเปลี่ยนมันอุบัติเร็วเกินไป ร่างในที่เร้นของบิดาปลิวละลิ่วทะลุลำต้นไม้สูงไปหลายต้นทีเดียว

อึดใจเดียว ร่างดิ้นขลุกขลักของสาวครีเอทีฟก็ดีดปราดขึ้นอย่างห้าวหาญ ท่วงท่าองอาจนั้นช่างทระนงและน่าครั่นคร้ามยิ่ง

"ปรากฏตัวออกมา" เสียงตะคอกบัญชาก้องและกร้าวด้วยโทสะจัด "ได้ยินที่เราบัญชาหรือไม่เจ้าปีศาจชั้นต่ำ"

"แม่นาง ใจเย็นลงก่อน ท่านพ่อไม่มีเจตนา เราเพียงแต่.. "

"ท่านศมะ"

ท่านศมะเบิกตาโพลง ตกใจกับเสียงอุทานแผ่วพร่าของแม่นางยอดดวงใจ ปากอ้าค้างและนิ่งไปชั่วอึดใจ ครั้นตั้งท่าจะตะกุกตะกักถาม เพราะอยากให้แน่ใจว่าแม่นางเห็นร่างในที่เร้นจริงหรือ แต่ก็ไม่ทันการณ์

เพราะจู่ๆ แม่นางก็อ่อนระทวยล้มฟุบในพงหญ้าไปเสียอย่างนั้น ร่างเบารีบพลิ้วเข้าไปใกล้พลางคุกเข่าสำรวจครู่หนึ่ง จึงค่อยถอนใจส่ายหน้าเมื่อตระหนักแน่ว่าแม่นาง 'สิ้นสติแล้ว'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 10:36:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com