24
ตอนสายของวันจันทร์ เวลาเดียวกันกับที่บ้านชัยเตชินญ์โกลาหล บนยอดภูยังสงบสุข สดชื่นและอ่อนหวาน นภัสรินทร์เดินออกจากห้องน้ำ จนแต่งตัวเรียบร้อย เห็นคนร่วมห้องยังยึดพื้นที่บนเตียง
“วิช รินว่าวิชควรจะกลับได้แล้วล่ะ”
ปัญวิชช์ซึ่งกำลังนั่งเอกเขนกเล่นอินเตอร์เน็ตจากเน็ตบุ๊คของเธอเงยหน้า สายตาตั้งคำถามว่าหญิงสาวพูดถูกแล้วหรือเปล่า
“มาตั้งสองวันแล้ว ที่บ้านจะเป็นห่วงนะ”
“ก็โทรไปบอกแล้วไง” เขาตอบสั้น นภัสรินทร์เดินเข้าไปนั่งริมเตียง
“กลับไปก่อนเถอะ รินไม่อยากให้เป็นข่าวมากไปกว่านี้ วิชจะเดือดร้อน อยากให้รักษาภาพ สส.ไว้หน่อย”
สส.หนุ่มถอนใจ วางเน็ตบุ๊คแล้วขยับกายมานอนกอดเอวเธอ “ไม่เห็นอยากได้เลย เบื่อจะแย่กับการเป็นคนดัง ไปไหนก็มีคนมอง”
“ถ้าไม่อยากเป็นแล้วลงสมัครทำไม” นภัสรินทร์ว่ายิ้ม ๆ
ปัญวิชช์ก็ยิ้ม “รินไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเพราะอะไร วิชถึงต้องลง”
นภัสรินทร์นิ่ง แสดงกิริยาว่ารู้ ชายหนุ่มพูดต่อ
“จริง ๆ แล้ววิชไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้หรอกนะ เพราะแค่ปัญหาของตัวเองยังแก้ไม่ได้เลย แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน”
“วิชเหมาะกับการไปเขียนหนังสืออย่างเก่าน่าจะดีแล้วล่ะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งวางคางบนหัวไหล่หญิงสาว ท่าทีเสียดายกับความสุขหากจะต้องแยกจากกันในตอนนี้
“ขออยู่อีกวันไม่ได้เหรอ”
“ถ้าวิชเป็นสส.ด้วยเหตุผลนี้ ก็ยิ่งต้องกลับนะ เพื่อจะได้ไม่ให้ปู่โกรธไปมากกว่านี้ แล้วอะไรที่คิดจะยากขึ้นไปอีก”
เขาตาโต “รินจะแต่งงานกับวิชใช่ไหม”
นภัสรินทร์เอียงคอ “กลับไปคุยกันที่กรุงเทพนะ”
ชายหนุ่มกระชับวงแขน คลอเคลียจมูกข้างแก้มใส “วิชรักรินนะ รัก...และรอวันนี้มาตลอด รักรินคนเดียว รินเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต วิชยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับริน”
นภัสรินทร์ยิ้มระคนขำ ฟังดูเชยแต่ก็หวานซึ้ง “เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว ไปอาบน้ำเตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวรินโทรจองตั๋วให้”
ปัญวิชช์กอดเธออยู่เช่นนั้นครู่หนึ่งก่อนจะยอมผละออกไปที่สุด
ปัญวิชช์จำต้องหยุดช่วงเวลาชื่นฉ่ำนั้นไว้ชั่วคราว เขาเบะปากเล็กน้อยเมื่อมาถึงสนามบินเชียงรายแล้วเจอกับกฤษ ทนไม่ไหวจึงจิกไปเล็กน้อยว่า ทำอย่างกับมารับตัวผู้ร้ายข้ามแดน เสร็จแล้วก็เดินลอยหน้าไปเช็คอินขึ้นเครื่อง แล้วก็นั่งฝันไปกับความสุขที่ได้ตักตวงมาตลอดสองวันนี้
มีรถจากที่บ้านมารออยู่ที่สนามบิน เขาขึ้นไปนั่งแต่โดยดี บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบมองอย่างสงสัยว่าเจ้านายอายุน้อยกว่าครึ้มใจอะไรถึงได้มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนสีหน้าตลอดเวลา ทั้งที่เตรียมตัวมาโดนเหวี่ยงเต็มที่ แต่ท้ายสุดคนเป็นลูกจ้างก็ไม่ได้พูดอะไร
ก้าวแรกที่เข้าบ้านคนแรกที่ปรี่เข้ามาหาคือแม่ ปัญวิชช์กอดมารดา นานแล้วที่ไม่ได้รู้สึกว่าโลกสวยงามและอบอุ่นเช่นนี้ วิลาสินีแปลกใจแต่ก็ดีใจ
“ไปเที่ยวไหนมาหือ อยู่ดี ๆ ก็หายไป แม่เป็นห่วงแทบแย่”
“ก็เชียงรายไงครับ”
“ที่หลังจะไปไหนมาไหนก็บอกกันก่อนสิวิช ที่บ้านเป็นห่วง”
ปัญวิชช์อ้าปากจะตอบว่า ถ้าบอกก็ไม่ได้ไปน่ะสิ พอดีเหลือบเห็นปู่อยู่ในระยะสายตาพอดี และผู้เป็นแม่ก็รู้สึกได้จึงละอ้อมกอดจากลูกชาย
“จะไปอาบน้ำกินข้าวก่อน หรือจะคุยกันเลย”
ทรงพลพูดเรียบแต่ฟังดูเด็ดขาด ปัญวิชช์เป่าปาก เดินไปนั่งที่โซฟาแทนคำตอบ ไม่ว่าจะคุยตอนไหนก็มีค่าเท่ากันอีกอย่าง ถึงตอนนี้ต่อให้ปู่จะด่าว่าเขายังไงก็ไม่สำคัญแล้ว ปัญวิชช์ฟังคำตำหนิปาว ๆ นั้นราวกับเป็นถ้อยคำที่ชื่นชม จนเมื่อทรงพลหยุด
“ตกลงว่าปู่จะห้ามผมไม่ให้คบรินใช่ไหมครับ ผมจะได้ไปลาออก” ชายหนุ่มถามยิ้ม ๆ
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน”
“ผมไม่ได้เล่นลิ้น ก็ผมพูดตามข้อตกลงของเรา แค่นั้น”
“ผู้หญิงมีตั้งเยอะ ทำไมแกไม่ไปชอบ”
หลานชายถอนใจยาว ทำท่าเหมือนเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องอธิบายเหตุผลนี้ “เอาเป็นว่า เรื่องหนีงานผมขอโทษ จะไม่ให้เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องริน ปู่จะขวางอะไรก็แล้วแต่ปู่ แต่ผมไม่เลิก”
“วิช”
“ผมขอไปอาบน้ำนะครับ ถ้าปู่อยากว่าต่อ เดี๋ยวผมลงมาใหม่”
“เจ้าวิช!!”
ทรงพลตวาดหลานชายจอมยียวนเสียงดังลั่นห้อง ขณะที่เจ้าตัวเดินออกไปอย่างไม่สะทกสะท้านปล่อยให้ปู่หอบหายใจฟืดฟาดด้วยความโมโหจัด เนื่องจากไม่สามารถทำอะไรได้เช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา วิลาสินีพูดอยู่ใกล้ ๆ ด้วยความอยากให้คะแนนลูกชาย
“คราวนี้วิชไม่เถียงเลยนะคะ”
แต่ถูกพ่อสามีมองตาเขียว เธอจึงเดินเลี่ยงออกมา วิลาลินีแปลกใจกับท่าทีของปัญวิชช์ว่าดูมีความสุขเหมือนได้อะไรบางอย่างที่สมใจ ปกติทะเลาะกับปู่ทีไรลูกชายเธอก็อารมณ์เสีย
แต่ทรงพลนั้นรู้ และยิ่งรู้ก็ยิ่งหัวเสีย
เวลาเดียวกันที่บ้านกุลโยธา นีรนารถอ่านหนังสือพิมพ์ โมโหฉุนเฉียวจนระงับอาการไม่อยู่ โวยวายกับบุญไปแล้วก็ยังไม่สาแต่ใจ วันนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันทำงาน เธออยู่บ้านคนเดียว แต่ทนไม่ไหว ต้องโทรไประบายให้หายความอัดอั้น
รังสรรค์รับสาย
“พ่อดูข่าวหรือยังคะ” นีรนารถลืมเรื่องมารยาทไปหมดสิ้นว่าควรจะถามก่อนว่าอีกฝ่ายอยู่ในเวลาที่สามารถคุยได้หรือเปล่า แต่บิดาของเธอก็ยังสามารถต่อบทสนทนานั้นด้วยการถามกลับ
“ข่าวอะไร”
“ข่าวยาย เอ้ย ข่าวนภัสรินทร์ พ่อมีหนังสือพิมพ์หรือเปล่าคะ หรือไม่ก็ลองเปิดเว็บดู” นีรนารถบอกแหล่งที่มาให้เสร็จสรรพ กว่ารังสรรค์จะเจอจุดที่ต้องการ ลูกสาวก็ใจร้อนถามเร่งอยู่สองหน
รังสรรค์เห็นภาพนั้นผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ เขานิ่งไปเล็กน้อย
“พ่อเห็นแล้วใช่ไหมคะ ดูมันสิคะ มันทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ใจเย็น ๆ นะนารถ ให้พ่อถามรินดูก่อน”
“ยังจะต้องถามอีกเหรอคะ ภาพมันฟ้องอยู่ทนโท่ ทั้งที่พี่วิชมาหานารถ แต่มันแอบเอาพี่วิชไปกกถึงเชียงราย”
“นารถ พูดจาไม่เพราะเลย” รังสรรค์ดุเสียงเข้ม เห็นว่าอารมณ์ลูกสาวเตลิดจนแตะความหยาบคาย “พ่อบอกว่าให้ใจเย็น ๆ เดี๋ยวพ่อจะถามรินว่าเรื่องมันเป็นยังไง บางทีข่าวพวกนี้มันก็ใส่สีตีไข่ด้วยส่วนหนึ่ง นารถระงับอารมณ์หน่อย”
นีรนารถนิ่งไปเหมือนกัน
“โอเคนะ เดี๋ยวให้รินกลับมาพ่อจะคุยก็แล้วกัน ตอนนี้พ่อทำงานก่อนนะ”
ลูกสาวจำต้องวางสาย แต่ทั้งพ่อลูกก็ไม่อาจวางอารมณ์ได้เช่นเดียวกัน รังสรรค์มองภาพหนุ่มสาวอย่างครุ่นคิด
เช้าวันต่อมา นีรนารถยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อวานพอผู้เป็นพ่อกลับมาพร้อมสีหน้านิ่ง ๆ เธอก็ไม่กล้าจะไปเร่งเร้าเรื่องนภัสรินทร์อีก ได้แต่ถามเรื่องกำหนดการกลับ รังสรรค์บอกว่าอาจจะเป็นวันนี้ เธอกดรีโมททีวีไปเรื่อย ๆ ดุจจะดับอารมณ์ที่คุกรุ่นให้ดับลงซะที วีรญาก็ยังไม่กลับจากญี่ปุ่น ไม่มีใครให้ระบาย อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ามาเพื่อรอพบผู้เป็นพ่อ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรได้หรือเปล่า
ในที่สุดเธอก็วางรีโมทลงบนโต๊ะรับแขก หยิบหนังสือพิมพ์ที่มีข่าวนั้นมาดูอีกครั้งอย่างหงุดหงิด ครั้นพอเมื่อเหลือบเห็นนภัสรินทร์เดินลงมาจากชั้นสองพอดี ฟิวส์อารมณ์ขาดสะบั้น ลุกพรวด
“นี่เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่!”
นภัสรินทร์ยกมุมปาก “ไม่ยักรู้ว่าน้องนารถเป็นห่วงพี่รินด้วย”
“ไม่ตลกนะ ฉันถามก็บอกมาดี ๆ สิ ใครจะไปอยากรู้ว่าเธอไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหน ที่ฉันจะถามน่ะมันเรื่องนี้ต่างหาก” เธอขยำกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วปาใส่
อีกฝ่ายสะดุ้ง
“เธอทำอะไรลงไป!”
คนโดนหนังสือพิมพ์ปาใส่หน้ากำลังตั้งสติ ยังไม่ทันตอบเสียงแว้ดของนีรนารถก็พุ่งเข้ามาต่อ
“เธอก็เห็นอยู่แล้วว่าพี่วิชมาที่บ้านนี้เพราะใคร ยังจะมาหักหน้ากับแบบนี้อีก มันเกินไปแล้วนะ!”
ทั้งก้อยและปุ๋มพากันชะโงกหน้ามอง แต่บุญหันไปจ้องตาเขียว ทำให้สองคนนั้นหลบตาวูบ แต่ยังเงี่ยหูฟังอยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไม...”
“ไม่ต้องมาทำเป็นตีหน้าซื่อ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ลืมตากว้าง ๆ แล้วก็อ่านซะ” นีรนารถชี้มือไปยังก้อนหนังสือพิมพ์ที่ถูกขยุ้มอยู่บนพื้น นภัสรินทร์เข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ความจริง เธอรู้มันก่อนหน้านั้นแล้วต่างหาก
“ตกลงเธอจะเอาคนไหนกันแน่ กับพี่เอกก็สนิทเรื่องงาน กับพี่วิชก็จะสนิทเรื่องงานอีก งานหว่านเสน่ห์ให้เขาหลงสินะ ใช่สิ เรื่องแบบนี้เธอถนัดนักนี่”
คนอายุมากกว่ายังนิ่ง เธอรู้อยู่แล้วว่าจะมีฉากนี้เกิดขึ้น การเตรียมรับมือที่ดีคือการปล่อยอีกฝ่ายพ่นความในใจที่จะบาดตนเอง
“ตอนพี่วิชมาที่บ้านนี้ก็ทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากคุยด้วย แต่พอลับหลังก็เอาเขาไปกก ที่แท้แล้วเธอมันก็ขี้อิจฉา ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองเห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้ อยากทำลายฉันใช่ไหม!”
นีรนารถอุตส่าห์ยกภาษิตมาด่า นภัสรินทร์อดทึ่งไม่ได้ เธอยกมือกอดอก
“พี่ไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณนารถนะคะ ก็อย่างที่คุณนารถบอกนั่นแหล่ะค่ะ เรื่องแบบนี้พี่ถนัด แต่พี่ก็ทำเพื่อคุณพ่อกับครอบครัว คุณนารถลองทบทวนดูก่อนไหมคะว่า การที่สส.ปัญวิชช์มาที่นี่เพราะคุณนารถจริง ๆ หรือเปล่า”
ถูกสบประมาทจี้ใจดำ นีรนารถควันออกหู เธอเงื้อฝ่ามือ
“เพี๊ยะ!”
นภัสรินทร์หน้าสะบัด รอยแดงปรากฎเป็นปื้น
“นี่แกจะบอกว่าพี่วิชไม่ได้สนใจฉัน แต่ชอบแกงั้นสิ ทั้งหมดนี้ฉันคิดไปเองใช่ไหม!” เธอตะโกนใส่ หน้าแดงด้วยความโกรธจัด “แกออกไปจากบ้านฉันเลยนะ เลิกมาทำตัวดีใสชื่อ ทำเป็นหวังดีกับบ้านฉันซะที แกหวังอะไรกันแน่ แม่แกก็ไม่ได้อยู่แล้ว แกไม่ควรจะมาเชิดหน้าชูคออยู่ในครอบครัวฉัน!” นีรนารถพลักนภัสรินทร์
“หยุดนะนารถ!”
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
16 ก.ย. 55 13:54:54
|
|
|
|