ร่างสูงของชายหนุ่มกำลังง่วนอยู่กับการจัดเก็บแฟ้มเอกสารกลับใส่ลงในตู้ เขาหันมาทักทายเมื่อเห็นผู้เป็นนายจ้าง
“สวัสดีครับ คุณชาร์ล”
ชาญเดินตรงไปนั่งหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ครุ่นคิดสิ่งที่ทบทวนมา ควรหรือไม่ที่เขาจะเปิดใจซักไซ้ถึงรายละเอียด
“ขอโทษครับที่วันนี้ผมมาทำงานสายไปหน่อย”
ผู้อ่อนวัยกว่าเป็นฝ่ายตรงมานั่งลงบนเก้าอี้เบื้องหน้าเขา สีหน้าหมองทำเอาความตั้งใจของนายจ้างต้องหยุดชะงัก
“คือว่า... เมื่อเช้าผมกับพี่ชายมีเรื่องสำคัญต้องรอคุยกับพ่อ”
ท่าทางไม่สบายใจของชายหนุ่ม ทำให้เขาจำต้องเปลี่ยนประเด็น
“ทำไมต้องทำหน้าหงิกขนาดนั้น” เขาว่าพลางสังเกตมอง “มีเรื่องอะไรมา”
กันต์ธีร์หลบตาคู่สนทนา คงเป็นเรื่องน่าละอายเกินกว่าจะเปิดเผย แม้ไม่เชื่อในวาจาของผู้เป็นบิดา หากก็ยังแอบนึกหวั่นใจ
“มีปัญหาที่บ้านนิดหน่อยครับ คือ... เอ่อ... คือว่าผม...”
เขาอาจจะไม่ใช่คนรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานดีพอ ให้สมกับความเมตตาของนายจ้าง นับตั้งแต่ผิดหวังเรื่องของนริศรา จนมาถึงปมปัญหาภายในครอบครัว
“ผมจะขอลางานไปทำธุระที่ต่างจังหวัดซักสองสามวันครับ ผมสัญญานะครับว่า หลังจากกลับมาแล้ว จะตั้งใจทำงาน ไม่ลาหยุดอีก”
เหมือนว่าเขาจะมีเรื่องสะเทือนใจร้ายแรง จนหลงลืมหญิงคนรักของตัวเอง หนุ่มใหญ่แอบคาดเดาสถานการณ์
“นายมีเรื่องอะไร บอกฉันได้ไหม ถ้าจะให้อนุมัติลาหยุดก็ต้องมีเหตุผลที่สมควร” เขาแกล้งทำเป็นซัก
กันต์ธีร์เม้มริมฝีปาก หัวใจเต้นระส่ำเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของผู้เป็นบิดา ไม่มีวันที่เขาจะเอ่ยวาจาอันแสนโหดร้ายนั้น
“ผมกับพี่ชายมีเรื่องสำคัญจะต้องไปถามแม่ และถ้าเป็นไปได้ ผมตั้งใจจะรับแม่มาอยู่ด้วยกัน”
เรื่องที่จะไปถามคงถึงขั้นคอขาดบาดตาย หนุ่มใหญ่แอบคาดเดาอย่างขำ ๆ
“นายนี่ แปลกชะมัด” เขาว่ากลั่วหัวเราะ “เป็นเด็กเป็นเล็ก จะมีเรื่องทุกข์อะไรหนักหนา นายจะไปถามแม่เรื่องอะไรถึงต้องทำท่าทางขนาดนี้หา”
เขาคงไม่รู้หรอกว่า หญิงสาวกำลังเผชิญกับมรสุมอันหนักหนาสาหัส ที่ต้องแบกรับสถานการณ์และแก้ปัญหาชีวิตโดยลำพัง มัวแต่ขลุกอยู่กับปัญหาหนักใจของตัวเอง
“ว่าไง” เขาถามย้ำอีก เมื่อชายหนุ่มยังอยู่ในอาการนิ่งเงียบ
กันต์ธีร์เงยหน้าสบกับดวงตาของนายจ้าง ยอมรับว่าทั้งเขาและเกียรติก้องแทบจะทนไม่ไหว เมื่อจำต้องรอให้ถึงวันพบหน้ามารดา
“คุณชาร์ลคิดยังไงครับ ถ้าวันหนึ่งเกิดรู้ว่า เราเกิดมาจากความไม่ตั้งใจของพ่อแม่” เขาตัดสินใจลองตั้งคำถาม
ผู้อาวุโสกว่าฟังแล้วถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเปล่งหัวเราะเสียงดังออกมา
“นายมันบ้าไปแล้ว” เขาบอกกลั่วอารมณ์ขบขัน “ถามจริงเหอะ นายกลุ้มใจเรื่องแค่นี้เหรอ”
มันอาจเป็นเรื่องเล็กสำหรับคนที่มิได้เติบโตมาพร้อมกับอีกหลาย ๆ คำถามในหัว เขานึกโมโหตัวเองที่พูดออกไป
“คนในโลกนี้เกินครึ่งโลกได้มั้ง ที่เกิดมาจากความไม่ตั้งใจ”
ความเห็นของชาญทำให้เขาต้องเงยหน้า
“นายก็เห็นไม่ใช่เหรอว่า เทคโนโลยีคุมกำเนิดพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อรองรับปัญหาความผิดพลาดมีบุตรอย่างไม่ได้ตั้งใจ จะมีซักกี่คนที่อยากจะมีลูก แล้วไม่มีเหมือนฉัน”
เสียงของเขาทอดอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อแอบนึกถึงลูกคนแรกจากปรียาที่มีสิทธิจะถือกำเนิดขึ้นมาดูโลก และข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ในครั้งนี้ของเธอ รวมไปถึงลูกอีกหลายคนที่ต้องสูญเสียไปกับการแท้งอย่างไม่ตั้งใจของรินรดา ชีวิตมนุษย์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจความหมายของนายจ้าง หากเรื่องของเขากลับเลวร้ายไปกว่านั้น
“คือผมหมายความว่า ถ้ามันแย่ไปกว่านั้น แบบเด็กที่ถูกทำแท้งแล้วรอดชีวิตมาได้ หรือประมาณว่า...” ไม่กล้าพอจะเอ่ยคำนั้น เขาหรือที่เกิดมาจากความเกลียดชังของผู้ให้กำเนิด
ชาญนิ่วหน้า จับจ้องมองคู่สนทนาอย่างไม่เข้าใจ อยากรู้เหลือเกินว่า เกิดอะไรขึ้นกับความคิดของหนุ่มน้อย
“นายคิดว่า นายเกิดมาจากการถูกข่มขืนหรือไง บ้าหรือเปล่า”
ช่างเป็นการคาดเดาได้ตรงจุด หัวใจของชายหนุ่มสั่นระทึกไปกับความจริงที่กำลังผุดพราย
“นายไปเอาความคิดโง่ ๆ พวกนี้มาจากไหน”
ท่าทางของลูกจ้างหนุ่มทำให้เขาทราบคำตอบ ใครคือผู้ที่นำความคิดอันเลวร้ายเหล่านี้มาใส่หัวเขา ช่างโง่โดยแท้
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อทุกวันนี้ ผู้ปกครองของนายคือพ่อไม่ใช่แม่ ผู้ชายที่ไหนยอมรับผิดชอบดูแลเด็กที่เกิดมาจากการถูกข่มขืน”
ความเห็นของชาญน่าคิด หากเป็นไปตามคำของบิดา มารดาคงไม่ส่งเขาให้มาอาศัยอยู่ด้วยกันดั่งเช่นทุกวันนี้
“แล้วอีกอย่าง” ผู้อาวุโสกล่าวต่อไป เมื่อเขายังอยู่ในอาการเงียบ “นายมีพี่ชายที่แก่กว่านายสองปีไม่ใช่เหรอ งั้นก็แปลว่าพ่อกับแม่ของนายต้องอยู่ด้วยกันสามถึงสี่ปีขึ้นไป ถึงจะมีพี่ของนายและมีนายต่อมาอีกได้ จริงไหม เลิกคิดไร้สาระได้แล้ว ไอ้คนที่มันเอาความคิดนี้มาใส่หัวนาย มันคงไม่หวังดีกับนายเท่าไหร่หรอก”
คำอธิบายกึ่งต่อว่าของนายจ้างสร้างความกระจ่างขึ้นในใจ คงเป็นดังนั้น บิดาของเขาจงใจสร้างเรื่องขึ้นมาทำร้ายจิตใจเขากับพี่ชาย แต่ด้วยจุดประสงค์อันใดนั้นยังยากจะคาดเดา
ได้ยินเสียงเคาะประตู วิลาวัลย์ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมด้วยกระเช้าของขวัญและดอกลิลลี่ช่องาม เธอนำมันไปวางไว้ที่มุมรับรองแขก
“ได้ครบแล้วค่ะ คุณชาร์ลต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมคะ”
ผู้เป็นนายจ้างโบกมือ
“ไม่ต้องครับ ขอบคุณมากเลย คุณออกไปก่อน”
หนุ่มใหญ่จับตามองร่างผอมบางของเลขานุการ รอจนกระทั่งเธอก้าวพ้นช่องประตูออกไป พลางครุ่นคิดพิเคราะห์ถึงจุดประสงค์เดิม
“นายกับแม่สาวสวยแฟนนายคนนั่น ยังคบกันดีอยู่หรือเปล่า”
จู่ ๆ หัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยน กันต์ธีร์เงยหน้าสบตาผู้อาวุโส เหตุใดเขาจึงต้องเอ่ยถึงเธอ
“ทำไมเหรอครับ” เขาอาจไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ ด้วยความรู้สึกอันย่ำแย่ที่ทับถมกันอยู่
“นายตอบฉันมาก่อน แล้วฉันจะบอกนายว่าทำไม”
เสียงเข้มของชาญทำให้เขาไม่กล้าพอจะบ่ายเบี่ยง
“เธอเลิกคบกับผมไปแล้วครับ” เขาบอกพลางก้มหน้า อับอายกับความไม่เอาไหนของตัวเอง “ผมมันแค่ไอ้งั่ง ไอ้กระจอกคนหนึ่งในสายตาเธอ เธอคบกับผู้ชายอีกคนที่มีคุณสมบัติดีกว่าผมเป็นร้อยเท่า และเป็นอย่างที่แม่ของเธอต้องการ”
ถ้อยคำเปี่ยมด้วยอารมณ์ บอกถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในกระแสเสียง
“เธอมีแฟนแล้วเหรอ”
ผู้อาวุโสกว่าถามขึ้นลอย ๆ จากการสอบถามจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล นอกจากบุตรสาวและผู้หญิงอีกคนที่นำคนป่วยมาส่งพร้อมกันแล้ว ตลอดสามสี่วันมานี้ยังไม่มีใครมาเยี่ยมเยียน
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมปล่อยผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ให้หลุดมือไปได้หรอก” เขาให้ความเห็น
ชายหนุ่มเงยมองนายจ้างอย่างไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของถ้อยคำนั้น สีหน้าประหลาดใจของผู้เยาว์ ทำให้เขาต้องขยายความ
“นายคบเธอก่อน และดูเธอก็ออกจะไว้ใจนาย แล้วดันปล่อยให้คนอื่นมาชิงตัดหน้าเอาเธอไปเป็นแฟนได้ไงวะ”
“คุณชาร์ลไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผม ผมมันดูกระจอกเกินไปในสายตาเธอกับแม่ของเธอ”
ผู้แก่วัยกว่าส่ายหน้าอย่างท้อใจ
“ถ้านายกระจอก ยัยเอ๋หน้าลิฟต์ กับผู้หญิงแถว ๆ นี้อีกหลายคน คงไม่มาเหล่นายให้เสียเวลาหรอก”
จริงดังว่า อรจิราและผู้หญิงอีกสองสามคนในสำนักงานแห่งนี้ล้วนแต่มีใจ พยายามเข้ามาพูดคุยตีสนิทกับเขา หากแต่ประสบการณ์อันเลวร้ายจากปรียาทำให้เขาจำต้องระแวดระวังตัว
“เลิกดูถูกตัวเองได้แล้ว เลิกคิดอะไรไร้สาระเสียที นายจะเกิดมาได้ยังไงไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า นาทีนี้นายเลือกที่จะทำอะไรมากกว่า”
แม้จะยังเคลือบแคลงถึงจุดประสงค์อันแท้จริงของนายจ้าง แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เมื่อซึมซับเอาทัศนคติและมุมมองแต่ในด้านดีของผู้อาวุโส
“ครับ คุณชาร์ลพูดถูก” เขายอมรับ “ต่อไปนี้ ผมจะนับถือตัวเองให้มากขึ้น ไม่คิดเรื่องที่ไม่ควรคิดอีก”
ชาญยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แม้ว่าจะเขาถูกอกถูกใจหญิงสาวผู้นั้นเพียงใด หากก็ยังมิอาจเทียบได้กับความเอ็นดูที่มีต่อลูกจ้างหนุ่ม
“เอาล่ะ ฉันจะให้โอกาสนายอีกซักครั้ง” เขาบอกแล้วชี้ไปยังมุมรับรองแขก “นายเป็นตัวแทนของฉัน เอาของเยี่ยมกับดอกไม้นั่นไปให้แม่ของแฟนนายที่ป่วยอยู่ชั้นเจ็ด”
คำบอกของชาญทำให้เขาถึงกับตกตะลึง
“จริงเหรอครับคุณชาร์ล คุณน้า แม่ของนุ่นป่วย” เขาทวนคำด้วยความตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิวะ เป็นแฟนกันภาษาอะไร ปล่อยให้ผู้หญิงเค้าเผชิญเรื่องลำบากใจอยู่คนเดียว”
คำตอบกึ่งต่อว่าของชาญ ช่วยให้เขาได้ฉุกคิด ครั้งหนึ่ง เรื่องปรียาเคยเป็นประเด็นของความโกรธเคือง จนนริศราเลิกคบหาเขาไปนานปี หากเมื่อพบกันอีกครั้ง ความทุกข์ใจเรื่องของบิดาผู้ให้กำเนิด กลับทำให้เธอยอมปล่อยวางคืนดีกับเขา
ครานี้ก็เช่นกัน ในสถานการณ์ความยากลำบากของชีวิต อาจส่งผลให้นริศรายอมให้อภัยเขาอีกครั้ง
จากคุณ |
:
วังวน
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.ย. 55 11:36:28
|
|
|
|