Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ภูตคราม บทที่ 15 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย ติดต่อทีมงาน

ภูตครามบทต้น
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1

บทที่ 14 คำเตือนของมฤต
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12638122/W12638122.html

บทที่ 15 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย

เสียงดนตรีจากโทรศัพท์มือถือทำให้พิมมาดาลืมตาขึ้น มือข้างหนึ่งควานหาที่มาของเสียงและรีบกดปุ่มปิดเพราะเกรงว่าจะรบกวนผู้ป่วย แต่แทนที่จะลุกขึ้นหญิงสาวกลับนอนมองเพดานด้วยความคิดคำนึงถึงภูตหนุ่ม ความที่อยากให้เขาอยู่ใกล้เธอจึงขยับปากเรียกด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก

“ภูธรา”

“เรียกข้าหรือ”

เสียงทุ้มดังตอบมาจากมุมห้อง พิมมาดาลุกพรวดขึ้นและหันหน้าไปมอง ภาพของภูตหนุ่มที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ทำให้น้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ก็รีบเคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับถามอย่างตระหนก

“เจ้าร้องไห้ทำไม เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าเสียหน่อย”หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้นเช็ดดวงตา”ฉันหาวต่างหาก”

เธออ้าปากหาวเพื่อเป็นการประกอบคำพูด ภูธราเอียงคอเล็กน้อยเหมือนไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก เพราะเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าสบายดี เขาก็วางใจ จากนั้นก็มองไปรอบห้องพร้อมกับพูด

“ความจริงข้าอยากจะทำกาแฟให้เจ้า แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย”

แทนที่จะได้รับคำตอบโต้หญิงสาวนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำ ภูธราจึงหันไปมองเธอด้วยความแปลกใจครั้นจะเอ่ยปากถามเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาวไหลลงมาเป็นทาง

“พิม”ภูธราเรียกเธอด้วยน้ำเสียงตระหนกและรีบเดินเข้าไปหา มือยกขึ้นเรียกสายลมมาเช็ดน้ำตาแต่หญิงสาวกลับก้มหน้าลงหลบพร้อมกับปฏิเสธ

“ฉันสบายดี” เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับภูตหนุ่ม “ฉันขอโทษที่เมื่อวานนี้พูดไม่ดีกับเธอ”

“เจ้ากำลังไม่สบายใจ” ภูธราตอบเสียงนุ่มและโน้มตัวลงจนใบหน้าอยู่ห่างจากพิมมาดาไม่ถึงคืบ”ข้าไม่ถือโกรธเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

“ยังไงฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี” หญิงสาวพูดเสียงแห้ง”ทั้งที่รอดมาได้ก็เพราะเธอแต่ฉันก็ยัง”

มวลอากาศอบอุ่นเป่าผ่านริมฝีปากดุจถูกภูตหนุ่มแตะด้วยปลายนิ้ว

“บอกแล้วไงว่า ข้าไม่เคยโกรธเจ้า” เขากระซิบบอกพร้อมกับข่มใจมิให้เผลอประทับจุมพิตเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูผ่อนคลายขึ้นเขาจึงเลื่อนตัวถอยออกห่างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”

พิมมาดาผงกศีรษะพลางหันไปมองนิลเนตรด้วยความเป็นห่วง ภูธรามองเธออย่างรู้ใจ

“พลังชีวิตเพื่อนของเจ้าเข้มแข็งมาก เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอจึงยังไม่ฟื้นคืนสติ”

“นายรู้ได้ยังไง”พิมมาดาถามด้วยความสงสัย ภูธราจึงหัวเราะออกมาเบาๆ

“ข้าคือภูตคราม”

นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นเพราะภูตหนุ่มมีพลังในการรับรู้ถึงคลื่นชีวิตของมนุษย์ การที่เขาพูดเช่นนี้แสดงว่าเพื่อนของเธอย่อมมีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดที่จะถามย้ำไม่ได้

“แน่ใจหรือ”

“ข้าแน่ใจ”ภูธราตอบพลางส่งกลุ่มลมไล้พวงแก้มอย่างแผ่วเบา”หากสบายใจแล้วเจ้าก็ควรไปหาอะไรกินไม่เช่นนั้นแล้วจะพลอยล้มป่วยไปด้วยอีกคน”

เขาพูดด้วยความเป็นห่วง พิมมาดาจึงหยิบเสื้อผ้าออกจากระเป๋าหายเข้าไปในห้องน้ำราวสิบนาทีและกลับออกมาด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นกว่าเดิม จากนั้นเธอจึงไปที่เตียงของนิลเนตรและพูดเบาๆ

“เดี๋ยวฉันมานะ”

กล่าวแค่นั้นหญิงสาวก็ออกจากห้องเพื่อลงไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นล่าง เมื่อจัดการกับมื้อเช้าแล้วเธอจึงแวะซื้อดอกกุหลาบจากร้านดอกไม้ภายในโรงพยาบาล ตอนแรกเจ้าของร้านคะยั้นคะยอให้เธอเลือกรูปแบบกระเช้าแต่หญิงสาวปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนยันหนักแบบนั้นแล้วเจ้าของร้านจึงพูด

“ถ้าอย่างนั้นคุณน่าจะรับเพิ่มอีกดอกนะคะ เลข 9 เป็นมงคล คนป่วยจะได้มีอาการก้าวหน้าขึ้นจนลุกขึ้นก้าวเดินได้ด้วยตัวเอง”

หากเป็นเมื่อก่อนพิมมาดาคงไม่ใส่ใจความเชื่อนี้เท่าใดนักเพราะสำหรับเธอแล้ว ตัวเลขเป็นเพียงมูลค่าของรายรับหรือรายจ่ายของบริษัทเท่านั้น แต่ในยามนี้อะไรที่พอจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจได้ย่อมมีความหมาย เธอจึงหันไปหยิบกุหลาบเพิ่มอีกดอกพร้อมกับถามราคาเพื่อตัดบท

“เท่าไหร่คะ”

“ทั้งหมด 270บาทค่ะ แต่ฉันคิดแค่ 250 บาทพอ”เจ้าของร้านพูดด้วยท่าทางสนิทสนม
พิมมาดาจึงหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทส่งให้ ระหว่างรอเงินทอนเธอก็อดคิดถึงไม่ได้ว่าหากนิลเนตรอยู่ด้วยมีหวังได้โวยวายเรื่องราคาดอกไม้ที่แพงลิบลิ่วแบบนี้ลั่นร้านแน่

ออกจากร้านดอกไม้พิมมาดาก็กลับขึ้นห้องทันที ระหว่างขึ้นลิฟต์เธอได้พบกับฤทธิ์และสิทธิศักดิ์ที่กำลังสอบถามห้องกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล

“คุณสิทธิศักดิ์”พิมมาดาเรียกไม่ดังนัก อีกฝ่ายหันมามองและยิ้มกว้าง

“คุณพิม”เขากล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเดินไปหาเธอ”มาเยี่ยมคุณนิลด้วยเหรอครับ”

“ค่ะ”

หญิงสาวตอบสั้นๆ ฤทธิ์จึงเอ่ยถามด้วยท่าทางที่ดูสงบเสงี่ยมผิดไปจากทุกครั้ง

“แล้วคุณนิลเป็นยังไงบ้างครับ”

“ยังไม่ได้สติ แต่หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว”

“ค่อยยังชั่ว”ฤทธิ์พูดอย่างโล่งใจ จากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าห้องโดยฤทธิ์กับสิทธิศักดิ์รีบเข้าไปดูนิลเนตร ส่วนพิมมาดานำดอกกุหลาบจัดลงแจกันและนำไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง

“คุณนิลหน้าซีดจัง แน่ใจเหรอครับว่าเธอไม่เป็นอะไร”

ฤทธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง สิทธิศักดิ์จึงหันไปดุ

“พูดจาอะไรระวังปากหน่อย คุณพิมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณนิลพ้นขีดอันตรายแล้ว ที่หน้าซีดน่ะก็เพราะเธอป่วยและยังนอนหลับอยู่เท่านั้น”

พนักงานหนุ่มเจ้าปัญหาพยักหน้าหงึกหงักพลางรีบยื่นถุงพลาสติกใบโตส่งให้พิมมาดาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้

“เกือบลืม ของเยี่ยมของผมกับพี่สิทธิครับ”

“ไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้”พิมมาดาพูดพลางดึงขนมประเภทคุ้กกี้กล่องใหญ่ออกมาวางไว้ข้างแจกันดอกไม้”คงอีกหลายวันกว่านิลจะได้กิน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้ากลัวเสียผมจะช่วยจัดการให้ก่อน พอคุณนิลหายดีค่อยซื้อมาให้ใหม่”

พิมมาดาหัวเราะเบาๆเมื่ออาการทะเล้นของพนักงานรุ่นน้องกลับมาอีกครั้ง สิทธิศักดิ์จึงเหวี่ยงขาเตะเขาไม่แรงนัก

“ทะลึ่งไม่เลิกจริงๆ”

“ถ้าเครียดเกินไปผมกลัวคุณพิมจะพลอยไม่สบายไปอีกคนน่ะครับ” ฤทธิ์พูดพลางถอยไปนั่งที่เก้าอี้ สิทธิศักดิ์ได้แต่ส่ายหน้าพลางหย่อนตัวนั่งด้านข้าง

“แต่นึกไม่ถึงเลยนะครับว่าคมกริชจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนถึงขนาดทำร้ายคุณทั้งสองคน”

“มันเป็นสันดานของพวกโจรมากกว่า เจ็บใจนักรู้อย่างนี้ผมซัดมันให้หมอบตั้งแต่แรกก็ดี ไม่น่าปล่อยให้รอดออกไปเลย”

ฤทธิ์พูดพลางกำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ พิมมาดาจึงยกมือขึ้นปราม

“ยังไงเขาก็ตายไปแล้ว พวกเราควรจะอโหสิให้เขาจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไป”

“พูดถึงเวรกรรม เมื่อวานนี้คุณองอาจสั่งให้ผมเอาสมบัติของนงนภัสไปส่งให้ที่คอนโด คนที่นั่นบอกว่าเจ้าหล่อนคบกับคมกริชมาตั้งแต่ก่อนรู้จักกับคุณองอาจเสียอีก”

“พวกเขารู้ได้ยังไงกัน”สิทธิศํกดิ์ถาม ฤทธิ์ยักไหล่

“ก็นายคมกริชเข้าไปกกเธอตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าไปในคอนโด”

“แสดงว่าสองคนนี่ร่วมมือกันหลอกคุณองอาจมาโดยตลอด”สิทธิศักดิ์พูดและส่ายหน้า
”ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ”

“แล้วตอนนี้คุณนงนภัสเป็นยังไงบ้าง” พิมมาดาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีนิสัยร้ายกาจ แต่ในความคิดของเธอ นงนภัสก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ฤทธิ์ยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเรียกเธอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตู แต่คนที่นั่นบอกว่าหลังจากรู้ข่าวเรื่องคมกริชเจ้าหล่อนก็กรีดร้องเหมือนคนบ้าเกือบทั้งคืน จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลย”

“น่าจะเข้าไปดูสักหน่อยเผื่อเขาเป็นอะไรไปจะได้ช่วยทัน” พิมมาดากล่าวเชิงตำหนิแต่พนักงานหนุ่มกลับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และพูดอย่างไม่ใส่นัก

“ผู้หญิงแบบนั้นต่อให้สติแตกยังไงก็ไม่กล้าฆ่าตัวตายหรอกครับ”

“พูดเบาๆก็ได้”สิทธิศักดิ์เตือนเมื่อเห็นพนักงานรุ่นน้องชักจะเริ่มเสียงดัง ฤทธิ์จึงรีบตะครุบปากตัวเองและยิ้มแห้ง

“ขอโทษครับ”

สิทธิศักดิ์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาและทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งหมดหันไปดูและรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกันเมื่อเห็นว่าผู้ที่กำลังก้าวเข้ามานั้นคือเจ้านายของพวกเขาเอง

“คุณองอาจ”พิมมาดาเอ่ยทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายผงกศีรษะรับและมองพนักงานอีกสองคนที่กำลังยืนทำความเคารพอยู่ด้านหลัง

“อ้าว มาเหมือนกันเหรอ”

“ครับ”สิทธิศักดิ์พูดด้วยท่าทางนอบน้อม เจ้านายเขาจึงยิ้มและหันไปทางนิลเนตร

“วันนี้เป็นยังไงบ้าง”

“คุณหมอบอกว่าอาการดีขึ้นแต่ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ”

พิมมาดาตอบ นายองอาจขมวดคิ้ว

“ยังไม่ฟื้นแล้วจะบอกว่าดีได้ยังไง”เขาพูดอย่างหงุดหงิดขณะเดินไปพิจารณาผู้ป่วยบนเตียง”เดี๋ยวผมจะไปถามหมออีกที”

พูดจบก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่เสียงอุทานของฤทธิ์ทำให้นายองอาจต้องหยุด

“คุณนิลขยับตัวแล้วครับ”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พิมมาดารีบหันไปดูและยิ้มกว้างเมื่อเห็นนิลเนตรค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง เธอขยับตัวเพื่อจะลุกแต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้หญิงสาวต้องทิ้งตัวกลับลงไปนอนอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงร้องครางเบาๆ

“ฉันอยู่ที่ไหน”ถามพลางกวาดตามองไปโดยรอบ พิมมาดาจึงรีบตอบ

“โรงพยาบาลจ้ะ”

“โรงพยาบาล”นิลเนตรพูดทวนพร้อมกับขมวดคิ้ว”ฉันเป็นอะไรไปเหรอ ทำไมถึงได้ปวดไปทั้งตัวแบบนี้”

ดวงตาเหลือบมองท่อนแขนที่ถูกหุ้มด้วยเฝือกตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงศอก หญิงสาวรีบผงกหัวดูขาข้างขวาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่ามันอยู่ในสภาพเดียวกัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแขนขาของฉันถึงเป็นแบบนี้”

เธอร้องถามเสียงดัง พิมมาดาจึงรีบกุมมือเพื่อนเอาไว้พร้อมกับปลอบ

“เมื่อวานเธอถูกรถชนตอนกำลังข้ามถนนไปซื้อต้นไม้” เสียงที่เล่าขาดหายไปเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เพื่อนผลักเธอไปให้พ้นทาง นิลเนตรขมวดคิ้วและนึกทบทวนตาม

“ฉันจำได้แค่ว่าได้ยินเสียงคนร้องตะโกนจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด” เธอรีบไล่สายตามองทั่วร่างของพิมมาดา”แล้วเธอได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าพิม”

น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลรินออกมา พิมมาดาส่ายหน้าพร้อมกับตอบเสียงเครือ

“ฉันไม่เป็นอะไร”

นิลเนตรยิ้มอย่างโล่งใจพลางเลื่อนสายตาไปทางนายองอาจ อีกฝ่ายส่งยิ้มปรานีกลับมา

“ไม่ต้องคิดอะไรมาก พักรักษาตัวให้ดีหายแล้วค่อยไปทำงาน”

“ขอบคุณค่ะ”นิลเนตรพูดและเตรียมขยับมือเพื่อจะไหว้แต่เจ้านายกลับแตะไหล่ของเธอพร้อมกับพูด

“นอนนิ่งๆอย่าขยับ เกิดเป็นอะไรไปนวลศรีจะโทษว่าเป็นเพราะฉัน”

น้ำเสียงพูดเชิงหยอกล้อเรียกรอยยิ้มจากคนที่ยืนรอบเตียง ฤทธิ์จึงรีบพูด

“คุณนิลไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงานเดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง”

“นั่นแหละที่ฉันเป็นห่วง” นิลเนตรพูดสวนทันควัน พนักงานหนุ่มทำท่าจะโต้แต่สิทธิศักดิ์กลับปราม

“พูดน้อยหน่อยก็ได้ฤทธิ์ นี่มันห้องคนป่วยไม่ใช่ที่ทำงาน”

เมื่อถูกพนักงานรุ่นพี่ติติงฤทธิ์จึงสงบปากสงบคำลง ส่วนนิลเนตรหลังจากได้รับการตรวจจากแพทย์และได้รับยาอีกชุดแล้วจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง ด้านนายองอาจเมื่อเห็นว่าเลขาฯสาวได้สติจึงอยู่สนทนากับพนักงานทั้งสามอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินทางกลับ เมื่อเจ้านายคล้อยห่างออกไปสิทธิศักดิ์จึงหันไปพูดกับพิมมาดา

“สายมากแล้วคุณพิมลงไปหาอะไรทานก่อนดีกว่าครับ ผมกับฤทธิ์จะอยู่เฝ้าคุณนิลให้”

“แต่ว่า...”หญิงสาวเตรียมจะแย้งแต่ฤทธิ์กลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ผมกับพี่ศักดิ์เรียบร้อยกันมาแล้วครับ”

พิมมาดาหันไปมองนิลเนตรด้วยความห่วงใยก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่เพื่อนร่วมงานทั้งสองคนอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นฝากดูนิลด้วยนะคะ”  

“ครับ”

สิทธิศักดิ์รับคำอย่างเคร่งขรึมในขณะที่ฤทธิ์ชูสามนิ้วขึ้นจรดหน้าผากเหมือนลูกเสือสามัญ ความขี้เล่นของเขาทำให้พิมมาดาต้องอมยิ้ม

ร้านอาหารของโรงพยาบาลแยกออกไปอยู่อีกอาคารหนึ่งซึ่งนับเป็นผลดีต่อพิมมาดาเพราะระหว่างทางมีสวนหย่อมและซุ้มขายเครื่องดื่มจำพวกกาแฟกับเค้กแถมยังมีที่นั่งให้ลูกค้าได้พักรับประทานพร้อมกับชมความงามของต้นไม้นานาพันธุ์ได้ เมื่อได้เห็นขนมที่อยู่ในตู้ความคิดที่จะไปหาข้าวกินจึงเปลี่ยนไป หญิงสาวตกลงใจสั่งกาแฟและขาร้อนอย่างละหนึ่งแก้วพร้อมบลูเบอรี่ชีสเค้กและบราวนี่อีกหนึ่งชิ้นโดยไม่ลืมที่จะเพิ่มขนมอีกสองสามอย่างใส่กล่องสำหรับฤทธิ์กับสิทธิศักดิ์ด้วย

เมื่อได้ที่นั่งเหมาะพิมมาดาจึงดื่มกาแฟพร้อมกับตักขนมเค้กตามเข้าปาก ดวงตามองไม้ดอกอย่างชื่นชมพลางสูดลมหายใจเข้าเพื่อซึมซับกลิ่นดอกพุดน้ำบุดที่ออกดอกเต็มต้นจากนั้นจึงเลื่อนไปดูปลาคาร์ฟหลากสีที่กำลังสะบัดโบกครีบสะบัดหางแหวกว่ายไปมา แม้จะเริ่มมีแดดแต่สายลมที่พัดผ่านสวนกับละอองเย็นฉ่ำจากน้ำพุกลางบ่อปลาสร้างความสดชื่นให้กับเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้เห็นเพื่อนรักฟื้นคืนสติอย่างปลอดภัยแล้วหญิงสาวจึงรู้สึกปลอดโปร่งจนแทบจะลืมเหตุการณ์ร้ายที่ผ่านมา

“ดีใจที่เห็นเจ้าสบายใจขึ้น”

ภูธราซึ่งยืนมองเธออยู่ข้างต้นเทียนหยดพูด พิมมาดาส่งยิ้มให้เขา

“บริษัทจับคนขโมยของได้ นิลก็ปลอดภัย เป็นนายจะไม่ดีใจเหรอ”

หญิงสาวพูดอย่างระวังเพราะเกรงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดที่เห็นเธอนั่งพูดอยู่คนเดียว ยิ่งถ้าแพทย์มาเห็นอาจจะนึกว่าเธอเป็นพวกโรคจิตและจับส่งโรงพยาบาล ดูเหมือนภูธราจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอกังวล

“ข้าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น” ภูตหนุ่มตอบ “แต่หากเป็นความสบายใจก็คงตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า”

มือที่กำลังยกถ้วยกาแฟขึ้นหยุดชะงัก ความร้อนแผ่ซ่านบนใบหน้า ภูธรามองพวงแก้มที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเป็นห่วง

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”

“เปล่านี่ถามทำไม” พิมมาดาตอบตะกุกตะกัก ภูตหนุ่มโน้มตัวลงมาจนแทบจะชิด

“เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่าพิม”

การเรียกอย่างสนิทสนมกว่าทุกครั้งยิ่งทำให้พิมมาดารู้สึกขวยเขินมากยิ่งขึ้น หญิงสาวรีบเบือนหน้าหลบและตอบไม่เต็มเสียงนัก

“ฉันสบายดี ที่หน้าแดงก็เพราะโดนแดดส่อง ไม่ได้เป็นอะไรหรอก”

ภูธราเอียงหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงของหญิงสาวเขาจึงพยักหน้าและขยับตัวถอยออกห่าง

“งั้นก็ดี”เขาเงยหน้าขึ้นมองต้นสนที่โอนเอนไปตามแรงลมก่อนจะลดสายตากลับลงมาที่หญิงสาวอีกครั้ง”เจ้าจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม”

“ถามทำไม”พิมมาดาย้อนคำถามกลับและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของอีกฝ่าย”นายไม่ชอบที่นี่เหรอ”

“ใช่”ภูธราตอบพลางหันมองไปรอบตัว”ถึงที่นี่จะมีต้นไม้แต่ก็เต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ พลังชีวิตของพวกเขาไร้แรงต้านจนข้าแทบจะดูดกลืนวิญญาณออกมาได้โดยไม่ต้องสัมผัส”

คำอธิบายของเขาทำให้หญิงสาวใจหายวาบเมื่อนึกถึงเพื่อนที่นอนซมอยู่บนเตียง

“รวมถึงนิลด้วยใช่ไหม”

“เพื่อนของเจ้าแค่บาดเจ็บ พลังของนางยังแข็งแกร่ง” ภูธราตอบ พิมมาดาจึงถอนใจอย่างโล่งอก

“ความจริงฉันเองก็ไม่ชอบโรงพยาบาลเท่าไหร่นักแต่จะทิ้งให้ยายนิลนอนคนเดียวคงไม่ได้”เธอหยุดพูดและทำท่าคิด”เอาเป็นว่าฉันจะนอนที่นี่อีกคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับ แต่ก็แค่เข้าไปรดน้ำต้นไม้กับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น ถ้านายไม่อยากมาก็รออยู่ที่บ้าน”

“แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า”

คำพูดตรงไปตรงมาของภูตหนุ่มทำให้พิมมาดารู้สึกตื้นตันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงแสร้งทำเป็นยกถ้วยเครื่องดื่มขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“จะห่วงอะไรกันนักหนาแค่มาโรงพยาบาลเท่านั้นไม่ได้ไปรบสักหน่อย”

เธอดื่มกาแฟด้วยท่าทางปรกติแต่สายตากลับลอบชำเลืองไปทางภูธรา หญิงสาวยิ้มอย่างสนุกเมื่อเห็นเขากำลังทำสีหน้าหนักใจตอนแรกเธอคิดจะแกล้งเขาอีกสักนิดแต่เมื่อนึกได้ว่าภูตหนุ่มเป็นพวกจริงจังกับคำพูดจึงเปลี่ยนใจ เมื่อรับประทานเค้กจนหมดแล้วหญิงสาวนั่งรับลมชมบรรยากาศต่ออีกครู่หนึ่งจึงคว้าถุงขนมเดินกลับไปที่ห้องของนิลเนตร

สิทธิศํกดิ์กับฤทธิ์อยู่เป็นเพื่อนเธอจนกระทั่งพนักงานอีกกลุ่มเข้ามาเยี่ยมทั้งสองจึงขอตัวกลับ หลังจากพูดคุยทักทายกันพักใหญ่นิลเนตรก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ป้าแช่มรีบจับมือเธอพร้อมกับกล่าวคำเรียกขวัญและอวยพรให้หญิงสาวหมดเคราะห์ส่วนคนอื่นก็ถามไถ่ถึงอาการและวิจารณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ว่าพิมมาดายังไม่ได้เล่ารายละเอียดที่เหลือให้คนป่วยฟัง เมื่อได้รู้ว่าคมกริชเป็นตัวการนิลเนตรก็หลุดปากด่าออกมาสองสามคำแต่พอรู้ว่าเขาตายในสภาพน่าอนาถคาที่เกิดเหตุเธอก็หยุดและส่ายหน้าช้าๆอย่างสังเวชใจ

“บาปกรรมมันตามสนองกันทันตาเห็น แบบนี้ก็คงได้แต่อโหสิกรรมต่อกัน”

คำพูดของเธอทำให้ป้าแช่มยกมือไหว้ท่วมหัว

“สาธุ เพราะคุณพิมกับคุณนิลเนตรมีจิตใจดีแบบนี้ พระท่านถึงได้คุ้มครอง”

นิลเนตรหัวเราะออกมาเบาๆในขณะที่พิมมาดายืนอมยิ้มและคิดในใจว่าที่พวกเธอรอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้ก็เพราะจากภูตไม่ใช่พระ ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะคิดแบบเดียวกันเพราะหลังจากทุกคนออกจากห้องไปจนหมดแล้วนิลเนตรจึงเอ่ยถาม

“กิ่งไม้นั่นเกิดจากฝีมือของภูตรูปหล่อคนนั้นใช่ไหม”

กิ่งไม้ที่เธอพูดถึงหมายถึงกิ่งประดู่ที่พุ่งทะลุเข้าไปปักหัวนายคมกริชจนตายคารถ พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ

“ใช่”

นิลเนตรถอนใจค่อนข้างยาว

“มิน่าตอนนั้นรถถึงได้วิ่งเป๋ออกไป”

“เธอพูดถึงเรื่องอะไรเหรอนิล”

พิมมาดาถามด้วยความงุนงง นิลเนตรจึงยิ้มและอธิบาย

“ตอนที่ผลักเธอฉันเห็นรถพุ่งตรงเข้ามาหา ตอนนั้นฉันคิดว่าต้องตายแน่แต่แล้วอยู่ๆก็มีกิ่งไม้พุ่งสวนเข้าไปในกระจกรถเลยเฉไปด้านข้าง จากชนเลยกลายเป็นแค่เฉี่ยวเท่านั้น”

“เท่านั้นที่ไหนกันเธอถึงกับแขนเดาะขาหักเลยนะ”พิมมาดาติงด้วยน้ำตาคลอเบ้า”เธออาจจะไม่เจ็บตัวเลยสักนิดถ้าเขามาช่วยเร็วกว่านี้”

“เหตุการณ์มันคับขัน ได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว อย่าลืมสิว่าเขาเป็นภูตไม่ใช่เทวดาจะได้มีพลังพิเศษอย่างรู้อะไรล่วงหน้า”

นิลเนตรพูดอย่างอารมณ์ดี พิมมาดาเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ

“พูดอย่างกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณเลยนะ”

“ฉันก็ว่าไปตามความน่าจะเป็น หรือเธอไม่คิดแบบนั้น”เธอหันมามองเพื่อนและนิ่วหน้าเมื่อเห็นพิมมาดาทำท่าอึกอัก”อย่าบอกนะว่าเธอไปต่อว่าเขา”

“แค่หลุดปากพูดอะไรไปนิดหน่อย”พิมมาดาตอบไม่เต็มเสียง นิลเนตรทำตาโต

“นี่เธอไปเหวี่ยงอารมณ์ใส่ภูธราอย่างนั้นหรือ”หล่อนระบายลมหายใจค่อนข้างแรง”ให้ตายเถอะพิม เธอไม่เคยมีนิสัยแบบนี้เลยนี่นา ทำไมถึงไปใส่อารมณ์กับเขาอย่างนั้น”

พิมมาดาไม่ตอบแต่กลับเหลือบตาไปยังภูธราที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างไม่ห่างจากเธอเท่าใดนัก ดวงตาที่มองมาอย่างห่วงใยทำให้เธอต้องก้มหน้าลงหลบและตอบเพื่อนด้วยเสียงที่ราวกระซิบ

“ก็ตอนนั้นฉันกำลังตกใจแล้วก็โกรธที่เธอต้องมารับเคราะห์แทน”

คำพูดของเธอทำให้นิลเนตรยิ้มอย่างอ่อนโยน

“ฉันยอมเจ็บตัวเพื่อเพื่อนรักเพียงคนเดียว อีกย่างถ้าต้องมานอนโรงพยาบาลทั้งคู่แล้วใครจะเป็นคนหอบดอกไม้กับขนมมาเยี่ยม”

พูดพลางชำเลืองตาไปยังแจกันดอกกุหลาบบนโต๊ะ พิมมาดาหัวเราะออกมาเบาๆ

“ยังมีแก่ใจพูดเล่นอีก” เธอมองนาฬิกาบบนผนัง”จะหกโมงแล้วฉันต้องลงไปซื้อข้าวก่อนร้านอาหารจะปิด เธออยากกินอะไรพิเศษหรือเปล่า”

“หูฉลามน้ำแดงกับรังนกตุ๋น” นิลเนตรตอบหน้าตาย พิมมาดาตีมือเพื่อนไม่แรงนัก

“ฉันไม่ถ่อสังขารไปซื้อให้หรอก กินข้าวโรงพยาบาลไปก็แล้วกัน”

“แหมเพื่อนอยากกินก็น่าจะไปซื้อให้หน่อย เยาวราชแค่นี้เอง นั่งรถไปสองสามชั่วโมงก็ถึง”นิลเนตรแกล้งทำเป็นมองด้วยสายตาอ้อนวอนเมื่อเห็นพิมมาดาตีหน้ายุ่งจึงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“ล้อเล่นน่ะ ขอขนมจีบซาละเปาก็พอ”

พิมมาดานึกจะแย้งเพื่อนว่าร้านอาหารที่นี่ไม่มีของแบบนั้นแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีร้านสะดวกซื้ออยู่หน้าโรงพยาบาลเธอจึงผงกศีรษะและคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้อง ส่วนตัวนิลเนตรพอเห็นเพื่อนออกไปแล้วจึงทิ้งศีรษะลงกับหมอนพลางย้อนคิดถึงเรื่องที่ตัวเองประสบ เพราะแม้จะเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่เธอก็แน่ใจว่าเห็นเงาเลือนลางของใครบางคนยืนขวางรถเอาไว้ก่อนที่กิ่งไม้จะพุ่งเข้าไปเสียบร่างคนขับ นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเบี่ยงเส้นทางทำให้เธอรอดพ้นจากความตาย

“ความจริงแล้วเขาต้องการช่วยเธอต่างหาก”นิลเนตรพึมพำพร้อมกับถอนใจ”เขารักเธอมากเลยนะพิม”

หญิงสาวผ่อนลมหายใจและปิดเปลือกตาลง ความอ่อนล้าของร่างกายผนวกกับฤทธิ์ยาทำให้นิลเนตรง่วงงุนจนหลับไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าพิมมาดากำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ข้างเตียง ทั้งคู่จึงสนทนากันจนดึก เมื่อกินยาที่พยาบาลนำมาให้แล้วสองสาวจึงแยกย้ายกันไปนอนโดยภูธราคอยยืนเฝ้าระวังเหมือนเช่นทุกคืน

เช้าวันรุ่งขึ้นพิมมาดาไปทำงานตามปรกติ พนักงานที่เพิ่งรู้ข่าวต่างเข้ามาสอบถามอาการของนิลเนตรด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้ยินว่าเธอได้สติและมีกำลังใจที่ดีแล้วทุกคนจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอก บางคนสาปแช่งคมกริชให้ตกนรกหมกไหม้และพาลด่าทอนงนภัสที่ทำตัวเป็นผู้หญิงสองหน้าปอกลอกเจ้านายของพวกเขาอย่างไม่มีความละอาย แม้จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเพื่อนร่วมงานแต่พิมมาดาก็ไม่ได้กล่าวขัดแต่อย่างใด เธอได้แต่ขอตัวเข้าห้องและก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวไปจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน

ความที่ห่วงบ้านหญิงสาวจึงหอบกระเป๋าเสื้อผ้าติดไปบริษัทด้วยเพื่อที่ตอนเย็นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อไปถึงสิ่งแรกที่เธอทำก็คือจุดธูปไหว้พระและจัดน้ำชุดใหม่ไปวางไหว้หน้าโกศกระดูกของตายายจากนั้นจึงเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อจะรดน้ำต้นไม้ ระหว่างที่กำลังก้มลงหยิบสายยางหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแทกประตูรั้วดังลั่นตามมาด้วยเสียงตะโกนก้อง

“นังพิม!”

เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กำลังก้าวเข้ามา

“คุณนง”พูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อเห็นวัตถุสีดำมะเมื่อมในมือ ยังไม่ทันที่จะได้ขยับหรือคิดจะทำอะไรเสียงกร้าวของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น

“แกทำลายชีวิตฉัน”นงนภัสพูดด้วยความแค้นและยกปืนขึ้นเล็งไปที่พิมมาดา”ตายเสียเถอะ”

ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก ในความรู้สึกของพิมมาดาทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที เธอหันไปมองภูธราที่พุ่งเข้าไปหานงนภัสตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืน เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วแตะบนลำคอร่างของหล่อนก็ทรุดลงไปนอนกองกับพื้น หญิงสาวคิดจะร้องห้ามไม่ให้เขาฆ่าคนแต่ทรวงอกที่เกิดอาการเจ็บแปลบอย่างรุนแรงทำให้ไม่อาจปล่อยคำพูดให้หลุดผ่านลำคอออกมาได้ เธอยกมือขึ้นกุมอกด้านซ้ายพร้อมกับก้มหน้าลงไปมองแต่แล้วจู่ๆร่างกายก็เกิดอาการชาจนไม่อาจทรงตัวอีกต่อไปได้ หญิงสาวจึงหงายหลังล้มลงและคงหัวฟาดกับพื้นถ้าไม่มีเถาดอกอัญชันยืดมารองรับ

“พิม !”

เสียงภูธราเต็มไปด้วยความตระหนกขณะมองเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาจากบาดแผล พิมมาดามองใบหน้าซีดเผือดของภูตหนุ่มด้วยความสงสาร เธออยากจะขานรับคำเรียกของเขาแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับริมฝีปาก ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงเช่นเดียวกับลมหายใจที่แผ่วลงทุกที

“ลืมตาขึ้นพูดกับข้าสิพิม”

ภูตหนุ่มพูดเสียงสั่นพลางนึกกล่าวโทษตัวเองด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจปกป้องหญิงที่รักให้รอดพ้นจากอันตราย มือข้างหนึ่งยื่นออกไปหมายจะสัมผัสกับพวงแก้มที่เริ่มเผือดลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการปลิดชีวิตของพิมมาดา เขาจึงหยุดค้างเอาไว้ทั้งที่ห่างเพียงแค่ปลายนิ้ว ราวกับรับรู้ถึงไออุ่น หญิงสาวปรือตาขึ้นและพูดเสียงแผ่ว

“ภู...”

คำเรียกสุดท้ายหลุดหายไปพร้อมกับลมหายใจ สัญญาณชีวิตที่ดับลงทำให้หัวใจของภูธราแทบจะหยุดเต้น เขารีบรวบร่างเธอเข้ามากอดพร้อมกับร้องเรียก

“พิม !”

ดวงหน้าซีดขาวกับนัยน์ตาเปิดค้างอยู่ครึ่งหนึ่งสร้างความปวดร้าวต่อภูตหนุ่มจนเขาอยากจะร้องตะโกนก้อง แต่สิ่งที่ภูธราทำได้มีเพียงกอดร่างของพิมมาดาไว้แนบอกพร้อมกับกล่าวคร่ำครวญ

“เจ้าจะตายไม่ได้นะพิม”

ดุจดวงใจถูกกระชากออกจากร่าง การได้เห็นคนรักสิ้นใจไปต่อหน้าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดจนสุดจะทานทน หากมีน้ำตา มันคงไหลหลั่งรินออกมาดุจสายธาร แต่เพราะความเป็นภูตที่ไม่เคยมีความรู้สึก แม้จะโศกเศร้าปานจะขาดใจดวงตาทั้งสองข้างของภูธราก็ยังแห้งเหือด สิ่งที่ภูตหนุ่มทำได้จึงมีเพียงกอดร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวแน่นแนบอกพลางพร่ำรำพันด้วยความอาลัยและกล่าวโทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องเธอเอาไว้ได้ดังคำสัญญา

“ทั้งที่อยู่ข้างกายเจ้าแต่ข้ากลับช่วยอะไรไม่ได้” เขากล่าวเสียงเครือพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ภูตหนุ่มเฝ้าภาวนาขอให้พญาพฤกษาแห่งพงไพรช่วยนำดวงวิญญาณของหญิงสาวกลับคืนมาแต่ทุกอย่างกลับเงียบสงบ ไม่มีเสียงแมลงกรีดปีกร้องดั่งเช่นทุกคืน ไร้สายลมพัดผ่านเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ดอกไม้แม้จะชูช่อแต่กลับปราศจากกลิ่นหอมที่ควรจะเป็น ต้นไม้ทุกต้นภายในสวนกลับยืนต้นทะมึนคล้ายป้ายวิญญาณในสุสาน ภูธราซบหน้าลงกับร่างของพิมมาดาและขบกรามแน่นด้วยความเสียใจ

“พิม”

เขาพร่ำเรียกชื่อของเธออย่างโหยหา ช่วงที่หัวใจกำลังจมอยู่ภายใต้ความหมองหม่นพลันคำพูดของวิษธรก็ดังสะท้อนก้องอยู่ในโสต

‘ภูตครามจะเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อ กลืนกินลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคนที่ตนรัก’

ใบหน้าของภูตหนุ่มถอยห่างออกมาแต่ยังคงมองพิมมาดาแน่วนิ่ง มือไล้บนพวงแก้มอย่างแผ่วเบา

“จะมีประโยชน์อะไรหากมีร่างกายแต่ปราศจากเจ้า”

เขาพึมพำอย่างเศร้าสร้อยและชะงักค้างนิ่งเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายของอดีตหัวหน้าภูตคราม

‘มีบางอย่างที่ภูตครามส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ นอกจากจะมีพลังในการกลืนกินชิวิตสิ่งอื่นแล้วเรายังมีพลังแห่งการให้ เหมือนกับต้นไม้ที่สามารถมอบ ดอก ผลหรือแม้กระทั่งลมหายใจให้กับสัตว์ป่าและมนุษย์’

คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างใช้ความคิด

“มันหมายความว่าอะไร”

ภูธราเงยขึ้นมองต้นไม้ที่กำลังโยกโอนเอนไปตามแรงลมพลางนึกทบทวนประโยคของวิษธรกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้นมือก็เลื่อนไปแตะเถาอัญชันโดยไม่ตั้งใจ มันสั่นไหวพร้อมกับผลิดอกเบ่งบาน เหมือนไฟดวงสุดท้ายสว่างวาบขึ้นในความมืด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมคำกล่าวสุดท้ายก่อนลาจากของมฤต

‘รักแท้เท่านั้นที่สามารถสร้างปาฏิหารย์’

กรามถูกบดจนเป็นสันนูน ในที่สุดเขาก็รู้ว่าสิ่งที่วิษธรกล่าวถึงนั้นคืออะไร ภูตหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและมองคนรักในอ้อมกอด

“หากจะมีผู้ใดรอด ก็ขอให้เป็นเจ้า”

ภูธราโน้มใบหน้าลงจุมพิตหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“ข้ารักเจ้านะพิมมาดา”

เขาสูดลมหายใจเข้าและเงยหน้าขึ้นจากนั้นจึงหลับตาลง ภูตหนุ่มรวบรวมพลังชีวิตของเขาทั้งหมดมารวมไว้ที่มือทั้งสองข้างและตั้งจิตอธิษฐานให้มันไหลซึมเข้าไปในร่างของพิมมาดา คลื่นวิญญาณที่แผ่ออกมาทำให้อากาศที่นิ่งงันเมื่อครู่บังเกิดการเคลื่อนไหว ไออุ่นที่แทรกอยู่ในผืนดินผุดขึ้นมาลอยอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งเข้าไปรวมตัวกับกระแสลมที่กำลังวิ่งวนรอบร่างสูงใหญ่ของภูธรา อำนาจการดูดกลืนทำให้บรรดาต้นไม้รายรอบสลัดใบให้ร่วงพรูลงพร้อมกัน ร่างของภูตหนุ่มบังเกิดแสงเรืองรองขึ้นจนกลายเป็นเจิดจ้าบาดตา มันส่องสว่างขึ้นวาบหนึ่งและดับหายไปอย่างรวดเร็ว สายลมที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรงเมื่อครู่ยุติลงอย่างฉับพลัน เหลือเพียงใบสีเขียวสดของต้นมณฑาที่หมุนเป็นวงร่วงหล่นลงบนกองใบไม้ที่สุมอยู่บนร่างที่นอนเหยียดยาวของพิมมาดา

ความเงียบเคลื่อนเข้ามาปกคลุมบริเวณบ้านอีกครั้ง เสียงคร่ำครวญด้วยความอาวรณ์จางหายไป ไร้ร่างสูงใหญ่ที่ส่งเสียงร่ำไห้พิลาปรำพัน ไม่มีแม้แต่เงาของภูธรา

*/*/*/*/*/*


จบไปอีกบทแล้วนะคะ และมูนนี่จำต้องแจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบว่าสามารถโพสต์นิยายได้ถึงแค่นี้เท่านั้น ตามสัญญากับสนพ. ดังนั้นจึงขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ตอนนี้ทางสนพ.ได้ส่งตัวอย่างปกมาให้ดูแล้ว สวยมากค่ะ ถ้าเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่จะนำมาให้ทุกท่านได้ชมกันนะคะ

มีอีกข่าวที่อากจะแจ้งให้ทราบก็คือ นิยายเรื่องความทรงจำในผืนทรายวางจำหน่ายแล้วค่ะ หากผู้ใดชอบแนวฟาโรห์หลงยุคสามารถซ้ออ่านได้เลยนะคะ รับรองว่านุกมากค่ะ ^^

ข่าวสารจบแล้วมาคุยกันค่า ^0^/

จะลงบทหน้าได้เป็นตอนสุดท้ายเท่านั้น
อะไรกันนี่..!!!!

จากคุณ : GTW  
- ต้องขอโทษจริงๆนะคะ (โค้งแล้วโค้งอีก)

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่ค่ะ

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 09:41:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com