ภูตคราม บทที่ 15 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
|
|
ภูตครามบทต้น http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=moonyforever&month=26-04-2012&group=22&gblog=1
บทที่ 14 คำเตือนของมฤต http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12638122/W12638122.html
บทที่ 15 ลมหายใจเฮือกสุดท้าย
เสียงดนตรีจากโทรศัพท์มือถือทำให้พิมมาดาลืมตาขึ้น มือข้างหนึ่งควานหาที่มาของเสียงและรีบกดปุ่มปิดเพราะเกรงว่าจะรบกวนผู้ป่วย แต่แทนที่จะลุกขึ้นหญิงสาวกลับนอนมองเพดานด้วยความคิดคำนึงถึงภูตหนุ่ม ความที่อยากให้เขาอยู่ใกล้เธอจึงขยับปากเรียกด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
ภูธรา
เรียกข้าหรือ
เสียงทุ้มดังตอบมาจากมุมห้อง พิมมาดาลุกพรวดขึ้นและหันหน้าไปมอง ภาพของภูตหนุ่มที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ทำให้น้ำตาคลอเบ้าด้วยความดีใจ ส่วนอีกฝ่ายเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ก็รีบเคลื่อนกายเข้ามาใกล้พร้อมกับถามอย่างตระหนก
เจ้าร้องไห้ทำไม เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า
เปล่าเสียหน่อยหญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้นเช็ดดวงตาฉันหาวต่างหาก
เธออ้าปากหาวเพื่อเป็นการประกอบคำพูด ภูธราเอียงคอเล็กน้อยเหมือนไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก เพราะเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าสบายดี เขาก็วางใจ จากนั้นก็มองไปรอบห้องพร้อมกับพูด
ความจริงข้าอยากจะทำกาแฟให้เจ้า แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลย
แทนที่จะได้รับคำตอบโต้หญิงสาวนิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยสักคำ ภูธราจึงหันไปมองเธอด้วยความแปลกใจครั้นจะเอ่ยปากถามเขาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำตาหญิงสาวไหลลงมาเป็นทาง
พิมภูธราเรียกเธอด้วยน้ำเสียงตระหนกและรีบเดินเข้าไปหา มือยกขึ้นเรียกสายลมมาเช็ดน้ำตาแต่หญิงสาวกลับก้มหน้าลงหลบพร้อมกับปฏิเสธ
ฉันสบายดี เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับภูตหนุ่ม ฉันขอโทษที่เมื่อวานนี้พูดไม่ดีกับเธอ
เจ้ากำลังไม่สบายใจ ภูธราตอบเสียงนุ่มและโน้มตัวลงจนใบหน้าอยู่ห่างจากพิมมาดาไม่ถึงคืบข้าไม่ถือโกรธเจ้าเลยแม้แต่น้อย
ยังไงฉันก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี หญิงสาวพูดเสียงแห้งทั้งที่รอดมาได้ก็เพราะเธอแต่ฉันก็ยัง
มวลอากาศอบอุ่นเป่าผ่านริมฝีปากดุจถูกภูตหนุ่มแตะด้วยปลายนิ้ว
บอกแล้วไงว่า ข้าไม่เคยโกรธเจ้า เขากระซิบบอกพร้อมกับข่มใจมิให้เผลอประทับจุมพิตเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูผ่อนคลายขึ้นเขาจึงเลื่อนตัวถอยออกห่างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม
พิมมาดาผงกศีรษะพลางหันไปมองนิลเนตรด้วยความเป็นห่วง ภูธรามองเธออย่างรู้ใจ
พลังชีวิตเพื่อนของเจ้าเข้มแข็งมาก เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอจึงยังไม่ฟื้นคืนสติ
นายรู้ได้ยังไงพิมมาดาถามด้วยความสงสัย ภูธราจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
ข้าคือภูตคราม
นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นเพราะภูตหนุ่มมีพลังในการรับรู้ถึงคลื่นชีวิตของมนุษย์ การที่เขาพูดเช่นนี้แสดงว่าเพื่อนของเธอย่อมมีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดที่จะถามย้ำไม่ได้
แน่ใจหรือ
ข้าแน่ใจภูธราตอบพลางส่งกลุ่มลมไล้พวงแก้มอย่างแผ่วเบาหากสบายใจแล้วเจ้าก็ควรไปหาอะไรกินไม่เช่นนั้นแล้วจะพลอยล้มป่วยไปด้วยอีกคน
เขาพูดด้วยความเป็นห่วง พิมมาดาจึงหยิบเสื้อผ้าออกจากระเป๋าหายเข้าไปในห้องน้ำราวสิบนาทีและกลับออกมาด้วยสีหน้าที่แช่มชื่นกว่าเดิม จากนั้นเธอจึงไปที่เตียงของนิลเนตรและพูดเบาๆ
เดี๋ยวฉันมานะ
กล่าวแค่นั้นหญิงสาวก็ออกจากห้องเพื่อลงไปยังห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นล่าง เมื่อจัดการกับมื้อเช้าแล้วเธอจึงแวะซื้อดอกกุหลาบจากร้านดอกไม้ภายในโรงพยาบาล ตอนแรกเจ้าของร้านคะยั้นคะยอให้เธอเลือกรูปแบบกระเช้าแต่หญิงสาวปฏิเสธ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยืนยันหนักแบบนั้นแล้วเจ้าของร้านจึงพูด
ถ้าอย่างนั้นคุณน่าจะรับเพิ่มอีกดอกนะคะ เลข 9 เป็นมงคล คนป่วยจะได้มีอาการก้าวหน้าขึ้นจนลุกขึ้นก้าวเดินได้ด้วยตัวเอง
หากเป็นเมื่อก่อนพิมมาดาคงไม่ใส่ใจความเชื่อนี้เท่าใดนักเพราะสำหรับเธอแล้ว ตัวเลขเป็นเพียงมูลค่าของรายรับหรือรายจ่ายของบริษัทเท่านั้น แต่ในยามนี้อะไรที่พอจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจได้ย่อมมีความหมาย เธอจึงหันไปหยิบกุหลาบเพิ่มอีกดอกพร้อมกับถามราคาเพื่อตัดบท
เท่าไหร่คะ
ทั้งหมด 270บาทค่ะ แต่ฉันคิดแค่ 250 บาทพอเจ้าของร้านพูดด้วยท่าทางสนิทสนม พิมมาดาจึงหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยบาทส่งให้ ระหว่างรอเงินทอนเธอก็อดคิดถึงไม่ได้ว่าหากนิลเนตรอยู่ด้วยมีหวังได้โวยวายเรื่องราคาดอกไม้ที่แพงลิบลิ่วแบบนี้ลั่นร้านแน่
ออกจากร้านดอกไม้พิมมาดาก็กลับขึ้นห้องทันที ระหว่างขึ้นลิฟต์เธอได้พบกับฤทธิ์และสิทธิศักดิ์ที่กำลังสอบถามห้องกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล
คุณสิทธิศักดิ์พิมมาดาเรียกไม่ดังนัก อีกฝ่ายหันมามองและยิ้มกว้าง
คุณพิมเขากล่าวขอบคุณกับเจ้าหน้าที่ก่อนจะเดินไปหาเธอมาเยี่ยมคุณนิลด้วยเหรอครับ
ค่ะ
หญิงสาวตอบสั้นๆ ฤทธิ์จึงเอ่ยถามด้วยท่าทางที่ดูสงบเสงี่ยมผิดไปจากทุกครั้ง
แล้วคุณนิลเป็นยังไงบ้างครับ
ยังไม่ได้สติ แต่หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว
ค่อยยังชั่วฤทธิ์พูดอย่างโล่งใจ จากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าห้องโดยฤทธิ์กับสิทธิศักดิ์รีบเข้าไปดูนิลเนตร ส่วนพิมมาดานำดอกกุหลาบจัดลงแจกันและนำไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
คุณนิลหน้าซีดจัง แน่ใจเหรอครับว่าเธอไม่เป็นอะไร
ฤทธิ์ถามด้วยความเป็นห่วง สิทธิศักดิ์จึงหันไปดุ
พูดจาอะไรระวังปากหน่อย คุณพิมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคุณนิลพ้นขีดอันตรายแล้ว ที่หน้าซีดน่ะก็เพราะเธอป่วยและยังนอนหลับอยู่เท่านั้น
พนักงานหนุ่มเจ้าปัญหาพยักหน้าหงึกหงักพลางรีบยื่นถุงพลาสติกใบโตส่งให้พิมมาดาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้
เกือบลืม ของเยี่ยมของผมกับพี่สิทธิครับ
ไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้พิมมาดาพูดพลางดึงขนมประเภทคุ้กกี้กล่องใหญ่ออกมาวางไว้ข้างแจกันดอกไม้คงอีกหลายวันกว่านิลจะได้กิน
ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้ากลัวเสียผมจะช่วยจัดการให้ก่อน พอคุณนิลหายดีค่อยซื้อมาให้ใหม่
พิมมาดาหัวเราะเบาๆเมื่ออาการทะเล้นของพนักงานรุ่นน้องกลับมาอีกครั้ง สิทธิศักดิ์จึงเหวี่ยงขาเตะเขาไม่แรงนัก
ทะลึ่งไม่เลิกจริงๆ
ถ้าเครียดเกินไปผมกลัวคุณพิมจะพลอยไม่สบายไปอีกคนน่ะครับ ฤทธิ์พูดพลางถอยไปนั่งที่เก้าอี้ สิทธิศักดิ์ได้แต่ส่ายหน้าพลางหย่อนตัวนั่งด้านข้าง
แต่นึกไม่ถึงเลยนะครับว่าคมกริชจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนถึงขนาดทำร้ายคุณทั้งสองคน
มันเป็นสันดานของพวกโจรมากกว่า เจ็บใจนักรู้อย่างนี้ผมซัดมันให้หมอบตั้งแต่แรกก็ดี ไม่น่าปล่อยให้รอดออกไปเลย
ฤทธิ์พูดพลางกำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ พิมมาดาจึงยกมือขึ้นปราม
ยังไงเขาก็ตายไปแล้ว พวกเราควรจะอโหสิให้เขาจะได้ไม่เป็นเวรกรรมกันต่อไป
พูดถึงเวรกรรม เมื่อวานนี้คุณองอาจสั่งให้ผมเอาสมบัติของนงนภัสไปส่งให้ที่คอนโด คนที่นั่นบอกว่าเจ้าหล่อนคบกับคมกริชมาตั้งแต่ก่อนรู้จักกับคุณองอาจเสียอีก
พวกเขารู้ได้ยังไงกันสิทธิศํกดิ์ถาม ฤทธิ์ยักไหล่
ก็นายคมกริชเข้าไปกกเธอตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้าไปในคอนโด
แสดงว่าสองคนนี่ร่วมมือกันหลอกคุณองอาจมาโดยตลอดสิทธิศักดิ์พูดและส่ายหน้า ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ
แล้วตอนนี้คุณนงนภัสเป็นยังไงบ้าง พิมมาดาถามด้วยความเป็นห่วงเพราะถึงแม้อีกฝ่ายจะมีนิสัยร้ายกาจ แต่ในความคิดของเธอ นงนภัสก็เป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ฤทธิ์ยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเรียกเธอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมเปิดประตู แต่คนที่นั่นบอกว่าหลังจากรู้ข่าวเรื่องคมกริชเจ้าหล่อนก็กรีดร้องเหมือนคนบ้าเกือบทั้งคืน จากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลย
น่าจะเข้าไปดูสักหน่อยเผื่อเขาเป็นอะไรไปจะได้ช่วยทัน พิมมาดากล่าวเชิงตำหนิแต่พนักงานหนุ่มกลับเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และพูดอย่างไม่ใส่นัก
ผู้หญิงแบบนั้นต่อให้สติแตกยังไงก็ไม่กล้าฆ่าตัวตายหรอกครับ
พูดเบาๆก็ได้สิทธิศักดิ์เตือนเมื่อเห็นพนักงานรุ่นน้องชักจะเริ่มเสียงดัง ฤทธิ์จึงรีบตะครุบปากตัวเองและยิ้มแห้ง
ขอโทษครับ
สิทธิศักดิ์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาและทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทั้งหมดหันไปดูและรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกันเมื่อเห็นว่าผู้ที่กำลังก้าวเข้ามานั้นคือเจ้านายของพวกเขาเอง
คุณองอาจพิมมาดาเอ่ยทักพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายผงกศีรษะรับและมองพนักงานอีกสองคนที่กำลังยืนทำความเคารพอยู่ด้านหลัง
อ้าว มาเหมือนกันเหรอ
ครับสิทธิศักดิ์พูดด้วยท่าทางนอบน้อม เจ้านายเขาจึงยิ้มและหันไปทางนิลเนตร
วันนี้เป็นยังไงบ้าง
คุณหมอบอกว่าอาการดีขึ้นแต่ยังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ
พิมมาดาตอบ นายองอาจขมวดคิ้ว
ยังไม่ฟื้นแล้วจะบอกว่าดีได้ยังไงเขาพูดอย่างหงุดหงิดขณะเดินไปพิจารณาผู้ป่วยบนเตียงเดี๋ยวผมจะไปถามหมออีกที
พูดจบก็เตรียมจะเดินออกจากห้องแต่เสียงอุทานของฤทธิ์ทำให้นายองอาจต้องหยุด
คุณนิลขยับตัวแล้วครับ
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พิมมาดารีบหันไปดูและยิ้มกว้างเมื่อเห็นนิลเนตรค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้น คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง เธอขยับตัวเพื่อจะลุกแต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้หญิงสาวต้องทิ้งตัวกลับลงไปนอนอีกครั้งพร้อมกับส่งเสียงร้องครางเบาๆ
ฉันอยู่ที่ไหนถามพลางกวาดตามองไปโดยรอบ พิมมาดาจึงรีบตอบ
โรงพยาบาลจ้ะ
โรงพยาบาลนิลเนตรพูดทวนพร้อมกับขมวดคิ้วฉันเป็นอะไรไปเหรอ ทำไมถึงได้ปวดไปทั้งตัวแบบนี้
ดวงตาเหลือบมองท่อนแขนที่ถูกหุ้มด้วยเฝือกตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงศอก หญิงสาวรีบผงกหัวดูขาข้างขวาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อพบว่ามันอยู่ในสภาพเดียวกัน
เกิดอะไรขึ้น ทำไมแขนขาของฉันถึงเป็นแบบนี้
เธอร้องถามเสียงดัง พิมมาดาจึงรีบกุมมือเพื่อนเอาไว้พร้อมกับปลอบ
เมื่อวานเธอถูกรถชนตอนกำลังข้ามถนนไปซื้อต้นไม้ เสียงที่เล่าขาดหายไปเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่เพื่อนผลักเธอไปให้พ้นทาง นิลเนตรขมวดคิ้วและนึกทบทวนตาม
ฉันจำได้แค่ว่าได้ยินเสียงคนร้องตะโกนจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด เธอรีบไล่สายตามองทั่วร่างของพิมมาดาแล้วเธอได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าพิม
น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ไหลรินออกมา พิมมาดาส่ายหน้าพร้อมกับตอบเสียงเครือ
ฉันไม่เป็นอะไร
นิลเนตรยิ้มอย่างโล่งใจพลางเลื่อนสายตาไปทางนายองอาจ อีกฝ่ายส่งยิ้มปรานีกลับมา
ไม่ต้องคิดอะไรมาก พักรักษาตัวให้ดีหายแล้วค่อยไปทำงาน
ขอบคุณค่ะนิลเนตรพูดและเตรียมขยับมือเพื่อจะไหว้แต่เจ้านายกลับแตะไหล่ของเธอพร้อมกับพูด
นอนนิ่งๆอย่าขยับ เกิดเป็นอะไรไปนวลศรีจะโทษว่าเป็นเพราะฉัน
น้ำเสียงพูดเชิงหยอกล้อเรียกรอยยิ้มจากคนที่ยืนรอบเตียง ฤทธิ์จึงรีบพูด
คุณนิลไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องงานเดี๋ยวผมจะจัดการให้เอง
นั่นแหละที่ฉันเป็นห่วง นิลเนตรพูดสวนทันควัน พนักงานหนุ่มทำท่าจะโต้แต่สิทธิศักดิ์กลับปราม
พูดน้อยหน่อยก็ได้ฤทธิ์ นี่มันห้องคนป่วยไม่ใช่ที่ทำงาน
เมื่อถูกพนักงานรุ่นพี่ติติงฤทธิ์จึงสงบปากสงบคำลง ส่วนนิลเนตรหลังจากได้รับการตรวจจากแพทย์และได้รับยาอีกชุดแล้วจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง ด้านนายองอาจเมื่อเห็นว่าเลขาฯสาวได้สติจึงอยู่สนทนากับพนักงานทั้งสามอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงเดินทางกลับ เมื่อเจ้านายคล้อยห่างออกไปสิทธิศักดิ์จึงหันไปพูดกับพิมมาดา
สายมากแล้วคุณพิมลงไปหาอะไรทานก่อนดีกว่าครับ ผมกับฤทธิ์จะอยู่เฝ้าคุณนิลให้
แต่ว่า...หญิงสาวเตรียมจะแย้งแต่ฤทธิ์กลับชิงพูดขึ้นเสียก่อน
ผมกับพี่ศักดิ์เรียบร้อยกันมาแล้วครับ
พิมมาดาหันไปมองนิลเนตรด้วยความห่วงใยก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่เพื่อนร่วมงานทั้งสองคนอีกครั้ง
ถ้าอย่างนั้นฝากดูนิลด้วยนะคะ
ครับ
สิทธิศักดิ์รับคำอย่างเคร่งขรึมในขณะที่ฤทธิ์ชูสามนิ้วขึ้นจรดหน้าผากเหมือนลูกเสือสามัญ ความขี้เล่นของเขาทำให้พิมมาดาต้องอมยิ้ม
ร้านอาหารของโรงพยาบาลแยกออกไปอยู่อีกอาคารหนึ่งซึ่งนับเป็นผลดีต่อพิมมาดาเพราะระหว่างทางมีสวนหย่อมและซุ้มขายเครื่องดื่มจำพวกกาแฟกับเค้กแถมยังมีที่นั่งให้ลูกค้าได้พักรับประทานพร้อมกับชมความงามของต้นไม้นานาพันธุ์ได้ เมื่อได้เห็นขนมที่อยู่ในตู้ความคิดที่จะไปหาข้าวกินจึงเปลี่ยนไป หญิงสาวตกลงใจสั่งกาแฟและขาร้อนอย่างละหนึ่งแก้วพร้อมบลูเบอรี่ชีสเค้กและบราวนี่อีกหนึ่งชิ้นโดยไม่ลืมที่จะเพิ่มขนมอีกสองสามอย่างใส่กล่องสำหรับฤทธิ์กับสิทธิศักดิ์ด้วย
เมื่อได้ที่นั่งเหมาะพิมมาดาจึงดื่มกาแฟพร้อมกับตักขนมเค้กตามเข้าปาก ดวงตามองไม้ดอกอย่างชื่นชมพลางสูดลมหายใจเข้าเพื่อซึมซับกลิ่นดอกพุดน้ำบุดที่ออกดอกเต็มต้นจากนั้นจึงเลื่อนไปดูปลาคาร์ฟหลากสีที่กำลังสะบัดโบกครีบสะบัดหางแหวกว่ายไปมา แม้จะเริ่มมีแดดแต่สายลมที่พัดผ่านสวนกับละอองเย็นฉ่ำจากน้ำพุกลางบ่อปลาสร้างความสดชื่นให้กับเธอเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้เห็นเพื่อนรักฟื้นคืนสติอย่างปลอดภัยแล้วหญิงสาวจึงรู้สึกปลอดโปร่งจนแทบจะลืมเหตุการณ์ร้ายที่ผ่านมา
ดีใจที่เห็นเจ้าสบายใจขึ้น
ภูธราซึ่งยืนมองเธออยู่ข้างต้นเทียนหยดพูด พิมมาดาส่งยิ้มให้เขา
บริษัทจับคนขโมยของได้ นิลก็ปลอดภัย เป็นนายจะไม่ดีใจเหรอ
หญิงสาวพูดอย่างระวังเพราะเกรงว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดที่เห็นเธอนั่งพูดอยู่คนเดียว ยิ่งถ้าแพทย์มาเห็นอาจจะนึกว่าเธอเป็นพวกโรคจิตและจับส่งโรงพยาบาล ดูเหมือนภูธราจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เธอกังวล
ข้าไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น ภูตหนุ่มตอบ แต่หากเป็นความสบายใจก็คงตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มของเจ้า
มือที่กำลังยกถ้วยกาแฟขึ้นหยุดชะงัก ความร้อนแผ่ซ่านบนใบหน้า ภูธรามองพวงแก้มที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเป็นห่วง
เจ้าเป็นอะไรไปหรือ
เปล่านี่ถามทำไม พิมมาดาตอบตะกุกตะกัก ภูตหนุ่มโน้มตัวลงมาจนแทบจะชิด
เจ้าหน้าแดง ไม่สบายหรือเปล่าพิม
การเรียกอย่างสนิทสนมกว่าทุกครั้งยิ่งทำให้พิมมาดารู้สึกขวยเขินมากยิ่งขึ้น หญิงสาวรีบเบือนหน้าหลบและตอบไม่เต็มเสียงนัก
ฉันสบายดี ที่หน้าแดงก็เพราะโดนแดดส่อง ไม่ได้เป็นอะไรหรอก
ภูธราเอียงหน้าเล็กน้อยคล้ายไม่เชื่อแต่เมื่อเห็นท่าทางที่ดูกระฉับกระเฉงของหญิงสาวเขาจึงพยักหน้าและขยับตัวถอยออกห่าง
งั้นก็ดีเขาเงยหน้าขึ้นมองต้นสนที่โอนเอนไปตามแรงลมก่อนจะลดสายตากลับลงมาที่หญิงสาวอีกครั้งเจ้าจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม
ถามทำไมพิมมาดาย้อนคำถามกลับและขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของอีกฝ่ายนายไม่ชอบที่นี่เหรอ
ใช่ภูธราตอบพลางหันมองไปรอบตัวถึงที่นี่จะมีต้นไม้แต่ก็เต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ พลังชีวิตของพวกเขาไร้แรงต้านจนข้าแทบจะดูดกลืนวิญญาณออกมาได้โดยไม่ต้องสัมผัส
คำอธิบายของเขาทำให้หญิงสาวใจหายวาบเมื่อนึกถึงเพื่อนที่นอนซมอยู่บนเตียง
รวมถึงนิลด้วยใช่ไหม
เพื่อนของเจ้าแค่บาดเจ็บ พลังของนางยังแข็งแกร่ง ภูธราตอบ พิมมาดาจึงถอนใจอย่างโล่งอก
ความจริงฉันเองก็ไม่ชอบโรงพยาบาลเท่าไหร่นักแต่จะทิ้งให้ยายนิลนอนคนเดียวคงไม่ได้เธอหยุดพูดและทำท่าคิดเอาเป็นว่าฉันจะนอนที่นี่อีกคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับ แต่ก็แค่เข้าไปรดน้ำต้นไม้กับเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้น ถ้านายไม่อยากมาก็รออยู่ที่บ้าน
แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า
คำพูดตรงไปตรงมาของภูตหนุ่มทำให้พิมมาดารู้สึกตื้นตันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงแสร้งทำเป็นยกถ้วยเครื่องดื่มขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จะห่วงอะไรกันนักหนาแค่มาโรงพยาบาลเท่านั้นไม่ได้ไปรบสักหน่อย
เธอดื่มกาแฟด้วยท่าทางปรกติแต่สายตากลับลอบชำเลืองไปทางภูธรา หญิงสาวยิ้มอย่างสนุกเมื่อเห็นเขากำลังทำสีหน้าหนักใจตอนแรกเธอคิดจะแกล้งเขาอีกสักนิดแต่เมื่อนึกได้ว่าภูตหนุ่มเป็นพวกจริงจังกับคำพูดจึงเปลี่ยนใจ เมื่อรับประทานเค้กจนหมดแล้วหญิงสาวนั่งรับลมชมบรรยากาศต่ออีกครู่หนึ่งจึงคว้าถุงขนมเดินกลับไปที่ห้องของนิลเนตร
สิทธิศํกดิ์กับฤทธิ์อยู่เป็นเพื่อนเธอจนกระทั่งพนักงานอีกกลุ่มเข้ามาเยี่ยมทั้งสองจึงขอตัวกลับ หลังจากพูดคุยทักทายกันพักใหญ่นิลเนตรก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ป้าแช่มรีบจับมือเธอพร้อมกับกล่าวคำเรียกขวัญและอวยพรให้หญิงสาวหมดเคราะห์ส่วนคนอื่นก็ถามไถ่ถึงอาการและวิจารณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ว่าพิมมาดายังไม่ได้เล่ารายละเอียดที่เหลือให้คนป่วยฟัง เมื่อได้รู้ว่าคมกริชเป็นตัวการนิลเนตรก็หลุดปากด่าออกมาสองสามคำแต่พอรู้ว่าเขาตายในสภาพน่าอนาถคาที่เกิดเหตุเธอก็หยุดและส่ายหน้าช้าๆอย่างสังเวชใจ
บาปกรรมมันตามสนองกันทันตาเห็น แบบนี้ก็คงได้แต่อโหสิกรรมต่อกัน
คำพูดของเธอทำให้ป้าแช่มยกมือไหว้ท่วมหัว
สาธุ เพราะคุณพิมกับคุณนิลเนตรมีจิตใจดีแบบนี้ พระท่านถึงได้คุ้มครอง
นิลเนตรหัวเราะออกมาเบาๆในขณะที่พิมมาดายืนอมยิ้มและคิดในใจว่าที่พวกเธอรอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้ก็เพราะจากภูตไม่ใช่พระ ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะคิดแบบเดียวกันเพราะหลังจากทุกคนออกจากห้องไปจนหมดแล้วนิลเนตรจึงเอ่ยถาม
กิ่งไม้นั่นเกิดจากฝีมือของภูตรูปหล่อคนนั้นใช่ไหม
กิ่งไม้ที่เธอพูดถึงหมายถึงกิ่งประดู่ที่พุ่งทะลุเข้าไปปักหัวนายคมกริชจนตายคารถ พิมมาดานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
ใช่
นิลเนตรถอนใจค่อนข้างยาว
มิน่าตอนนั้นรถถึงได้วิ่งเป๋ออกไป
เธอพูดถึงเรื่องอะไรเหรอนิล
พิมมาดาถามด้วยความงุนงง นิลเนตรจึงยิ้มและอธิบาย
ตอนที่ผลักเธอฉันเห็นรถพุ่งตรงเข้ามาหา ตอนนั้นฉันคิดว่าต้องตายแน่แต่แล้วอยู่ๆก็มีกิ่งไม้พุ่งสวนเข้าไปในกระจกรถเลยเฉไปด้านข้าง จากชนเลยกลายเป็นแค่เฉี่ยวเท่านั้น
เท่านั้นที่ไหนกันเธอถึงกับแขนเดาะขาหักเลยนะพิมมาดาติงด้วยน้ำตาคลอเบ้าเธออาจจะไม่เจ็บตัวเลยสักนิดถ้าเขามาช่วยเร็วกว่านี้
เหตุการณ์มันคับขัน ได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว อย่าลืมสิว่าเขาเป็นภูตไม่ใช่เทวดาจะได้มีพลังพิเศษอย่างรู้อะไรล่วงหน้า
นิลเนตรพูดอย่างอารมณ์ดี พิมมาดาเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ
พูดอย่างกับผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณเลยนะ
ฉันก็ว่าไปตามความน่าจะเป็น หรือเธอไม่คิดแบบนั้นเธอหันมามองเพื่อนและนิ่วหน้าเมื่อเห็นพิมมาดาทำท่าอึกอักอย่าบอกนะว่าเธอไปต่อว่าเขา
แค่หลุดปากพูดอะไรไปนิดหน่อยพิมมาดาตอบไม่เต็มเสียง นิลเนตรทำตาโต
นี่เธอไปเหวี่ยงอารมณ์ใส่ภูธราอย่างนั้นหรือหล่อนระบายลมหายใจค่อนข้างแรงให้ตายเถอะพิม เธอไม่เคยมีนิสัยแบบนี้เลยนี่นา ทำไมถึงไปใส่อารมณ์กับเขาอย่างนั้น
พิมมาดาไม่ตอบแต่กลับเหลือบตาไปยังภูธราที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างไม่ห่างจากเธอเท่าใดนัก ดวงตาที่มองมาอย่างห่วงใยทำให้เธอต้องก้มหน้าลงหลบและตอบเพื่อนด้วยเสียงที่ราวกระซิบ
ก็ตอนนั้นฉันกำลังตกใจแล้วก็โกรธที่เธอต้องมารับเคราะห์แทน
คำพูดของเธอทำให้นิลเนตรยิ้มอย่างอ่อนโยน
ฉันยอมเจ็บตัวเพื่อเพื่อนรักเพียงคนเดียว อีกย่างถ้าต้องมานอนโรงพยาบาลทั้งคู่แล้วใครจะเป็นคนหอบดอกไม้กับขนมมาเยี่ยม
พูดพลางชำเลืองตาไปยังแจกันดอกกุหลาบบนโต๊ะ พิมมาดาหัวเราะออกมาเบาๆ
ยังมีแก่ใจพูดเล่นอีก เธอมองนาฬิกาบบนผนังจะหกโมงแล้วฉันต้องลงไปซื้อข้าวก่อนร้านอาหารจะปิด เธออยากกินอะไรพิเศษหรือเปล่า
หูฉลามน้ำแดงกับรังนกตุ๋น นิลเนตรตอบหน้าตาย พิมมาดาตีมือเพื่อนไม่แรงนัก
ฉันไม่ถ่อสังขารไปซื้อให้หรอก กินข้าวโรงพยาบาลไปก็แล้วกัน
แหมเพื่อนอยากกินก็น่าจะไปซื้อให้หน่อย เยาวราชแค่นี้เอง นั่งรถไปสองสามชั่วโมงก็ถึงนิลเนตรแกล้งทำเป็นมองด้วยสายตาอ้อนวอนเมื่อเห็นพิมมาดาตีหน้ายุ่งจึงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
ล้อเล่นน่ะ ขอขนมจีบซาละเปาก็พอ
พิมมาดานึกจะแย้งเพื่อนว่าร้านอาหารที่นี่ไม่มีของแบบนั้นแต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีร้านสะดวกซื้ออยู่หน้าโรงพยาบาลเธอจึงผงกศีรษะและคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้อง ส่วนตัวนิลเนตรพอเห็นเพื่อนออกไปแล้วจึงทิ้งศีรษะลงกับหมอนพลางย้อนคิดถึงเรื่องที่ตัวเองประสบ เพราะแม้จะเพียงแค่ไม่กี่วินาทีแต่เธอก็แน่ใจว่าเห็นเงาเลือนลางของใครบางคนยืนขวางรถเอาไว้ก่อนที่กิ่งไม้จะพุ่งเข้าไปเสียบร่างคนขับ นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถเบี่ยงเส้นทางทำให้เธอรอดพ้นจากความตาย
ความจริงแล้วเขาต้องการช่วยเธอต่างหากนิลเนตรพึมพำพร้อมกับถอนใจเขารักเธอมากเลยนะพิม
หญิงสาวผ่อนลมหายใจและปิดเปลือกตาลง ความอ่อนล้าของร่างกายผนวกกับฤทธิ์ยาทำให้นิลเนตรง่วงงุนจนหลับไป เมื่อตื่นมาอีกครั้งก็พบว่าพิมมาดากำลังนั่งปอกผลไม้อยู่ข้างเตียง ทั้งคู่จึงสนทนากันจนดึก เมื่อกินยาที่พยาบาลนำมาให้แล้วสองสาวจึงแยกย้ายกันไปนอนโดยภูธราคอยยืนเฝ้าระวังเหมือนเช่นทุกคืน
เช้าวันรุ่งขึ้นพิมมาดาไปทำงานตามปรกติ พนักงานที่เพิ่งรู้ข่าวต่างเข้ามาสอบถามอาการของนิลเนตรด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้ยินว่าเธอได้สติและมีกำลังใจที่ดีแล้วทุกคนจึงถอนใจออกมาอย่างโล่งอก บางคนสาปแช่งคมกริชให้ตกนรกหมกไหม้และพาลด่าทอนงนภัสที่ทำตัวเป็นผู้หญิงสองหน้าปอกลอกเจ้านายของพวกเขาอย่างไม่มีความละอาย แม้จะไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเพื่อนร่วมงานแต่พิมมาดาก็ไม่ได้กล่าวขัดแต่อย่างใด เธอได้แต่ขอตัวเข้าห้องและก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวไปจนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน
ความที่ห่วงบ้านหญิงสาวจึงหอบกระเป๋าเสื้อผ้าติดไปบริษัทด้วยเพื่อที่ตอนเย็นจะได้ไม่ต้องเสียเวลาย้อนกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง เมื่อไปถึงสิ่งแรกที่เธอทำก็คือจุดธูปไหว้พระและจัดน้ำชุดใหม่ไปวางไหว้หน้าโกศกระดูกของตายายจากนั้นจึงเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อจะรดน้ำต้นไม้ ระหว่างที่กำลังก้มลงหยิบสายยางหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงกระแทกประตูรั้วดังลั่นตามมาด้วยเสียงตะโกนก้อง
นังพิม!
เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่กำลังก้าวเข้ามา
คุณนงพูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อเห็นวัตถุสีดำมะเมื่อมในมือ ยังไม่ทันที่จะได้ขยับหรือคิดจะทำอะไรเสียงกร้าวของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น
แกทำลายชีวิตฉันนงนภัสพูดด้วยความแค้นและยกปืนขึ้นเล็งไปที่พิมมาดาตายเสียเถอะ
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก ในความรู้สึกของพิมมาดาทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที เธอหันไปมองภูธราที่พุ่งเข้าไปหานงนภัสตั้งแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียงปืน เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วแตะบนลำคอร่างของหล่อนก็ทรุดลงไปนอนกองกับพื้น หญิงสาวคิดจะร้องห้ามไม่ให้เขาฆ่าคนแต่ทรวงอกที่เกิดอาการเจ็บแปลบอย่างรุนแรงทำให้ไม่อาจปล่อยคำพูดให้หลุดผ่านลำคอออกมาได้ เธอยกมือขึ้นกุมอกด้านซ้ายพร้อมกับก้มหน้าลงไปมองแต่แล้วจู่ๆร่างกายก็เกิดอาการชาจนไม่อาจทรงตัวอีกต่อไปได้ หญิงสาวจึงหงายหลังล้มลงและคงหัวฟาดกับพื้นถ้าไม่มีเถาดอกอัญชันยืดมารองรับ
พิม !
เสียงภูธราเต็มไปด้วยความตระหนกขณะมองเลือดที่กำลังไหลทะลักออกมาจากบาดแผล พิมมาดามองใบหน้าซีดเผือดของภูตหนุ่มด้วยความสงสาร เธออยากจะขานรับคำเรียกของเขาแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับริมฝีปาก ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงเช่นเดียวกับลมหายใจที่แผ่วลงทุกที
ลืมตาขึ้นพูดกับข้าสิพิม
ภูตหนุ่มพูดเสียงสั่นพลางนึกกล่าวโทษตัวเองด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจปกป้องหญิงที่รักให้รอดพ้นจากอันตราย มือข้างหนึ่งยื่นออกไปหมายจะสัมผัสกับพวงแก้มที่เริ่มเผือดลงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเป็นการปลิดชีวิตของพิมมาดา เขาจึงหยุดค้างเอาไว้ทั้งที่ห่างเพียงแค่ปลายนิ้ว ราวกับรับรู้ถึงไออุ่น หญิงสาวปรือตาขึ้นและพูดเสียงแผ่ว
ภู...
คำเรียกสุดท้ายหลุดหายไปพร้อมกับลมหายใจ สัญญาณชีวิตที่ดับลงทำให้หัวใจของภูธราแทบจะหยุดเต้น เขารีบรวบร่างเธอเข้ามากอดพร้อมกับร้องเรียก
พิม !
ดวงหน้าซีดขาวกับนัยน์ตาเปิดค้างอยู่ครึ่งหนึ่งสร้างความปวดร้าวต่อภูตหนุ่มจนเขาอยากจะร้องตะโกนก้อง แต่สิ่งที่ภูธราทำได้มีเพียงกอดร่างของพิมมาดาไว้แนบอกพร้อมกับกล่าวคร่ำครวญ
เจ้าจะตายไม่ได้นะพิม
ดุจดวงใจถูกกระชากออกจากร่าง การได้เห็นคนรักสิ้นใจไปต่อหน้าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดจนสุดจะทานทน หากมีน้ำตา มันคงไหลหลั่งรินออกมาดุจสายธาร แต่เพราะความเป็นภูตที่ไม่เคยมีความรู้สึก แม้จะโศกเศร้าปานจะขาดใจดวงตาทั้งสองข้างของภูธราก็ยังแห้งเหือด สิ่งที่ภูตหนุ่มทำได้จึงมีเพียงกอดร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวแน่นแนบอกพลางพร่ำรำพันด้วยความอาลัยและกล่าวโทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องเธอเอาไว้ได้ดังคำสัญญา
ทั้งที่อยู่ข้างกายเจ้าแต่ข้ากลับช่วยอะไรไม่ได้ เขากล่าวเสียงเครือพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง ภูตหนุ่มเฝ้าภาวนาขอให้พญาพฤกษาแห่งพงไพรช่วยนำดวงวิญญาณของหญิงสาวกลับคืนมาแต่ทุกอย่างกลับเงียบสงบ ไม่มีเสียงแมลงกรีดปีกร้องดั่งเช่นทุกคืน ไร้สายลมพัดผ่านเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ดอกไม้แม้จะชูช่อแต่กลับปราศจากกลิ่นหอมที่ควรจะเป็น ต้นไม้ทุกต้นภายในสวนกลับยืนต้นทะมึนคล้ายป้ายวิญญาณในสุสาน ภูธราซบหน้าลงกับร่างของพิมมาดาและขบกรามแน่นด้วยความเสียใจ
พิม
เขาพร่ำเรียกชื่อของเธออย่างโหยหา ช่วงที่หัวใจกำลังจมอยู่ภายใต้ความหมองหม่นพลันคำพูดของวิษธรก็ดังสะท้อนก้องอยู่ในโสต
ภูตครามจะเป็นมนุษย์ได้ก็ต่อเมื่อ กลืนกินลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคนที่ตนรัก
ใบหน้าของภูตหนุ่มถอยห่างออกมาแต่ยังคงมองพิมมาดาแน่วนิ่ง มือไล้บนพวงแก้มอย่างแผ่วเบา
จะมีประโยชน์อะไรหากมีร่างกายแต่ปราศจากเจ้า
เขาพึมพำอย่างเศร้าสร้อยและชะงักค้างนิ่งเมื่อนึกถึงประโยคสุดท้ายของอดีตหัวหน้าภูตคราม
มีบางอย่างที่ภูตครามส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ นอกจากจะมีพลังในการกลืนกินชิวิตสิ่งอื่นแล้วเรายังมีพลังแห่งการให้ เหมือนกับต้นไม้ที่สามารถมอบ ดอก ผลหรือแม้กระทั่งลมหายใจให้กับสัตว์ป่าและมนุษย์
คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
มันหมายความว่าอะไร
ภูธราเงยขึ้นมองต้นไม้ที่กำลังโยกโอนเอนไปตามแรงลมพลางนึกทบทวนประโยคของวิษธรกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ระหว่างที่ใช้ความคิดอยู่นั้นมือก็เลื่อนไปแตะเถาอัญชันโดยไม่ตั้งใจ มันสั่นไหวพร้อมกับผลิดอกเบ่งบาน เหมือนไฟดวงสุดท้ายสว่างวาบขึ้นในความมืด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมคำกล่าวสุดท้ายก่อนลาจากของมฤต
รักแท้เท่านั้นที่สามารถสร้างปาฏิหารย์
กรามถูกบดจนเป็นสันนูน ในที่สุดเขาก็รู้ว่าสิ่งที่วิษธรกล่าวถึงนั้นคืออะไร ภูตหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและมองคนรักในอ้อมกอด
หากจะมีผู้ใดรอด ก็ขอให้เป็นเจ้า
ภูธราโน้มใบหน้าลงจุมพิตหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
ข้ารักเจ้านะพิมมาดา
เขาสูดลมหายใจเข้าและเงยหน้าขึ้นจากนั้นจึงหลับตาลง ภูตหนุ่มรวบรวมพลังชีวิตของเขาทั้งหมดมารวมไว้ที่มือทั้งสองข้างและตั้งจิตอธิษฐานให้มันไหลซึมเข้าไปในร่างของพิมมาดา คลื่นวิญญาณที่แผ่ออกมาทำให้อากาศที่นิ่งงันเมื่อครู่บังเกิดการเคลื่อนไหว ไออุ่นที่แทรกอยู่ในผืนดินผุดขึ้นมาลอยอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งเข้าไปรวมตัวกับกระแสลมที่กำลังวิ่งวนรอบร่างสูงใหญ่ของภูธรา อำนาจการดูดกลืนทำให้บรรดาต้นไม้รายรอบสลัดใบให้ร่วงพรูลงพร้อมกัน ร่างของภูตหนุ่มบังเกิดแสงเรืองรองขึ้นจนกลายเป็นเจิดจ้าบาดตา มันส่องสว่างขึ้นวาบหนึ่งและดับหายไปอย่างรวดเร็ว สายลมที่พัดกรรโชกอย่างรุนแรงเมื่อครู่ยุติลงอย่างฉับพลัน เหลือเพียงใบสีเขียวสดของต้นมณฑาที่หมุนเป็นวงร่วงหล่นลงบนกองใบไม้ที่สุมอยู่บนร่างที่นอนเหยียดยาวของพิมมาดา
ความเงียบเคลื่อนเข้ามาปกคลุมบริเวณบ้านอีกครั้ง เสียงคร่ำครวญด้วยความอาวรณ์จางหายไป ไร้ร่างสูงใหญ่ที่ส่งเสียงร่ำไห้พิลาปรำพัน ไม่มีแม้แต่เงาของภูธรา
*/*/*/*/*/*
จบไปอีกบทแล้วนะคะ และมูนนี่จำต้องแจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบว่าสามารถโพสต์นิยายได้ถึงแค่นี้เท่านั้น ตามสัญญากับสนพ. ดังนั้นจึงขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ตอนนี้ทางสนพ.ได้ส่งตัวอย่างปกมาให้ดูแล้ว สวยมากค่ะ ถ้าเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่จะนำมาให้ทุกท่านได้ชมกันนะคะ
มีอีกข่าวที่อากจะแจ้งให้ทราบก็คือ นิยายเรื่องความทรงจำในผืนทรายวางจำหน่ายแล้วค่ะ หากผู้ใดชอบแนวฟาโรห์หลงยุคสามารถซ้ออ่านได้เลยนะคะ รับรองว่านุกมากค่ะ ^^
ข่าวสารจบแล้วมาคุยกันค่า ^0^/
จะลงบทหน้าได้เป็นตอนสุดท้ายเท่านั้น อะไรกันนี่..!!!!
จากคุณ : GTW - ต้องขอโทษจริงๆนะคะ (โค้งแล้วโค้งอีก)
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายของมูนนี่ค่ะ
จากคุณ |
:
Moony_Lupin
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ย. 55 09:41:06
|
|
|
|