Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สุดปลายทางหัวใจ -บทที่ 2- ติดต่อทีมงาน

เมื่อไม่เคยหมายว่าจะรัก เมื่อหัวใจรู้จักแต่ความแค้น
แล้วสุดปลายทางหัวใจนั้นจะเป็นเช่นไร...

บทที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12655130/W12655130.html

บทที่ 2

“สรุปเขารับเช็คคืนไหม”

คนหลังพวงมาลัยถามทักทันทีที่เพื่อนสนิทเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารแล้วทิ้งตัวลงบนเบาะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“เขารับไม่รับไม่รู้ แต่เราฉีกแล้วโปรยใส่หน้าเลย” เนตรนภิสตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเหลียวมองแขนซ้ายตัวเองที่ยังปวดแปลบๆ ดีที่ก่อนหน้าจะมาฉะกับเจนภพ ธนาธรผู้ซึ่งสร่างเมาจากงานเลี้ยงเมื่อคืนแล้วเรียบร้อยอาสาพาเธอไปโรงพยาบาลเพื่อทำแผล ไถ่โทษที่เมื่อคืนไม่ได้ขับมาส่งเธอกลับบ้านตามที่สัญญาเอาไว้

“เลยเดือดร้อนหมด แขนก็เจ็บ แถมยังต้องไปทะเลาะกับเขาอีก พวกคนรวยจัดๆนี่มันจริงๆเลย”

“เพราะใครล่ะ มัวแต่อยากชนแก้ว” คนเจ็บแขนแกล้งแย็บเพื่อนสนิท เมื่อธนาธรรู้ตัวว่าโดนเข้าแล้วจึงเอ่ยเสียงอ่อย

“ขอโทษนะน้อยหน่า”

เสียงนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกผิดจนเนตรนภิสใจวูบลง พลางเหลือบมองหน้าตาหล่อเหลาด้านข้างของคนที่กำลังขับรถอยู่ บัดนี้หมองอย่างเห็นได้ชัดจนเธอรีบกล่าว

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่ความผิดของต้น”

“หน่า”

“ว่าไง” หญิงสาวตอบรับเมื่อเพื่อนเรียกชื่อ พร้อมรู้ดีว่าเมื่อไรที่ธนาธรเรียกชื่อเธอนำเช่นนี้ เขามักจะพูดอะไรบางอย่างที่สำคัญตามมาเสมอ

“คราวหน้าเราจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีกนะ”

มีเพียงเสียงแอร์คอนดิชันเนอร์ทำงานที่ดังอย่างชัดเจนยามชายหนุ่มจบประโยคหนักแน่นนั้น เนตรนภิสลอบมองเพื่อนสนิทจากด้านข้างอีกครั้งก่อนจะเสมองออกนอกหน้าต่าง พยายามไม่นึกถึงความหวั่นไหวที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจช้าๆอีกครั้ง
เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีที่เธอมีธนาธรเป็นเพื่อนสนิทข้างกาย ด้วยความที่พ่อแม่ของเขาก็เป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนกับแม่เธอ จึงมักจะมาแวะเวียนบ้านเนตรนภิสเสมอตั้งแต่บิดาจากไป รวมถึงอาสาช่วยเลี้ยงดูหญิงสาวที่ตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กหญิงเป็นครั้งเป็นคราวจนราวกับเป็นลูกสาวของครอบครัวในยามที่แม่ของเธอยุ่งงาน โดยที่ชายหนุ่มเองก็คอยทำตัวเป็นเหมือนพี่ชายทั้งที่เกิดก่อนเธอแค่ไม่กี่วัน

“ไม่ต้องมีคราวหน้าหรอก เราดูแลตัวเองได้”

เนตรนภิสแสร้งยิ้มกลบแล้วเปรยลอยๆ นึกถึงสองเดือนที่แล้วที่ธนาธรโทรมาหาเธอแล้วบอกเสียงเรียบว่าเพิ่งเลิกกับคนรักที่คบกันนานกว่าสี่ปี

“เอาเวลาไปหาแฟนใหม่เถอะ แล้วก็ไม่ต้องมาตามรับส่งแบบนี้แล้ว แฟนจะได้ไม่ต้องหึงแล้วเลิกกันอีก”

ธนาธรเหยียบเบรกแทบไม่ทันเมื่อเพิ่งเห็นสัญญาณไฟแดง พลางนึกถึงแฟนคนล่าสุดที่ยื่นคำขาดว่าเลือกเอาระหว่างแฟนหรือเพื่อนสนิทอย่างเนตรนภิส ถ้าเลือกเธอก็ต้องเลิกติดต่อกับเพื่อนสนิทคนนี้ให้เด็ดขาด

แน่นอนว่าธนาธรตัดเนตรนภิสไม่ขาด

“ขอโทษนะ จะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”

“ไม่เป็นไรๆ เราโอเคแล้ว” ธนาธรยิ้มบางๆอย่างไม่คิดอะไรมากมาย แม้จะยังเศร้าที่ความรักจากไป แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องคบคนที่ทำให้เขาต้องเลือก

แม้เนตรนภิสจะไม่ใช่คนรัก หากแต่เธอเองก็กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเขาไปแล้ว

“ว่าแต่วันนี้หน่าจะไปหาพ่อแม่ไหม”

“แล้วต้นไม่ไปทำงานเหรอ นี่มันบ่ายแล้วนะ”

“วันนี้วันเสาร์ เราหยุด”

“ไปก็ได้ ขอบคุณนะต้น” เนตรนภิสกล่าวคำขอบคุณแล้วมองรถราคันข้างๆที่พยายามจะเบียดแซงขึ้นมาแล้วถอนหายใจ พลางนึกว่าถ้าแม่เธอยังคงอยู่ถึงทุกวันนี้คงได้มีรายการสวดคนขับรถมารยาทแย่แบบนี้แล้วเป็นแน่แท้

แม่... เป็นผู้หญิงสวยและน่ารักที่สุดในสายตาเนตรนภิสแม้จะบ่นเก่งไปบ้างก็ตาม แม่เป็นผู้หญิงแกร่งที่หาเลี้ยงลูกสาวหลังจากที่ครอบครัวล้มละลายพร้อมกับการตายของพ่อเมื่อเธอห้าขวบ เนตรนภิสเคยสงสัยถึงการเสียชีวิตอย่างปริศนาของพ่อที่ทำให้ครอบครัวมีหนี้นับล้านแบบที่กว่าจะใช้หมดก็ทำเอาแม่เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด

‘พ่อเราเขาเป็นคนดีเกินไป สวรรค์เลยไม่อยากให้อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเลวร้ายนี้’

หญิงสาวไม่เคยจำหน้าพ่อได้หรือเรื่องราวที่เกี่ยวกับชายผู้ให้กำเนิดเลยไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว ทุกครั้งที่พยายามคิดถึงความทรงจำตอนห้าขวบก่อนที่พ่อจะจากไป เนตรนภิสจะเห็นแต่ภาพเวิ้งว้างสีขาวในความคิด ตอนเล็กๆ เธอมักจะถามแม่บ่อยครั้ง และก็ทุกครั้งที่แม่จะน้ำตาซึมพร้อมกับกอดเธอเอาไว้แน่นๆจนเนตรนภิสรู้ว่าถ้าหากไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้ก็ห้ามถามคำถามนี้อีก เธอจึงเติบโตมาแบบค้างคาใจในที่มาของตนเองหากแต่ก็พยายามทำเหมือนไม่ใส่ใจตลอดเวลาที่ผ่านมา

‘มีแฟนก็ได้นะหน่า อย่ามาติดแม่ขนาดนี้’

แม่เปรยขึ้นมาวันนึงหลังจากที่เนตรนภิสเพิ่งคุยโทรศัพท์ตัดความสัมพันธ์ของคนที่มาจีบเมื่อสมัยเธอเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ

‘ไม่เอาหรอกแม่ มีทำไม ถ้ามีหนูก็ต้องไปอยู่กับเขา หนูอยู่กับแม่นี่แหละดีสุดแล้ว หนูจะอยู่ดูแลแม่’

‘ทำเป็นพูดไป เพราะมีต้นอยู่หรอกถึงไม่เอาคนที่มาจีบ อย่ามาอ้างแม่’

‘โหย... แม่ ต้นก็มีแฟนอยู่แล้ว หนูจะไปแทรกเขาได้ยังไงเล่า’

แต่วันนี้เนตรนภิสได้แต่นึกย้อนถึงบทสนทนาเฮฮาร่าเริ่งเหล่านั้น ในเมื่อวันนี้แม่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธออีกต่อไป เมื่อเกือบปีที่แล้วที่แม่ต้องทนทรมานกับมะเร็งในไขกระดูกมานานนับปีจนกระทั่งจากไปอย่างสงบ ดวงหน้าสวยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตานานนับสัปดาห์ ก่อนที่จะค่อยๆยิ้มได้เรื่อยๆจากการที่มีครอบครัวของธนาธรเคียงข้างที่คอยช่วยเหลือเธอไม่ต่างกับญาติสนิท

หากแต่เธอก็ยังคงคิดถึงแม่... และความทรงจำก่อนห้าขวบที่แม่ไม่เคยเล่าให้ฟังจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต

“หน่า... หน่า ฟังอยู่หรือเปล่า”

เสียงธนาธรปลุกเธอจากภวังค์ เมื่อครู่เหมือนว่าเพื่อนชายกำลังเล่าอะไรบางอย่างให้เธอฟังแต่เสียงนั้นก็กลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างง่ายดาย

“จ๋า ฟังอยู่ๆ”

“งั้นเราเล่าอะไรเมื่อกี๊”

“เอ่อ... ไอ้... ไอ้ตูดหมึกมันออกลูกสามตัว สีดำหนึ่ง สีขาวสอง”

ชายหนุ่มหรี่ตามองคนละลักละล่ำตอบ จำได้ว่าเรื่องไอ้ตูดหมึกหมาข้างบ้านเขาตกลูกนั้นเล่าให้เพื่อนสนิทฟังไปเป็นสัปดาห์แล้ว

“เรื่องนั้นมันนานจนลูกไอ้ตูดหมึกโตแล้วน้อยหน่า นี่เราบ่นเรื่องงานเราอยู่ คนละเรื่องเลย ว่าแต่คิดอะไรอยู่”

“เปล่า แค่พยายามคิดถึงความทรงจำก่อนห้าขวบ”

คำตอบแผ่วเบาของเนตรนภิสทำให้คนขับรถเงียบไป ดวงตาคมโตมีเสน่ห์นั้นฉายแววอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด

“คิดเรื่องนั้นอีกแล้วเหรอ แล้วคิดออกหรือยัง”

“ยังเลย”

ธนาธรค่อยๆชะลอรถลงแล้วบังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้าวัดใจกลางเมืองอันเป็นที่เก็บอัฐิบุพการีทั้งสองของหญิงสาว รู้ดีว่าเพื่อนสนิทพยายามคิดถึงเรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยประถมแล้วหากแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับช่วงเวลาห้าปีแรกในชีวิต และทุกครั้งที่เธอเหม่อลอยถึงเรื่องนี้ เขาก็ได้แต่ปลอบโยนเธอด้วยประโยคเดิมๆ

“อย่าเครียดไป เราก็จำไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครจำเรื่องสมัยเด็กได้แม่นยำหรอก”

“แต่เราไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับพ่อเลยนะต้น ถ้าไม่มีรูปพ่อในบ้าน เราก็คงนึกหน้าพ่อไม่ออก ที่เราจำหน้าพ่อได้ ก็เป็นแค่หน้าที่อยู่บนรูปถ่ายเท่านั้น อย่างอื่นคิดไม่ออกจริงๆ”

รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นจอดสนิทลง คนขับบิดกุญแจรถแล้วเหลือบมองเพื่อนที่ยังนิ่งนิ่งไม่เปิดประตู เนตรนภิสในวันนี้ดูเข้มแข็งขึ้นมากหลังจากวันที่แม่จากไปเมื่อปีก่อน แต่ธนาธรรู้ดีว่าภายในเธอยังเปราะบางเสมอ มือคู่ใหญ่กว่าเอื้อมแตะไหล่บางอย่างคุ้นเคย หวังให้เธอลืมเรื่องนี้ไปเสียที

“เราเชื่อว่าสักวันน้อยหน่าคงจะรู้”





“เมียน้อยพ่อคนนี้นี่แสบดีนะ”

ประโยคแรกของเจนภพเมื่อกลับมาเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลก็ทำเอาคนนอนป่วยถึงกับหน้าตึงนอนแทบไม่ติดเตียง สายตามองดูลูกชายที่บัดนี้หน้าบึ้งราวกับไปทะเลาะกับใครมาก่อนที่จะรีบสะบัดเสียงปฏิเสธ

“จะให้พูดอีกกี่ครั้งว่าไม่ใช่”

เจษฎาตอบอย่างเหนื่อยใจอีกครั้ง แต่ก็โทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ชอบทำพฤติกรรมแบบที่เจนภพกำลังกล่าวหาอยู่มาเสียหลายครั้งจนลูกไม่เชื่อใจคนเป็นพ่ออีกต่อไป

“ก็จากคราวของน้องแอนอะไรนั้นพ่อปฏิเสธเป็นเดือน หลอกผมได้ตั้งนาน แล้วไง เล่นซื้อรถให้ขับเป็นคันๆ คุณบุ๋มแม่ม่ายลูกติดอะไรนั่นที่พ่อลากเข้าบ้านแล้วอ้างว่าเป็นลูกจ้าง พอตกดึกก็ย่องหา จนหลังๆชักจะลามปามนึกว่าตัวเองเป็นเมียใหญ่แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกร้องนู่นนี่นั่น... แล้วคนนี้ทำไมจะไม่ใช่”

เจนภพว่าแล้วนึกถึงเจ้าของหน้าตาจิ้มลิ้มที่กล้าด่าเขาปาวๆทั้งๆที่ตัวเองก็อยู่ในถิ่นเขา... แม้ไม่อยากใส่ใจเท่าใดนักแต่เพราะไม่เคยโดนใครประนามหนักหนาเช่นนี้มาก่อนเลยทำให้ชายหนุ่มผู้มีความภูมิใจในตัวเองมาตลอดชีวิตถึงกับเสียความมั่นใจไปไม่ใช่น้อย จนถึงกับตั้งเป้าหมายมาตลอดทางมาโรงพยาบาลว่าจะต้องทำให้ผู้หญิงปากจัดกร้านโลกน้อยหน่าบ้าบอคอแตกอะไรนั่นต้องพูดขอโทษเขาให้ได้

“ทำไมลูกต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”

“ทำไมน่ะเหรอ” เสียงนั้นเรียบจนผู้ฟังไม่สามารถรับรู้อารมณ์ผู้พูดได้ก่อนที่ประโยคแฝงไปด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจจะตามมา

“เพราะผมไม่อยากให้แม่ต้องเสียใจมากกว่านี้”

คนป่วยบนเตียงสะอึกขึ้นมาราวกับอะไรมาจุกอกยามลูกชายพูดถึงหญิงผู้ให้กำเนิดเขา

วสินี... แม่ของเจนภพ... ภรรยาผู้แสนดีที่เคยอยู่เคียงข้างเขาเสมอจนกระทั่งเกิด ‘เหตุการณ์นั้น’ ขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว วันที่เขามีตราบาปไปตลอดชีวิตอย่างยากจะลืมเลือนเพียงเพราะความละโมบเพียงชั่ววูบที่ทำให้ตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายที่สุดจนชีวิตของคนคนหนึ่งต้องพังพินาศ ในเวลานั้น เด็กชายเจนภพอายุเพียงแค่เจ็ดขวบยังไม่รู้เรื่องรู้ราวที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก หากแต่วสินีนั้นเลือกที่จะย้ายไปอยู่ในบ้านอีกหลังบริเวณใกล้เคียงกันพร้อมกับพาลูกไปด้วย เธอแทบไม่คุยกับสามีผู้ซึ่งเพิ่งตระหนักความผิด พร้อมตัดสินใจเลี้ยงดูผู้เป็นลูกชายด้วยตัวเองจนกระทั่งเจนภพโตเข้าสู่วัยรุ่น ในขณะที่เขาเองก็ต้องยอมรับสภาวะอึดอัดของครอบครัวล้มเหลวนี้โดยการทำตัวบ้างานไม่หันมาเหลียวมองภรรยาและลูกเพื่อให้ลืมความชั่วที่เคยกระทำเอาไว้

แล้วดูเจนภพในยามนี้...

นี่อาจจะเป็นกรรมตามสนองจากเหตุการณ์นั้นก็เป็นได้

ลูกชายของเขาแทบไม่เชื่อฟังอะไรเลยยกเว้นเรื่องงานที่ยังพอจะคุยกันบ้าง หากแต่ก็เป็นในฐานะที่ประธานฝ่ายบริหารจะปฏิบัติตามคำสั่งกรรมการผู้จัดการหาใช่ด้วยความห่วงใยในฐานะพ่อกับลูก แม้เจษฎาจะนึกเสียใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทุกครั้งที่เขาแสดงความรู้สึกนั้นออกมา ลูกชายมักเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจ เขารู้ดีว่าวสินีไม่ได้บอกให้ลูกชายเกลียดพ่อ หากเพราะพฤติกรรมเอาแต่ห่วงความรู้สึกตัวเองต่างหากและหนีปัญหาตัวเองที่ทำให้เจนภพต้องกลายเป็นคนเย็นชาเช่นนี้

หลังจากที่แม่เสียไปเพราะอุบัติเหตุรถชน ลูกชายผู้กำลังอยู่ในชั้นมัธยมปลายก็กลับมาอยู่บ้านเดียวกับเขาและเอาแต่มุมานะตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนเจษฎาผู้เป็นพ่อนึกแปลกใจที่ลูกชายนั้นดูเข้มแข็งกว่าที่คิด เขาไม่เคยเห็นน้ำตาเจนภพเลยสักครั้งเดียว จนบางทีก็คิดไปว่าถ้าเกิดเป็นทีเขาที่ต้องจากไปบ้าง ก็ไม่รู้ว่าลูกชายคนนี้มันจะร้องไห้เสียใจให้กันบ้างไหม

ว่าแล้วเจษฎาก็คิดถึงเมื่อคืนที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้าเกิดไม่ได้หญิงสาวคราวลูกคนนั้นช่วยเอาไว้ล่ะก็... ป่านนี้คงได้ลงไปนั่งแช่ในกระทะทองแดงในอาบอบนวดสาขานรกเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็นึกขอบคุณพลางรีบถามถึงพลเมืองดีคนนั้นทันที

“เดี๋ยวนะ หนูคนนั้นที่มาช่วยพ่อเขาชื่ออะไร?”

“นี่พ่อไม่รู้ชื่อเขาเหรอ”

“ถ้ารู้จะถามไหม”

“เนตรนภิส อภิลิขิต” คนเป็นลูกตอบแล้วเบ้หน้า ต่างจากบิดาที่ตาเบิกกว้างแล้วย้อนถามอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

“นามสกุลอะไรนะ...”

“อภิลิขิต”

“อภิลิขิต... อย่างนั้นเหรอ” เจษฎาทวนนามสกุลอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเบิกโตยังคงมองลูกชายที่ป่านนี้ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงดูตกใจนัก

“ทำไม มีอะไรเหรอครับ”

คำถามของเจนภพไร้ความหมายทันทีเมื่อคนเป็นพ่อจมดิ่งลงไปในความคิดลึกเสียจนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

ไม่ผิด... ไม่ผิดแน่ๆ

เขาเคยวางแผนตามหาตัวเธอมาตลอด รู้ดีว่าบ้านของเธออยู่ในซอยเดียวกับอาบอบนวดที่เขาไปมาเมื่อวาน และหลายครั้งในช่วงระยะเวลาหลายปีที่เขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้นิดา แม่ของเธอผู้นั้นยอมรับความช่วยเหลือทางการเงินและยื่นข้อเสนอช่วยส่งเสีย แต่ทุกครั้งก็จะถูกปฏิเสธอยู่ร่ำไปและโดนไล่ออกมาเสมอ

‘นิจะไม่ให้น้อยหน่ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ ลูกของนิมีความสุขดีแม้พี่วัชจะไม่อยู่แล้ว อย่าพาหายนะมาหาครอบครัวเราอีกเลย ถือว่าขอร้องล่ะค่ะ’

นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของนิดาเมื่อสี่ปีที่แล้วหลังจากที่นักธุรกิจใหญ่อย่างเขาพยายามโทรไปเสนอความช่วยเหลือให้ พลางนึกถึงเมื่อคืน แม้ในแสงสลัวที่เจษฎาได้แต่กระพริบตาปริบๆด้วยความมึนจากการโดนทำร้าย เขายังพอนึกหน้าพลเมืองดีที่เข้ามาช่วยออก... ดวงหน้าสวยนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากผู้เป็นแม่หากแต่แฝงไปด้วยแววตาเข้มแข็งที่เหมือนพ่อของเธอราวกับพิมพ์เดียวกัน...

หญิงสาวคนนั้นคือสายเลือดหนึ่งเดียวของอดีตเพื่อนรักของเขา... เด็กหญิงวัยห้าขวบที่อยู่เหตุการณ์ในครั้งนั้นบัดนี้เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งแล้วแม้จะไร้พ่อก็ตาม

‘เฮ้ย ไอ้วัช สรุปลูกแก...?’

ในวินาทีที่วัชระ เพื่อนสนิทที่สุดสมัยเรียนและหุ้นส่วนผู้ร่วมกันลงทุนเปิดบริษัทน้ำมันอภิทักษ์ด้วยกันเดินออกมาจากห้องตรวจแผนกสูตินารีเวชพร้อมนิดาผู้เป็นภรรยาเมื่อยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว เจษฎาก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนแล้วร้องถามทันที

‘ได้ลูกสาว’

ใบหน้าวัชระนั้นเต็มไปด้วยความยินดีสูงสุดอย่างที่ชายผู้หนึ่งจะมีได้ในชีวิต ก่อนจะยิ้มรับเมื่อเพื่อนสนิทกล่าว

‘แบบนี้ก็ดีน่ะสิ ลูกสาวกับลูกชายของพวกเราจะได้แต่งงานกัน แล้วอภิทักษ์จะไม่ตกไปอยู่ในมือใคร’

เจษฎาว่าไปด้วยสายตาอ่อนโยนลงเมื่อเห็นลูกชายวัยหัดเดินยืนห่างอยู่ไม่ไกลนักกับผู้เป็นภรรยา เขาเดินไปรับเด็กชายเจนภพมาอุ้มแล้วชี้ไปยังนิดาที่บัดนี้ครรภ์เริ่มใหญ่ขึ้นมา เธอยืนหัวเราะอย่างมีความสุขเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสนิทสามีที่พยายามแนะนำผู้ชายให้ลูกสาวเธอตั้งแต่ยังไม่คลอด

‘เจน ดูไว้นะลูก เจ้าสาวของลูกอยู่ตรงนั้นนะ’

ภาพในอดีตฉายย้อนในความทรงจำทำให้ชายวัยกลางคนตาแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบไล่ความคิดนั้นออกไปพร้อมหันกลับมามองผู้เป็นลูก ไม่ว่าลูกชายของเขาจะจดจำเรื่องนี้ได้หรือไม่ก็ตาม เจษฎารู้ตัวว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อล้างความรู้สึกผิดในใจที่ตกค้างมาตลอดยี่สิบกว่าปี

เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายวัยกลางคนบนเตียงผู้ป่วยก็เอ่ยถามอย่างชั่งใจ

“เจน ปีนี้ก็สามสิบแล้วใช่ไหม”

“ครับ”

“แต่งงานได้แล้วนะ”

คนเป็นลูกที่เห็นอาการเหม่อลอยของพ่อมาระยะนึงถึงกับสะดุ้ง มองหน้าพ่อราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ก่อนจะเอ่ยถามดูเหมือนย้อนแต่น้ำเสียงกลับแฝงความเป็นห่วง

“พ่อไข้ขึ้นเหรอครับ ให้ผมเรียกหมอไหม”

“พ่อพูดจริง”

ดวงตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งอายุแสดงความหนักแน่นออกมาจนลูกชายรับรู้แล้วว่าพ่อไม่ได้พูดเล่น ในสมองนั้นพยายามนึกถึงว่าถ้าต้องแต่งงานจริง ใครกันเล่าที่จะเป็นเจ้าสาวของคนอย่างเขา

คำตอบแรกในหัวคือนิชกานต์ ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตที่เขานับว่าเป็นคนรัก... เมื่อนานมาแล้ว

“ถ้ากับนุ่นล่ะก็ ผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ก็แค่แฟนเก่ากัน”

ยังไม่ทันขาดคำ เจนภพก็โดนคนเป็นพ่อแทรกด้วยคำตอบที่นึกไม่ถึง

“แล้วใครว่าจะให้แต่งกับหนูนุ่น”

จากคุณ : Chanuikarn
เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 55 21:58:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com