Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Love Like Blood - รักรสเลือด - เลือดหยดที่สี่ : ขย้ำ ติดต่อทีมงาน

เรื่องสั้นชุด Love Like Blood - รักรสเลือด

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12451148/W12451148.html

เลือดหยดที่หนึ่ง บึงนางพราย Part 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12462582/W12462582.html

เลือดหยดที่สอง กลิ่นคาวของความตาย
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12527580/W12527580.html

เลือดหยดที่สาม ทรายในหลุมดำ ฉบับไฟเขียว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12670872/W12670872.html

----------------------------------



Love Like Blood - รักรสเลือด

เรื่องที่สี่
 
  ขย้ำ


        A For Alien

ยานอวกาศของพวกเขาร่อนลงจอดในสวนยางพาราที่ห่างหมู่บ้านมนุษย์ประมาณสองกิโลเมตร

Xkuy#98 คือผู้แรกที่เดินนำขบวนลูกทีมทั้งห้านายลงเหยียบพื้นดินของดาวเคราะห์ต่างถิ่น

“ในที่สุด พวกเราก็มาถึงสถานที่ๆ มีการสังหารพี่น้องเราอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนมากที่สุดในจักรวาล” Zfobf#96 ผู้เป็นรองกัปตันเปรยขึ้น

Xkuy#98 สูดจมูกดมกลิ่นอากาศ “ถึงบรรยากาศไม่ให้ แต่ผมได้กลิ่นเลือดและกลิ่นความตายของพี่น้องเราชัดเจนมาก”

พวกเขาเงียบไปอึดใจหนึ่งเพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับดาวเคราะห์ดวงใหม่

Lixret#102 เอ่ยว่า “เราจะเริ่มปฏิบัติตามแผนการเลยมั้ยครับกัปตัน?”

Xkuy#98 ตอบ “ใจเย็นน่าเพื่อนยาก พวกเราต้องการเวลาสำรวจพื้นที่อีกสักสองสามวันถึงจะปฏิบัติตามแผนได้ ระหว่างนี้ซ่อนยานให้ดีแล้วแยกย้ายกันไปตามหาผู้ที่เหมาะสม อย่าลืมปลอมตัวให้แนบเนียนด้วยล่ะ ถ้าพวกมนุษย์เห็นเราในสภาพสวมยูนิฟอร์มขององค์กรสิทธิสิ่งมีชีวิตแห่งจักรวาล เป็นได้ตกใจสติแตกแน่”

“รับทราบครับ กัปตัน” ลูกทีมทั้งหมดรับคำอย่างพร้อมเพรียง

B For Bee

“พี่เพชร ลูกสาวพี่ตายทั้งคนนะ จะไม่ไปงานศพหน่อยหรอ?” เสียงของแม่เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“โถ อีนี่พูดไม่คิด” พ่อตอบ “ข้าวจะแดรกห่านยังไม่มี จะเอาตังค์ที่ไหนถ่อไปกรุงเทพฯ”

เด็กหญิงบีผู้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนแคร่หน้าบ้านแอบคิดในใจ “พวกเราจะมีข้าวกินแน่ ถ้าพ่อเลิกเอาเงินไปลงขวดเสียที”

“แต่เมียเก่าพี่อุตส่าห์โทรมาตาม” เสียงแม่ยังพูดต่อ

พ่อตอบแบบชักยัวะ “ช่างแมร่ง ลูกไม่รักดี เสีอกติดยาแล้วคลั่งฆ่าผัวตัวเอง สันdานมันก็เหมือนอีแม่มันนั่นแหละ ชาตินี้กรูไม่มีลูกอย่างนั้นโว้ย”

เด็กหญิงบีรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีพ่อกับแม่จะต้องทะเลาะกัน

“ยังไงเขาก็ลูกพี่นะ ไม่ไปสักหน่อยหรอ?”

“เอ๊ะ อีนี่ บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไป รบเร้าน่ารำคาญ” เสียงเขวี้ยงชามข้าวดังเพล้ง “ไม่มีอารมณ์แดรกข้าวแล้วว้อย ไหนมรึงมีตังค์อยู่เท่าไหร่ เอามาซิ”

“พี่จะเอาไปทำอะไร ยังเช้าอยู่เลยนะ ฉันไม่มีให้หรอก”

“ไม่มีหรอ? ได้ งั้นเช้านี้มรึงอย่าแดรกเลยข้าว แดรกตรีนกรูดีกว่า!”

พ่อกับแม่ทะเลาะกันแล้วจริงๆ

เด็กหญิงบีปิดหนังสืออย่างระอาใจ เสียงแม่ร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเมื่อถูกหน้าแข้งของพ่ออัดเข้าชายโครง มันเป็นเหตุการณ์ที่เด็กหญิงบีเห็นและได้ยินมาตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เข้าใจเลยว่าเพราะอะไรกันผู้หญิงที่แสนดีอย่างแม่ถึงเลือกอยู่กินกับผู้ชายอย่างพ่อ ทั้งสองคนมีนิสัยที่แตกต่างราวสวรรค์กับนรก

“ชะช่า ไหนบอกไม่มี แอบเม้มไว้ตั้งสองร้อย ต้องแดรกตรีนอีกสักดอก” พ่อคำรามก่อนกระทำตามที่พูด

เสียงโพล้งเพล้งจากในบ้านดังขึ้นหลายนาที

เด็กหญิงบีไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ เธออยากเข้าไปช่วยแม่ แต่แม่ก็เคยห้ามนักหนาว่าไม่ให้เธอเข้าไปยุ่งเพราะกลัวเธอจะได้รับลูกหลงไปด้วย เด็กหญิงบีวางหนังสือไว้ข้างๆ ตัว หากอยู่แล้วเข้าไปช่วยไม่ได้ เดินไปให้พ้นเสียงพวกนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีต่อจิตใจของเธอมากกว่า

แต่ขณะที่เด็กหญิงบีสอดเท้าเข้ารองเท้าแตะและกำลังจะลุกขึ้นยืน รถกระบะคันหนึ่งก็แล่นมาจอดที่หน้าบ้าน

“พี่เพชรอยู่มั้ยน้อง?” ชายหนวดดกผู้เป็นคนขับถามขณะเปิดประตูรถ

เด็กหญิงบีไม่ชอบสายตาที่ชายคนนี้มองเธอเลย

“อยู่ค่ะ” เธอตอบกลับไปห้วนสั้น

ชายหนวดดกยังคงใช้สายตาโลมเลียท่อนขาขาวนวลของเด็กหญิงบีอย่างเปิดเผย เธอเปลี่ยนความรู้สึกจาก ‘ไม่ชอบ’ ชายคนนี้มาเป็น ‘เกลียด’ เขาทันที

ดวงตาชั่วร้ายคู่นั้นบอกเธอว่าเขาไม่ใช่คนดี

ชายหนวดดกแสะยิ้ม ก่อนละสายตาออกจากท่อนขาของเธอไปในที่สุด

“พี่เพชร ทำอะไรอยู่พี่ ออกมาดูนี่สิว่าฉันเอาอะไรมาอวด” เขาตะโกน

เสียงเอะอะจากในบ้านหยุดลง ไม่กี่วินาทีให้หลัง พ่อก็เดินออกมาที่ประตูและร้องลั่น “อุวะ! ไปเอารถใครมาขับวะไอ้ทิดแคน”

“รถฉันเองพี่” ชายหนวดดกที่ชื่อแคนยืดอกตอบอย่างภาคภูมิ

พ่อผู้อยู่ในชุดเสื้อกล้ามกับผ้าขาวม้าเดินไปลูบคลำรถกระบะป้ายแดงอย่างไม่หายตกตะลึง  “ถูกหวยมาหรือไง?”

“เปล่า” ชายชื่อแคนตอบ เดินกอดอกเข้าไปยืนข้างชายผู้มีอายุแก่กว่าเขาถึงยี่สิบปี

เด็กหญิงบีถือโอกาสนั้นหลบเข้าบ้านไปดูอาการแม่

“งั้นเอาเงินที่ไหนไปซื้อวะ” เพชรหันมาถามเจ้าของรถด้วยดวงตาเลื่อมใส

“ฉันไม่ได้ซื้อเงินสดหรอก แต่เถ้าแก่เตรียนแกดาวน์ให้” แคนตอบ “เถ้าแก่เตรียน ชาวเวียดนามที่มาตั้งคอกหมาแถวโรงน้ำแข็งเก่าน่ะ พี่รู้จักรึเปล่า?”

“รู้” เพชรผงกศีรษะ “แล้วเถ้าแก่เตรียนดาวน์รถให้เอ็งทำไม?”

“เถ้าแก่ดาวน์สำหรับให้ฉันไปจับหมาให้เขา แกให้ราคาตัวละสามร้อยห้าสิบเชียวนะพี่ จับไปให้แกก็จะหักเงินค่าดาวน์รถไปเที่ยวละสิบเปอร์เซ็นต์ นี่เมื่อวานฉันทำวันเดียว พี่รู้มั้ยฉันจับหมาได้เท่าไหร่?”

“เท่าไหร่วะ?”

“ยี่สิบตัว! หลังหักเปอร์เซ็นต์ค่าดาวน์รถ ฉันได้เงินเกือบหกพัน”

นัยน์ตาของเพชรเป็นประกายวูบ “แล้วเอ็งมาบอกข้าทำไม?”

“ก็ฉันว่าจะชวนพี่ไปทำด้วยกันน่ะซี่” แคนพูดเสียงระรื่น “ฉันทำคนเดียวไม่ไหวหรอก”

“เอ็งจะให้ข้าทำอะไร?”

“ช่วยฉันจับหมาขึ้นรถ”

“เอ็งจะให้ค่าแรงข้าเท่าไหร่?”

“แบ่งเปอร์เซ็นต์ ฉันเจ็ดสิบ พี่สามสิบ โอเคมั้ย”

เด็กหญิงบีซึ่งประคองแม่เดินมาถึงประตูในเวลานั้น ได้ยินพ่อตอบกลับไปทันทีว่า

“โอเคมาก ข้ารักเอ็งจริงๆ ไอ้ทิดแคน!”

เด็กหญิงบีรีบกวาดสายตามองรอบลานบ้าน

นึกดีใจจริงๆ ที่เจ้าคุกกี้ไม่อยู่ในขณะนี้

C For Cookie

คุกกี้เป็นสุนัขพันธุ์ทาง ตัวใหญ่เท่ามาตรฐานหมาไทยโดยเฉลี่ย มันอายุสามขวบ เท่ากับจำนวนปีที่เด็กหญิงบีเลี้ยงมันมา คุกกี้เป็นหมาเพศผู้ มีขนสีขาวซึ่งมักมอมแมมจนเด็กหญิงบีต้องอาบน้ำให้มันบ่อยๆ เธอรักมันมาก สำหรับชีวิตในบ้านอันแสนน่าเบื่อ การมีสัตว์เลี้ยงสักตัวก็เหมือนมีเพื่อนไว้คลายเหงา

ครั้งแรกที่เด็กหญิงบีเจอคุกกี้มันยังเป็นลูกหมาตาดำๆ แม่ของมันคือหมาจรจัดที่ป้าต้อยเจ้าของร้านลาบให้อาหารด้วยความสงสาร แม่ของเด็กหญิงบีมาทำงานที่ร้านลาบแห่งนี้ในตำแหน่งผู้ช่วยแม่ครัวทุกวัน และในวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กหญิงบีจะตามมาช่วยงานแม่ หน้าที่ของเธอคือเสิร์ฟอาหารและล้างจานแลกค่าจ้างหนึ่งร้อยห้าสิบบาทต่อวัน

เงินที่จุนเจือครอบครัวของเด็กหญิงบีส่วนใหญ่แล้วมาจากแม่ ค่าจ้างที่ป้าต้อยให้(เมื่อก่อนสองร้อยห้าสิบ ตอนนี้ขึ้นมาเป็นสามร้อย) เพียงพอที่จะทำให้อยู่อย่างสุขสบาย พวกเขาไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านเพราะญาติผู้ใหญ่ของแม่ให้แม่พาครอบครัวมาอยู่ในบ้านเพื่อเฝ้าไร่ข้าวโพดได้ตั้งแต่เด็กหญิงบีเกิด เด็กหญิงบีคิดว่าครอบครัวของเธอต้องสุขสบายมากกว่านี้ถ้าพ่อเป็นโล้เป็นพายมากกว่านี้อีกสักนิด

“นี่บี ได้ข่าวว่าพ่อเธอไปจับหมาขายกับลูกน้องเถ้าแก่เตรียนแล้วหรอ?” ข้าวสวย เพื่อนเด็กเสิร์ฟของเด็กหญิงบีถามขณะร้านลาบในเช้าวันอาทิตย์ไร้ลูกค้า เด็กหญิงทั้งสองเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หนึ่งในโรงเรียนเดียวกัน

“อื้อ”

“ได้เงินเยอะมั้ยล่ะ?”

“ไม่รู้สิ เพิ่งไปทำได้วันเดียวเอง แต่ได้เยอะหรือน้อยมันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะยังไงเดี๋ยวก็ลงขวดหมด”

“พ่อฉันก็เคยเปรยว่าจะไปทำเหมือนกัน แต่แม่ฉันไม่ยอม”

“แล้วพ่อเธอว่าไงล่ะ?”

“พ่อฉันก็ต้องเชื่อแม่สิ แม่บอกว่าลูกน้องเถ้าแก่เตรียนแต่ละคนมีแต่พวกขี้เหล้าเมายาลักเล็กขโมยน้อยทั้งนั้น ไปทำความรู้จักไว้มีแต่จะนำพาเรื่องยุ่งยากเข้าใส่ตัว”

“ดีจังที่พ่อเธอยอม ไม่เหมือนบ้านฉัน แม่พูดแค่หน่อยเดียวยังไม่ได้เลย” เด็กหญิงบีพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แต่น่าเกลียดเนอะ หมานะไม่ใช่หมูเห็ดเป็ดไก่ ไม่รู้กินกันเข้าไปได้ยังไง ฉันได้ยินข่าวว่าไอ้เถ้าแก่เตรียนมันจ่ายใต้โต๊ะให้ผู้ใหญ่บ้านศักดาไว้เป็นค่าเปิดทางสำหรับขนหมาข้ามโขงด้วยนะ”

“ยังไงก็ระวังไอ้คุกกี้ให้ดีล่ะ เผลอเมื่อไหร่พ่อเธออาจจะเอาไปส่งเถ้าแก่เตรียนก็ได้ อิอิ”

“บ้าน่า อย่าพูดได้มั้ย คนยิ่งกลัวๆ อยู่”

จากคำพูดกระเซ้าเล่นๆ ของข้าวสวย เด็กหญิงบีไม่คิดเลยว่าเธอจะเกิดอาการหวาดกลัวจริงๆ เมื่อกลับมาถึงบ้านในตอนหัวค่ำและไม่พบคุกกี้วิ่งมารับเหมือนเคย

เด็กหญิงบีและแม่เดินทางโดยรถมอเตอร์ไซค์คันเก่า แม่สายตาไม่ดีที่จะขับขี่ในความมืด จึงเป็นหน้าที่ของเด็กหญิงบีที่จะต้องขี่รถไปส่งและรับแม่ที่ร้านลาบป้าต้อย คุกกี้มักจะมาชะเง้อคอนั่งรออยู่ตรงปากทางเข้าไร่ข้าวโพด สีขนของมันตัดกับความมืดเป็นอย่างดีเมื่อแสงไฟหน้ารถสาดเข้าไป คุกกี้จะเห่าอย่างดีใจ หางโบกสะบัดไปมา มันจะลุกขึ้นและต้อนรับเจ้านายด้วยการกระโดดโลดเต้นก่อนวิ่งตามหลังรถกลับมาจนถึงบ้าน

ในคืนนี้ ที่ๆ ควรจะมีคุกกี้นั่งชะเง้อคออยู่กลับว่างเปล่า แม้กระทั่งใต้แคร่ไม้หน้าบ้านที่เป็นที่นอนของมันก็ยังว่างเปล่า

ทว่า หน้าบ้านกลับมีรถกระบะคันหนึ่งจอดอยู่

เป็นรถกระบะของชายชื่อแคน

ไฟในบ้านไม้สองชั้นเปิดสว่าง ได้ยินเสียงร้องเพลงอย่างคนเมามายดังออกมาพร้อมกับเสียงเคาะแก้วเคาะชามซึ่งเป็นจังหวะที่ไม่เคยไปด้วยกันได้ เด็กหญิงบีจอดรถและดับเครื่อง แม่ลงจากรถ เอื้อมมือแตะหลังเธอและกล่าว

“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะบี อย่าเพิ่งเข้าบ้าน”

เด็กหญิงบีเลิกคิ้วมองแม่ “ทำไมหรอจ้ะ?”

“แม่จะเข้าไปดูว่าในบ้านมีใครอยู่บ้าง บางทีคืนนี้ให้บีไปค้างบ้านน้าปอคงปลอดภัยกว่า”

เด็กหญิงบีทำตามที่แม่สั่ง เธอลงมายืนข้างๆ รถมอเตอร์ไซค์ มองแผ่นหลังของแม่หายเข้าไปหลังบานประตู เด็กหญิงบีทราบดีว่าแม่เป็นห่วงเธอ เสียงเอะอะมะเทิ่งที่ดังออกมาจากภายในตัวบ้านบอกชัดว่ามีชายไม่ต่ำกว่าสี่คนกำลังตั้งวงสุรา

ไม่กี่นาทีให้หลัง แม่ก็เดินกลับออกมาพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบหนึ่ง

“แม่โทรไปบอกน้าปอแล้วนะว่าคืนนี้บีจะไปนอนค้างด้วย” แม่ว่าขณะส่งกระเป๋าเสื้อผ้าให้เด็กหญิงบี

“แล้วแม่ล่ะ?” เด็กหญิงบีถาม นึกถึงสายตาที่ชายชื่อแคนมองเธอแล้วอดเป็นห่วงแม่ไม่ได้

“แม่ไม่เป็นไรหรอก บีไปเถอะ” แม่พูดอย่างหนักแน่นพร้อมกับดุนหลังให้เด็กหญิงบีกลับขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ เด็กหญิงบีเป็นห่วงแม่ แต่ก็รู้ดีว่าหากเธออยู่ที่นี่ ทั้งเธอทั้งแม่คงมัวแต่ห่วงกันและกันจนไม่มีใครนอนหลับได้อย่างสนิทใจ

เด็กหญิงบีล่ำลาแม่และสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง เธอหันหัวรถเบนเข้าสู่เส้นทางที่เพิ่งขับมาไม่ถึงสิบนาทีก่อน เมื่อขับมาได้ครึ่งทาง เด็กหญิงบีก็ต้องชะลอรถและจอดลงเพราะพบว่าเจ้าคุกกี้ที่เธอเป็นห่วง กำลังเดินสวนมาพอดี

เจ้าหมาเงยหน้ามองเจ้านาย กระดิกหางแกว่งไกวและเร่งระดับฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่ง มันวิ่งเข้ามาตะกายรถอย่างดีใจ

เด็กหญิงบีลูบหัวมันและถาม “ไงไอ้วายร้าย หายไปไหนมาฮึ?”

คุกกี้หลับตาครางหงิงๆ เป็นคำตอบ

เด็กหญิงบีถอนหายใจด้วยความโล่งอก “คืนนี้ฉันไม่ได้กลับบ้านหรอกนะ คิดว่าแกไม่กลับด้วยเหมือนกันจะดีกว่า จะไปกับฉันมั้ยล่ะ?”

คุกกี้ยังคงครางหงิงเป็นคำตอบ

เด็กหญิงบีปล่อยมือที่ลูบศีรษะสัตว์เลี้ยงออก เธอยกนิ้วบุ้ยใบ้ไปข้างหลังเหมือนมันเข้าใจภาษามนุษย์ “ถ้าไปก็โดดซ้อนพี่เลยไอ้น้อง”

คุกกี้ครางหงิงอีกหนึ่งทีเป็นเชิงรับรู้ มันลืมตาขึ้นและตะกายขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเด็กหญิงบีด้วยความคล่องแคล่วที่สุด
 
D For Dog

หากนับกันตั้งแต่จุดเริ่มต้น ธุรกิจการค้าสุนัขข้ามชาติเกิดขึ้นในประเทศไทยมามากกว่าสองทศวรรษแล้ว มีสุนัขนับหมื่นต้องสังเวยชีวิตให้กับความตะกละตะกลามของมนุษย์ผู้ไม่รู้จักพอ แรกทีเดียวนั้นสุนัขที่ตกเป็นเหยื่อส่วนมากจะเป็นสุนัขที่ใครๆ เรียกว่า ‘หมาวัด’ และ ‘หมาจรจัด’ แต่เมื่อการรับประทานเนื้อสุนัขเป็นที่แพร่หลายโดยเชื่อกันว่ามันคือยาบำรุงร่างกาย หมาวัดและหมาจรจัดจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกต่อไป บังเกิดการรับซื้อสุนัขแลกถังพลาสติกตามมา จนถึงจุดหนึ่ง เมื่อไม่มีใครอยากสละสัตว์เลี้ยงที่ตัวเองรักแลกถังพลาสติกอีก ขบวนการค้าสุนัขจึงวิวัฒนาการมาใช้วิธี ‘ลักพาตัว’ กันแบบไม่เกรงกลัวกฎหมายหรือบาปกรรม

ณ ปัจจุบัน มีจำนวนสุนัขที่หายสาบสูญอยู่ไม่น้อย

เด็กหญิงบีและทุกๆ คนล้วนทราบว่าพ่อของเธอและทิดแคนใช้วิธีตระเวนรับซื้อสุนัขแลกถังพลาสติกบังหน้า แต่แท้จริงแล้วคือการตระเวนหาสุนัขที่เจ้าของไม่ทันระวัง พวกเขาจะใช้บ่วงเชือกรัดคอและนำมาใส่ในลังพลาสติกที่บรรจุอยู่ท้ายรถ หากสุนัขตัวไหนดิ้นรน ก็ต้องมีการลงไม้ลงมือเกิดขึ้น

ในแต่ละวัน พ่อและทิดแคนได้เงินจากเถ้าแก่เตรียนหลายพันบาท

ลำพังสุนัขท้องถิ่นนั้นไม่พอสำหรับการไล่ล่าของขบวนการค้าสุนัขแน่ พ่อและทิดแคนจึงต้องตระเวนไปตามอำเภอและจังหวัดข้างเคียง คืนไหนที่พ่อไม่ได้กลับบ้าน มันจะเป็นช่วงเวลาที่เด็กหญิงบีกับแม่อยู่บ้านอย่างมีความสุขมากที่สุด แต่หากพ่อกลับมาเมื่อไหร่ เด็กหญิงบีก็ต้องเดือดร้อนไปนอนบ้านน้าปอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแม่ ด้วยว่าพ่อมักจะพาทิดแคนและพรรคพวกมาตั้งวงสุราฉลองกันที่บ้านเสมอ

เด็กหญิงบีต้องใช้ชีวิตเช่นนี้มาสองสัปดาห์แล้ว

ทุกคืนที่ไปนอนบ้านน้าปอ คุกกี้จะนั่งท้ายรถอารักขาเจ้านายไปด้วย บ้านของน้าปออยู่ห่างไร่ข้าวโพดไปประมาณห้ากิโลเมตร แม้ว่าบ้านน้าปอจะมีสัตว์เลี้ยงเป็นฝูงแมวถึงเจ็ดตัวก็ตาม แต่คุกกี้ก็ไม่เคยมีปัญหาตามประสาหมากับแมวเลยสักครั้ง อีกทั้งมันยังเข้ากับเพื่อนต่างสายพันธุ์ได้ดีอีกด้วย ทุกคนต่างเอ็นดูคุกกี้และยกย่องให้มันเป็นหมาแสนรู้ตัวหนึ่งประจำชุมชน

คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เมื่อเด็กหญิงบีกลับจากโรงเรียนและแวะรับแม่ที่ร้านลาบ เธอก็ต้องหอบเสื้อผ้าไปนอนบ้านน้าปอเพราะพ่อได้ชักชวนพรรคพวกมาเฉลิมฉลองที่จับสุนัขขายได้ล็อตใหญ่ พวกเขาหายไปที่จังหวัดข้างเคียงสองวันและกลับมาส่งสุนัขให้เถ้าแก่เตรียนได้ถึงหกสิบตัว นับเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่พ่อและทิดแคนเคยจับได้

บ้านของเด็กหญิงบีจึงกลายเป็นที่ชุมนุมของคนจับสุนัขหลากหลายวัย แม่ต้องอยู่ทำกับแกล้มให้คนพวกนั้นเหมือนคนรับใช้ เด็กหญิงบีขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมาตามเส้นทางที่ตัดผ่านใจกลางไร่ข้าวโพดด้วยจิตใจที่ขุ่นมัว  คุกกี้คงทราบว่าเธอกำลังหงุดหงิด มันจึงพยายามตะกุยตะกายและเลียไม้เลียมือเธอตลอดเวลาก่อนขึ้นรถ แต่เมื่อขึ้นมานั่งบนเบาะท้ายเรียบร้อย เจ้าหมาก็นั่งนิ่งเหมือนที่เคยทำเพราะไม่อยากกวนสมาธิเจ้านาย

แต่แล่นออกมาไม่ทันจะพ้นไร่ข้าวโพด เด็กหญิงบีก็ต้องเบรกรถดังเอี๊ยด ถนนที่ตัดผ่านไร้ข้าวโพดเป็นถนนดินที่กว้างเพียงหนึ่งเลนครึ่ง ขณะนี้มีใครบางคนเอาลังพลาสติกมาวางปิดทางไว้เหมือนกรวยจราจร

คุกกี้กระโดดลงจากรถ มันสูดจมูกและคำรามในลำคอ เด็กหญิงบีรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ นาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง เธอหันมองรอบกาย สายลมพัดยอดข้าวโพดไหวเอนส่งเงาประหลาดทอดทับบนพื้นดินที่สว่างด้วยแสงจันทร์

เด็กหญิงบีตัดสินใจไม่ถูกว่า ระหว่างลงจากรถไปขยับลังพวกนั้น กับหันหัวรถขี่กลับบ้าน อย่างไหนเป็นการตัดสินใจที่ดีกว่ากัน?

แล้วใครกันนะที่เอาลังพวกนี้มาตั้งขวางทางไว้อย่างนี้?

ห้วงคิดของเด็กหญิงบีสะดุดลงเมื่อคุกกี้เริ่มเห่าใส่ต้นข้าวโพดข้างทาง

“เย็นไว้คุกกี้”เอื้อมมือไปลูบหัวปลอบเจ้าหมา ก่อนตัดสินใจเด็ดขาด “เฝ้ารถให้ด้วยนะ”

เด็กหญิงบีเหวี่ยงขาลงจากมอเตอร์ไซค์ ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เพราะไม่อยากเสียเวลาที่จะต้องสตาร์ทอีก เธอจะขยับลังพวกนี้ไปให้พ้นทางสักลังสองลัง แล้วก็จะกลับขึ้นรถขี่ออกไปโดยเร็ว หากใครก็ตามที่เอาลังพวกนี้มาขวางไว้เพื่อหวังขู่ให้เธอกลัวและยอมกลับไปอยู่บ้านตามเดิมล่ะก็ ใครคนนั้นต้องคิดใหม่แล้วล่ะ

เด็กหญิงบีพยายามทำจิตใจให้สงบขณะเคลื่อนลังพลาสติกออกไปอย่างง่ายดาย มันเป็นเพียงลังเปล่าเท่านั้นเอง พวกของพ่อคงทำตกไว้ระหว่างทางตอนขับรถเข้ามา ไม่มีอะไรน่ากลัวสักหน่อย ถ้ามีใครอยู่แถวนี้จริงๆ ก็ยังมีเจ้าคุกกี้คอยช่วยเธอเอาตัวรอดอีกแรงหนึ่ง

เด็กหญิงบีดันลังแหวกไปด้านข้าง กว้างพอจนแม้กระทั่งรถกระบะยังแล่นผ่านได้สบาย เธอยกมือปาดเหงื่อ หมุนตัวกลับหมายเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนสวบสาบที่ด้านหลัง เด็กหญิงบีหันขวับ เผชิญหน้ากับทิดแคนที่กำลังแสยะยิ้ม

ทิดแคนเอื้อมมือออกมารวบจับข้อมือเธอ เด็กหญิงบีผงะถอยหลัง ปัดมือทิดแคนออกไป แต่เธอก็สะดุดหินบนพื้น เด็กหญิงบีล้มลง ทิดแคนหัวเราะถูกใจ ย่างสามขุมเดินเข้ามาพลางปลดเข็มขัดกางเกง ทว่าเพิ่งรูดเข็มขัดออกเท่านั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปเมื่อเห็นสุนัขสีขาวคำรามด้วยความโกรธและวิ่งผ่านร่างเจ้านายกระโจนเข้ามาด้วยความรุนแรง

เด็กหญิงบีเห็นร่างของทิดแคนล้มไปบนพื้น มีคุกกี้คร่อมอยู่บนหน้าอก เธอรีบลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นสิ่งที่คุกกี้ทำก็ต้องรีบตะโกนด้วยความตกใจ

“คุกกี้! หยุดนะ!”

คุกกี้กำลังฝังใบหน้าลงไปบนต้นคอของทิดแคน

คุกกี้กำลังกัดและสะบัดศีรษะ

“คุกกี้! ฉันบอกให้หยุดไง!”

คุกกี้ยังไม่เชื่อฟัง

“คุกกี้!”

ในที่สุด เจ้าหมาก็ได้สติ มันหยุดชะงักคมเขี้ยวที่ฝังลงไปบนเนื้อมนุษย์

คุกกี้กระดิกหาง เหลียวมองเจ้านาย ปากเปรอะไปด้วยเลือด

“มานี่เร็ว!” เด็กหญิงบีเรียกอย่างร้อนรน เธอไม่สนใจหรอกว่าทิดแคนจะเป็นตายอย่างไร แต่เธอกลัวว่าจะมีใครมาพบเห็นคุกกี้ในสภาพนี้ต่างหาก

คุกกี้วิ่งกลับมาหาเจ้านาย ดวงตาของมันทอแววเป็นห่วงเหมือนอยากถามว่าเจ้านายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เด็กหญิงบียืนละล้าละลังหันซ้ายหันขวาอยู่ครู่หนึ่งก็ตั้งสติได้ เธอบอกคุกกี้ “ขึ้นรถ”

นาทีต่อมา รถมอเตอร์ไซค์ของเด็กหญิงบีก็แล่นออกมาจากไร่ข้าวโพดอย่างรวดเร็ว

E For Execute

“กัดคนแบบนี้จะเลี้ยงไว้ทำเh ี้ยอะไร มรึงไม่ต้องมาห้ามกรู แค่ไอ้ทิดแคนไม่เอาเรื่องก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

“จะมาเอาเรื่องได้ยังไงล่ะพี่เพชร ไอ้เพื่อนเฮงซวยของพี่น่ะคิดไม่ดีกับบีมันก่อนนะ”

“พ่อมรึงสิ ไอ้ทิดแคนบอกกรูว่ามันตั้งใจจะหยอกอีบีเล่นเฉยๆ”

“หยอกบ้าอะไร มันตั้งใจจะปล้ำเจ้าบีล่ะไม่ว่า ฉันรู้นะว่าพี่รู้เห็นกับไอ้ทิดแคน พี่เป็นคนแนะให้มันไปดักรอที่กลางทางใช่มั้ยล่ะ?”

“เฮอะ มรึงนี่พูดเรื่อยเปื่อย กรูไม่รู้เรื่องสักหน่อย”

เสียงโต้เถียงระหว่างพ่อกับแม่หยุดลงเมื่อทั้งคู่เดินออกมาจากประตูบ้านและพบเด็กหญิงบียืนรออยู่หน้าแคร่ไม้

“อ้อ อยู่นี่เองรึมรึง” พ่อพูดอย่างฉุนเฉียว “ลากคอหมามรึงออกมาเดี๋ยวนี้”

“พ่อจะทำอะไรคุกกี้?” เด็กหญิงบียังคงยืนอยู่ที่เดิม

พ่อชูกระสอบในมือซ้ายและเชือกป่านในมือขวาให้ดู “มรึงคิดว่ากรูจะทำอะไรล่ะ?”

“พ่อจะเอาคุกกี้ไปฆ่า?” เด็กหญิงบีเสียงสั่น

“กัดเพื่อนกรูแทบตาย มรึงจะให้กรูเก็บไว้บูชารึไง” พ่อย่างสามขุมเข้ามา ผลักเด็กหญิงบีออกไปก่อนก้มลงมองใต้แคร่ เบาะนุ่นที่ปูไว้สำหรับเป็นที่นอนของคุกกี้ว่างเปล่า พ่อลุกขึ้น ถลึงตามองเด็กหญิงบีอย่างไม่พอใจ “มรึงเอาหมาไปซ่อนไว้ไหน?”

“ฉันเปล่าซ่อน คุกกี้มันหนีไปแล้ว”

พ่อแสยะยิ้ม  “หมามันกลัวความผิดเป็นด้วยรึ?”

เด็กหญิงบีหลุบตามองพื้น หลังจากเกิดเหตุเมื่อคืนก่อน เธอได้นำคุกกี้ไปซ่อนไว้ในสวนยางพาราหลังบ้านน้าปอและล่ามมันไว้กับต้นยางเพื่อไม่ให้มันวิ่งกลับบ้าน  ถึงแม้ผลจะออกมาว่าทิดแคนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายเพราะคุกกี้กัดที่ไหล่ ไม่ได้ขย้ำที่คออย่างที่เธอเข้าใจ แต่เด็กหญิงบีก็ตระหนักดีว่าพ่อกับทิดแคนต้องเอาเรื่องเจ้าคุกกี้แน่ๆ

“ซ่อนได้ก็ซ่อนไป อย่าให้กรูหาเจอนะมรึง” พ่อพูดอย่างอาฆาตแค้น ทิ้งกระสอบปุ๋ยกับเชือกป่านไว้บนแคร่ไม้ ก่อนจะเดินไปสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์คันใหม่ของตัวเองและขับขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากพ่อออกไปแล้ว เด็กหญิงบีก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งแม่ที่ร้านลาบป้าต้อย เสร็จแล้วจึงขอแวะไปดูเจ้าหมาสักครู่ก่อนจะกลับมาทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟตามเดิม วันนี้เป็นวันเสาร์ เธอไม่ต้องไปโรงเรียน เด็กหญิงบีเคยมีความสุขที่ได้ช่วยแม่ทำงานหาเงิน แต่ไม่ใช่วันนี้

เด็กหญิงบีรู้สึกสงสารคุกกี้มาก เธอคิดว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเลย ทิดแคนตั้งใจจะทำไม่ดีกับเธอแท้ๆ พ่อไม่เห็นจะโกรธเคืองสักนิด ทีเจ้าคุกกี้พยายามปกป้องเธอ ทำไมพ่อถึงต้องการฆ่ามันด้วย เด็กหญิงบีคิดอย่างน้อยใจขณะขี่รถไปยังสวนยาง ไม่ลืมที่จะพกขนมคุกกี้โรยช็อคโกแลตชิปของโปรดของเจ้าหมามาด้วย

เมื่อเห็นร่างของเจ้านายเดินเข้ามาหา คุกกี้ซึ่งนอนหงอยเหงาอยู่โคนต้นยางก็เงยหน้าและกระดิกหางลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ ชามข้าวที่ตั้งอยู่ด้านหน้ายังคงพูนไปด้วยข้าวและเศษกระดูกไก่ที่น้าปอนำมาให้เมื่อเช้า  เด็กหญิงบีรู้ได้ทันทีว่าคู่หูของเธอยังไม่ยอมกินอะไรเลย

“ทำไมไม่ยอมกินข้าวล่ะคุกกี้?” เด็กหญิงบีถามขณะย่อกายลงลูบหัวเจ้าหมาที่หลับตาครางหงิงๆ “ฉันอยู่นานไม่ได้หรอกนะ แต่ฉันมีขนมมาฝากแกด้วย”

พูดจบ เด็กหญิงบีก็ล้วงห่อขนมออกจากกระเป๋ากางเกง เจ้าหมาปรือตาขึ้นก่อนร้องครางอย่างถูกใจ เด็กหญิงบีหยิบขนมออกจากห่อและส่งให้คู่หูทีละชิ้น คุกกี้เอียงหน้างับขนมอย่างระมัดระวังไม่ให้งับโดนมือเจ้านาย

เด็กหญิงบีนั่งมองเจ้าหมาเคี้ยวขนมและกลืนลงคออย่างเอร็ดอร่อย เห็นมันกินขนมชนิดนี้ทีไรเธอก็มักนึกถึงสาเหตุที่มันได้ชื่อว่าคุกกี้ทุกที คราวนั้นมันยังเป็นเจ้าลูกหมาสีขาวขนปุยที่ไม่ยอมกินอะไรเลย แม่ของมันผอมโซและมีลูกดกเกินกว่าจะให้นมลูกครบหมดทุกตัว เด็กหญิงบีถูกชะตากับมัน จึงแอบเอาคุกกี้ไปป้อนให้ ซึ่งหมาน้อยก็กินไม่เหลือสักชิ้น เด็กหญิงบีตัดสินใจเลี้ยงมันตั้งแต่ตอนนั้น เธอต้องเสียเวลาออดอ้อนแม่อยู่นานทีเดียวกว่าแม่จะอนุญาตให้เธอเลี้ยงสุนัขได้ตามความต้องการ

เด็กหญิงบีนั่งป้อนขนมเจ้าหมาพลางนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา สุดท้ายขนมก็หมดห่อ เจ้าหมาเลียเศษผงขนมที่ติดอยู่บนนิ้วของเธอด้วยความเสียดาย เด็กหญิงบีก้มมองคู่หูอย่างเสียใจ เธอไม่รู้เลยว่าจะต้องล่ามเจ้าคุกกี้ไปแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ มันคงอึดอัดและทรมานมาก แต่เด็กหญิงบีก็ยังนึกวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก

“นึกว่าเอาไปซ่อนที่ไหนไกล ที่แท้เอามาหลบอยู่ที่นี่เองรึ?”

เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง

เด็กหญิงบีจำได้ดีว่าเสียงใคร เธอหันขวับกลับไปและอุทาน

“พ่อ!”

จากคุณ : ทะเลเดือดพันธุ์ร็อค
เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 55 09:52:03




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com