26
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องของนภัสรินทร์ผสมกับล้อรถบดถนนนำมาซึ่งความตกใจของคนเดินถนน ต่างหันมายังต้นกำเนิดและพากันหยุดชะงักกันด้วยความตะลึง บางคนเผลออุทานออกมา เมื่อตั้งสติได้ก็เคลื่อนกายเข้ามาเพื่อค้นหาคำตอบ ส่วนรถยนต์คันนั้นแล่นออกไปด้วยความรวดเร็ว
นภัสรินทร์รู้สึกเหมือนแข้งขาไร้เรี่ยวแรง เธอทรุดฮวบ หัวใจหลุดลอยไปแล้ว
รถแล่นผ่านไปด้วยความเร็ว
ปัญวิชช์ตะลึงงัน
“คุณวิช เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ รู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่บนพื้นถนน ใบหน้าของกฤษลอยอยู่ตรงหน้า จำได้ว่าพอเดินหนีกฤษมา ปัญวิชช์เห็นนภัสรินทร์ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้กับร้าน เขายิ้ม โบกมือให้พลางนึกขำว่า ที่เธอดูงง ๆ ตอนคุยกันคงเป็นเพราะตื่นเต้นแน่ ๆ จึงทำให้มาถึงก่อนเขาเสียอีก
เขามองขวามือ รถคันหนึ่งแล่นผ่านไป และพอถนนโล่งก็ก้าวยาว ๆ เพื่อจะข้าม
แต่แล้วจู่ ๆ รถอีกคันก็พุ่งตรงเข้ามาราวกับจรวด กว่าที่เขาจะรู้ตัว ไฟหน้าของรถคันนั้นก็เข้ามาใกล้ในระยะประชิดแล้ว เขาคิดว่าจะโดนชนแน่นอน อยู่ดี ๆ ก็มีแรงกระชากมาจากด้านหลัง ร่างปัญวิชช์ปลิวหวือล้มก้นจ้ำเบ้า
ที่แท้แล้วก็เป็นกฤษนี่เอง ที่ดึงร่างเขาให้พ้นทิศทางจากรถคันนั้นได้อย่างฉิวเฉียด แสดงว่าคนขับรถเดินตามเขามาตลอด เลือดในกายปัญวิชช์เย็นเฉียบ ถ้าไม่มีกฤษ เขาโดนรถคนนั้นชนอย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณวิชครับ”
ปัญวิชช์ต้องกะพริบตาอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับกายเมื่อรู้ตัวว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่
“เออ ไม่เป็นไร”
ได้ยินเสียงตัวเองเบาหวิว เขาลุกยืน รู้สึกมึนกับความตายที่เข้ามาใกล้อย่างฉิวเฉียดจนพูดไม่ออก
วินาทีที่สติกลับมาเขารีบหันกลับไปมองฝั่งตรงข้าม นภัสรินทร์ค่อย ๆ เดินเข้ามา
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมวิช” น้ำเสียงเธอสั่นอย่างชัดเจน ปัญวิชช์ส่ายหน้า เธอเอื้อมมือมาเหมือนอยากจะแตะตัวเขา ชายหนุ่มจึงจับมือเธอเป็นการยืนยัน และก็สะดุ้งเพราะมันเย็นเฉียบ
“ริน”
“รินนึกว่า...” ขอบตาเธอแดงก่ำ ถ้ามองจากทิศทางฝั่งตรงข้าม เธอคงไม่เห็น “โชคดีที่วิชไม่เป็นอะไร”
“วิชไม่เป็นอะไร กฤษมาช่วยดึงวิชออกได้พอดี”
นภัสรินทร์มองตามที่ชายหนุ่มบุ้ยหน้า กฤษค้อมศีรษะ เขาเคยเห็นหญิงสาวมาบ้าง เป็นครั้งแรกที่ได้พบในระยะประชิด เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้านายอายุน้อยกว่าคนนี้ถึงได้หลงใหลขนาดขัดคำสั่งของปู่ ผู้หญิงคนนี้สวยและมีเสน่ห์มากสมคำล่ำรือ
นภัสรินทร์เงียบไปเล็กน้อย คิดว่าปัญวิชช์โดนชนแล้ว จากฝั่งตรงข้ามเห็นแต่รถวิ่งผ่านไป ที่เขาไม่เห็นเธอแสดงว่าวินาทีนั้นชายอีกคนช่วยชีวิตเขานั่นเอง เธอระงับอารมณ์ได้เล็กน้อยแล้วหันไปขอบคุณกฤษ หางตามีน้ำเอ่อคลอ
“วิชไม่เป็นอะไรจริง ๆ จะมีก็แค่...เจ็บก้นมั้ง เพราะล้มน่ะ” พอมาอยู่บนทางเดินเท้าที่ปลอดภัย เขาก็เล่นลิ้นได้ หญิงสาวค้อนควัก ต่อมาก็ตีหน้าจริงจัง
“แล้ววิชมาที่นี่ทำไม! ทำไมต้องมาร้านนี้ แล้วทำไมไม่ไปกลับรถมาข้ามถนนทำไม!”
ปัญวิชช์มองหน้าหญิงสาว ไม่แน่ใจว่าเธอเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า วินาทีเดียวเปลี่ยนจากสาวสวยที่ขวัญเสียกลายเป็นแม่เสือสาวคำรามออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย
“ทำไมน่ะเหรอ ก็รินนัดวิชมาเองไง”
นภัสรินทร์ชะงักกึก เพิ่งนึกได้ว่าชายหนุ่มบอกไว้เมื่อตอนคุยโทรศัพท์กันแล้ว
“ใช่ไหมล่ะ รินลืมเหรอ หรือว่าตื่นเต้นกับเรื่องเมื่อกี้ วิชไม่เป็นอะไรแล้ว รินโอเคไหม” เขาแตะบ่าเธอ เลิกยียวนและคิดว่าเธออาจจะตกใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ก็เป็นได้
นภัสรินทร์ลูบหน้า ผ่อนลมหายใจยาว เรียกสติ “ไม่เป็นไร...”
“รินมีอะไรหรือเปล่า วิชก็สงสัยอยู่ว่าทำไมรินนัดมาที่นี่ ร้านใกล้ ๆ ที่ทำงานก็น่าจะมี ตรงนี้ออกจะไกล แถมจอดรถยากอีก”
หญิงสาวเม้มปาก เพราะอะไรเธอรู้อยู่แก่ใจ เพราะมันเป็นสถานที่แห่งความหลังที่ใครบางคนใช้เชือดหัวใจเธอทิ้งไปแล้วหนหนึ่งน่ะสิ แล้วคราวนี้ก็จะทำอีก การที่ปัญวิชช์ถามเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าเขาไม่รู้เรื่องปรเมศ ไม่รู้รายละเอียดว่าทำไมอาของเขามาที่นี่
นภัสรินทร์เลือกปิดปากเงียบ ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องให้เขารู้ และจะนำมาซึ่งการซักไซร้ หัวใจเธอยังเต้นแรง มือยังสั่นกับวินาทีชีวิต ถ้าปัญวิชช์.... พอคิดเพียงสักแว้บก็ดูเหมือนใจจะเจ็บจี๊ดไปด้วย เธอบีบมือเขาแน่น
“ริน” ชายหนุ่มเรียกเธอ “ไหน ๆ ก็มาแล้ว จะเข้าไปดูไหม หรือเอาไว้คราวหน้า”
นภัสรินทร์ส่ายหน้า ปัญวิชช์เข้าใจดี ต่างคนคงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมกับของสวยงามได้เนื่องจากเพิ่งใกล้ความตายมาหยก ๆ
“งั้นก็ไปหาอะไรกินแทนแล้วกัน เอาไหม รินหิวไหม”
ใจจริงหญิงสาวก็ยังไม่หิว แต่ไม่อยากขัดความคิดนั้น พอปัญวิชช์ดึงมือที่จับจองเพื่อข้ามถนนเธอก็ยื้อไว้
“ไปกินที่อื่นได้ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“ไปเถอะ” เธอยืนยัน อยากจะไปให้พ้นจากที่นี่ พ้นจากความรู้สึกที่ห้อมล้อมด้วยกลิ่นไอความตาย ความหลัง ความเจ็บปวด
“งั้น...” ปัญวิชช์กำลังคิดว่าจะจัดการยังไง ทางเขามีกฤษ ต่างฝ่ายต่างเอารถมา
“วิชขับไปเถอะ เดี๋ยวรินขับตาม ร้านไหนก็ได้” เธอบอก เขายังลังเล ไม่วางใจเพราะนภัสรินทร์ดูจะเสียขวัญมากกว่าเขาเสียอีก
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งที่รถ” ปัญวิชช์บอก เหลือบไปมองกฤษ และเมื่อทั้งคู่ก้าวลงพื้นถนน บอดี้การ์ดหนุ่มก็เดินตามไปด้วย ปัญวิชช์ไม่ได้พูดอะไร
“รินรอตรงนี้นะ ผมไปกลับรถมาเอง”
หญิงสาวพยักหน้า ทำให้เธอได้มีโอกาสสงบสติอารมณ์
พอกุญแจอยู่ในมือ กฤษก็ได้ทำหน้าที่ขับอย่างเคย ปัญวิชช์ถอยไปนั่งเบาะหลังอย่างไม่มีปากเสียง เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาเป็นหนี้ชีวิตบอดี้การ์ดผู้ทำหน้าที่คนขับรถคนนี้
ที่ผ่านมา เขารำคาญการตามติด การถูกลิดรอนความเป็นส่วนตัวจากคำสั่งของปู่ และทำให้กฤษลำบากใจต่อความเจ้าเล่ห์ของเขาไปหลายหน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าโชคดีที่มีกฤษ
“กฤษ”
“ครับ”
ปัญวิชช์มองหน้าคนขับรถที่สะท้อนในกระจกหน้า “ขอบใจนะ”
สีหน้ากฤษยินดีอย่างจริงใจ ไม่มีอาการเยาะเย้ยว่าท้ายที่สุดคนอวดเก่งอย่างเขาก็ต้องยอมสยบ
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ผมอยู่แล้ว”
พูดออกไปแล้วก็โล่งใจ เนื้อแท้ปัญวิชช์ก็ไม่ใช่คนหยิ่งยะโสอะไร เมื่อเห็นกันอยู่ว่าอะไรคือความจริงเขาก็ยอมรับ
“แต่ขอได้ไหม อย่าบอกเรื่องนี้กับปู่นะ”
ในดวงตาลูกจ้างมีคำถามทันที “ไม่ต้องสงสัยอะไรหรอก บอกว่าไม่ต้องพูดก็แค่นั้นแหล่ะ เรื่องเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องไปรายงานทุกเรื่องหรอก”
“คุณวิชคิดว่าเรื่องนี้เล็กน้อยเหรอครับ”
ปัญวิชช์กำลังมองรถนภัสรินทร์แล่นตามหลัง รีบหันกลับมาเพราะน้ำเสียงจริงจังของคนขับรถที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก “แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ผมคิดว่ารถคันนั้นตั้งใจจะขับมาชนคุณ” กฤษพูดอย่างรวดเร็ว
ปัญวิชช์นิ่ง เมื่อตอนที่ตั้งสติได้ เขาก็คิดอยู่วูบหนึ่ง ก่อนที่จะข้ามถนนเขาก็มองเห็นแล้วว่ารถทิ้งระยะห่าง แต่รถคันนี้พุ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้ แต่เขาตอบไปอีกอย่าง
“ไม่ใช่หรอกมั้ง อุบัติเหตุมากกว่า”
“รถที่วิ่งเร็วขนาดนี้ทำไมไม่ชิดขวา เลนในก็ว่าง ไม่คิดว่ามันแปลกบ้างเหรอครับ”
“ไม่คิดล่ะ ฉันเดินไม่ระวังเอง” ปัญวิชช์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“รถคันนั้นไม่มีป้ายทะเบียนด้วยนะครับ”
เจ้านายถอนใจ “นายเป็นโรคหวาดระแวงขึ้นสมองแล้วกฤษ มันก็แค่อุบัติเหตุ ไม่มีอะไรหรอกน่า”
กฤษเชื่อสัญชาตญาณบอดี้การ์ดของตนเองว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา แต่ก็คิดไม่ออกว่าคนอย่างปัญวิชช์จะมีศัตรูอย่างคนมีอิทธิพลคนอื่นได้อย่างไร แค่สส.หนุ่มที่อาศัยบารมีปู่มาเอาตำแหน่ง ผลงานก็ไม่ได้มีอะไร ติดจะเกงานด้วยซ้ำ ใครจะมาอิจฉาถึงขั้นทำร้าย
“เอาเป็นว่าฉันไม่คิดมาก นายก็ไม่ต้องคิดหรอก ขอแค่ไม่ต้องบอกปู่ก็พอ ได้ไหม”
ท้ายประโยคปัญวิชช์พูดกึ่งสั่งกึ่งขอร้อง “นะกฤษ”
กฤษผ่อนลมหายใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ทิ้งลายดื้อ “ได้ครับ แต่ต่อจากนี้ คุณคงไม่ขอให้ผมกลับไปก่อนอีกนะ”
โดนข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่อาจปฏิเสธเข้าไปแบบนี้ ปัญวิชช์ต่อรองอะไรไม่ได้อีก จะเสียความเป็นส่วนตัวเพิ่มอีกนิดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีบุญคุณกับเขา
เลยเปลี่ยนมามองหาร้านอาหารแทน
นภัสรินทร์พยายามรวบรวมสมาธิขับรถ ความคิดเธอกระจัดกระจายเหมือนเศษแก้ว ชิ้นส่วนหนึ่งเท่ากับเรื่องหนึ่ง ซึ่งเธอประคับประคองมันอยู่นาน แต่แล้วมันก็หลุดจากกันจากภาพปัญวิชช์และรถคันนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครและเพื่ออะไร วีรญาไม่ลามือ ไม่ลดละ และหมายถึงขั้นเอาชีวิต วีรญาเกือบจะทำได้อย่างที่พูดแล้วถ้าไม่มีกฤษ
เธอควรจะทำอย่างไรต่อ เกมส์นี้ไพ่ของวีรญาสูงกว่า และชิงลงมือก่อนจนเธอตั้งรับไม่ทัน จะบอกพ่อเลี้ยงเรื่องปัญวิชช์โดยไม่ต้องสนใจปฏิกิริยาของนีรนารถเลยดีหรือเปล่า คำตอบที่จะให้เอกสิทธิ์ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสองครอบครัว ถ้ามันเกิดขึ้นไหนจะเรื่องการออกจากบ้านนี้ ทิ้งหน้าที่ทุกอย่าง เพื่อนร่วมงาน เธอไม่คิดว่ามันจะจบได้ในไม่กี่วัน อย่างน้อยก็ต้องรับผิดชอบก็ต้องจัดการเคลียร์ทุกอย่างก่อนไป ซึ่งก็ใช้เวลาสักพักหนึ่ง
แน่นอนว่า นานขนาดพอให้วีรญาทำอะไรได้อีกตั้งมากมาย
เธอคิดเอาไว้ว่า ถ้าลงเอยกับปัญวิชช์จะเล่าเรื่องปรเมศให้ฟัง สาเหตุว่าทำไมถึงต้องแบกรับความลับอยู่เพียงคนเดียว ที่พูดความจริงไม่ได้ตอนนั้นเพราะอะไร พ่อเลี้ยงก็ใช่ว่าจะสนับสนุนทุกอย่างที่ลูกเลี้ยงอย่างเธอทำ สามปีก่อนเธอไม่กล้าแลกฐานะของตัวเองกับความเกื้อกูลของครอบครัวศิริภัณฑ์เปรม ต่างกับที่วีรญาที่มีพ่อประคับประคอง ถ้าเดินเข้าไปบอกกับยงยุทธว่าลูกสาวมีความผิดปกติด้านจิตใจ ต่อให้รับรู้ว่าลูกตนเองผิด คนเป็นพ่อทุกคนก็ย่อมต้องปกป้อง หรือพ่ออย่างทรงพลจะรับได้ไหมว่าลูกชายที่แสนดีอย่างปรเมศขาดสติทำร้ายวีรญา
ถึงตอนนี้พร้อมที่จะเสี่ยงแล้ว แต่กลายเป็นว่าปัญวิชช์จะต้องทะเลาะกับปู่อีกกี่ครั้ง ชีวิตเขาจะตกอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ ทุกอย่างวนกลับมาที่เธอ คนอย่างนภัสรินทร์จะมีอำนาจขนาดไหนกัน ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าคนที่โดดเดี่ยวหัวเดียวกระเทียมลีบที่สุดก็คือตัวเธอเอง
การเดินทางนี้ช่างแสนไกล ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด นภัสรินทร์เหนื่อยล้าเหลือเกิน
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ก.ย. 55 19:41:50
|
|
|
|