Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สุดปลายทางหัวใจ -บทที่ 3-4- ติดต่อทีมงาน

เมื่อไม่เคยหมายว่าจะรัก เมื่อหัวใจรู้จักแต่ความแค้น
แล้วสุดปลายทางหัวใจนั้นจะเป็นเช่นไร...

บทที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12655130/W12655130.html

บทที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12682288/W12682288.html

บทที่ 3

แสงแดดส้มอ่อนแรงยามเย็นสาดส่องผ่านกระจกใสบานใหญ่ของร้านกาแฟหรูสไตล์คาเฟ่ให้มีบรรยากาศอบอุ่นกรุ่นเคล้ากับกลิ่นกาแฟไปทั่วบริเวณ มีลูกค้าไม่กี่คนที่นั่งอยู่ภายในซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นนักธุรกิจหรือสาวออฟฟิศเนื่องด้วยราคาเครื่องดื่มที่มีราคาสูงเกินร้อยไปพอสมควร เช่นเดียวกับวันนี้ที่เก้าอี้ด้านในสุดริมหน้าต่างมีเพียงหญิงสาวร่างบางกำลังเฝ้ามองวิวสำนักงานด้านนอก ใบหน้าหวานคมกำลังแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาโตใต้คิ้วรูปสวยที่ถูกจัดแต่งเป็นอย่างดีเหม่อลอยครุ่นคิด เธอเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือสีขาวอีกครั้ง... เขาคงงานยุ่งตามเคย แต่ทันทีที่เสียงประตูร้านเปิดออกดังขึ้นปรากฏร่างของคนที่กำลังรออยู่ ใบหน้าที่ดูกระวนกระวายเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนคลี่รอยยิ้มอ่อนโยน มือเรียวนั้นเผลอจับแก้วเครื่องดื่มช็อกโกแลตเวลเว็ตตรงหน้าที่เย็นชืดไปนานแล้ว

“ขอโทษนะนุ่นที่ช้า พอดีช่วงนี้ต้องทำงานแทนพ่อด้วย”

หน้าตาหล่อเหล่าอันคุ้นเคยเป็นอย่างดีของชายหนุ่มดูไม่สบอารมณ์นัก เขาว่าแล้วถือวิวาสะลากเก้าอี้นั่งตรงกันข้ามทันที

นิชกานต์มองดูเพื่อน... ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คืออดีตคนรักที่แปรสถานะมาเป็นเพื่อนอย่างเห็นใจ เธอเพิ่งได้ยินจากปากเขาเมื่อสองวันก่อนถึงเรื่องที่คุณลุงเจษต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล

“อาการคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้างเจน”

“ก็ดี... อีกนิดก็เกือบหายดีแล้ว” เจนภพพยักหน้า

“ดีแล้วล่ะ ดีใจด้วยนะ ฝากบอกท่านด้วยว่าขอให้หายไวๆ”

ชายหนุ่มฟังแล้วก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะคุยอะไรต่อ พลางพินิจใบหน้าสวยเบื้องหน้า นิชกานต์เปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่วันแรกที่เขาได้พบกับเธอเมื่อสิบปีที่แล้ว เจนภพจำวินาทีที่เขาเริ่มรู้สึกหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มที่มีแต่ความสดใสนั้นจนกระทั่งตัดสินใจขอเธอเป็นแฟน ทั้งคู่กลายเป็นคู่รักที่หลายคนในคณะต่างพากันอิจฉาด้วยความเหมาะสมกันทั้งทางหน้าตาและฐานะ นิชกานต์เคยเปรียบประดุจพระอาทิตย์ที่สาดแสงเข้ามาละลายกำแพงน้ำแข็งในหัวใจเขาอยู่หลายปีจนเกือบหายไปหมดสิ้น กระทั่งถึงวันที่เธอเดินมาหาที่สนามบินหลังจากเขาเพิ่งกลับมาจากออสเตรเลียพร้อมปริญญาโทหนึ่งใบ บอกว่าเธอจำเป็นต้องเลือก... ระหว่างเขาที่อยู่ห่างเธอมาหลายปีเป็นความสัมพันธ์ระยะไกลกับชายหนุ่มรูปงามที่ขึ้นชื่อเรื่องผู้หญิงหากแต่เพราะชาติตระกูลดีมีพ่อเป็นส.ส.และมีฐานะทำให้สาวๆอยากจะคว้าเขาเอาไว้

นิชกานต์เลือกลูกชายนักการเมือง

คำตอบของหญิงสาวผู้ที่เขาเชื่อใจมาตลอดทำเอาเจนภพเสียศูนย์ไปพักใหญ่ กำแพงน้ำแข็งในหัวใจยามนี้มันกลับก่อตัวหนาขึ้นมามากกว่าเดิมจนแทบไม่มีใครที่จะสามารถละลายมันได้อีกครั้ง เหตุการณ์ครั้งนั้นแม้จะผ่านมาสี่ปีแต่ผลลัพธ์ของมันยังคงอยู่ให้เห็นจวบจนปัจจุบัน เจนภพให้อภัยนิชกานต์ตั้งแต่วันแต่งงานของเธอ คุยดีกับเธอ แต่เลือกที่จะปิดกั้นหัวใจนับแต่นั้นเป็นต้นมา

และนี่เป็นครั้งแรกที่เขานัดเจอกับเธอหลังจากที่คุยกันผ่านทางสังคมออนไลน์อย่างเดียวมาเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากที่เจนภพได้รับข่าวว่านิชกานต์หย่ากับสามีแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“เจนสบายดีไหม”

แม้จะทักกันเสมอในโปรแกรมแชตทางโทรศัพท์ นิชกานต์ก็ยังรู้สึกว่าเธอควรถามความเป็นไปของเพื่อน

“เอาจริงๆไหม” ชายหนุ่มถามย้อนแล้วเงียบไปพักใหญ่ คำตอบของเขาคือการส่ายหน้า

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

นิชกานต์ชอบถามแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่เห็นเจนภพหน้าเครียด และก็ทุกครั้งที่เขาจะเปิดใจกับเธอ... เช่นเดียวกับวันนี้ที่ชายหนุ่มชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะปรึกษาเธอดีไหม เพราะรู้ดีว่าเธอคือคนที่จะสามารถให้คำแนะนำที่ดีที่สุดให้เขาได้แม้จะเคยหักหลังให้เขาเจ็บก็ตามที

“มี”

“ว่า...”

เจนภพเสมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างไม่ปรารถนาที่จะเห็นอาการของหญิงสาวเมื่อรับรู้เรื่องราวจากเขา

“เราอาจจะต้องแต่งงาน พ่อคุยกับเราเมื่อวานนี้”

ไม่มีเสียงตอบรับใดจากคนตรงหน้า ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเธอกำลังทำหน้าเช่นไรเพราะยังไม่กล้าพอที่จะหันกลับมามอง ความเงียบดำเนินไปอย่างน่าอึดอัดจนเจนภพยอมหันหน้าตรง แววตานิชกานต์กำลังฉายแววอึ้งไปก่อนที่ริมฝีปากสีออกส้มสวยจะค่อยๆถามอย่างไม่แน่ใจ

“ทำไมไม่เห็นบอกเราเลยว่ามีแฟนแล้ว”

“คลุมถุงชน”

สิ้นคำเจนภพก็ถอนหายใจยาว

“แล้วอยากแต่งไหมล่ะ”

นิชกานต์ย้อนถามทั้งๆที่พอรู้คำตอบในใจดี ชายหนุ่มเลิกคิ้วยามสบตาแล้วก็ส่ายหน้าน้อยๆ

“แล้วจะหาทางออกยังไง... ถ้าอย่างนั้นก็แต่งกับเราไปก่อนไหม”

ข้อเสนออย่างไม่แน่ใจของนิชกานต์ทำเอาคนหน้านิ่งถึงกับหลุดความประหลาดใจออกมาก่อนถามเธอเหมือนต้องการเช็กว่าตนไม่ได้ยินผิดไป

“เอาจริงเหรอ”

“เราล้อเล่น อย่าคิดมาก แต่เจนก็ไม่ได้เต็มใจจะแต่งกับผู้หญิงคนนั้นนี่ แล้วคิดจำไงต่อ”

หญิงสาวร่ายเหตุผลออกมา

“เราเองก็ไม่อยากแต่งงานกับคนที่เพิ่งเจอหน้าแค่สองครั้งหรอก ที่สำคัญคือเราอคติกับเขาด้วย” ปากว่าไปสมองก็พาลนึกถึงคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งสองครั้งคนนั้น ไม่รู้ว่าป่านนี้เธอจะรู้แล้วหรือยังว่าพ่อของเขามีแผนพิเรนทร์อะไรรอเธออยู่ แถมพอถามเหตุผล พ่อก็เอาแต่บอกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาควรจะรับผิดชอบชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ทำเอ่าชายหนุ่มถึงกับอยู่ไม่สุขตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาเมื่อมองไม่เห็นเหตุผลอันเหมาะสมในการแต่งงานครั้งนี้
แล้วไอ้หน้าที่กับความรับผิดชอบนั่น... กับอีแค่ช่วยพ่อเอาไว้ เขาไม่คิดว่าจะต้องถึงขั้นตอบแทนด้วยการยกลูกชายให้

“ดังนั้นก็อย่ายอมนะเจน แต่งแบบคลุมถุงชน สุดท้ายก็หย่า”

“ขนาดแต่งด้วยความรักสุดท้ายก็หย่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

ท่าทางที่ดูมั่นใจในตอนแรกของนิชกานต์หมดลงไปทันทีเมื่อได้ยินชายหนุ่มสวนกลับ... ใช่ เพราะเธอรักในความมีเสน่ห์และความช่างเอาใจของว่าที่สามี ถึงตัดสินใจเลือกเขามาแทนเจนภพที่อยู่ห่างกันมากในตอนนั้น แต่เพราะความรักอย่างเดียวมันไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะตัดสินความสุขของชีวิตคู่ เมื่อเขาเอาแต่นอกใจเธอไม่เว้นวัน เธอเคยพยายามที่จะมีลูกเพื่อเชื่อมใจหากแต่ก็โดนเขาห้ามเอาไว้ด้วยเหตุว่าเกรงว่าจะเป็นภาระ นิชกานต์จึงเพิ่งตาสว่างว่าเธอนั้นเลือกคนผิดเข้าให้แล้วเพียงเพราะตื่นเต้นไปกับคำหวานในช่วงแรกแล้วต้องมาพบกับนรกในบ้านทุกวัน จนเมื่อการทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้น เธอจึงเลือกที่จะเดินจากมาอย่างไม่ลังเลโดยที่คนแรกที่เธอส่งข่าวหาว่าหย่าแล้วก็คือเจนภพ

“ขอโทษนะ เราพูดเกินไปหน่อย”

พอเห็นว่านิชกานต์เงียบตึงไป เจนภพจึงรู้ตัวว่าเล่นหนักเกิน ก่อนที่จะแปลกใจกับคำตอบรับของเธอ

“ไม่เป็นไรหรอก... เราผิดเอง...”

นิชกานต์หลุบตาต่ำด้วยเกรงว่าคนตรงหน้าจะเห็นความรู้สึกที่ฉายชัดในดวงตา คววามคิดคะนึงโหยหาถึงวันเก่าที่ไม่อาจจะหวนคืนอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำออกมา

“ผิดเองที่วันนั้นไม่เลือกเจน”





สำหรับคนที่มีอำนาจบริวารและคอนเนคชั่นมากมายระดับเจษฎาแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากนักในการติดตามตัวคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ เพียงแค่วันต่อมาเนตรนภิสก็เปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วยพิเศษด้วยสีหน้างงค้างพร้อมกับลูกน้องคนที่เขาสั่งให้ดำเนินเรื่อง หญิงสาวคราวรุ่นลูกยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมทำให้คนรับไหว้เห็นถืงแขนซ้ายที่โดนพันเอาไว้

“แขนเป็นอย่างไรบ้าง เป็นแผลจากคืนนั้นใช่ไหม”

เจษฎาเอ่ยถามคำแรกอย่างเป็นห่วง คนถูกถามพยักหน้าน้อยๆแล้วคลี่รอยยิ้มให้

“ก็ดีค่ะ หนูคิดว่าหนูน่าจะเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่าว่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ดี นอนในโรงพยาบาลก็สบายดี พรุ่งนี้ก็ออกแล้ว”

ชายผู้ป่วยตอบพลางพิจารณาดวงหน้าของหญิงสาวอย่างชัดๆในยามกลางวัน ก่อนหน้านี้เวลาที่เขาไปหานิดาแม่ของเธอเพื่อยื่นข้อเสนอช่วยเหลือก็แทบไม่เคยเจอกับเด็กผู้หญิงคนนี้เพราะดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยเล่าความจริงอะไรให้ลูกฟังเลยและคอยให้ลูกหลบฝั่งเขาเสมอ จนกระทั่งเขาได้ข่าวว่านิดาเสียแล้ว นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปีที่เขาได้พบลูกสาวเพื่อนสนิทอีกครั้ง และก็อาจจะเป็นโชคชะตาเช่นกันที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

“ขอบคุณหนูมากๆเลยนะ ลุงเป็นโรคหัวใจด้วย ไม่อย่างนั้นคงแย่กว่านี้แน่ๆ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรค่ะ คุณลุงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

ชายเลยวัยกลางคนตรงหน้าทอดสายตาอ่อนโยนให้กับคำพูดคำจาที่ดูจริงใจประหลาดของคนเบื้องหน้า มันช่างไม่ผิดเพี้ยนอะไรไปจากเพื่อนสนิทของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ว่าแต่ที่เรียกมานี่... มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ลูกชายลุงมันว่าอะไรหนูบ้าง”

เนตรนภิสนึกแล้วก็กระดากจนไม่อยากพูด เธอจะรับคนคราวพ่อเป็นสามีได้อย่างสนิทใจได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นเจนภพก็ยังคิดอะไรบ้าๆ

“โอเค... ลุงพอรู้อยู่ หนูไม่ต้องพูดก็ได้ ลุงจัดการกับลูกชายลุงไปบ้างแล้วล่ะ ขอโทษแทนเจนมันด้วยละกัน” เจษฎาตัดบทอย่างพอรู้ดีว่าเธอคงโดนกล่าวหาหนักกว่าที่เขาโดนเองอย่างแน่แท้

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เขาคงเป็นห่วงคุณลุงน่ะค่ะ”

“อย่าไปใส่คำพูดเจนเลยนะ เขาชอบพูดจาห้วนๆอย่างนั้นล่ะ ว่าแต่... เรื่องสิ่งตอบแทนที่จะให้”

“ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่ได้รับเช็คจากลูกชายคุณลุงเลยแม้แต่บาทเดียวค่ะ และไม่ต้องการด้วยค่ะ” เนตรนภิสยกมือยกไม้ปฏิเสธพัลวัน

“แต่ลุงอยากตอบแทนอะไรเราบ้างนะหนูน้อยหน่า”

คนยืนข้างเตียงยกคิ้วสูงอย่างไม่คาดคิด

“รู้ชื่อเล่นหนูด้วยเหรอคะคุณลุง”

เจษฎาพยักหน้า ทำไมเขาจะจำชื่อเล่นของลูกสาวเพื่อนสนิทไม่ได้ ในเมื่อที่มานั้นเขาเป็นคนคิดให้เอง…

ตอนที่นิดาแพ้ท้องอย่างหนักและอยากทานแต่น้อยหน่า เจษฎาก็แกล้งเปรยกับวัชระเล่นๆ

‘ก็ตั้งชื่อว่าน้อยหน่าสิ น่ารักดีออก’

‘ชื่อนี้ก็ดีนะ เอาจริงพวกเราก็ยังไม่ได้คิดชื่อลูกเลย นิว่าไง’ วัชระหันไปขอความเห็นภรรยา

‘น้อยหน่า… ก็น่ารักดีนะ เดี๋ยวน้อยหน่าออกมาเมื่อไรจะรีบพาไปเจอกับพี่เจนลูกลุงเจษเลย’

นึกแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวตรงหน้าเติบโตได้ขนาดนี้เชียว นึกถึงครั้งล่าสุดที่เจอตอนห้าขวบ ได้ข่าวว่าเธอสูญเสียความทรงจำทั้งหมดในวัยเด็กไปเพราะอาการช็อคจาก ‘เหตุการณ์นั้น’

และในเมื่อเหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องขาดพ่อ ทำให้ความทรงจำเธอหายไป จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรับผิดชอบและไถ่บาปกับเธอ

“ลุงมีเรื่องที่อยากตอบแทนหนู โดยการขอร้องอีกครั้ง”

“ตอบแทนโดยการขอร้อง? อย่างไรคะ”

“แต่งงานกับเจนได้ไหม”

“คะ? เจน?” เนตรนภิสถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ

“เจนภพ ลูกชายของลุง”

เจนภพ... ผู้ชายปากร้ายใจแคบนั่นน่ะเหรอ?

เนตรนภิสกระพริบตาปริบๆมองคนอาวุโสกว่า หรือว่าหัวจะกระแทกอะไรเข้าให้ตอนนั้น เธอควรเรียกหมอให้มาเช็คสมองของคนไข้สักหน่อยน่าจะดี

“คุณลุงคะ เรื่องนี้หนูคิดว่า...”

เจษฎารีบตัดขึ้นมาเมื่อพอรู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่

“คุณพ่อของหนูชื่อวัชระใช่ไหม”

“ทราบได้อย่างไรคะ”

“เพราะลุงคือเพื่อนสนิทที่สุดของคุณพ่อของหนู”

คราวนี้ ความสงสัยหนักเข้ารุมเร้าหญิงสาวจนเธอต้องเร่งถามต่อ ถ้าเขาเป็นเพื่อนพ่อจริงๆแล้วทำไมเธอถึงไม่เคยมีโอกาสได้รู้จักเขามาก่อน

“จริงเหรอคะ... แล้วทำไมหนูไม่เคยทราบเรื่องนี้ แม่หนูน่าจะพูดอะไรบ้าง”

“คุณแม่ไม่เคยพูดอะไรถึงลุงเลยใช่ไหม”

“คุณลุง... ชื่อ... เอ่อ...”

“ลุงชื่อเจษ”

เนตรนภิสส่ายหน้ารับ เธอไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงคนชื่อนี้ให้เธอได้ยินแม้แต่ครั้งเดียว

“ไม่เคยเลยค่ะ

“แม่ของหนูเขาก็คงไม่อยากพูดถึงลุงเท่าไรหรอก”

แววตาของคนป่วยวัยพ่อตรงหน้าหมองลงจนเนตรนภิสใจหายตาม แม้จะจับต้นชนปลายอะไรยังไม่ถูก แต่เธอก็พอเดาได้ว่าเพื่อนพ่อคนนี้คงอาจจะเคยทำให้แม่ของเธอโกรธมาก

“ลุงเคยทำเรื่องไม่ดีไว้กับครอบครัวของหนู แต่ตอนนี้ลุงสำนึกทุกอย่างแล้ว ลุงกับคุณพ่อของหนูเคยสัญญากันเอาไว้ว่าจะให้ลูกชายกับลูกสาวของเราแต่งงานกัน และการรับผิดชอบคำสัญญานั้นก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับลุงที่จะไถ่ความรู้สึกผิดทั้งหมดนั้น... และเพื่อประโยชน์ของตัวหนูเองด้วยนะ ลุงจะยกหุ้นและทรัพย์สินบางส่วนให้กับหนูด้วย”

เนตรนภิสหรี่ตา เธอไม่ไว้ใจคนตรงหน้า ไม่ว่าเขาจะรู้จักพ่อแม่ของเธอจริงหรือไม่ก็ตาม…

“คำสัญญานั้น... มันก็รุ่นพ่อรุ่นแม่แล้วนะคะ ถ้าหากคุณลุงอยากนึกรับผิดชอบอะไรไม่ดีที่เคยทำไว้ หนูก็อยากขอให้ลูกหลานไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ”

“ขอร้องล่ะ ก่อนที่จะปฏิเสธ ช่วยเก็บมันเอาไปคิดหน่อยก็ได้”

หญิงสาวตัดสินใจตัดบท ยกมือไหว้ลาอย่างมีมารยาทแล้วเดินออกจากห้องไปทันที

“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณนะคะที่ให้โอกาส วันนี้คุณลุงคงเพลียมาก หนูขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”





ทั้งๆที่เพิ่งกลับจากทำบุญครบรอบหนึ่งปีการจากไปของผู้เป็นมารดา หากใบหน้าของเนตรนภิสไม่ได้แสดงความอิ่มเอมใจจากกุศลที่เพิ่งทำไปเลยแม้แต่น้อย เธอวางข้าวของติดมือมาจากวัดไว้บนโต๊ะทานข้าวแล้วนั่งเท้าคางแสดงสีหน้ามู่ทู่จนเพื่อนสนิทอย่างบุณยนุชถึงกับต้องทัก

“กลุ้มใจอะไรหรือเปล่า”

เนตรนภิสส่ายหน้าทั้งๆที่เพิ่งแสดงท่าเหนื่อยใจอย่างลืมตัว ก่อนจะกล่าวเสียงเบา

“แค่คิดถึงแม่หรอก”

“หน้าแกตอนคิดถึงแม่มันไม่ได้มุ่ยขนาดนี้หรอก ต้องแบบตอนอยู่วัดนู่น อันนั้นน่ะหน้าคิดถึงน้านิของจริง” บุณยนุชว่าพลางนึกถึงใบหน้าเศร้าของเพื่อนยามพนมมือฟังพระสวด น้ำใสหยาดเล็กจับประกายระยิบระยับริมขอบตาคู่โตนั้นบอกชัดเจนว่าเนตรนภิสยังคงห่วงหาถึงมารดาผู้จากไป

“มีอะไรกลุ้มใจไหม”

บุณยนุชถามต่อทันทีอย่างไม่อยากปล่อยให้เพื่อนต้องตกอยู่ในภวังค์เสียใจอีกครั้ง คนถูกถามชั่งใจอยู่หลายวินาทีก่อนจะตอบแบบไม่แน่ใจ

“อยู่ดีๆก็โดนขอแต่งงาน”

คำตอบของเนตรนภิสนั้นเกินความคาดหมายของบุณยนุชไปมาก เธอถึงกับตาถลนอย่างรู้ดีว่าในช่วงอารมณ์แบบนี้เพื่อนของเธอคงไม่นึกมีอารมณ์จะพูดเล่น แม้ปากจะถามก็ตามที

“พูดจริง?”

เพื่อนสาวพยักหน้าหงึกหงัก

“ใคร... ใครคือผู้ชายคนนั้น” คำถามแรกแล่นเข้ากลางใจบุณยนุช ก่อนจะนึกถึงผู้ต้องสงสัยรายแรก “หรือว่าต้น”

คราวนี้เนตรนภิสมองหน้าคนทายแล้วถอนใจเฮือกยาวส่ายหน้า

“อ้าวงั้นใครอ่ะ”

“เรื่องมันยาว” คนถูกขอทำท่าอิดออด

“เฮ้ยยังไง แกก็เล่าสิ ยาวไม่ยาวก็ต้องเล่า ว่าแต่ใคร” บุณยนุชว่าไปพร้อมช่วยจัดข้าวจัดของในครัวของบ้านเพื่อนให้เข้าที่เข้าทางระหว่างรอเพื่อนเรียบเรียงคำพูด... ถ้าเพื่อนของเธอจะแต่งงานกับใครสักคน เธอแอบหวังลึกๆไว้ว่าอยากให้เจ้าบ่าวคนนั้นคือธนาธร... บุณยนุชยังคงจำภาพวันที่เนตรนภิสน้ำตาไหลพรากตอนรู้ว่าเพื่อนผู้ชายคนสนิทตัดสินใจมีคนรักเมื่อหลายปีก่อนได้เป็นอย่างดี จึงได้แต่เฝ้าหวังให้ธนาธรหันมามองเห็นความรู้สึกของเนตรนภิสเสียที

“คือหลายคืนก่อนเนี่ย ไอ้คืนงานแต่งแกนี่ล่ะ ฉันเดินกลับเข้าซอยมาเจอลุงโดนโจรทำร้ายก็เลยเข้าไปช่วย ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ลูกชายเขาเพิ่งตามมาเจอพ่อเขาทีหลังก็เข้าใจผิดว่าฉันเป็นเมียน้อยพ่อตัวเอง เลยเอาเช็คฟาดหัวแล้วก็จากไป ฉันโมโหเลยตามไปบ่นที่บริษัทเขา ทีนี้พ่อเขาคนที่ฉันช่วยเอาไว้ก็เรียกหาฉัน พอรู้ชื่อฉันเท่านั้นล่ะ... ก็บอกว่าเป็นเพื่อนเก่าของพ่อฉัน แล้วก็ขอให้ฉันแต่งงานกับลูกชายเขาเพราะเคยสัญญากับพ่อฉันเอาไว้”

“ฟังดูประสาทดีว่ะ แกแน่ใจนะน้อยหน่าว่าคุณลุงคนนั้นไม่ได้เป็นบ้า”

“ก็ไม่แน่ใจน่ะสิ ฉันเลยไม่ตอบรับ ลูกชายคุณลุงเขาก็ปากจัด นิสัยเสีย เอาแต่เข้าใจว่าฉันเป็นเมียน้อยพ่อตัวเอง”

“แล้วนี่ลูกชายเขาชื่ออะไร หน้าตาเป็นไง”

เนตรนภิสเหลือบมองถังขยะริมห้อง... นามบัตรที่เธอได้มาลงไปนอนอยู่ในนั้นตั้งแต่สองวันที่แล้ว

“ยังไม่เคยเรียกชื่อกันตรงๆสักครั้ง อ่านจากนามบัตรชื่อเจนภพ”

“เจนภพ... ทำไมชื่อคุ้นๆ...” บุณยนุชครุ่นคิดแล้วดีดนิ้วเป๊าะ “เดี๋ยวนะ ซีอีโอน้ำมันพืชที่หล่อๆดังๆป่ะ... เฮ้ย แต่คงจะคนละคนมั้ง อันนี้เป็นใครอ่ะ”

“ก็ไอ้ซีอีโอหล่อๆดังๆของแกนั่นล่ะ”

บุณยนุชที่กำลังล้างมืออยู่ถึงกับเหลียวหลังหันมาอ้าปากค้างใส่เพื่อน

“เอาจริง?”

“เออ”

“แล้วนี่ต้นรู้ยัง” คำถามของเพื่อนทำเอาเนตรนภิสสะท้านใจไปชั่ววูบ

“บอกแกคนแรกเนี่ยแนต แล้วฉันว่าฉันคงไม่ต้องบอกต้นหรอก เรื่องนี้มันดูเพี้ยนเกิน ยังไงฉันก็ไม่แต่งโว่ย”

ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป ปากก็บอกเพื่อนอีกครั้งอย่างตัดบท

“ไปรดน้ำต้นไม้ก่อนนะ เมื่อเช้ารีบเลยลืม”

ระหว่างเดินผ่านห้องรับแขก หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหันไปมองรูปแม่ที่ยิ้มอย่างใจดีบนตู้ไม้สีเบจข้างโทรทัศน์ หัวใจเริ่มรู้สึกถวิลหาอีกครั้งเมื่อมองไปรอบๆห้อง หมอนอิงที่แม่ชอบใช้กอด โซฟาที่แม่ชอบทิ้งตัวลงยามเหนื่อยล้าจากการทำงาน กล่องซีดีเพลงไทยลูกกรุงวงโปรดถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อยในมุมในสุดของตู้เหมือนกับยามที่แม่ยังไม่จากไป

ทุกอย่างที่เป็นของๆแม่ยังคงอยู่ที่เดิม

เนตรนภิสแอบปาดน้ำตาเมื่อพ้นตัวบ้าน เธอกำลังจะเดินไปต่อสายยางเข้ากับหัวก๊อกน้ำบริเวณหน้าบ้าน แต่แล้วก็ได้ยินเสียงวิ่งตุบตับๆออกมาจากตัวบ้านโดยเร็ว เมื่อหันไปมองก็พบเพื่อนสนิทยืนหอบแฮ่กๆด้วยสีหน้าตกใจอย่างมาก

“เป็นอะไร มีอะไรเปล่าแนต วิ่งเหมือนคนบ้าแล้วออกมาทำหน้าอย่างกับเห็นผี”

คนถูกถามไม่สนใจเพื่อน “หน่า เมื่อกี๊แกว่าแกจะแต่งงานกับใครนะ”

“ก็ไม่ได้พูดว่าจะแต่งงานนี่ แค่บอกว่ามีคนขอ”

“คุณเจนภพ... ที่นามสกุลพิทักษ์ภักดีใช่ไหม?”

เนตรนภิสจับสายยางขึ้นมาพร้อมหรี่ตามองเพื่อนอย่างประหลาดใจในความตื่นเต้นของเพื่อน

“เออ ตามนั้น แนตนี่ยังไง เมื่อกี๊ก็ถามไปแล้วอีกรอบ เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”

“หน่า... เอาจริงเหรอหน่า เป็นคนนั้นจริงๆเหรอ”

“ทำไม มีอะไร เขาเป็นแฟนเก่าแกเหรอแนตถึงได้ทำหน้าแบบนั้น”

บุณยนุชส่ายหน้าปฏิเสธ หายใจเข้าลึกๆแล้วตัดสินใจพูด

“เพราะพวกคนนามสกุลนั้นไม่ใช่เหรอที่เป็นสาเหตุการเสียของคุณพ่อหน่า”

คำพูดของเพื่อนสนิททำให้เนตรนภิสถึงกับเผลอปล่อยสายยางหลุดร่วงจากมือ น้ำสาดกระเซ็นมาโดนขาจนเปียกหากแต่เธอไม่รู้สึกเลยสักนิด หัวใจนั้นรับรู้แต่เรื่องที่บุณยนุชเพิ่งพูดออกมา

“แนต... เมื่อกี๊พูดว่าอะไรนะ”

คนถูกถามทำหน้าช็อคไปชั่วขณะเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา แต่จะกลับลำก็ไม่ได้เมื่อเจ้าของเรื่องสาวเท้าเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเธอทันที

“รู้อะไรมาแนต เล่าให้ฉันฟังให้หมด... เดี๋ยวนี้”

“ไม่รู้ๆหน่า ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรได้ไหม”

“ไม่ได้! เรื่องนี้มันเรื่องความเป็นความตายของพ่อทั้งคน ทำไมถึงไม่เคยเล่าให้ฉันฟังสักคำ! ทำไมฉันถึงไม่รู้อะไร แม่เคยเล่าอะไรให้แนตฟังใช่ไหม”

เมื่อเห็นเพื่อนขึ้น บุณยนุชจึงรีบกล่าวต่ออย่างรู้ดีว่าปิดบังความจริงต่อไปไม่ได้แล้ว

“คือ... น้านิไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังหรอก ต้นเล่ามาให้ฟังอีกที แต่ฉันสาบานได้นะหน่า หน้าพระที่วัดไหนก็ได้ว่าฉันรู้แค่นั้นจริงๆ”

เนตรนภิสจ้องเธอเขม็งราวกับจะค้นหาความจริงเพียงแค่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินฉับเข้าไปในบ้านอย่างไม่สนใจน้ำที่ยังไหลออกมาจากสายยาง บุณยนุชมองเห็นน้ำที่เจิ่งนองเต็มพื้นหน้าบ้านแล้วก็รีบวิ่งไปปิดก็อกให้ก่อนจะตามไป พอเข้ามาในตัวบ้านก็เห็นเพื่อนสนิทยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเครียดหนักแล้ว

“ต้น...”

“หน่ามีอะไรหรือเปล่า เสียงไม่ดีเลย”

“มี” เนตรนภิสหายใจเข้าลึกๆ “ต้นรู้ได้ไงว่าพวกนามสกุลพิทักษ์ภักดี ไอ้เจ้าของน้ำมันพืชอะไรนั่นเป็นต้นเหตุการตายของพ่อเรา เราเชื่อมาตลอดว่าพ่อเราตายเพราะอุบัติเหตุ แต่นี่อะไร ทำไมการตายของพ่อถึงมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ต้นบอกเรามาให้หมดเลยนะ”

ปลายสายทำเสียงเบาทันที “หน่า แค่นี้ก่อนนะ เรามีประชุม”

“ต้น... วันนี้วันอาทิตย์นะ”

เมื่อโดนรู้ทัน ธนาธรถึงกับอยู่ไม่สุข เรื่องการเสียชีวิตของน้าวัชระเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าที่เพื่อนสนิทของเขาไม่ควรจะล่วงรู้ เพราะพ่อแม่ของเขาสนิทกับแม่ของเนตรนภิสมากๆจึงได้ทราบเรื่องราวทุกอย่าง หากแต่ท่านทั้งสองก็ไม่เคยคิดจะบอกความจริงอะไรเขาเช่นกัน ได้แต่ย้ำว่าเมื่อใดก็ตามที่คนจากตระกูลพิทักษ์ภักดีเข้ามาเกี่ยวข้องกับเนตรนภิส ตอนนั้นเขาต้องทำหน้าที่ปกป้องเธอให้ดีที่สุด เพราะพวกเขาเหล่านั้นคือต้นเหตุที่ทำให้น้าวัชระตาย

นี่เป็นเรื่องที่ธนาธรไม่เคยบอกเนตรนภิส คนเดียวที่เขาให้รับรู้เรื่องนี้ได้ก็คือบุณยนุช

ดังนั้นหมายความว่า...

“แนตบอกหน่าเหรอ”

“ใครบอกก็ไม่สำคัญหรอกต้น แต่ต้นต้องบอกเราว่าต้นรู้อะไรบ้าง ต้นปิดเรื่องนี้กับเราได้ยังไง”

คนปลายสายเสียงเริ่มโวยวายจนธนาธรต้องพูดอย่างใจเย็น รู้ดีว่าถ้าหากเนตรนภิสไม่ได้รู้เรื่องนี้ รับรองเธอจะไม่มีทางจบแน่นอน

“เราไม่ได้ตั้งใจจะปิด แต่สิ่งที่เรารู้มันก็พอๆกับที่แนตรู้ และพ่อแม่เราก็รู้แค่นั้น น้านิไม่เคยพูดอะไรให้พวกเราฟังเลยหน่า ยกเว้นก็แต่เรื่องที่ผู้ชายอายุประมาณกลางคนหน่อยชื่อเจษฎา นามสกุลนั้นล่ะ มักจะแวะเวียนมาหาน้านิตอนที่หน่าไม่อยู่ แล้วก็จะให้ความช่วยเหลือ แต่ทุกครั้งก็ถูกน้านิไล่ออกมา เพราะยังโกรธเขาไม่เลิกที่เป็นต้นเหตุการตายของน้าวัช เรารู้แค่นี้จริงๆ”

เนตรนภิสพูดอะไรไม่ออก นึกถึงคำพูดของคนป่วยที่โรงพยาบาลที่ฟังดูไร้สาระเหมือนเรื่องโกหกลวงโลก เธอนึกว่าเขาแค่เพี้ยนจากการที่ศีรษะโดนกระแทก หากแต่เป็นเพราะเขาอยากจะชดเชยในเรื่องอดีตจริงๆตามที่ปากว่าไว้

แต่ทำไมเจษฎาถึงไม่บอกเธอสักคำว่าเรื่องที่ว่ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพ่อเธอ ทั้งๆที่เขาเป็นต้นเหตุ หรือที่เขาพูดว่าอยากจะไถ่โทษกับเธอก็คือเรื่องนี้?

“หน่า... หน่ายังโอเคไหม”

หญิงสาวไม่ได้ยินเสียงเพื่อนจากโทรศัพท์อีกต่อไป ความคิดตอนนี้เต็มไปความจริงในอดีตที่เพิ่งทราบ เนตรนภิสไม่อาจจะล่วงรู้เลยว่านับตั้งแต่วินาทีนี้ ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลโดยที่มีเบื้องหลังการตายของพ่อเป็นจุดเริ่มต้น

แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 55 12:39:30

จากคุณ : Chanuikarn
เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 13:26:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com