สาปกณิการ์ :: งามชบา - บทที่ 14
|
|
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12656402/W12656402.html
บทที่ 14
ม่านมุ้งพลิ้วไหวอ้อยอิ่งดั่งส่งสัญญาณเตือนบางอย่าง แต่ฤดีดิษถ์กลับจ้องเขม็งอย่างตกใจ เธอดีดลุกว่องไว เหลียวซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง เตียงมันสวย หรือจะบอกว่าห้องทั้งห้องมันสวย แต่มันสวยผิดปกติเกินไป เหมือนมันจะบอกเป็นนัยๆ ว่าเธอ 'หลงยุค'
เท้าเพิ่งแตะพื้น แล้วก็สะดุ้งกับไอเย็นเฉียบ พอลดตาลงสำรวจก็ต้องตกตะลึงกับความงดงามอันอลังการ
แผ่นหินอ่อนสีม่วงครามทรงกลมแต่ละแผ่นใหญ่เกือบเท่าจานดาวเทียม ช่วงต่อระหว่างแผ่นฝังรัตนชาติล้ำค่า มันส่องแสงแพรวพราวเหมือนว่าเธอโดนห่อหุ้มไว้ด้วยกรงแก้วสีรุ้ง
"โอ้โฮ นี่มันสถาปัตยกรรมยุคไหนกันหนอถึงได้ลงทุนอลังการขนาดนี้ รัตนชาติพวกนี้.. "
เธองึมงำแล้วย้ายลงมาแตะๆ ใจเต้นแรงมาก มันตื่นเต้นน่ะสิ มั่นใจว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นรัตนชาติล้ำค่ามากมายเช่นนี้มาก่อน
น้ำหนักและวิธีจัดวางก็ไม่ใช่สะเปะสะปะนะ เหมือนมีแม่แบบร่างนำทางไว้แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นดวงดอกไม้ เป็นริ้วก้านริ้วใบ บางช่วงเป็นต้นไม้ทั้งต้นเลยด้วยซ้ำ
"โอ้โฮ" เธอไม่รู้จะพูดคำไหนได้ดีไปกว่าอุทานซ้ำ รู้สึกว่าความเป็นครีเอทีฟมืออาชีพมันด้อยๆ ลงยังไงก็ไม่รู้ "นี่ฉันฝันไปใช่ไหม มันไม่มีห้องสวยแบบนี้จริงๆ ในโลกหรอก"
เธอลุกยืนเงอะงะ ไม่กล้าย่างเท้าเหยียบของสวยๆ งามๆ ใจเต้นระทึกกับความอลังการแปลกตา ตอนก้มลงสำรวจเนื้อตัวก็พบว่ายังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เข้าป่าอัญมณีพร้อมกับลุงโภชน์ แสดงว่ายังไม่ได้กลับออกไป และต้องเป็นวันเดียวกันอยู่ใช่ไหม ก็ยังสวมชุดเดิมนี่
"เจ้าพี่"
"แม่นาง"
สองเสียงตระหนกดังขึ้นก่อนพร้อมเพรียงแล้วตามด้วยเสียงประสานของคนจำนวนมาก ฤดีดิษถ์เหลียวขวับไปจับระเบียงโปร่ง สายลมเย็นจัดพัดชายผ้าม่านพลิ้วแรง
เธอบอกตัวเองว่าไม่อยากย่ำเหยียบของสวยๆ งามๆ แต่ก็จนใจนะที่เหาะไม่ได้ ถ้าไม่ย่ำก็ไม่ถึงเป้าหมายสิ แหม แต่ทำไมมันเย็นจัดอย่างนี้ น่าจะมีรองเท้าสักคู่
ระเบียงกว้างขอบโค้งทอดออกไปจนเห็นลานใหญ่ข้างล่าง ฤดีดิษถ์ห่อปากเบิกตากว้าง ขนลุกซู่กับภาพอันน่าตื่นตะลึง เริ่มใจคอไม่ดีด้วยว่าไอ้ที่คิดเล่นๆ ว่าหลงยุค มันพานจะกลายเป็นจริง
เพราะชายนับไม่ถ้วนที่คุกเข่าพร้อมอาวุธในมือ ส่วนใหญ่ก็เป็นหอกดาบทวน ก้มหน้าคล้ายคารวะหรือแสดงความอาลัย มองยังไงก็เดาไม่ผิดว่าต้องเป็นทหารหรือนักรบ โน่นแน่ะ ข้างหลังยังมีขบวนม้าแผ่ทะมึนไปจนชิดขอบป่าเขียวไกลออกไปโน่น
"ตายแล้ว" เธอลูบอกเบาๆ "นี่มันที่ไหน หรือว่า.. "
เธอไม่กล้าพูด ตอนนี้เธอกำลังนึกถึงคำบอกเล่าของลุงโภชน์ที่ค้างไว้แค่คำว่า 'เจอดี' หรือว่าเธอกำลังเจอมันอยู่ แล้วเพราะมันอลังการกึ่งๆ เคร่งขลังน่าครั่นคร้ามแบบนี้ใช่ไหม นายทุนพวกนั้นถึงได้เผ่น แล้วเธอเล่า จะเริ่มเผ่นยังไงก่อน
กำลังเร่งระดมหาวิธีไปจากที่ประหลาด จู่ๆ เสียงอาวุธกระทบพื้นก็ดังก้องพร้อมเพรียงขึ้น หน้ามุขด้านซ้ายปรากฏชายฉกรรจ์ในชุดทะมัดทะแมงสีเทา คาดเข็มขัดผ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับ ในมือใหญ่กุมทวนยาวแล้วยื่นไปข้างหน้า พลางตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า
"เหล่านักรบองครักษ์ทั้งหลาย แม่นางจงอรเดินทางกลับสู่สวรรค์แล้ว จงไว้อาลัยแด่แม่นางโดยพร้อมเพรียงเถอะ"
พอสิ้นเสียงประกาศก้อง เสียงอาวุธแนบพื้นก็ดังพรึ่บพร้อมเพรียง เหล่านักรบองครักษ์เต็มลานก้มคารวะไว้อาลัยศีรษะจรดพื้น "ท่านศมะ"
ฤดีดิษถ์ไม่ได้เรียก แต่เธอได้ยินเสียงนี้ดังแว่วๆ อยู่ในร่างกาย สมองครืนๆ เหมือนมีน้ำไหล สักพักก็พองฟูคล้ายฟองอากาศฟู่ขึ้นแล้วแฟบลง เส้นขนลุกชันจนอดลูบไม่ได้ มือก็สั่น เหงื่อก็ออก
"ท่านศมะ เรากลับมาเจอท่านแล้ว ได้ยินเราเรียกไหม ท่านศมะ เราแม่นางกณิการ์กลับมาเจอท่านแล้ว"
ไม่ใช่นะ เธอไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนี้ มีใครคนหนึ่งแทรกอยู่ในร่างเดียวกันกับเธอ ร่างที่เริ่มซวนถอยหลังโงนเงน ตาพร่ามัวมองความอลังการในห้องได้อย่างเลือนรางลง
บังเกิดริ้วควันลอยพลิ้วเป็นเกลียวบางผ่านหน้าไป หน้าผากร้อนจัดและปวดรุนแรงคล้ายจะระเบิด เธอรีบกุมมันไว้แล้วก็ปล่อยลนลานเพราะมันร้อนเหมือนไฟ ทั่วทรวงอกเกิดกระแสคลื่นบางอย่างพรูขึ้นจนมันแน่นคับ และให้ความรู้สึกคล้ายจะระเบิดเหมือนกับหน้าผาก ฤดีดิษถ์ครางเจ็บปวดพร้อมกับสะอื้น
น้ำตาไหลร้อนจัดเหมือนกัน ตาแดงเหมือนเทเลือดสดล้นเบ้า เรื่องแดงจัดน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าใครมาเห็นแววดุร้ายน่ายำเกรงที่วาววับในยามนี้ละก็ เป็นคอย่นหน้าหดถอยกรูดแบบไม่รู้ตัวแน่
แล้วท่ามกลางปฏิกิริยาอันแสนทรมานนั่นเอง ร่างแม่นางกณิการ์ก็ปรากฏเลือนรางขึ้น ท่วงท่าอาจหาญคล้ายดั่งพยายามจะฝ่ากำแพงที่ขวางกั้นออกมา แต่ร่างกายนี้เป็นของฤดีดิษถ์ ยามเธอหายใจแรงหนัก พลังดึงดูดก็จะแข็งแกร่งและทรงอานภาพเหนือกว่า
แม่นางจึงผลุบโผล่อย่างพยายามหลายครั้งหลายหน กระทั่งสลัดใบหน้าดุร้ายอย่างเกรี้ยวกราด แล้วเสียงตะคอกกร้าวก็โพล่งทะลุแรงหายใจของสาวครีเอทีฟออกมาว่า
"บังอาจ เจ้ากล้ายื้อตัวเราหรือ ปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้ เจ้าพี่เราเดินทางกลับสู่สวรรค์แล้ว ท่านศมะก็ประกาศให้รู้ทั่วคามแล้ว เจ้าเห็นเจ้าได้ยินอยู่ไม่ใช่หรือ"
"ไม่รู้" ฤดีดิษถ์ละล่ำละลักออกมาอย่างไม่รู้ตัว
"หยุดลมหายใจของเจ้าเดี๋ยวนี้ มันคือเครื่องพันธนาการเรา ได้ยินไหมแม่นางแปลกหน้า หยุดลมหายใจของเจ้า หยุด เราสั่งว่าหยุด"
เสียงก้องดุร้ายน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน มันสะท้อนเป็นห้วงๆ กระแทกโสต ฤดีดิษถ์แสบระคายและร้าวสั่น เธอนึกกลัวไปว่าแก้วหูมันจะแตกไปแล้ว
แต่เธอก็ควบคุมปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้ไม่ไหว ยามนี้ร่างกายของเธอมันดิ้นพล่านๆ เหมือนปลาเหมือนไก่ที่ถูกโยนลงไปในหม้อน้ำเดือดทั้งเป็น
"โอ๊ย หยุด ได้ยินไหม ฉันสั่งว่าหยุด ฉันเจ็บ หยุดเสียที หยุด ฉันบอกว่าหยุด"
แล้วร่างดิ้นพล่านก็กระตุกเฮือกขึ้น ลุงโภชน์กับหมอก็สะดุ้งโหยง ชาวบ้านอีกสองสามคนก็พากันถอยกรูดไปติดหลังห้องโน่น เพราะหวาดกลัวเสียงกร้าวก้องของสาวชาวกรุงเหลือเกิน
เธอตะคอกสั่งให้ใครหยุดก็ไม่รู้ ร่างที่นอนดิ้นกระสับกระส่าย อยู่ดีๆ ก็โผพรวดขึ้นมานั่งหอบกระเส่า ไม่รู้ว่าฟื้นหรือละเมอ
'หมอน้อย' ประคองสาวละเมอลงนอนอย่างช้าๆ สังเกตจังหวะผ่อนลมหายใจไปด้วย เมื่อพบว่ากลับสู่ภาวะปกติก็ค่อยคลายใจหันไปยิ้มกับลุงโภชน์
นึกสงสารอยู่เหมือนกัน เพราะรายนั้นก็เจอเคราะห์คลุมเครือ จู่ๆ บุตรสาวก็มาหายตัวไปอย่างลึกลับพร้อมกับว่าที่เขยขวัญ งานวิวาห์ซึ่งเตรียมไว้เอิกเกริกก็มีอันเลิกล้มกลางคัน "เป็นไปได้ไหมพ่อหมอน้อยว่าแม่หนูไปเจอดีเข้าแล้ว" แกเปรยเมื่อเขาห่มผ้าให้สาวหลับสนิท
"ไม่หรอกครับ ลุงเองก็มีส่วนย้ำความเชื่อของชาวบ้านเหมือนกันนะ เอะอะก็โยงไปชนกับเรื่องพวกนั้นทุกที ในป่าแบบนั้น อึมครึมขนาดนั้น มันก็ต้องมีตาฝาดหูฝาดกันบ้าง"
"พูดเหมือนไม่ใช่คนบนภูเรานะพ่อหมอน้อย"
"ก็เพราะใช่น่ะสิ ผมถึงไม่อยากให้ลุงย้ำความเชื่อพวกนี้ ไม่เห็นหรือว่าทุกวันนี้พวกเราชาวบ้านต้องคอยตอบคำถามของคนในเมืองกันแบบเหนื่อยปากเหนื่อยใจแค่ไหน เท่าที่ลือกันไปเรื่องวิหารวังร้าง ผมว่าก็น่าจะพอแล้วนะ"
ลุงโภชน์ถอนใจเบาๆ ชำเลืองมองสีหน้าเผือดลงอย่างรวดเร็วของฤดีดิษถ์อย่างแปลกใจ เพราะเมื่อครู่นี้ยังแดงก่ำเหมือนโดนสาดด้วยน้ำร้อนอยู่เลย
"แล้วนี่อีกนานไหมกว่าจะฟื้น พ่อหมอน้อยแน่ใจนาว่าหัวเหอไม่ไปฟาดกับหินกับไม้เข้า"
"แน่" พ่อหมอน้อยก็สำทับยิ้มๆ ให้คลายกังวล "เราออกไปก่อนเถอะครับ ออกันในนี้ก็ส่งเสียงรบกวนคนพักผ่อนเปล่าๆ หรือจะรอให้เธอละเมออาละวาดอีกรอบ"
ชาวบ้านที่ออเบียดกันตรงฝาห้องก็รีบกรูออกไปก่อน ลุงโภชน์ก็ค่อยตามออกไปเนือยๆ รั้งท้ายด้วยหมอน้อย
ก่อนปิดประตูก็ชำเลืองไปมองร่างนอนสงบใต้ผ้าห่มอีกครั้ง แล้วก็อดยิ้มขำกึ่งระอาไม่ได้ ก็เขาเป็นหนุ่มยุคใหม่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ไสยศาสตร์มนตร์ดำ ผีเจ้าผีป่าก็ไม่เชื่อ
แต่ชาวบ้านสองสามคนที่ช่วยลุงโภชน์ออกตามหาเธอก็ยืนยันหนักแน่นว่าตอนไปพบร่างแน่นิ่งของเธอในป่า สภาพดูแย่มาก ตัวเปียกเหมือนถูกจุ่มน้ำแล้วยกมาพาดพงหญ้า เธอยังตวาดเสียงกร้าวให้ได้ยินด้วยว่า 'บังอาจ'
ในห้องพักปรากฏร่างเลือนรางของพระครูลาพุชกับท่านศมะอย่างช้าๆ โดยเฉพาะองครักษ์ผู้ภักดีต้องพลิ้วไปชิดปลายเตียง เฝ้ามองแม่นางยอดดวงใจนอนหลับหายใจแผ่ว พระครูอมยิ้มเมื่อบุตรชายเหลียวมาจ้องหน้าคล้ายตำหนิ
"เจ้ากังวลเกินไปหรือเปล่าท่านศมะ เราพิสูจน์ได้แล้วนี่ว่าแม่นางย้อนคืนกลับมาพร้อมกับร่างนี้ เจ้าคงยังไม่ลืมหรอกนะว่าร่างของพ่อเองยังโดนพลังอำนาจของแม่นางกระแทกเสียปลิว"
"ลูกไม่ลืมหรอก ถ้าไม่เกรงกลัวต่อบาปละก็ อยากหัวเราะเยาะให้ด้วยซ้ำ"
"เอ.. เจ้านี่พิกลนัก พ่ออุตส่าห์สละดวงวิญญาณท้าพิสูจน์แท้ๆ กลับไม่สำนึกบุญคุณ หวังสมน้ำหน้าอีก"
ท่านศมะหัวเราะเบาๆ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วยอีกแล้ว พิสูจน์ได้ก็เท่านั้นล่ะ ตราบใดที่แม่นางยังถูกพันธนาการแน่นหนาด้วยร่างใหม่ อานุภาพอันเกรียงไกรก็จะพลอยถูกกักขังไปด้วยอยู่ดี
"เราต้องหาวิธีที่นุ่มนวลกว่านี้เชิญแม่นางออกมา" ท่านเปรยความคิดออกมาหลังจากใคร่ครวญอย่างสุขุมแล้ว "ยังไงหรือ" พระครูลาพุชถามพลางเลิกคิ้ว
"ลูกก็ไม่ทราบ" ตอบบิดาไปแล้วก็ถอนใจยาว "แต่ต้องไม่ใช่การบีบคั้นที่ท่านพ่อทำไปแล้ว"
"แล้ววิธีของพ่อไม่ดีตรงไหนเล่าท่านศมะ"
"ก็มันทำให้แม่นางเหน็ดเหนื่อยมาก ซ้ำยังจะทำร้ายร่างที่แม่นางอาศัยให้เจ็บปวดและบอบช้ำเกินไปอีกด้วย ท่านพ่อเห็นสภาพของแม่นางคนนี้ไหมเล่า แม่นางช่างน่าสงสารนัก"
"สงสารแม่นางคนนี้ หรือแม่นางกณิการ์เล่าเจ้า"
"ท่านพ่อ"
บุตรชายเสียงเข้มขึ้น จ้องหน้าเขม็งตำหนิอีกแล้ว พระครูลาพุชหัวเราะเบาๆ ท่านจางร่างเบาไปอย่างช้าๆ เช่นเดียวกับท่านศมะ ที่พลิ้วตามไปไม่เร่งรีบ
แล้วเมื่อทั้งห้องว่างเปล่า ฤดีดิษถ์ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอเลิกคิ้วงงนิดหน่อย เพราะไม่นึกว่าจะเจอเพดานห้องแทนผืนป่า ตอนร้อง 'เอ๊ะ' มือก็สลัดผ้าห่มผุดลุกนั่งกระฉับกระเฉง ไร้เค้าความอ่อนเพลียใดๆ สักนิด
เธอแค่เสยผม ลูบหน้าสองสามที รู้สึกว่ามันเย็นนิดหน่อย พอเหวี่ยงขาห้อยลง สมองก็เริ่มทบทวนเรื่องราว โดยเริ่มย้อนกลับไปตั้งแต่ปากทางเข้าป่าอัญมณีโน่นเลย อ้อ แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้น เธอน่าจะโทรหาลายสือก่อน
"อะไรนะคะ เกิดขึ้นได้ยังไง" เธออุทานพร้อมกับเบิกตากว้างเมื่อแฟนหนุ่มบอกเสียงอมทุกข์ไม่น้อย
"อุบัติเหตุนี่ ใครจะไปรู้ว่าเกิดได้ยังไงตอนไหน" ลายสือก็ย้อนเหมือนหงุดหงิด แล้วตอนท้ายก็ค่อยสรุปว่า "เอาเป็นว่าตอนนี้หมอบอกว่าแม่ปลอดภัยแล้ว แต่ขอรอดูอาการอีกสักสองสามวัน"
"ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าไม่สะดวกจะมาก็ยังไม่ต้องมาตอนนี้ก็ได้ ดิษถ์ดูแลตัวเองได้ อีกอย่างงานแต่งก็ล้มเลิกไปแล้ว เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวหายตัวไปอย่างลึกลับ"
ลายสือหรี่ตามองหน้าต่างห้องพักฟื้นสลับกับเหลียวไปดูมารดาบนเตียง ท่านหลับสนิทเพราะยานอนหลับ ตอนกลับถึงบ้านแล้วได้ยินเสียงโครมครามดังลงมาจากบันได ใจเขาก็แป้วแล้ว เพราะในบ้านก็มีท่านกับเขาอยู่กันสองคน
ขณะวิ่งไป ใจก็ทายร้อนรุ่มว่ามารดาจะแค่ไถลลงมาหรือกลิ้งลงมา ซึ่งก็โชคดีละว่าแค่ไถลลงมา ถ้ากลิ้งละก็ ป่านนี้อาการคงสาหัสเฉียดตายกันเลยทีเดียว
"ดิษถ์" เขาตัดความคิดวันวานไปก่อน แล้วติงแฟนสาวด้วยความเป็นห่วงว่า "อยู่ต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไม่ใช่หรือ ผมว่าดิษถ์กลับมาก่อนดีไหม รอให้ทางนี้เรียบร้อยแล้ว ผมจะพาดิษถ์ไปถามข่าวคราวอีกหน"
"ไม่เป็นไรค่ะ กลับไปดิษถ์ก็ไม่สบายใจ ให้ดิษถ์อยู่ทางนี้ ช่วยลุงโภชน์ตามหาผกาอีกแรงดีกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ที่นี่ไม่มีอันตรายหรอกค่ะ ชาวบ้านทุกคนก็ใจดี ลุงโภชน์ก็เป็นที่นับถือของคนที่นี่ค่ะ"
"ตามใจ ผมขัดใจคุณไม่เคยสำเร็จสักครั้งอยู่แล้วนี่"
"แหม อย่าทำเสียงงอนแบบ.. "
"งอนอะไร ไม่งอนสักนิด แค่พะวักพะวนเฉยๆ ทางนี้ก็แม่ที่รัก ทางโน้นก็แม่ทูนหัว ผมอยากแยกร่างได้จังเลย"
ฤดีดิษถ์หัวเราะเบาๆ แต่ก็แอบดื่มด่ำใจในเสียงร้อนรนของแฟนหนุ่ม พอตัดสาย พอเหลือบมองเพดาน พอเหลียวไปรอบตัว พอทบทวนบทสนทนาที่เพิ่งจบไป จนถึงคำสุดท้ายของลายสือ เธอก็สะดุดเข้ากับคำว่า 'แยกร่าง'
จริงสิ ตอนอยู่ในป่า เธอรู้สึกเหมือนกำลังปะทะกับขุมพลังลี้ลับบางอย่าง มันเคลื่อนวนเป็นวงล้อมขังเธอไว้ข้างใน
แล้วตามด้วยการเกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่ก่อความอึดอัดรุนแรง เจ็บปวดกล้ามเนื้อ และร่างกายก็คับพองเหมือนมีอีกร่างซ้อนทับอยู่ จากนั้นก็เหมือนมีคนช่วยกันราดน้ำเย็นน้ำร้อนสลับๆ กันลงบนตัวเธอ "นึกว่าร่างระเบิดไปแล้วเสียอีก"
เธอพึมพำแล้วกดขมับ รู้สึกปวดหนึบๆ นิดหน่อย ครั้นเหลียวไปจับโต๊ะหัวเตียงก็ค่อยเลิกคิ้วเพราะเห็นถุงยาวางอยู่ ขวดน้ำแก้วน้ำพร้อม
เอ.. นี่เธอป่วยหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน นั่นสินะ เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าออกมาจากป่าอัญมณีตอนไหน กับใคร และสภาพตอนนั้นเป็นยังไง คงจะดิ้นพล่านๆ ทรมานมากเลยสิใช่ไหม
'คิดเองเดาเองก็ป่วยการ' ฤดีดิษถ์บอกตัวเองอย่างนั้น แล้วตัดสินใจออกจากห้องไปหาคำตอบเองเลยจะดีกว่า ซึ่งก็โชคดีที่หมอน้อยยังไม่กลับ เขากับลุงโภชน์กำลังหารือกันว่าจะลองไปตามหาร่องรอยของมวลผกาแถววิหารวังร้าง
"วิหารวังร้างหรือคะ"
พอได้ยินเข้า คำตอบที่อยากหาอยากรู้ก่อนออกจากห้องก็หายวับ เธอพาร่างกระฉับกระเฉงมานั่งข้างลุงโภชน์ ไม่สนใจว่าชาวบ้านสามสี่คนสะดุ้งเฮือกทำตาโพลงๆ ด้วย แม้แต่หนุ่มแปลกหน้าแต่งชุดลำลองสีเนื้อที่กำลังเลิกคิ้วจ้องเธอเขม็งก็เหมือนกัน
"คุณเพิ่งฟื้น ทำไมรีบลุกออกมา ไม่พักผ่อนต่ออีกหน่อยละครับ"
"คุณคือ.. "
"ผมเป็นหมอครับ ชื่อน้อย ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ชื่นชมด้วยนะ คุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งดี ฟื้นปุ๊บลุกปั๊บ กระฉับกระเฉง ไม่เหลือเค้าหมดสภาพเมื่อสองชั่วโมงก่อนเลย"
"ค่ะ ขอบคุณที่ชม เอ้อ ได้ยินว่าจะออกไปตามหาร่องรอยของผกาแถววิหารวังร้างใช่ไหมคะ ฉันอยากตามไปด้วย"
"จะดีหรือแม่หนู หน้ายังซีดๆ อยู่นะ เอ้อ พูดถึงเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ลุงถามหน่อยเถอะ แม่หนูไปเจออะไรเข้าหรือถึงได้หมดสติได้น่ะ"
คำถามน่ะไม่เป็นไร ฤดีดิษถ์พอเข้าใจ แต่แววตานี่ไม่ไหว เหมือนคนฟังอยากชี้นำให้เล่าว่าเจอกับบางอย่างที่คนทางนี้เรียกกันว่า 'เจอดี'
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" เธอตัดสินใจปกปิด เพราะเชื่อแน่ว่าหากเล่าออกมา ก็จะยิ่งกลายเป็นตอกย้ำความเชื่องมงายเปล่าๆ "หินแถวนั้นมันลื่น ฉันคงเผลอไปเหยียบมัน ก็เลยเสียหลักนิดหน่อย แล้วตกลงว่าไม่มีใครเห็นคุณธิหรือคะ"
ทุกคนพร้อมใจกันส่ายหน้าให้เธอถอนใจเบาๆ ใจจริงก็อยากจะยืนยันเสียงแข็งว่าเธอเห็นเขาเดินโซเซผ่านหน้าไปจริงๆ
แต่ก็อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมการเคลื่อนไหวโผเผแบบนั้นถึงได้เร็วจัง ทั้งที่เธอวิ่งตามไปติดๆ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา และสิ่งที่เห็นก็กลับกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันลาพักร้อนมาหลายวัน กลับกรุงเทพไป ใจก็ไม่เป็นสุขอยู่ดี ฉันขออยู่ที่นี่ช่วยตามหาร่องรอยเขาสองคนอีกแรงดีกว่า ลุงโภชน์ไม่ขัดข้องใช่ไหมคะ ถ้าฉันจะขอรบกวนพักที่นี่ต่อไปอีกสักหลายวัน"
"ไม่หรอกแม่หนู ซาบซึ้งใจละไม่ว่า"
ลุงโภชน์ตอบเสียงแห้งๆ มีแต่คนปรารถนาดี มากมายน้ำใจ ช่วยเหลือแกกันทั้งหมู่บ้าน แต่ดูสิ ร่องรอยของบุตรสาวกับว่าที่เขยขวัญกลับกลายเป็นปริศนาดำมืดเสียอย่างนั้น "อย่าทำหน้าแห้งแบบนั้นสิคะ" ฤดีดิษถ์ให้กำลังใจ "ตราบใดที่เรายังไม่พบศพ ก็แสดงว่าเขาสองคนยังปลอดภัยอยู่ที่ไหนสักแห่งบนภูดารกะนี่แหละ ถ้าเราออกตามหากันอย่างจริงจังและไม่ลดละ ฉันเชื่อค่ะว่าเราต้องเจอแน่ๆ "
"ลุงก็ภาวนาอย่างนั้นละแม่หนู"
"แล้วจะไปวิหารวังร้างกันเมื่อไหร่ค่ะ"
"คงต้องพรุ่งนี้แล้วล่ะ เพราะนี่มันก็เย็นมากแล้ว ปกติไม่ค่อยมีใครกล้าไปที่นั่นตอนค่ำๆ มืดๆ หรอก"
หมอน้อยส่ายหน้าเกือบจะพร้อมกับหญิงสาวทีเดียว ฤดีดิษถ์เข้าใจว่าทำไมไม่มีใครกล้าไปที่นั่น ก็เพราะผู้ใหญ่กล่าวย้ำสำทับกันนาทีเว้นนาทีแบบนี้น่ะสิ ลูกหลานรุ่นหลังถึงได้ซึมซับงมงาย จริงไม่จริงไม่รู้ ผู้ใหญ่ว่าไว้อย่างนั้น ยังไงก็ขอเชื่อไว้ก่อน
ไม่ใช่เธอลบหลู่ดูหมิ่นอะไรหรอกนะ แต่ถ้าปาฏิหาริย์มันมีจริงละก็ ลองแสดงเหตุพิสดารให้ปรากฏแก่ตาเธอในวันพรุ่งนี้เถอะ แล้วเธอค่อยกลับมาใคร่ครวญดูอีกทีว่าจะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี
จากคุณ |
:
รัชนีกานต์
|
เขียนเมื่อ |
:
26 ก.ย. 55 19:53:57
|
|
|
|