Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สั น ด า น 02 ติดต่อทีมงาน

สันดานในบริบทอื่นๆ



สันดาน กับ สืบสันดาน
มาถึงตรงนี้ ได้มีอีกคำหนึ่งผุดขึ้นมา คือคำว่า”สืบสันดาน” ซึ่งเรามักได้ยินอยู่ประปรายในภาษากฎหมาย เมื่อลองค้นดูแล้ว ได้ความหมายว่า “สืบสายโลหิตมาโดยตรง” มีผู้พยายามให้ความหมายเป็นภาษาอังกฤษว่า Descend แปลว่า สืบเชื้อสาย สืบสายโลหิต สืบสกุล แนวโน้มจึงทำให้กล่าวได้ว่า คำว่าสันดาน เราจะเน้นมาที่อุปนิสัยที่เกิดมาจากบรรพบุรุษ การเลี้ยงดู



เมื่อคำแปลเป็นอย่างนี้ คำว่าสันดาน จึงไม่ใช่คำที่คนในครอบครัวเดียวกัน หรือคนที่มาจากบรรพบุรุษเดียวกันจะนำมาใช้ด่ากัน เพราะถ้าจะพูดถึงคำว่าสันดานในความหมายด้านลบ ย่อมแปลว่าคนที่ถูกด่าว่า ตำหนิ มีอุปนิสัยด้านลบที่เป็นกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือการเลี้ยงดู คำนี้จึงไม่ใช่คำที่คนที่มาจากตระกูลเดียวกันจะเอามาด่ากัน เพราะเท่ากับเป็นการด่าตัวเอง เพราะถ้าพี่น้องเรา ญาติเรา ลูกพี่ลูกน้องของเราสันดานไม่ดี สันดานเราก็ต้องไม่ดีไปด้วย เพราะมีบรรพบุรุษเดียวกัน



ทำให้ยิ่งคิดเลยเถิดไปกันใหญ่ เพราะถ้าเราเชื่อตามฝรั่งว่า จริงๆ แล้วพวกเราทุกคนล้วนมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน สืบเชื้อสายมาจากแอฟริกาเหมือนกัน ถ้าคนหนึ่งสันดานไม่ดี คนอื่นๆ ก็ต้องมีสันดานไม่ดีร่วมอยู่ด้วยไม่มากก็น้อย เพราะโคตรเหง้าของทุกคน เมื่อสืบสายโยงใยกันไปจนถึงที่สุดแล้ว มาจากสายเดียวกันทั้งสิ้น คำด่าว่าสันดานจึงไม่สมควรใช้เลยแม้แต่น้อย เพราะยิ่งใช้ด่าคนอื่นมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับการขุดโคตรเหง้าของตัวเองขึ้นมาด่ามากเท่านั้น



สันดาน กับ จิต
พฤติกรรม คำพูด ความนึกคิดของคนๆ หนึ่ง ที่จะปรากฏออกมารูปแบบไหน ทั้งด้านบวกและลบ มีที่มาจากจิตล้วนๆ เพราะจิตที่ดีถึงจะบันดาลให้สมองคิดได้แต่เรื่องดีๆ จิตที่ดีถึงจะบันดาลได้แต่การใช้คำพูดและวาจาด้านบวก และจิตที่ดีเท่านั้น ถึงจะบันดาลให้เราแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมและสวยงามออกมา จิตกับสันดานจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก



เมื่อจิตกับสันดานแยกกันไม่ได้ การทำจิตให้ดีจึงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสันดาน เราจึงสามารถเปลี่ยนสันดานกันได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการพูดเล่นหรือขัดแย้งกับสำนวนโบราณ การเปลี่ยนสันดานก็คือการเปลี่ยนจิต และการเปลี่ยนจิตอย่างถูกต้อง ในลำดับแรก เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องจิตอย่างลึกซึ้งก่อน



เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ บางคนรู้สึกสายตาล้าขึ้นมาทันที เพราะคิดว่าเรื่องจิตเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าถึงยาก และไม่มีอะไรแน่นอน อันนั้นเป็นแนวคิดที่โบราณมาก เป็นแรงคิดด้านลบ และเกิดจากสันดานในทางอับจน ความจริงแล้วเรื่องจิตเป็นอะไรที่ค่อนข้าง Solid ที่ใช้คำฝรั่งเพราะนึกไม่ออกว่าจะหาคำไหนมาเทียบเคียงให้ใกล้เคียง หมายความว่า ถ้าเราจับหลักอะไรสักอย่างของจิตได้แล้ว เราจะสามารถเรียนรู้เรื่องจิตได้อย่างเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นชั้น และมีเนื้อหาวิชาการที่ค่อนข้างแน่นอนในระดับหนึ่งไม่ต่างจากการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ



‘ความคิดซ้ำๆ ก่อเกิดการกระทำ การกระทำซ้ำๆ ก่อเกิดนิสัย นิสัยซ้ำๆ ก่อเกิดสันดาน สันดานซ้ำๆ ก่อเกิดชะตาชีวิต’ สันดานจึงเป็นอะไรที่แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงทั้งในทางเจริญขึ้นหรือเลวลงของคนๆ หนึ่งอย่างแท้จริง อะไรจริง คำพูดที่ว่า “คิดบวก” จึงไม่พอ เพราะเราต้องคิดให้บวกซ้ำมากพอจนการกระทำของเราเป็นด้านบวก การกระทำด้านบวกที่ซ้ำๆจึงพอที่จะเปลี่ยนนิสัยคนได้ และหากคนนั้นมีนิสัยด้านลบมาก ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรของตนเองได้ จนกว่าจะปรับปรุงสันดาน และเปลี่ยนตัวเองได้อย่างแท้จริง จงปรับสันดานเพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตเสียแต่วันนี้



การเรียนรู้เรื่องจิตขั้นพื้นฐาน ต้องมารู้จักหัวใจก่อน เพราะจิตเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีน้ำหนัก พวกวิทยาศาสตร์กายภาพจึงมักบอกว่าจิตไม่มีอยู่จริง อารมณ์ความรู้สึกมาจากสมองต่างหาก หากคุณไม่เห็นด้วยกับความคิดอย่างนั้น แต่ยังนึกคิดจินตนาการถึงจิตไม่ได้ หรือยังไม่สามารถพูดถึงจิตได้อย่างเป็นรูปธรรม บทต่อไปจะอธิบายไขความข้องใจให้แก่เรา



สันดาน กับ หัวใจ
สมมุติว่าคุณเป็นพนักงานบริษัทคนหนึ่ง ที่วันๆ ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในห้องแอร์เย็นๆ จะมีหน้าต่างมองออกไปเห็นวิวสวยหรือเปล่าก็ไม่เป็นไร ในสำนักงานจะมีเสียงดังจ๊อกแจ๊กหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ข้าวเช้ากินตรงตามเวลาก่อนเริ่มงานตั้งแต่ 7 โมงกว่าๆ ขณะนี้อีกเกือบชั่วโมงถึงจะใกล้เที่ยง เห็นนายหลังไวๆ เดินออกไปแล้ว เขาคงใช้สิทธิความเป็นนายรีบออกไปกินข้าวเที่ยงก่อนคนอื่น



เอาละ ทุกอย่างพร้อมแล้ว คุณว่าตอนนี้ใจของตัวเองนิ่งๆ สงบๆ มั้ย สมมุติว่าสงบแล้วกัน สมมุติว่าช่วงนี้ไม่มีอะไรกดดัน งานการยังไปได้ดี ชีวิตรักยังไปได้สวย เงินทองในกระเป๋ายังมีพอควร บ้านยังไม่โดนยึด ญาติยังไม่มีใครเป็นอะไรในช่วงนี้ ชีวิตดูเหมือนปลอดโปร่ง



เรามาคลำชีพจรกันดู หัวใจของคุณเต้นกี่ครั้งต่อนาที รู้หรือไม่ จำได้หรือเปล่า ตรวจสอบครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ดูแค่ชีพจรก็พอนะ ความดันสูงหรือต่ำเอาไว้ก่อน สมมุติว่าเรามีสุขภาพร่างกายปกติโดยทั่วๆ ไป ไม่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรมารุมเร้าในช่วงนี้ มองหานาฬิกาด้วยครับ เอาแบบมีเข็มวินาทีนะ หามาไว้ใกล้ๆ ตัวจะดีมาก จะได้ไม่ต้องชะเง้อขะเหย่งหรือต้องเหลียวหันจนคอเคล็ด เอาแบบสบายๆ หย่อนคลาย



เมื่อพร้อมแล้วเรามาวัดการเต้นของหัวใจว่า หัวใจฉันเต้นกี่ครั้งต่อนาที เริ่มกันเลยนะ......
เมื่อรู้แล้วว่าหัวใจฉันเต้นกี่นาที ทีนี้ลองถามเพื่อนๆ ดู ให้คนรอบๆ ข้างลองจับเวลาเพื่อวัดการเต้นของหัวใจของแต่ละคนดู แล้วค่าเฉลี่ยจะอยู่ในหน้าถัดไป



คุณควรลองจดบันทึกดูก็ได้ ว่าของเพื่อนคนไหนหัวใจเต้นกี่นาที การเต้นของหัวใจของบางคนอาจช้ามากตั้งแต่ 60-50 ครั้งลงมา บางคนอาจสูงมากตั้งแต่ 90-100 ครั้งยังมี และจะพบว่าคนส่วนใหญ่หัวใจเต้นประมาณ 70-80 ครั้งขึ้นไป



จำนวนครั้งการเต้นของหัวใจแต่ละคน นอกจากเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับสุขภาพกาย ยังบอกปัญหาสุขภาพใจได้อีกด้วย คุณควรจะสงสัยบ้างว่า ทำไมหัวใจของฉันกับหัวใจของคนอื่นเต้นไม่เท่ากันใน 1 นาที โดยหลักการทั่วไป ในความดันที่ปกติของแต่ละคน หัวใจควรจะเต้นช้า ถ้าเต้นที่ 80 ครั้งขึ้นไปถือว่าผิดปกติมาก ฉันอาจจะป่วยเป็นอะไรบางอย่าง อย่างที่ไม่รู้ตัว และคนที่มีหัวใจเต้น 70-79 ครั้งหมายความว่า ถ้าปล่อยให้เกิดอะไรผิดปกติขึ้นต่อชีวิต ต่อสุขภาพ หรือต่ออารมณ์ ก็ย่อมทำให้หัวใจฉันเต้นเร็วรุนแรงขึ้นกว่านี้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก คนที่หัวใจเขาเต้นนาทีละ 69 ครั้งลงมา เขาเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เขาฝึกตัวเองหรือว่าเป็นโดยธรรมชาติ เรามาลองศึกษากันและทดลองปฏิบัติการที่จะทำให้หัวใจของฉันเต้นช้าลง เมื่อเงื่อนไขมีอยู่ว่า หัวใจที่เต้นช้าลงกว่าปกติอย่างสม่ำเสมอ แปลว่าสุขภาพของฉันดีขึ้น
สรุป สำรวจว่าหัวใจของคุณเต้นกี่ครั้งต่อนาที



สันดาน กับ คลื่นสมอง
จิตใจกับสมองมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ในยามที่จิตใจว้าวุ่น อารมณ์แปรปรวน พลุ่งพล่าน กังวลวิตก จะส่งผลถึงสมองทำให้เรารู้สึกเครียด ความคิดอ่านที่จะทำอะไรต่างๆ ในยามอารมณ์ไม่สงบดูเหมือนจะทำได้ยาก สมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ป้ำเป๋อ ลืมง่าย ฯลฯ



ในทางกลับกัน ถ้าครุ่นคิดมากๆ ใช้สมองเยอะๆ ความเครียดในการใช้สมองก็ส่งผลถึงอารมณ์ ทำให้ฉุนเฉียวง่าย ละวางความคิดไม่ได้ เกิดอาการหงุดหงิดกระสับกระส่าย กระวนกระวาย หนักเข้ารู้สึกกดดัน เมื่อจิตกับสมองทำงานสัมพันธ์และส่งข้อมูลย้อนกลับกันไปมา เราจึงพอจะวัดว่าคนนั้นกำลังมีอารมณ์ลักษณะใดด้วยการวัดการทำงานของสมอง



สมองนอกจากทำงานด้วยการส่งออกซิเจน อาหารและธาตุต่างๆ มาพร้อมกับเลือดที่วิ่งไปตามหลอดเลือดขึ้นมาบนสมองแล้ว สมองยังทำงานด้วยการส่งกระแสไฟฟ้าไปมาระหว่างเซลล์สมอง การทำงานที่ต่างกันของสมองทำให้การส่งกระแสไฟฟ้าในสมองมีความถี่ต่ำและสูงแตกต่างกันไป เราจึงวัดการทำงานของสมองได้ด้วยการวัดคลื่นสมอง คลื่นสมองตามหลักการทางวิทยาศาสตร์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalograph) หรือเรียกสั้นๆ ว่าเครื่องอีอีจี (EEG)



คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับแกมม่า
คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับเบต้า
คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับแอลฟ่า
คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับเธต้า
คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับเดลต้า
คลื่นสมองที่มีความถี่สูงที่ระดับ เฮิรทซ์ เรียกว่า คลื่นระดับคอสมิค



เครื่องอีอีจีนั้นหายากพอๆ กับค่าใช้จ่ายที่สูงในการวัดคลื่นสมอง เราจึงใช้วิธีวัดคลื่นสมองง่ายๆ แบบชาวบ้านด้วยการวัดการเต้นของชีพจร หรือการวัดการเต้นของหัวใจนี่แหละ เพราะเมื่อสมองทำงานหนักมากขึ้น สมองย่อมต้องการเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น หัวใจย่อมเต้นเร็วเต้นถี่ขึ้น เมื่อเราวัดการเต้นของหัวใจได้แล้ว สามารถมาเทียบเคียงแบบคร่าวๆ กับคลื่นสมองได้ว่า



หัวใจเต้นนาทีละ 90 ครั้งขึ้นไป คือระดับ แกมม่า แปลว่าใกล้บ้าแล้ว
หัวใจเต้นนาทีละ 80-89 ครั้ง คือระดับ เบต้า แปลว่า คุ้มดีคุ้มร้าย
หัวใจเต้นนาทีละ 70-79 ครั้ง คือระดับ อัลฟ่า แปลว่า เป็นคนตื่นตัวสูง
หัวใจเต้นนาทีละ 60-69 ครั้ง คือระดับ เธต้า แปลว่า อาจเป็นได้ทั้งคนที่จิตใจสงบ หรือคนเฉื่อย
หัวใจเต้นนาทีละ 50-59 ครั้ง คือระดับ เดลต้า แปลว่า มีจิตใจสงบมาก
หัวใจเต้นนาทีละ 49 ครั้งลงไป คือระดับ คอสมิค แปลว่า จิตใจสงบอย่างพิสดาร
สรุป จงเปรียบเทียบการเต้นของหัวใจตัวเองกับคลื่นสมองว่าของเราอยู่ระดับใด



คลื่นสมองกับการเต้นของหัวใจ
เมื่อเราทราบว่าคลื่นสมองกับการเต้นของหัวใจมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และอัตราการเต้นของหัวใจต่อ 1 นาทีที่เต้นเร็วมากหรือช้า สัมพันธ์กับสุขภาพกายหรือจิตไม่ทางใดทางหนึ่งหรือทั้งสองทาง เต้นเร็วมากมีแนวโน้มที่จะเป็นไปทางด้านลบ เต้นช้ามีแนวโน้มที่จะเป็นไปทางด้านบวก



การเต้นของหัวใจช้าหรือเร็วอาจไม่ใช่ตัววัดว่าคนนั้นสุขภาพดีหรือเปล่า ถ้าความดันเลือดไม่ปกติ แต่ถ้าความดันเลือดของเราปกติ ไม่ดันสูงหรือดันต่ำนัก แล้วหัวใจเราเป็นพวกไวเกินร้อย คือหัวใจเต้นใกล้ๆ หรือเกินร้อยครั้งต่อนาทีขึ้นไป ต้องสงสัยตัวเองแล้วนะ ว่าเราผิดปกติยังไง หัวใจถึงได้เต้นมากครั้งขนาดนี้



จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่เริ่มสงสัยความเชื่อมโยงระหว่างนิสัย อารมณ์และการเต้นของหัวใจของคนไข้ที่มารับการสะกดจิต ที่ได้เริ่มให้มีการวัดการเต้นของหัวใจกับคนไข้ที่มาพบตั้งแต่ต้นปีค.ศ. 2010 ทำให้ค้นพบข้อพิสูจน์กว้างๆ ว่า คนที่มีนิสัยอารมณ์หรือพฤติกรรมประเภทหลับยาก เครียดง่าย โมโหง่าย ใจร้อน ชอบกดดันตัวเอง ตื่นเต้นเสมอ วิตกตลอดเวลา จริงจังมากเกินไป สุดโต่ง สมาธิสั้น ไฮเปอร์ หรือออกไปทางร้อนๆ รนๆ กระวนกระวายมักมีหัวใจที่เต้นเร็วมากเกินผู้คนทั่วไป คือจะมีระดับหัวใจเต้นที่ 78-ร้อยกว่าขึ้นไป



คนที่มีนิสัยอารมณ์ประมาณว่า ชอบคาดหวังคนอื่น ท้อแท้หดหู่ง่าย มักมีการเต้นของหัวใจต่ำ บางคนต่ำลงมาถึง 58 ก็มี แต่มักมีความผิดปกติที่เห็นชัดคือ จะมีความดันโลหิตต่ำกว่าคนปกติทั่วไป การวัดการเต้นของหัวใจจึงใช้ไม่ได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ในการวัดว่าใครมีอารมณ์ประมาณไหน ต้องดูควบคู่ไปด้วยกับความดันและสุขภาพที่เขาเป็นอยู่ในขณะนั้น



แต่ในกลุ่มที่มีความดันเลือดปกติ สุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ต่างกันมากนัก กลุ่มนี้เมื่อวัดชีพจรแล้วจะเห็นความแตกต่างชัดเจนและพอจะคาดเดาอารมณ์ได้คือ ถ้าชีพจรเต้นสูงมากๆ มักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ทางด้านลบได้ง่าย ง่ายมากจนถึงมากที่สุด กลุ่มที่มีชีพจรเต้นน้อยๆ ครั้งกว่าจะเป็นคนมีอารมณ์ดีกว่า สงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด



การทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นนี่ง่าย แค่ให้ใครสักคนมาด่าแม่เรา สูบบุหรี่สักม้วน ดื่มเหล้าสักแก้ว ไปทำงานหนักๆ หรือวิ่งรอบสนาม หัวใจก็เต้นระรัวไม่เป็นส่ำ ในทางกลับกัน การทำให้หัวใจเต้นช้าลงเป็นเรื่องยากมาก จู่ๆ เรานึกอยากจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง ไม่มีทางจะทำได้เหมือนอย่างที่อยากให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น



การทำให้หัวใจเต้นช้าลงเราสามารถทำได้ แต่เป็นงานที่ยากและมากเรื่อง ที่ต้องกระทำให้ได้ถึง 4 อย่าง คือ 1. การกิน 2. ความคิด 3. การดำเนินชีวิต 4. อารมณ์



สรุป ทำหัวใจให้เต้นเร็วขึ้นนั้นง่ายมาก แต่หัวใจให้เต้นช้าลง ต้องใช้องค์ประกอบถึง 4 อย่าง คือ ความคิด อารมณ์ การกิน และการดำเนินชีวิต



ติดตามอ่านสั น ด า น ตอนที่ 1
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12699141/W12699141.html

แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 55 10:14:02

จากคุณ : patham
เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 55 10:12:30




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com