27
จะสี่ทุ่มแล้ว ปัญวิชช์ขับรถเข้าบ้านด้วยอาการหมดแรง อุบัติเหตุไม่ได้ทำให้งานเลื่อน หนำซ้ำยังโดนใช้ทำเอกสารหนักกว่าเดิม จนรีดพลังชีวิตไปเกือบหมด เขาให้กฤษแยกกลับไปก่อนตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้าน บอดี้การ์ดหนุ่มอิดออดตามเคยแต่ก็ยอมเพราะเห็นว่าใกล้จะถึงแล้ว อีกประการคือปัญวิชช์บอกว่า วันนี้ถูกทำให้รอนาน มันดึกมากแล้ว อีกฝ่ายจึงยอม
เสียงโทรศัพท์ดัง พอเห็นชื่อที่ปรากฎก็เหมือนแรงกายแรงใจจะกลับมาทันใด
“จ๋า”
“วิชอยู่ไหน” เสียงนภัสรินทร์ที่ได้ยินมันช่างหวานซึ้ง
“กำลังจะเข้าบ้านครับ เพิ่งมาถึงนี่แหละ”
“เหรอ” แล้วเธอก็ปล่อยให้ความว่างเปล่าเข้ามาแทรกครู่หนึ่ง ปัญวิชช์กำลังจะถอยรถเข้าที่จอด
“รินมีอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าคิดถึงวิชน่ะ” เขากระเซ้า
“แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ”
ปัญวิชช์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนที่ใจจะเต้นแรงเพราะรู้สึกได้ถึงความเชื้อชวนอยู่ในประโยคนั้น “งั้นเดี๋ยววิชไปหานะ”
“อืม”
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ เปลี่ยนใจจากการจอดรถเป็นตบเกียร์และหมุนพวงมาลัยออกไปทางประตูทันที คนสวนต้องวิ่งกลับมาเปิดประตูให้อย่างงง ๆ ทรงพลยืนอยู่ในบ้าน เขามองออกมาเห็นพฤติกรรมแปลก ๆ ของปัญวิชช์ ที่กลับมาแล้วทำท่าจะจอดรถแต่ขับรถออกไปอีก
“อะไรของเจ้าวิชมันน่ะ มาแล้วทำไมไม่เข้าบ้าน มันไปไหน”
เขาหันไปถามคนรับใช้ อีกฝ่ายตอบเสียงแผ่ว “ไม่ทราบค่ะ”
“ก็ไปโทร.ถามมันให้หน่อยสิ ต้องให้สั่งตลอดเลยหรือไง”
ก่อนจะได้คำตอบว่าปัญวิชช์ไม่รับสาย ทรงพลรู้ว่าหลานชายไปไหน แต่หงุดหงิดเพราะความที่รู้และทำอะไรไม่ได้ สองสามวันมานี้ได้รับรายงานว่าปัญวิชช์ตั้งใจทำงานเป็นพิเศษ คงจะชดเชยเรื่องที่ทำผิดไว้ แต่สำหรับคนเป็นปู่ มันก็ยังไม่ทดแทนเรื่องที่ปัญวิชช์ยังคงตามติดนภัสรินทร์อยู่นั่นเอง
เมื่อไม่ได้ดั่งใจจึงเดินจ้ำกลับห้องนอน
ตอนปัญวิชช์เดินเข้าล็อบบี้คอนโด นภัสรินทร์กำลังเดินออกจากลิฟท์พอดี เธอจึงหมุนตัวกลับเข้าไปและกดปุ่มเปิดค้างไว้ให้ชายหนุ่มก้าวยาว ๆ เข้ามา พร้อมรอยยิ้มกว้าง
ประตูลิฟท์ปิดลง ปัญวิชช์ยืนกุมมือหญิงสาว เธอซบหน้าลงบนไหล่ ภาษากายเพียงเท่านี้ก็แทนคำพูดนับล้านคำของความรู้สึกได้
เมื่อไปถึงห้อง ปัญวิชช์ถอดรองเท้า เขาพับแขนเสื้อเชิ๊ต หันไปถาม
“มีอะไรเหรอ หรือว่าคิดถึง...”
แต่คำถามนั้นไม่จบเพราะได้รับจุมพิตเสียก่อน ตั้งใจจะแซวว่าหญิงสาวคิดถึงเขาจนไม่อยากนอนคนเดียวใช่ไหม ซึ่งกลายเป็นการทำให้ปัญวิชช์แปลกใจเพราะไม่เคยคิดว่านภัสรินทร์จะเป็นฝ่ายเรียกร้อง หากด้วยความรักรัญจวนที่มีเป็นทุนเดิม พอได้สัมผัสที่คุ้นเคยและโหยหา อารมณ์ก็เตลิดได้โดยง่าย เขากระชับอ้อมกอดแนบแน่น จูบตอบเนิ่นนานกว่าจะถอนริมฝีปาก กระซิบกึ่งรำพัน
“เราจะแต่งงานกันนะริน วิชจะให้แม่ไปหาฤกษ์...”
แต่นภัสรินทร์ก็ทอดแขนโน้มเขาให้เข้ามาหา ประทับริมฝีปากอีกครั้ง สัมผัสนั้นทั้งหวานล้ำและเร่าร้อน ทั้งคู่แลกจุมพิตกันไปถึงห้องนอน และล้มลงบนเตียงโดยที่ร่างของหญิงสาวทาบทับอยู่บนตัวเขา ปัญวิชช์ยิ้มกว้าง รู้สึกตื้นเต้นดีใจ กิริยาที่เธอแสดงออกบ่งบอกว่ารักและปรารถนาเขาเช่นกัน
“ริน...”
เธอจูบเขาอีก ราวกับจะบอกว่าไม่อยากได้ยินคำพูดใด ไม่ต้องการอะไรนอกจากสิ่งนี้ ปัญวิชช์พลิกตัวขึ้นมาให้เธออยู่ในอ้อมกอด กดจมูกบนซอกคอ กลิ่นกายเธอยิ่งกระตุ้นเลือดในกายเขา สองมือลูบเนินเนื้อนวลก่อนจะถอดเสื้อชั้นนอกออกไปอย่างไม่ยากเย็น
ปัญวิชช์นอนกอดนภัสรินทร์ ซุกใบหน้าอยู่กับหัวไหล่ขาวนวล กิริยาออดอ้อนเสมือนแมว
“ริน”
“หืม”
“มีอะไรกินไหม”
เธอนิ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ทำนองว่าอีกแล้วเหรอ ชายหนุ่มรีบแก้ตัว “ความจริงวิชกินมาแล้วนะ แต่...ก็ตั้งแต่สองทุ่มโน่นแน่ะ”
หญิงสาวสบตาใส ๆ ของเขาแล้วก็ผ่อนลมหายใจ “งั้นเดี๋ยวดูก่อนว่ามีอะไรบ้าง”
“ขอบคุณคร้าบ” ปัญวิชช์คลายอ้อมกอดให้เจ้าของห้องไปหาของกินมาให้ สำหรับชายหนุ่มบรรยากาศแบบนี้สดชื่นอ่อนหวาน โลกใบนี้เป็นสีชมพู
แต่สำหรับนภัสรินทร์ พอลับหลัง สีหน้าแย้มยิ้มของเธอก็หายไป ความเจ็บปวดและวิตกกังวลมาแทนที่ ทุกอย่างที่เห็น ที่เป็น มันคือภาพลวงตา เธอต้องพยายามระงับจิตใจ ไม่ให้คิดล่วงหน้า คิดถึงเพียงแค่เวลานี้ ณ ตอนนี้ กอบโกยความสุขนี้ให้เต็มที่ก็พอ
เธอรวบรวมกำลังใจ มีแครกเกอร์กับแยม รวมทั้งน้ำส้ม จึงหยิบใส่ถาดเดินไปให้ ปัญวิชช์กำลังจะลุกมารับอยู่แล้ว พอเห็นเธอยกมาให้ถึงเตียงก็ทำท่าดีใจ
“บริการดีจังเลย” เขาบอก สีหน้าเกลื่อนด้วยยิ้ม นภัสรินทร์นั่งใกล้ ๆ มองทุกอิริยาบทของเขา
“กินด้วยกันสิ”
คราแรกหญิงสาวส่ายหน้า แต่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนใจ “ก็ได้”
สองหนุ่มสาวหยอกล้อสลับพูดคุยและกินของว่างมื้อดึกอยู่ครู่หนึ่ง นภัสรินทร์ยกถาดไปเก็บ พอเดินกลับมาเห็นปัญวิชช์ทำท่าจะนอนต่อ
“อิ่มแล้วก็กลับไปได้แล้วมั้ง”
“อิ่มแล้วต้องนอนต่างหาก” เขาพูดพลางดึงมือเธอเข้าไปหา แล้วกอดไว้เหมือนอย่างที่ทำมา “วิชค้างที่นี่นะ”
“ที่บ้านล่ะ”
“นี่เห็นวิชเป็นเด็กม.ต้นเหรอ ต้องมีเคอร์ฟิวส์” ชายหนุ่มตัดพ้อเล็กน้อย แต่หอมแก้มเธอฟอดใหญ่ “พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่มีใครตามลูกชายอายุสามสิบให้กลับบ้านหรอกมั้ง”
นภัสรินทร์ไม่รู้จะพูดอะไรอีก เลยปล่อยให้เขาทำตามใจ ไม่นานนักชายหนุ่มก็เข้าสู่นิทรา
ปัญวิชช์หลับไปแล้ว แต่นภัสรินทร์ยังลืมตา มองใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ชายหนุ่มไม่มีส่วนคล้ายกับผู้เป็นอาหรือพ่อของเขานัก แต่คล้ายผู้เป็นแม่มากกว่า ในความคมคายของโครงหน้ามีความอ่อนโยนและรอยยิ้มแบบเด็กซน เธอไล่สายตาไปบนไหล่ รอยแผลเป็นปรากฎจาง ๆ หญิงสาวลูบเบา ๆ เธอทำให้เขาเจ็บตัว ทำให้เกือบตาย ทำร้ายความจริงใจของเขาอยู่หลายหน แต่เขาไม่เคยจากไปไหน ยังซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองอย่างหนักแน่น
และหนนี้ก็อีกเช่นกัน เขาจะต้องเจ็บเจียนตายเพราะเธอ กระสุนจากวีรญาทิ้งรอยแผลจาง ๆ แต่คมมีดของเธอคงกรีดใจเขาขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดี และคงเป็นความสาหัสอันใหญ่หลวง
แต่นภัสรินทร์ก็เจ็บไม่ต่างกัน เธอเกือบจะระงับตัวเองไม่ไหวตอนเห็นหน้าเขา ยิ่งปัญวิชช์ให้คำมั่นเรื่องแต่งงานต่อเธอยิ่งไม่อยากได้ยิน
เธอรู้ว่านี่จะเป็นคืนสุดท้าย ขอมีความสุขโดยที่ไม่ต้องมีหน้ากาก ขอทำตามใจตัวเอง นับตั้งแต่พรุ่งนี้เธอจะเป็นคนใหม่ เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่มีกันและกัน ไม่มีนภัสรินทร์ของปัญวิชช์อีกแล้ว
....
จากคุณ |
:
อุธิยา (BabyRed)
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ก.ย. 55 13:49:55
|
|
|
|